การเข้ามาของรถยนต์จีนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเรื่องแนวคิดและการพัฒนารถยนต์อย่างเห็นได้ชัดเจน
และบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในฐานะที่มีผลผลิตที่ใกล้เคียงกันและอยู่ในกลุ่มใตลาดเดียวกัน คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่ง Honda เองก็เคยออกมาเปิดเผยว่า ผลประกอบการและการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายด้านต่างๆของแบรนด์นั้นไม่ได้มาจากการขึ้นกำแพงภาษีในยุคของประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐอเมริกา แต่เป็นเรื่องการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสิ่งที่บริษัทรถยนต์จีนทำกับตลาดมากกว่า โดยเฉพาะในเรื่องการใช้กลยุทธ์ตัดราคา
ทางออก คือ สิ่งที่แบรนด์ญี่ปุ่นกำลังหาอยู่ และในตอนนี้มีข่าวว่า การที่จะเอาชนะเรื่องต้นทุนผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จีนได้ คือ การหาฐานการผลิตแห่งใหม่ ที่ซึ่งมีศักยภาพในเชิงปริมาณประชากรใกล้เคียงกับจีน และมีราคาของแรงงานที่น้อยกว่าหรือเท่ากับที่เกิดขึ้นในจีน ดังนั้น จีงไม่น่าแปลกใจในข่าวที่ว่า อินเดีย
กำลังกลายเป็นหมุดหมายใหม่ในการลงทุนตั้งโรงงานผลิตของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น และมีข่าวว่าToyota และHonda กำลังสนใจอย่างมาก หลังจากที่Suzuki เข้ามาบุกเบิกตลาดแห่งนี้จนกลายเป็นพี่ใหญ่
ในตอนนี้ Toyota Honda และSuzuki คือ3 บริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นที่เล็งเห็นความสำคัญของอินเดียอย่างจริงจัง
พวกเขาต้องการอัพเกรดอินเดียให้มีความทันสมัยในเรื่องของการผลิตเหมือนกับที่ทำได้ในจีน และมีการลงทุนในระดับหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนหนึ่งก็คือ การกระจายความเสี่ยงออกมา หลังจากที่ตลาดส่วนหนึ่ ของToyota และHonda มาจากยอดขายในจีน ซึ่งเมื่อยอดขายในจีนลดลงก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของยอดขายในปีนั้นด้วย
แน่นอนว่า อินเดียมีจุดเด่นในเรื่องของต้นทุนที่ต่ำเพราะแรงงานมีค่าแรงไม่สูง ปริมาณประชากรที่มาก
แม้ว่าจะถูกมองว่าสภาพเศรษฐกิจยังไม่เจริญหรือพัฒนาเทียบเท่ากับจีนก็ตาม แต่ไฮไลท์ที่ทำให้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเข้าไปวางรากฐานการผลิตในตลาดแห่งนี้คือ แรงจูงใจในการผลิตรถยนต์เพื่อแข่งขันหรือส่งออกของแบรนด์ท้องถิ่นทั้งTata หรือMahindra นั้นถือว่าต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับยุคทศวรรษที่1990 ซึ่งแบรนด์อินเดียพยายามรุกออกสู่ตลาดต่างแดน
ตรงนี้ทำให้ Toyota, Honda และSuzuki กำลังทุ่มงบหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างรถยนต์และโรงงานใหม่ในอินเดีย ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของประเทศในฐานะศูนย์กลางการผลิต ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเพื่อลดการพึ่งพาจีน โดยToyota ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก และSuzuki ผู้นำตลาดอินเดียด้วยส่วนแบ่งเกือบ 40% ได้ประกาศการลงทุนมูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการผลิตและการส่งออกในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ3 ของโลก ส่วนHonda เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พวกเขาจะทำให้อินเดียเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ และได้วางแผนยเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ในปีที่แล้ว Toyota ประกาศลงทุนกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเดิมทางตอนใต้ของอินเดียอีกประมาณ 100,000 คันต่อปี และสร้างโรงงานแห่งใหม่ในรัฐMaharashtra ทางตะวันตกของประเทศ
ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตก่อนปี2030 สิ่งนี้จะทำให้กำลังการผลิตของ Toyota ในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1 ล้านคัน
Toshihiro Mibe ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวในงานแสดงJapan Mobility Show 2025 ว่า สำหรับ Honda
อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจมอเตอร์ไซค์ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรในระดับสูงสุดและขณะนี้ Honda ตั้งใจที่จะยกระดับธุรกิจรถยนต์นั่งของพวกเขา
‘ตลาดเป้าหมายหลัก 3 อันดับแรกสำหรับธุรกิจรถยนต์คือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาคือ อินเดียและญี่ปุ่น Honda วางแผนที่จะให้อินเดียเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น "Zero series" หนึ่งรุ่น โดยจะส่งออกหนึ่งรุ่นไปยังญี่ปุ่นและตลาดอื่นๆ ในเอเชียตั้งแต่ปี2027’
Suzuki ลงทุน 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอินเดียเพื่อขยายกำลังการผลิตในประเทศเป็นหลักเป็น 4 ล้านคันต่อปี จากปัจจุบันที่ประมาณ 2.5 ล้านคัน ธุรกิจในอินเดียของแบรนด์คือMaruti Suzuki (MRTI.NS) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดและเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ
"เราต้องการให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกของ Suzuki"Tochihiro Suzuki ประธานกล่าว "เราต้องการเพิ่มการส่งออกจากอินเดีย"
สิ่งที่จะช่วยเสริมการลงทุนคือ การเป็นตลาดที่ดีในตัวเองด้วย ซึ่งหมายความว่า กำลังซื้อในประเทศจะต้องเดินเคียงคู่กัน การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ในช่วง 3 ปีงบประมาณที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเติบโตที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีNarendra Modi ต้องการ และการรักษาการเติบโตระดับนี้เอาไว้หมายความว่าจะต้องดึงดูดผู้ผลิตต่างชาติให้มาลงทุนมากขึ้น
ขณะเดียวกันอินเดียกำลังดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้ผลิตเหล่านั้นผลิตสินค้าทั้งสำหรับตลาดในประเทศและตลาดโลก ในปีงบประมาณที่ผ่านมา อินเดียผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้ประมาณ 5 ล้านคัน โดยเกือบ 800,000 คันส่งออก และที่เหลือจำหน่ายในตลาดภายในประเทศยอดขายในประเทศเติบโตประมาณ 2% จากปีก่อน ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 15%
ถือเป็นการกลับของผู้เล่นที่ในอดีตเคยถูกมองว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมรถยนต์เมื่อ
20 ปีที่แล้ว

