xs
xsm
sm
md
lg

จึ้งพอมั้ย? “อนุสรี ทับสุวรรณ” แคนดิเดต “หญิง” ที่ “ลุงป้อม” จะส่งชิงผู้ว่าฯ กทม. ** ใครจะปลูกกัญชาให้รออีก 120 วัน “หมอหนู” ย้ำคำเดิม “ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**จึ้งพอมั้ย? “อนุสรี ทับสุวรรณ” แคนดิเดต “หญิง” ที่ “ลุงป้อม” จะส่งชิงผู้ว่าฯ กทม.

พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยื้อเวลาหาตัวแคนดิเดตผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.มาได้สักพักใหญ่ๆ จะด้วยเหตุผลหา “คนที่ใช่” ยังไม่ได้ หรือ “ผิดแผน” เพราะคนในพรรคยังฟัดกันเองไม่เลิก อันเป็นที่รู้กันของคอการเมืองกระทั่งมีรายงานกระเซ็นกระสายมาว่า ไฟต์บังคับ สนาม กทม.ยังไงๆ ก็คือ สนามสำคัญของพรรคใหญ่ของรัฐบาลที่ต้อง “โชว์พาว” เอาไว้ก่อน จะถูๆ ไถๆ หาใครมาลงคงถึงเวลาที่ “ลุงป้อม” ควรตัดสินใจได้สักที

เห็นว่า ในบรรดารายชื่อแคนดิเดตที่ส่งคนไปทาบทาม และมีข่าวปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ กำลังจะส่งตรงให้ลุงป้อมเคาะ “คนที่ใช่” พิจารณาในขั้นตอนสุดท้าย

ว่ากันว่า คนที่มาแรงที่จะเป็นแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐเวลานี้เป็น “สุภาพสตรี” ที่มีชื่อว่า “น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
สำหรับ “อนุสรี” ชื่อชั้น อาจจะไม่เปรี้ยงปร้าง ร้องว๊าว ในสายตาของคอการเมือง หากไปเทียบกับ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ตัวเก็งเต็ง 1 ผู้สมัครอิสระ หรือแม้แต่ “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า

แต่เธอก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับสนามการเมือง กทม.เสียทีเดียว เพราะเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. สมัย “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

“อนุสรี ทับสุวรรณ” วัย 53 ปี เป็นบุตรของ พล.ต.ท.อนุชา ทับสุวรรณ นายตำรวจคนสนิทของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ และ สิตางศุ์ บูรณสิงห์ ทับสุวรรณ

โปรไฟล์ การศึกษาจบจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปริญญาโท ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (นโยบายการพัฒนา) จากมหาวิทยาลัย United States International University - Europe ประเทศอังกฤษ

หลังจบมาเข้าทำงานเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2537 ทำงานที่กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมสารนิเทศ กรมเอเชียตะวันออก สำนักนโยบายและแผน สำนักบริหารบุคคล ที่สำคัญ เป็นกงสุล ณ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง 4 ปี ระหว่างปี 2547-2550 เคยเป็นเลขานุการ รมช. และ รมว.การต่างประเทศ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ต่อมาลาออกจากราชการมาทำงานการเมืองท้องถิ่น โดยอาจารย์สมัยรัฐศาสตร์จุฬาฯ “ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ชวนให้มาทำงานในตำแหน่ง เลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ระหว่างปี 2554-2557 ซึ่งถือเป็นงานการเมืองครั้งแรก

อนุสรี ทับสุวรรณ
จากนั้นสมัย คสช. “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ได้ชักชวนให้มาทำงานที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และต่อด้วยกระทรวงแรงงาน ในตำแหน่งข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เธอเข้าสู่การเมืองอย่างจริงจังโดยการรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เมื่อปี 2561 และต่อมารับสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 4 เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 62 และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในนามพรรครวมพลังประชาชาติไทย

ส่วนคอนเนกชันในแวดวงการเมืองก็จัดได้ว่ามีพอตัว จากการเข้าร่วมเรียนหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63

จากกระแสที่เป็นข่าว เจ้าตัวยอมรับมีผู้ใหญ่จากพรรคพลังประชารัฐทาบทามจริง แต่ก็อยู่ระหว่างตัดสินใจ เพราะตอนนี้มีหน้าที่เป็น ส.ส. จึงยังไม่ได้ให้คำตอบ แต่ยอมรับสนใจงาน กทม. เพราะเคยทำงานกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. มาก่อน แต่ต้องพิจารณาหลายอย่าง เช่น สถานการณ์บ้านเมือง และก็ยอมรับว่า สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เป็นสนามใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก แถมตอนนี้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หลายพรรคลงหาเสียงกันไปเยอะมาก นำไปไกล ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ

ฟังว่า หาก “อนุสรี” ตกปากรับคำ และ “ลุงป้อม” เคาะเซย์เยส คอการเมืองคงจะได้เห็นการเปิดตัวในช่วงปลายเดือนมกราคม หรือช่วงต้นกุมภาพันธ์นี้ ...ถึงตรงนี้ดูจากโปรไฟล์ แคนดิเดตว่าที่ผู้ท้าชิงเก้าอี้ กทม.ของลุงป้อมคนนี้จะ “”จึ้ง” พอมั้ย? ไหวหรือไม่ ? ก็โปรดติดตามกันต่อไป.



** ใครจะปลูกกัญชาให้รออีก 120 วัน “หมอหนู” ย้ำคำเดิม “ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ”

อนุทิน ชาญวีรกูล
วันวานช่วงเช้าเห็นภาพ ข่าว “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ขับเครื่องบินส่วนตัวพาทีมแพทย์ จาก รพ.จุฬาฯ บินไปเชียงราย เพื่อทำการผ่าตัดอวัยวะของผู้เสียชีวิตที่แจ้งความจำนงบริจาคอวัยวะไว้ นำกลับมาช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่น ตามภารกิจที่เรียกว่า “ปฏิบัติการหัวใจติดปีก”

ตกบ่าย “หมอหนู” พาลูกพรรคภูมิใจไทย เข้ายื่น “ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง” ต่อ “ชวน หลีกภัย” ประธานสภา เพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระในสภาผู้แทนราษฎร

หลังจาก “บอร์ด ป.ป.ส.” มีมติลบชื่อ “กัญชา” ออกจากยาเสพติดประเภท 5 แบบมีเงื่อนไข เพราะเห็นว่า หากเปิดเสรี ฟรีสไตล์ มันไม่สอดคล้องกลับอนุสัญญาระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกยูเอ็นอยู่ เพราะเขายังมีความเข้มข้นในเรื่องการห้ามใช้กัญชา แต่ยกเว้นให้ใช้ประโยชน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ และการแพทย์

“วิษณุ เคืองาม” รองนายกฯ ที่นั่งเป็นประธานบอร์ด ป.ป.ส. บอกว่า ปัญหาก็คือ ที่ สธ.เสนอมา แม้จะเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ การสาธารณสุข และในทางเศรษฐกิจ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะตรวจสอบและควบคุมยาก เช่น หากมีคนนั่งเสพกัญชา แล้วอ้างว่ามีสารเสพติดในกัญชาต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ที่มีปริมาณสาร THC น้อยกว่า 0.2% โดยน้ำหนัก ตำรวจจะใช้เครื่องอะไรไปวัด แล้วหากตำรวจจับนำไปตรวจในห้องแล็บ แล้วพบว่าต่ำกว่ากฎหมายกำหนดจริง ตำรวจก็อาจจะต้องถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 157 “ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ” จึงไม่กล้าที่จะจับกุม สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้มีการเสพทั้งหมดโดยทั่วไป ... นี่คือ ปัญหาที่ต้องมี พ.ร.บ.กัญชา กัญชง มากำหนดกรอบ กำกับควบคุม จะได้อธิบายกับยูเอ็นได้ว่า การที่เราจะใช้ประโยชน์จากกัญชา แต่เราก็มีมาตรการป้องกันการนำกัญชาไปใช้ในทางที่เป็นโทษต่อประชาชน และเยาวชนด้วย

วิษณุ เครืองาม
สำหรับร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง “หมอหนู” มั่นใจว่า จะผ่านความเห็นชอบจากสภา เพราะในการเสนอร่างกฎหมายนี้ มีทั้งส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ร่วมลงชื่อ รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ก็พูดชัดว่าให้การสนับสนุน

ส่วนหลักการ และเหตุผลของร่างกฎหมาย ระบุว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กัญชา กัญชง เป็นพืชที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ พัฒนาภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทย ให้ประชาชนมีทางเลือกในการดูแลสุขภาพของตนเอง ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ประชาชนจากการปลูก การผลิต การขายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา กัญชง รวมทั้งสารสกัด ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทั้งพืช และผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง และคุ้มครองประชาชน ซึ่งอาจจะได้รับอันตรายจากการบริโภคกัญชา กัญชง และป้องกันการใช้กัญชา กัญชงในทางที่ผิด...

“หมอหนู” ย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยแสดงให้เห็นว่า “พูดแล้วทำ” เพื่อประโยชน์ของประชาชน จึงขอเชิญชวนให้ ส.ส.ทุกพรรคการเมือง และ ส.ว.ร่วมกันศึกษาพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กัญชง กัญชาให้ออกมาบังคับใช้ให้เร็วที่สุด ส่วนประชาชนที่จะปลูกกัญชา ขอให้รออีก 120 วัน ตามที่ ป.ป.ส.กำหนดไว้ก่อน

ในอนาคต เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ สังคมไม่ได้มองว่ากัญชา กัญชง เป็นยาเสพติดอีกต่อไป ไม่กังวลในเรื่องผลเสียที่จะตกแก่เยาวชน เพราะมีกรอบกฎหมายป้องกันอยู่ กัญชา กัญชง จะต้องได้รับความสนใจ เป็นพืชเศรษฐกิจ ที่มีมูลค่าเป็นแสนล้าน เป็นทางเลือก ทางรอดให้กับประชาชน และประเทศชาติ

“หมอหนู” ทิ้งทายว่าใครจะปลูกกัญชา ขอให้อดใจรออีก 120 วันมีเฮ...เพราะพรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำ!!


กำลังโหลดความคิดเห็น