xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : "ทิดกาโตะ - พิรุธคดีแตงโม" เรื่องฉาวโฉ่สะท้อนสังคมไทย - นายกฯ ญี่ปุ่นเยือนไทย ปริศนาเงิน 5 หมื่นล้านเยน!! - รัฐบาลซุกหนี้ล้านล้าน?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 6 พ.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่

-สังคมล่มสลาย! อดีตพระกาโตะ กับสัมพันธ์สีกาบนสันเขื่อน ตามด้วยพิรุธคดีแตงโม เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย?
-เรื่อง Bitkub ที่ทำผิดกฎ ก.ล.ต.หลายข้อ  และมีข้อหาเรื่องมอมเมาประชาชน แต่กลับได้รับรางวัล Prime Minister's Digital Award 2021 สาขา Digital Startup ที่จัดทำโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
-กรณี ทรู ควบรวมกับ ดีแทค เป็นบทพิสูจน์ว่า กสทช. กำลังจะทำตัวให้เท่าทันแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่อย่างไร
-หนี้รัฐบาลที่พอกหางหมูถึง 10 ล้านล้านบาท กับนโยบายประชานิยม โครงการไฟไหม้ฟาง ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ?
-นายกฯ ญี่ปุ่นเยือนไทย มีนัยอะไรแอบแฝง? และปริศนาเงินกู้ 5 หมื่นล้านเยน กู้เพื่ออะไร?
- ปฏิกิริยาจาก ดอน ปรมัตถ์วินัย หลังจากโดนแฉเรื่องการแต่งตั้ง พรพิมล กาญจนลักษณ์  เป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านพม่า

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.136



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 136 [6 พ.ค. 65] : "ทิดกาโตะ - พิรุธคดีแตงโม" เรื่องฉาวโฉ่สะท้อนสังคมไทย

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 วันนี้ อาทิตย์นี้ มีหลายเรื่องราวที่น่าสนใจมาก แต่ก่อนอื่นผมอยากจะเชิญให้ท่านผู้ชมดาวน์โหลด Sondhi App และสมัครสมาชิก เพราะนอกจากจะไม่พลาดการรับชมรายการ "SONDHI TALK" ในทุกวันศุกร์แล้ว เรายังมีรายการพิเศษต่างๆ ในวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคมนี้ เราก็จะมีรายการ SONDHI EXPRESS ตอนพิเศษที่ท่านผู้ชมพลาดไม่ได้จริงๆ ผมจะเรียนท่านผู้ชมว่าพลาดไม่ได้จริงๆ นะครับรายการพิเศษวันจันทร์นี้

สำหรับท่านผู้ชมที่ดาวน์โหลด Sondhi App แล้ว จะทราบดีว่าแอปฯ นี้จะแจ้งเตือนรายการใหม่ทุกครั้ง และไม่มีโฆษณาแทรกเลย ไม่มีอะไรมากวนใจ ดูรายการย้อนหลังได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเดือนละ 99 บาท หรือแค่วันละ 3 บาท 30 สตางค์ ยิ่งถ้าสมัครรายปี 990 บาท ยิ่งคุ้มไปใหญ่ เพราะได้รับชมฟรีถึง 2 เดือน ท่านผู้ชมครับ Sondhi App เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการ เพราะมันคือ Netflix ทางปัญญา เป็นแอปฯ ที่ให้ปัญญาท่านผู้ชม ให้ความทันสมัย ให้ความแม่นยำ

ส่วนท่านผู้ชมที่มีปัญหาเรื่องการจ่ายเงิน หรือเข้าแอปฯ ไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ กรุณาแอดไลน์ (LINE) เข้ามาเลย ที่ @sondhitalk จะมีคนมาตอบคำถามให้ท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ ขออนุญาตนิดหนึ่ง 2-3 วันที่แล้ว ผมไปที่พารากอน ด้านล่าง ตรงทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต ก็อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบแล้วว่า ผมเคยทานคุกกี้ของเชฟเพนนี ร้านชื่อ Penny the Chef เผอิญผมไปเจอคุกกี้ซึ่งผมนึกไม่ถึง เพราะว่ามันเป็น คุกกี้ครัวซองต์ ที่สำคัญคือเขาใส่ทรัฟเฟิล เห็ดทรัฟเฟิล รสชาติสุดยอด ผมสั่งกินประมาณ 3 กระป๋องแล้ว เหลืออีกประมาณครึ่งกระป๋อง ผมต้องเอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ผมไม่ได้บอกเขาหรอกว่าจะเอามาออกรายการ แต่ผมคิดว่าของอร่อย ต้องแนะนำให้ท่านผู้ชมทราบ ผมเอาข้อมูลของเชฟเพนนี ขึ้นมาให้ดูนะครับ เป็นคุกกี้ที่ทำจากครัวซองต์ หายากมาก หาไม่ได้เลย


ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีหลายรายการ เรามีการพูดถึงเรื่อง 2 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน คือจับพิรุธ 2 มิติ 2 ประเด็นทางสังคม คือ เรื่องการเสียชีวิตของน้องแตงโม ที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าผมจะสรุปให้ฟังว่าอย่างไร และคดีอื้อฉาวของพระกาโตะ เสพเมถุน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความล่มสลายของสังคมไทย ทำไมผมถึงเอาสองเรื่องนี้มาพูด ? เพราะว่าเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องการทำงานของตำรวจ อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของวงการสงฆ์ ผมจะชี้ให้เห็นว่า นี่คือสัญญาณและตัวอย่างที่พิสูจน์ชัดเจนว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ล้มเหลวไปแล้ว

เรื่องที่สอง คือเรื่องความเน่าเฟะของสังคมอีกเหมือนกัน กรณี Bitkub ซึ่งเคยได้รับรางวัล Prime Minister's Digital Award 2021 สาขา Digital Startup ที่จัดทำโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่ผมเอามาพูดเพราะว่า Bitkub ทำผิดกฎหมาย กฎ ก.ล.ต. หลายข้อ มิหนำซ้ำยังถูกตรวจสอบอีกหลายประเด็น ยังมีข้อหาเรื่องมอมเมาประชาชน แต่ว่ากระทรวงดีอี ที่คุณชัยวุฒิ ที่ข่าวว่าสนิทสนมกับคุณท้อป จิรายุส อย่างมากๆ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเบื้องหน้าเบื้องหลังกันหรือเปล่า แต่สนิทสนมกันมากๆ มอบรางวัลนี้ให้กับ Bitkub ซึ่งผมก็มีข้อคิดว่า ถ้า Bitkub ทำผิดกติกาของ ก.ล.ต. เยอะแยะไปหมด แล้วยังได้รางวัล ทำไมคุณชัยวุฒิ ไม่พิจารณาที่จะเอาการพนันออนไลน์ขึ้นมาได้รางวัลด้วย หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มล็อตเตอรีที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องเก่า แต่ว่าเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญมาก แล้วก็ไม่เคยมีใครพูดในเรื่องนี้ พูดแบบที่ผมพูดนะ คือเรื่องกรณี ทรู (true) ควบรวมกับ ดีแทค (dtac) เป็นบทพิสูจน์ กสทช. ว่า กสทช. กำลังจะทำตัวให้เท่าทันแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะผมจะชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจโทรคมนาคมกำลังเปลี่ยนแปลงไปในมิติใหม่แล้ว กลายเป็นบริษัทธุรกิจทางเทคโนโลยี ซึ่งมีมากกว่าการกินค่าเวลาจากการโทรศัพท์

อีกเรื่องหนึ่ง คือ อาทิตย์ที่แล้ว หรือสองอาทิตย์ที่แล้ว จะมีคนพูดถึงเรื่องรัฐบาลซุกหนี้ล้านล้านบาท และหนี้สาธารณะ ซึ่งตอนนี้ผมชี้แจงให้เห็นว่า ขึ้นถึง 10 ล้านล้านบาท แล้ว เป็นภาระหนี้สินที่เด็กรุ่นหลังต้องรับผิดชอบใช้จ่ายไป แต่ผมมีข้อคิดในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยของรัฐบาลว่าปรัชญาที่ทำมานั้น มันผิดหมดทุกอย่าง เป็นการจับจ่ายใช้สอยเหมือนไฟไหม้ฟางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนชั่วคราว แล้วตอนหลังก็กลับมาเดือดร้อนใหม่ เงินจำนวนพวกนี้ควรจะนำไปใช้ในลักษณะไหนแล้วมันจะให้ผลตอบแทนได้ดี

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่อง คุณดอน ปรมัตถ์วินัย กับ คุณพรพิมล กาญจนลักษณ์ ที่ผมเคยพูดไปอาทิตย์ที่แล้ว หลังจากที่ผมพูดเปิดดีลลับ มีปฏิกิริยาอะไรบ้าง กระทรวงการต่างประเทศถึงกับออกแถลงการณ์มาตอบโต้ผม แต่ไม่ยอมเอ่ยชื่อผม

และอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของนายกฯ ญี่ปุ่นเยือนไทย กับข้อตกลงในการวางรากฐานของนาโต 2

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเข้าสู่รายการ ผมจะพูดถึงเรื่องบางเรื่องตอนที่ออกรายการว่าจะมีงานสัมมนาชิ้นหนึ่งที่ผมไม่อยากให้ท่านผู้ชมพลาด

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มีเรื่องบางเรื่องที่ผมพูดแล้วจะเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องแรกคือเรื่อง "มนต์รักสันเขื่อน" ของหลวงพี่กาโตะ หรือสมี อีกเรื่องหนึ่งคือ สรุปคดีแตงโม ที่ผมพูดเกริ่นไว้อาทิตย์ที่แล้วว่าเดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟัง


ทำไมสองเรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องเดียวกัน ? เพราะเมื่อผมพูดข้อมูลและได้พูดคุยกับคนที่ทำข่าวชิ้นนี้ และพูดคุยกับชาวบ้านทั่วๆ ไป สองเรื่องนี้มันสะท้อนให้เห็นถึงความล่มสลายของรัฐไทย หน่วยงานต่างๆ สถาบันต่างๆ ตอนนี้พินาศฉิบหายกันหมดแล้ว ไม่เหลือ กรณีของ "สมีกาโตะ" หรือ "กามบนสันเขื่อน" กับ "คุณตอง" มันสะท้อนให้เห็นถึงความล่มสลายของวงการสงฆ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเก่า ท่านผู้ชมคิดเหมือนผมไหมว่า สมัยก่อนนั้น เพียงแต่มีข่าวว่าพระสงฆ์เสพเมถุน ทุกคนจะตกใจกันหมด ทุกคนก็จะบอกว่าเป็นไปได้อย่างไร คนนุ่งผ้าเหลืองห่มเหลืองแล้วยังเสพเมถุน มีกามกิจ กิจกามกับผู้หญิง บางทีก็ในกุฏิของพระ หรือบางทีก็ไปเช่าโรงแรมข้างนอก แต่กรณีของ คุณตอง กับ อดีตหลวงพี่กาโตะ นั้น ไปเอากันบนสันเขื่อน

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องลงในรายละเอียดให้มากนัก เพราะว่ามันมีแชต ท่านผู้ชมคงเห็นแชตกันแล้ว แต่ผมอยากตั้งคำถาม และตั้งคำถามถึงคุณตอง และ หลวงพี่กาโตะ ด้วย หรือว่า ชื่อ พงศกร ปภัสสโร เป็นคนฉวาง นครศรีธรรมราช ผมอยากจะถามว่า จริงๆ แล้วตอนที่คุณมีเรื่อง คุณบวชไปแล้วประมาณ 2 ปี

2-3 ปีที่คุณบวชไป คุณไม่รู้สึกถึงรสพระธรรมเลยหรือ แล้วคุณไม่รู้สึกเลยหรือว่าหน้าที่ของสงฆ์ต้องมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง และมีหน้าที่ห้ามทำอะไรบ้าง และมีหน้าที่ไม่ควรจะทำอะไรบ้าง แสดงว่าการเข้าบวชเรียน ในช่วงที่คุณอยู่วัดเพ็ญญาติ ต.กะเปียด อ.ฉวาง 2 ปี พ่อแม่ครูอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ของคุณไม่ได้สอนอะไรคุณเลยหรือ ผมก็ถามว่า องค์อุปัชฌาย์ที่บวชหลวงพี่กาโตะ ไม่เคยสั่งสอนหลวงพี่กาโตะ บ้างเลยหรือว่าพระควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร คุณแชตไปแชตมา แล้วคุณแอบออกไปกับผู้หญิงที่ชื่อ ตอง ที่วัดเขาก็รู้กันหมด และที่สำคัญคนที่มาพูดและมาเผยแพร่คลิปก็คือพระที่ชื่อ ย้อย ซึ่งถูกให้ออกจากวัดไปแล้ว ก็ปรากฎมีข่าวว่าพระที่ชื่อ ย้อย ก็มีพฤติกรรมที่ไม่ได้ต่างกว่าอดีตพระกาโตะ เลย ท่านผู้ชม นี่มันอะไรกัน! เราจะไหว้พระกันได้หรือเปล่า น่ากลุ้มใจจริงๆ


แม้กระทั่งพระธรรมวินัยที่พระสงฆ์องค์เจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายพ่อแม่ครูอาจารย์ผม ระบุชัดเจนว่าพระไม่ควรอยู่กับสีกาสองต่อสอง แต่ไม่ได้แค่อยู่กับสีกานะ ไปขี่สีกาที่บนสันเขื่อน ท่านผู้ชม ผมรับไม่ได้จริงๆ ให้ตายสิ อาจจะเป็นเพราะว่าผมมีความผูกพันกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ เป็นพระที่น่าเคารพนับถือ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จญาณสังวร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และอีกหลายๆ องค์ หลวงปู่เฉลิม วัดป่าภูแปก หลวงปู่เจริญ ที่ราชบุรี ผมดูกิจวัตร หรือวัตรปฏิบัติของพระพวกนั้นแล้ว ช่างงดงาม จะเอ่ยวาจาใดๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีหลักธรรมสั่งสอนลูกหลาน สั่งสอนลูกศิษย์ นี่มันพังทลายไปแล้วหรือ สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ท่านทำอะไรอยู่ ผมไม่เข้าใจ

แล้วพระประเภทเดียวกับกาโตะ ผมเชื่อว่ายังมีอีกเยอะ มีเยอะจริงๆ ถ้ามีเยอะมากขนาดนั้นแล้ว เจ้าอาวาส หรือองค์อุปัชฌาย์ ท่านไม่จัดการกับพระลูกศิษย์ หรือพระที่ท่านบวชให้ หรือพระที่เป็นลูกวัดของท่านบ้างเลยหรือ

เรื่องราวต่างๆ เรื่องการเสพเมถุน เรื่องการเล่นการพนันในวัด เรื่องการกินเหล้าเมายา กินเบียร์ในวัดนั้น มันไม่ใช่ความลับหรอกท่านเจ้าอาวาส คนใกล้ชิดเจ้าอาวาสก็ต้องมารายงานให้ทราบ ทำไมท่านไม่จัดการ มันไม่ไหวจริงๆ แล้วนะท่านผู้ชม นี่คือส่วนหนึ่งของความล่มสลายของวงการพระพุทธศาสนา ล่มสลายจริงๆ

เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ผมเพิ่งทำบุญวันเกิดของภรรยาที่เสียชีวิตไป เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ผมก็นิมนต์พระวัดบวรฯ และพระวัดบวรฯ ที่นิมนต์มาส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกสรรที่ผมรู้จักดี อยู่ในพระธรรมวินัย ไม่ใช่แบบกาโตะ ไม่ใช่อยู่กับสีกาสองต่อสอง ไม่ใช่ โชคดของผม แต่ก็โชคร้ายของคนอีกเยอะเลยที่จะไปไหว้พระไหว้เจ้า เห็นคนใส่ชุดเหลืองปั๊บ ก็นึกว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขอถวายสังฆทาน แต่เบื้องหลังพระบางองค์นั้น ก็เสพเมถุน หรือทำผิดพระธรรมวินัยอย่างชนิดที่ให้อภัยไม่ได้เลย ตอนนี้มันแพร่กระจายทั่วไปหมดแล้ว ท่านผู้ชมครับ

เดี๋ยวนี้พอมีข่าวว่าพระองค์นี้เสพเมถุน พระองค์นั้นเสพเมถุน แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่บางองค์ อายุเจ็ดสิบกว่า เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ เป็นที่เคารพนับถือ ก็ยังถูกผู้หญิงกล่าวหาว่ามาเสพเมถุนกับผู้หญิง กับสีกาคนนั้น มีเยอะแยะไปหมดเลย กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย ? นี่คือส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่ผมถือว่าล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอน พระดีๆ ก็ยังมีอยู่ แต่เราไม่จำกัด หรือไม่ขัดขวาง หรือไม่ดำเนินการกับพระที่ไม่ดีเสียที


ถึงเวลาหรือยังที่มหาเถรสมาคม เจ้าคณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคณะหนกลาง เจ้าคณะภาคโน้นภาคนี้ ผมว่าลงมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ความชั่วต่างๆ การผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรงของพระลูกวัดในวัดต่างๆ นั้น ผมเชื่อว่าเจ้าอาวาสรู้เรื่อง ไม่มีอะไรพ้นหูพ้นตาของเจ้าอาวาสได้หรอก ถ้าท่านไม่ทำเรื่องนี้ แสดงว่าท่านก็สมรู้ร่วมคิดด้วย ท่านก็ไม่ควรเป็นพระ หรือว่าวันนี้เราไม่ควรจะตักบาตรกันแล้ว จากนี้ไป ? เราไม่ควรเข้าไปที่วัดไหว้พระ เราก็ไหว้พระอยู่ที่บ้าน ขอให้พระอยู่ในใจของเรา ควรจะเป็นอย่างนั้นดีไหม ? ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องให้วงการพระสงฆ์รับรู้ว่าพวกเราจะเริ่มต่อต้านและบอยคอตพระที่ไม่ดี แต่วิธีต่อต้านและบอยคอตก็คือต้องบอยคอตพระเป็นส่วนรวม จนกระทั่งพระส่วนใหญ่ในนั้นจะต้องทำความสะอาดอาชีพของตัวเอง เพราะ "พระสงฆ์คืออาชีพๆ หนึ่ง"

แล้วท่านผู้ชมสังเกตไหมว่าเวลาพระเถระชั้นผู้ใหญ่เสียชีวิตทีไร มีเงินเป็นร้อยๆ ล้าน หลายสิบล้าน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็โดนมัคทายกโกงบ้าง แม้กระทั่งวัดบวรนิเวศฯ พระคุณท่านเจ้าอาวาส สมเด็จฯ ที่ท่านเสียชีวิตไป คนใกล้ชิดขโมยเงินของวัดไปสองร้อยกว่าล้านบาท แม้กระทั่งพระกาโตะ ก็บอกว่า สมัยรักษาการเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านผู้ชมครับ พระอายุแค่ 21-22 ปี บวชแค่ 2 พรรษา มารักษาการเจ้าอาวาสได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ ท่านต้องพิจารณาตัวเองนะ เรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ


กาโตะ ให้สัมภาษณ์ กาโตะ ยอมรับว่าสมัยที่เป็นรักษาการเจ้าอาวาส ได้ใช้เงินวัด 6 แสนบาท จ่ายให้คุณตอง 3 แสน และนักข่าวอีก 3 แสน

คุณตอง อายุ 37 ผ่านโลกมามากแล้ว ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษหรือ คุณบอกว่าคุณผิด แสดงว่าคุณทำอะไรคุณไม่ได้คิดเลยหรือ แม้แต่นิดเดียว เรื่องแบบนี้ คุณตอง ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก จู่ๆ จะไปชวนพระกาโตะ ออกมาจากวัด แล้วไปเที่ยวเขื่อนกันสองต่อสอง แล้วตามแชตก็คือนั่งกดหลังกันไปกดหลังกันมา ไม่รู้ว่าไปลูบคลำกันตรงไหน ทำให้พระกาโตะ บอกว่าทนไม่ไหวแล้ว เฮ้ย! นี่มันหนังเอ็กซ์นี่หว่า มองหน้า ผมนึกว่าเป็นหนัง AV เรื่องหนึ่งซึ่งฉากอยู่ในรถยนต์ เอ้าตาย! กลายเป็นคนนุ่งเหลืองห่มเหลือง และผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 37 ปี ปรากฏว่าคุณตอง ก็โด่งดังไปแล้วตอนนี้ ดังกันทั่วประเทศไทยเลย วันนั้นคุณออกรายการทีวีพูล ปรากฏว่าคุณรับงานในรายการเลย นี่มันเป็นสังคมที่ผิดเพี้ยน ทุเรศ คนๆ หนึ่งแทนที่จะสำนึก กลับใช้ประโยชน์ตรงนี้ เอาแสงมาลงตัวเองเพื่อหารายได้เข้าหาตัวเอง นี่มันอะไรกันแน่ท่านผู้ชม ถ้าไม่ใช่รัฐล้มเหลว ถ้าไม่ใช่องค์กร ... คือรัฐล้มเหลวนี่มันล้มเหลวไปหมดทุกเรื่องนะ

กรณีพระกาโตะ กับ ตอง นั่นคือความล่มสลายของวงการพระพุทธศาสนาและวงการสงฆ์ กรณี "แตงโม" ก็เช่นกัน ก็คือความล่มสลายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านผู้ชมครับ แตะไปที่ไหน พังทลายหมดทุกจุด จากวันเกิดเหตุ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ตำรวจใช้เวลาสองเดือนเศษๆ แต่พอตำรวจมาแถลงแล้วไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อน บทสรุปคดียังมีเงื่อนงำคาใจมาก แถลงออกมา ผมยังไม่เคยเห็นโลกโซเชียลที่ถล่มเรื่องไหนยิ่งใหญ่กว่าเรื่องนี้เลย ทุกคนถามหาความน่าเชื่อถือของตำรวจ


การสรุปคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 ต้องถือว่าเป็นคุณกับผู้ต้องหา เพราะการชี้ออกมาว่า "ประมาท" ก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่พฤติการณ์คดีไม่ชี้ว่าประมาทอย่างใด เรื่องทั้งหมดนี้ มีแม้กระทั่งวันอังคารที่ 26 เมษายน วันแถลงปิดสำนวนการเสียชีวิตของแตงโม 




ทีมตำรวจทำคลิปยาว 25 นาที พร้อมตอบข้อซักถามเพื่อคลายความสงสัยเฉพาะเรื่องบาดแผลขนาดใหญ่ที่ขาแตงโม มีการเอาภาพต่างประเทศมาเทียบเคียง โดยบอกว่าเป็นแผลที่เกิดจากใบพัดเรือเหมือนกัน แทนที่จะแถลงจบ บรรดานักสืบโซเชียลค้นข้อมูลพบว่า เคสบาดแผลชาวต่างชาติมาเทียบเคียงกับแผลของแตงโม ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ภาพที่ตำรวจเอามาแถลงนั้น เป็นข่าวบนเว็บไซต์ The Sun ของอังกฤษ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอไปร่วมงานเลี้ยงในโรงแรมแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2562 ได้รับบาดเจ็บจากการถูกของมีคมกรีดผ่านชุดของเธอ จนขาเป็นแผลยาว 30 เซนติเมตร จากหลักฐานที่ให้ก็เลยทำให้ทราบว่าภาพจากบาดแผลไม่ได้ถูกใบพัดเรือ จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?


ตำรวจรีบออกมาแถลงขอโทษและแถข้างๆ คูๆ ว่า เพราะบาดแผลของแตงโมหลังเย็บเป็นรูปตัว S ตำรวจแค่ใช้ภาพเปรียบเทียบเพื่อต้องการให้สื่อเห็นว่าแผลรูปตัว S เป็นอย่างไร ไม่ได้บอกว่าแผลในภาพที่นำมาเปรียบเทียบจากใบพัด ขออภัยที่อาจจะนำเสนอข้อมูลไม่รอบคอบครบถ้วน ทางตำรวจมาขอโทษว่าขออภัยที่นำเสนอข้อมูลไม่รอบคอบครบถ้วน ก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้ว่าบทสรุปที่ตำรวจเสนอมาก็ไม่รอบคอบ ไม่ถี่ถ้วน ยอมรับไหมครับ ? ชีวิตคนทั้งชีวิต คุณมโนเอา เสร็จเรียบร้อยแล้วคุณก็บอกว่าขอโทษครับ ไม่รอบคอบ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ...

คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ก็เป็นคนหนึ่งซึ่งพยายามต่อสู้เรื่องนี้มาตลอด ผมก็พยายามฟังคุณอัจฉริยะ และพยายามดูข้อมูลที่คุณอัจฉริยะ ให้มา คุณอัจฉริยะ บอกว่า มีข้อสงสัยหลักๆ ว่ามี พลตำรวจตรีคนหนึ่ง "ต." เป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังทั้งหมด พล.ต.ท.จิรพัฒน์ แถลงเองว่าตรงกาบเรือน้ำท่วมตลอด มีไฟส่อง แล้วแตงโมจะไปปัสสาวะได้อย่างไร แล้วยังพูดต่อข้อที่สาม ว่า แผลเกิดจากแตงโมตกเรือ แล้วเรือดูดไปหาใบพัด เรือลำละหลายล้านต้องมีระบบดันน้ำออก ไม่อย่างนั้น ถ้าไม่มีระบบนี้ ขับไปก็ดูดขยะเข้ามาที่ใบพัดสิ นี่โกหกอีกแล้ว รอยบาดแผลทางด้านขาขวามันเป็นทางยาว ใบพัดเรือหมุนทางขวาง ที่สำคัญลักษณะบาดแผลเกิดจากของมีคม ไม่ใช่ใบพัดเรือ ตำรวจไม่ได้สอบทรายที่อยู่ในมือน้องแตงโม ถือเป็นหลักฐานใหม่ที่ตำรวจภูธรภาค 1 ไม่เคยให้ความสนใจ แม้กระทั่งทรายที่อยู่ในรองเท้าของคนบนเรือ และทรายที่อยู่ในร่างกายของน้องแตงโม


เรื่องแผล นิติเวชบอกว่ามี 11 แผล คุณธนกฤต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่ามี 22 แผล แล้วพอตำรวจแถลงสุดท้ายบอกมี 26 แผล มาจากไหนอีก 4 แผลล่ะ ภาพเส้นสปาเกตตีที่ตำรวจใช้แถลงไม่เรียกว่า GPS หรอก วิ่งวนขนาดนั้น ตำรวจไม่พูดถึงเรื่องเส้นผมท้ายเรือที่ตอนแรกไม่มี แต่มาได้ตอนเก็บหลักฐานครั้งที่ 4 คุณอัจฉริยะ ก็เลยฟันธงว่าเป็นฆาตกรรมอำพราง

คุณอัจฉริยะ พูดเลยว่า ต้องอย่าลืมว่าห้าคนนี้มีกระติกคนเดียวที่ไม่มีพรรคพวกระดับไฮโซไฮคลาส พูดตรงๆ ว่าคนมีพวก และพวกเขาไม่ธรรมดา ระดับผู้ใหญ่ทั้งนั้น ระดับนายพลตำรวจ คุณหญิง คุณนาย เชื่อมโยงนักการเมือง ให้ผู้นำในรัฐบาล คุณอัจฉริยะ ถามว่าระดับพวกนี้ธรรมดาที่ไหน บางครั้งไม่เกี่ยวกับเงินทอง เกี่ยวกับเรื่องของผู้ใหญ่ขอมา คุณไม่ช่วยหรือ

คุณอัจฉริยะ ยังพูดกับคนของผมว่า มีตำรวจที่ทำคดีนี้โทรมาบอกว่าให้จบได้ไหมเรื่องนี้ อย่าสาวต่อเลย แล้วจะหาเงินเดือนให้ จ่ายเงินให้ทุกเดือน คุณอัจฉริยะ บอกว่าไม่เป็นไร ผมไม่ต้องการ เป็นไงเป็นกัน ผมก็ต้องนับถือจิตใจคุณอัจฉริยะ ไว้ในที่นี้


คุณอัจฉริยะ ก็ได้ยื่นหนังสือหลายเรื่อง ยื่นไปให้ทางคุณธนกฤต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรับเป็นคดีพิเศษ และดำเนินคดีกับ นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือ แซน กับพวก ในข้อหาร่วมกันฆาตกรรมอำพรางแตงโม คุณอัจฉริยะ ยังยื่นหนังสือถึงผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ให้สืบสวนสอบสวนตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีการเสียชีวิตของแตงโม

นายตำรวจที่อัจฉริยะ ร้องทุกข์นั้นก็คือ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 ในความผิดมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คุณอัจฉริยะ มองว่าทั้งสองคนที่ร่วมกันแถลงข่าวสรุปสำนวนคดีแตงโม เมื่อวันที่ 26 เมษายน เป็นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ เช่น ความเร็ว GPS ภาพของผู้ต้องหาบนเรือ ภาพบาดแผลตัว S ของผู้หญิงต่างชาติที่นำมาประกอบคลิปวิดีโอแถลงข่าว

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้คุณอัจฉริยะ บอกว่าเป็นการสร้างหลักฐานเท็จที่ทำกันเป็นขบวนการ มีพลตำรวจตรีคนหนึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 อาจจะถูกหลอกต้มไม่ทราบถึงขบวนการดังกล่าว คุณอัจฉริยะ พูดว่า วันจันทร์ที่ 9 นี้ จะจัดชุดใหญ่ น่าจะเป็นชุดใหญ่ไฟไหม้บ้านแล้วงานนี้ เปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จคดีแตงโม มีตำรวจผู้เกี่ยวข้อง 20 คน มีทั้งตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่นิติเวช ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ร่วมขบวนการ โดยเสนอหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ มีทั้งภาพ ทั้งเสียง บทสนทนาทางไลน์ รวมทั้งคำสารภาพของพันตำรวจเอกนายหนึ่ง ซึ่งสารภาพแล้วว่าประเด็นการปัสสาวะท้ายเรือของแตงโมนั้น เป็นเรื่องไม่จริง

ที่น่าสนใจ คุณอัจฉริยะ แย้มมาว่า กุนซือสำคัญคดีนี้เป็นคนเดียวกับที่ช่วยเหลือคดีบอส วรยุทธ อยู่วิทยา ที่ขับชนตำรวจแล้วหลบหนีไปต่างประเทศ

ท่านผู้ชมครับ สรุปแล้วความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่พยานหลักฐาน ตำรวจคล้อยตามคำให้การของแซน ตำรวจไม่ได้หาพยานหลักฐานอื่นมาคัดค้าน เพียงแต่ตำรวจอ้างพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ว่า แตงโม มาท้ายเรือจริง แต่ไม่รู้ว่ามาทำไม ก็เลยอนุมานว่าตกจากท้ายเรือ คดีน่าจะจบที่รอลงอาญา เพราะศาลต้องตัดสินจากพยานหลักฐาน

ท่านผู้ชมครับ คดีแตงโม ถ้าจบลงด้วยความคลุมเครือแบบนี้ ประกอบกับความผิดพลาดในการใช้ภาพจากกูเกิลเทียบบาดแผลแบบมั่วๆ จนโดนโซเชียลจับโป๊ะได้ จะทำให้วงการตำรวจมีบาดแผลลึกมาก ตำรวจจะเป็นจำเลยของสังคม ไม่เคยมียุคไหนที่ความเชื่้อมั่นของตำรวจตกต่ำเท่ายุคนี้ ไม่มี ยุคนี้ตกต่ำที่สุด ท่านผู้ชมครับ นี่คือยุคของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข


13 มีนาคม 2565 คุณสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่จะเกษียณอายุในอีก 4 เดือนข้างหน้านี้ ออกมาประกาศเลยว่า สั่งให้ตรวจสอบทุกประเด็น ยังรอผลจากกองพิสูจน์หลักฐาน ทั้งเรื่องวัตถุพยาน การผ่าพิสูจน์ศพ ผลตรวจบาดแผลที่เกิดขึ้น มาจากไหน เกิดขึ้นเมื่อไร จะนำมาประกอบข้อมูลอื่นๆ ทั้งคำให้การ โทรศัพท์มือถือ GSP เรือ ข้อมูลพยานแวดล้อม ทุกอย่างจะมีความชัดเจนขึ้นพอที่จะสรุปและชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นให้สังคมรับทราบได้ ยืนยันว่า ตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ทุกอย่างมีพยานหลักฐานรับรอง

ท่านผู้ชมครับ ปัญหาคือ พยานหลักฐานและสิ่งที่ตำรวจชี้แจงออกมามีข้อพิรุธให้จับผิดอีกมากมายจนไม่สามารถทำให้สังคมสิ้นข้อสงสัยได้

ท่านผู้ชมครับ สังคมไหนถ้าประชาชนขาดความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐแล้ว สังคมนั้นย่อมเป็นสังคมที่ล้มเหลวและสับสนวุ่นวายอย่างแน่นอน ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมพูดว่าอย่างไร ? สังคมของวงการสงฆ์ แล้วมาสังคมของตำรวจ ล้มเหลวหมด นี่เป็นส่วนหนึ่ง แล้วสรุปได้ไหมว่า รัฐไทยตอนนี้เป็นรัฐที่ล้มเหลว

ระหว่างแตงโม กับวงการสงฆ์ อดีตพระกาโตะ กับคุณตอง กับเรื่องของน้องแตงโมของตำรวจ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน คือความสิ้นศรัทธาต่อหน่วยงานที่จะต้องให้คำตอบ เจ้าอาวาสต้องให้คำตอบ ก็ไม่ให้คำตอบ สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ต้องให้คำตอบ ก็ไม่ให้คำตอบ มหาเถรสมาคมต้องให้คำตอบ ก็ไม่ให้คำตอบ ตำรวจ ขนาดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ออกมายืนยันโน่นนี่นั่น เอาจริงเอาจังเลย แต่พอวันแถลงปิดคดี เงียบหาย ดำน้ำหายไปเลย ไม่กล้าโผล่หน้ามา แล้วตำรวจที่แถลงปิดคดี พอแถลงเสร็จ หยิบเอกสารเดินหนีออกจากห้องไปเลย ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่เป็นนักสืบโซเชียล ท่านทำหน้าที่ต่อไป ถ้าไม่มีโซเชียลในวันนี้ เราจะไม่มีวันรู้ถึงความชั่วร้ายของวงการตำรวจ และวงการสงฆ์ และอีกหลายๆ วงการ ข้อดีของโซเชียล ถึงแม้ว่าข้อเสียก็มี แต่ข้อดีก็มีมากกว่า เพราะเป็นการกระตุ้นต่อมการทำงาน และกระตุ้นความละอาย และจำเป็นที่จะต้องตอบสนองต่อปฏิกิริยาของสังคม พวกโซเชียลทั้งหลายเป็นพวกที่ควรได้รับคำคารวะจากผม เพราะว่ามีพวกคุณอยู่ ก็เลยทำให้ตำรวจหลายๆ คนบ้าใบ้ พูดไม่ออก อึ้ง เพราะมีพวกคุณ ก็เลยทำให้เรื่องราวของอดีตพระกาโตะ กับคุณตอง โผล่ขึ้นมาให้เห็นถึงความเน่าเฟะของวงการสงฆ์ ความเน่าเฟะของวงการตำรวจ และความเน่าเฟะของวงการสงฆ์ ท่านผู้ชม นี่คือ "คนละเรื่องเดียวกัน"

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันศุกร์ผมได้พูดถึงเรื่อง Bitkub และผมตั้งคำถามว่า บริษัทที่หลายคนชื่นชม เชิดชู หลงภาพลักษณ์ไปนั้น จริงๆ แล้วเป็นเครื่องมือในการซื้อ-ขายเหรียญดิจิทัล หรือว่าเป็นบ่อนการพนันกันแน่ ซึ่งเมื่อออกไปแล้ว มีคนให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะคลิปสั้นในเฟซบุ๊ก 3 วัน มีคนเข้ามาดูล้านกว่าคน มีผู้แสดงความเห็น 1 พัน 3 ร้อยกว่าความเห็น มีคนแชร์ไปแล้ว 3 พัน 3 ร้อยกว่าราย ยูทูบ ในเวลา 3 วัน มีคนชมไปแล้วมากกว่า 1 แสน 5 หมื่นครั้ง มีคนแสดงความเห็น 1 พันกว่าความเห็น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องเพิ่มเติมว่าด้วยเรื่องของ Bitkub คือเมื่อต้นเดือนที่แล้ว วันที่ 4 เมษายน บริษัทแห่งนี้เพิ่งได้รางวัล Prime Minister's Digital Award 2021 ในสาขา Digital Startup of the Year จัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส คุณท้อป จิรายุส ทรัพย์ศิริโสภา ผู้ก่อตั้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้โพสต์เฟซบุ๊กยินดีปรีดากับรางวัลที่ได้ ขอบคุณสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ยกใหญ่ ที่เล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และสินทรัพย์ดิจิทัล ได้ให้เกียรติมอบรางวัลนี้ให้กับคุณท้อป


ท่านผู้ชมครับ แน่นอนว่าสำหรับคุณท้อป และ Bitkub เป็นเรื่องที่น่ายินดี หมายถึงเครดิตหรือความเชื่อถือที่จะเอาไปต่อยอดคำโฆษณามาร์เก็ตติงได้อีก แต่สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจ Bitkub น่าจะไม่พอใจเสียมากกว่าที่หน่วยงานรัฐด้วยกันไปคนละทาง มาย้อนแย้งกันอย่างแทบเหลือเชื่อ รู้กันอยู่ว่า ก.ล.ต. เวลานี้พยายามกำกับดูแลธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคริปโทฯ ที่ Bitkub ทำอยู่ เพราะ ก.ล.ต. มองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลหากเอาไปพัฒนาก็มีส่วนดี แต่การซื้อ-ขาย หรือธุรกิจตลาดเทรดคริปโทฯ มีความเสี่ยงสูง ผันผวน แถมยังมีโอกาสที่จะให้พวกอาชญากรทางไอทีแฝงเข้ามาเปิดนอมินี หรือ บัญชีม้า เป็นช่องทางทำธุรกิจในการฟอกเงิน หลบเลี่ยงภาษี หรือธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ต้องกำกับดีๆ

ท่านผู้ชมครับ จะเห็นว่า ก.ล.ต. หรือ แบงก์ชาติ เข้มงวดมากในเรื่องตลาดซื้อ-ขายคริปโทฯ ก.ล.ต. เคยลงโทษตลาด Bitkub หลายต่อหลายครั้ง อย่างน้อย 2-3 ปีนี้ ก็ 9-10 ครั้งเข้าไปแล้ว เพื่อให้ทำตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไข เพื่อคุ้มครองนักลงทุน นี่ยังไม่นับเหรียญ KUB ของ Bitkub ที่ออกเอง เอามาซื้อ-ขายในตลาดตัวเอง มีภาพของการปั่นสร้างราคาเหรียญ ลากจาก 30 บาท ขึ้นไปถึง 500 กว่าบาท แล้วปล่อยให้เจ้ามือทุบโกยเงินเข้ากระเป๋า แมลงเม่าตายเกลื่อนกลาด ก.ล.ต. กำลังสอบสวนอยู่


Bitkub ที่ผ่านมาก็โหมประโคมโฆษณาทำการตลาดอย่างโจ๋งครึ่ง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ บิลบอร์ด หน้าคุณท้อป จิรายุส กับข้อความประโคมด้านดี ชวนคนมาเป็นสมาชิกกับ Bitkub เพียง 10 บาท ก็ลงทุนได้ เต็มบ้านเต็มเมือง เรียกว่าไปไหนก็เจอ ตอนนี้แคมเปญหาลูกค้ามาเล่น ยังแพร่ระบาดเข้าไปในสถานศึกษา กวาดตั้งแต่เด็กมัธยมฯ ไปจนถึงเด็กมหาวิทยาลัย จัดหลักสูตรสร้างคอมมูนิตี สร้างอีเวนต์ ทำทุกรูปแบบที่จะปลูกฝังชุดความคิด "คริปโทฯ เป็นอนาคตที่มั่งคั่ง" เรียกว่าปั่นหัวเด็กมอมเมาเยาวชนกันอย่างเต็มที่


มิหนำซ้ำ คุณท้อป (เจ้าของ) ยังโฆษณาตัวเองแทรกซึมเข้าไปสนับสนุนอีเวนต์ที่สังคมให้ความสนใจทุกอย่าง โฆษณาชวนเชื่อ ชักชวนประชาชนมาใช้บริการ เช่น สมาคมฟุตบอล ร่วมสนับสนุนจัดศึกแดงเดือด แมนฯ ยู-ลิเวอร์พูล ในไทย


ล่าสุดยังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ต้องการจะซื้อสโมสรฟุตบอลในไทย มีใครจะขายไหม ทำเอาแฟนๆ ลูกหนังพูดกันอย่างอื้ออึง เป็นการไทอิน (tie-in) ให้ Bitkub แบบเนียนๆ


เรียกว่า ท้อป จิรายุส ตอนนี้ย่ามใจ ได้ใจเรื่องโฆษณา ชวนคนมาเป็นสาวก Bitkub ชิลๆ ลันล้าจริงๆ ยิ่งโฆษณา ยิ่งชวนคนมา โดยเฉพาะเด็กๆ เยาวชนมามากเท่าไร ยิ่งทำให้ Bitkub อู้ฟู่ แต่คนเล่นหรือลูกค้ามั่งคั่งหรือไม่ เห็นมีแต่บ่นว่าติดอยู่บนดอย ลงจากดอยไม่ได้กันเป็นจำนวนมาก

ท่านผู้ชมครับ ผลประกอบการที่ Bitkub เก็บค่าต๋ง ปีที่แล้ว ปีที่แล้ว Bitkub มีรายได้ 5 พันกว่าล้านบาท กำไร 2 พันล้านบาท นี่คือผลของการเก็บค่าต๋งที่แพงระยับ 0.25 เปอร์เซ็นต์ บวกไปกับค่าธรรมเนียมการโอนที่เก็บจากลูกค้าชนิดที่แบงก์คิดแค่ 3 บาท แต่ Bitkub งับลูกค้าถึง 20 บาท


ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบรายได้ของปี 2563 กับ 2564 พบว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างมาก ปี 2563 มีรายได้รวม 330 ล้าน เทียบกับปี 2564 โตขึ้นประมาณ 16.7 เท่า กำไรเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ปี 2563 มีกำไร 79 ล้านบาท ปี 2564 กำไรเพิ่มขึ้น 32.2 เท่า แต่เหตุการณ์จริงมันกลับกลายเป็นเหมือนหนังคนละม้วน เพราะราคา KUB Coin ซึ่งเป็นเหรียญคู่บุญกระดานเทรด Bitkub ปรับตัวร่วงลงเหวอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาแรมเดือนแล้ว ยังไม่สามารถหาจุดสิ้นสุดของราคาได้ โดยการร่วงลงจากช่วงราคา 280 บาท มาต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ที่ 161 บาท

ท่านผู้ชมครับ ก่อนหน้านี้ KUB Coin ถูกปั่นขึ้นสูงถึง 500 กว่าบาท ทั้งๆ ที่พื้นฐานแค่ 20-25 บาท เท่านั้น


ผลคือ นักลงทุนจำนวนมาก รวมถึงบรรดาเด็กวัยรุ่นที่ขอเงินพ่อแม่มาลงทุน ประสบปัญหาขาดทุนจากการเข้าซื้อเหรียญในช่วงราคาที่สูง เพราะฝันว่าหากเหรียญเข้าไปลิสต์ในกระดานต่างประเทศแล้ว ราคา KUB Coin อาจจะทะลุถึง 1 พันบาท จึงแห่เข้าไปเก็งกำไรจำนวนมาก ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง ไม่สามารถ Cut Loss ขายออกได้ทัน ขาดทุนกันถ้วนหน้า

ส่วนที่มี IO หรือคนที่เชียร์ Bitkub พยายามอ้างว่า สาเหตุที่ KUB Coin ลง เพราะกระแสราคาเหรียญดิจิทัลตกลงทั่วโลก คนที่แสดงความเห็นโง่ๆ ออกมานี่ ผมจะพูดความจริงให้ฟังว่า เหรียญ KUB Coin ของคุณนั้น ยังซื้-ขายกันอยู่เฉพาะในตลาดประเทศไทยเท่านั้น เกือบทั้งหมดเป็นคนไทยที่ซื้อถืออยู่ ที่ผ่านมาเหรียญนี้ถูกปั่นขึ้นไปสูง 10-20 เท่า ปัจจัยในประเทศทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับต่างประเทศเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ผมยังยืนยันว่า Bitkub คือบ่อนการพนัน

ท่านผู้ชมครับ ถามว่า ก.ล.ต. ทำอย่างไร ? หลังจากศึกษาข้อมูลการกำกับดูแลในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ สเปน อังกฤษ ญี่ปุ่น ที่ออกหลักเกณฑ์ควบคุมโฆษณาคริปโทฯ เพื่อคุ้มครองประชาชน ฟังว่า ก.ล.ต. จึงเสนอหลักเกณฑ์การปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาผู้ประกอบธุรกิจให้เข้มงวด เช่น ห้ามโฆษณาคริปโทเคอร์เรนซีในพื้นที่สาธารณะ ก.ล.ต. ยังจัดคำเตือนบอกชาวบ้านด้วยว่า "การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจจะสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้" นี่ก็ได้ข่าวว่าใกล้จะออกมาตรการมาบังคับใช้แล้ว นี่แค่ตัวอย่างในด้านที่หน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลเป็นห่วง แต่ "ดีอีเอส" ภายใต้การบริหารของคุณชัยวุฒิ กลับไม่รู้ไม่ชี้ จะบอกว่าหลับหูหลับตาแจกรางวัลก็ว่าได้ ย้อนแย้งกับ ก.ล.ต. อย่างสิ้นเชิง

ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ผมอยากจะถามถึงคุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่ากันว่า เบื้องหลังแล้วท่านสนิทสนมกับคุณท้อป จิรายุส มาก หรือท่านก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังการแบ็กอัป Bitkub ท่านเห็นดีเห็นงามกับธุรกิจเก็บค่าต๋งตลาดซื้อ-ขายคริปโทฯ ที่เก็งกำไรสูง เสี่ยงสูง ไม่ต่างกว่าบ่อนการพนันออนไลน์ เจ้ามือรวย คนเล่นเด็กๆ เยาวชน เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เสี่ยงหมดเนื้อหมดตัว ที่สำคัญ นี่เป็นรางวัลของนายกรัฐมนตรี ก็ต้องถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่ารางวัลที่มอบให้กับบ่อนพนันปั่นเหรียญมอมเมาเยาวชนแบบนี้ก็ได้หรือ ไม่ถาม ก.ล.ต. กับแบงก์ชาติ สักหน่อยว่าเขาคิดอย่างไรกับธุรกิจประเภทนี้

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ใช้มาตรฐานเดียวกัน ผมเสมออย่างนี้ได้ไหมคุณชัยวุฒิ แพลตฟอร์มพนันออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มซื้อ-ขายหวย ที่นายกฯ ส่งแรมโบ้ไปปราบปราม ก็สมควรจะมีสิทธิ์ได้รับรางวัล Prime Minister's Digital Award ด้วยใช่หรือไม่ ? ก็ถ้าคุณให้บ่อนการพนันอย่างเช่น Bitkub ได้รับรางวัล เว็บไซต์การพนันออนไลน์ก็สมควรจะได้รับเหมือนกัน หรือแพลตฟอร์มที่ขายล็อตเตอรีที่กำลังถูกรัฐบาลทลายอยู่ ก็ควรได้รับรางวัลเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ เมื่อเร็วๆ นี้ท่านผู้ชมคงได้ยินข่าวชิ้นหนึ่ง แล้วก็มีหนังสือพิมพ์รายงานไปเยอะพอสมควร หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เคยทำเป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าวเจาะ คือการรวมตัวของบริษัทโทรคมนาคม 2 แห่ง คือ ทรู (true) กับ ดีแทค (dtac) ซึ่งการรวมตัวสองเจ้านี้ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยพอสมควร ตอนนี้เรื่องราวก็ตกมาที่คณะกรรมการ กสทช. ชุดใหม่แล้ว ที่จะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร


ก่อนที่ผมจะลงในรายละเอียดเรื่องพวกนี้ ผมจะต้องชี้แจงให้ท่านผู้ชม และท่านกรรมการ กสทช. ให้รู้สักนิดหนึ่งว่า ในขณะนี้ภูมิศาสตร์ของโทรคมนาคมมันกำลังก้าวเข้าสู่บริบทใหม่แล้ว ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างรวดเร็วของโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาสหกรรมนี้ต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การรวมตัวของ true และ dtac นั้น มันมีความสำคัญและนัยตรงไหน ? เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะจะชี้ชะตาต่อธุรกิจโทรคมนาคมของไทยก็ว่าได้ มันไม่ใช่งานง่ายของ กสทช. มีทั้งคนที่ยื่นหนังสือคัดค้านการควบรวมกิจการ มีข้อถกเถียงกันในแง่ของกฎหมาย การตีความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ผู้คัดค้านตีความในเรื่องของการแข่งขัน หรือเป็นการผูกขาดกันแน่ เพราะฉะนั้นโจทย์ของ กสทช. จะต้องตีให้แตก นอกจากเรื่องข้อกฎหมายแล้ว จะต้องเข้าใจป่าทั้งป่า ต้องเข้าใจธุรกิจโทรคมนาคมอย่างถ่องแท้ และต้องเข้าใจว่าภูมิศาสตร์ของธุรกิจโทรคมนาคมนั้นกำลังเปลี่ยนไปอยู่แล้ว เปลี่ยนไปจริงๆ ในขณะนี้ คณะกรรมการ กสทช. ต้องมองข้ามไปจนถึงยุค 6G หรือเทคโนโลยีติดต่อสื่อสารไร้สายยุคที่ 6 ที่สำคัญต้องมีวิสัยทัศน์ต่อธุรกิจโทรคมนาคมของไทยไม่ใช่เพียงแค่ ณ ปัจจุบัน แต่ต้องเชื่อมต่อถึงยุทธศาสตร์แห่งชาติอย่างไร


เอาล่ะ เรามาพูดถึงเรื่องการแข่งขัน หรือ การผูกขาด ทำไมต้องควบรวม ? เรามาหาคำตอบกันว่าทำไม dtac กับ true ต้องควบรวม

ข้อแรก การควบรวมนั้น ทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง พร้อมสำหรับการแข่งขัน เมื่อ true และ dtac จับมือกัน เงินลงทุนก็ย่อมมากขึ้น แต่เม็ดเงินเหล่านี้ที่จะลงทุน ไม่รวมค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่อีกหลายหมื่นล้าน true มีแผนลงทุนโครงข่าย 5G เพิ่มเติม 2563-2565 กว่า 4-6 หมื่นล้านบาท dtac 2563 ลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้าน

ท่านผู้ชม ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง ทั้ง true และ dtac มีต้นทุนสูงจากการที่เพิ่งประมูลคลื่นกันมา เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก จาก 3G มาเป็น 4G มาเป็น 5G ลงทุนไปแล้วยังไม่มีผลตอบแทนจนคุ้มทุน และ 6G กำลังมาถึง

ผู้นำทาง 6G ในขณะนี้ ในโลกนี้ คือประเทศจีน แม้กระทั่งอเมริกายังต้องลดตัวลงมาแล้วมาขอความร่วมมือกับจีนในเรื่อง 6G เพราะว่าสู้จีนไม่ได้

ท่านผู้ชมครับ การควบรวมระหว่าง dtac กับ true จะทำให้มีการลงทุนที่ต่อเนื่อง ไม่สะดุด เมื่อควบรวมแล้วสิ่งที่ผู้บริโภคจะได้ คือ จะได้บริการที่ดีขึ้น ต่อเนื่อง ปรับองค์กรสู่การเป็นเทคโนโลยี ถ้าจะถามว่าประชาชนคนใช้บริการได้ประโยชน์อย่างไร ? ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าการไม่ควบรวม ผมจะเอากราฟให้ดูว่าควบรวมได้ประโยชน์อะไร


ยกตัวอย่างง่ายๆ สัญญาณเร็ว แรง ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานมากขึ้น คลื่นครบ สะดวกมากขึ้น การบริการหลังการขาย มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ดี มีข้อเสนอในการตลาด ลูกค้าจะได้ประโยชน์มากขึ้น ไร้กังวลเรื่องค่าบริการที่สูงขึ้น เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ กสทช. อยู่แล้ว ไม่ต้องไปกังวล กสทช. ท่านก็ไม่ต้องกังวล เพราะ กสทช. เป็นคนควบคุมในเรื่องของค่าบริการ ได้ประโยชน์จากความคุ้มค่าของบริการใหม่ๆ เช่น ดาวเทียม Metaverse EV Smart City การปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการลงทุนใหม่ ทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน คุณภาพเครือข่ายดีขึ้น รองรับการเติบโตของผู้ใช้ข้อมูลที่มากขึ้น


การควบรวมของ true กับ dtac ถือเป็นภาพสะท้อนในความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าไปสู่บริษัทเทคโนโลยี จริงๆ ตอนนี้เราอย่าไปมองว่าเป็นบริษัทโทรคมนาคม เพราะบริบทใหม่นี้จะทำให้บริษัทโทรคมนาคมนั้นผันตัวกลายเป็นบริษัทธุรกิจเทคโนโลยี บนความท้าทายที่จะพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ขีดความสามารถในการเติบโต ที่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลได้เป็นอย่างดี

ท่านผู้ชมครับ ความเคลื่อนไหวเรื่องนี้เป็นไปในแนวทางเช่นเดียวกับ เอไอเอส (AIS) ก่อนหน้านี้ สิงหาคม 2564 AIS ได้ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นครั้งสำคัญ โดยบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีฯ เข้ามาซื้อหุ้นอินทัช (INTUCH) ในสัดส่วน 42.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกัลฟ์ฯ ก็ประกาศชัดเจนถึงเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่ธุรกิจดิจิทัลทรานฟอร์ม (Digital Transform) หรือว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยี นั่นก็คือว่า กัลฟ์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ AISตอนนี้ กำลังพิจารณาที่จะปรับเปลี่ยน AIS ให้เปลี่ยนแปลงจากบริษัทโทรคมนาคม เป็นธุรกิจดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม หรือเป็นบริษัทเทคโนโลยี

ทีนี้เรามาดูสมการ "การควบรวม" กับ "การแข่งขัน" ว่ามันเป็นอย่างไร จะมีคนถามว่าถ้าควบรวมแล้ว จะทำให้เกิดการแข่งขันหรือผูกขาดกันแน่ ? ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ เราต้องย้อนหลังกลับไปก่อน ต้องบอกว่าไม่ใช่การควบรวม true และ dtac จะเกิดขึ้นเป็นรายแรกภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ที่ผ่านมา เพราะว่าภายใต้ประกาศการแก้ไขการควบรวมกิจการปี 2561 ของ กสทช. นั้น มีการควบรวมมาหลายรายแล้ว อย่างเช่น เอแอลที เทเลคอม (ALT Telecom) กับ อินเตอร์เนชันแนล เกตเวย์ (INTERNATIONAL GATEWAY) ปี 2562 , เอแอลที เทเลคอม กับ สมาร์ท อินฟราเนท (Smart Infranet) ปี 2563 , ทริปเปิลที อินเทอร์เน็ต (TRIPLE T INTERNET) กับ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TRIPLE T BROAD BAND) ปี 2564 ทั้งนี้ การควบรวมแล้วดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ การควบรวมระหว่างองค์การโทรศัพท์ หรือ TOT กับ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (CAT) มกราคม 2564 หลังจากการควบรวมก็เลยกลายเป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า National Telecom (NT)


มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อ องค์การโทรศัพท์ และ การสื่อสารฯ ควบรวมกัน ? หนึ่ง ลดการลงทุนซับซ้อนซึ่งกันและกัน สอง เสริมศักยภาพทรัพยากรด้านสื่อสารโทรคมนาคม สามารถจับมือร่วมกันแข่งขันสู้กับภาคเอกชนที่ยึดครองเป็นผู้นำเกือบทุกบริการของตลาด ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้บริษัทใหม่ คือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด ท่านผู้ชมรู้ไหม มีสินทรัพย์มากถึง 3 แสนล้านบาท มีเสาโทรคมนาคม 2 หมื่น 5 พันต้น ทั่วประเทศ เคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศเชื่อมต่อไปยังทุกทวีป ครองคลื่นความถี่หลักเพื่อให้บริการรวม 6 ย่าน มีปริมาณ 600 เมกะเฮิร์ตซ ท่อร้อยสายใต้ดินมีระยะทาง 4 พัน 6 ร้อยกิโลเมตร สายเคเบิลใยแก้วนำแสง 4 ล้านคอร์กิโลเมตร Data Center 13 แห่งทั่วประเทศ ระบบโทรศัพท์ระหว่างประเทศซึ่งเข้าถึงทุกประเทศในโลกนี้ และนี่คือการควบรวมเพื่อปรับตัว เพื่อแข่งขัน ถึงเกิดการควบรวม TOT กับ CAT เกิดขึ้น ไปได้ด้วยดี


ท่านผู้ชมครับ การควบรวมเกิดขึ้นเพราะว่ามีการเล็งเห็นถึงความอยู่รอดของทั้งสองบริษัท เพราะถ้าไม่ควบรวมกัน ชะตากรรมที่ต้องประสบคือ ภาวะการขาดทุนอย่างรุนแรง อาจจะถึงขั้นปิดบริษัทก็ได้ เพราะรายได้วิ่งไม่ทันค่าใช้จ่าย ที่ยังพออยู่รอด เพราะการได้พาร์ตเนอร์เป็นค่ายมือถือหยิบยืมคลื่นความถี่ไปใช้ แล้วแบ่งปันรายได้มาให้ ซึ่งอีก 3 ปีข้างหน้า (2568) สัญญาและสิทธิในการใช้คลื่นความถี่ต่างๆ กับพาร์ตเนอร์ค่ายมือถือเอกชนก็จะสิ้นสุดลงแล้ว และในที่สุดแล้ว ทั้ง CAT และ TOT ก็หมดสภาพของการเป็นเสือนอนกิน วาระสุดท้ายของสองบริษัทจะไปไม่รอด ทั้งๆ ที่มีสินทรัพย์ทางโทรคมนาคมตั้ง 3 แสนล้านบาท เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดการควบรวมขึ้น เพื่อลดการซ้ำซ้อนในการลงทุนภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ เป็นหน่วยงานสนับสนุนนโยบายของรัฐในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งบริการเพื่อสังคมอย่างเท่าเทียมกันและทั่วถึง

National Telecom หรือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ยังมีฐานะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงดีอีเอส และกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด

ท่านผู้ชมครับ ผลประกอบการน่าจะเป็นผลพิสูจน์ว่าทิศทางที่เดินมา ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า พอ TOT กับ CAT รวมเป็น NT เพียง 1 ปี NT มีรายได้อยู่ที่ 1 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 3,142 ล้านบาท หรือประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์


เมื่อเรามองดู NT แล้วย้อนกลับมาดูกรณีการควบรวม true กับ dtac จุดที่เหมือนกันระหว่างกรณี TOT ควบรวม CAT คือ สถานะก่อนจะควบรวม ต่างมีภาระการทำธุรกิจที่ยากลำบาก ต้นทุนสูง แม้กระทั่งรายได้ก็ขาดทุน เปรียบเทียบกับผู้นำการตลาดที่แข็งแกร่งทุกด้าน ศักยภาพการแข่งขันเป็นที่เข้าใจได้ว่า ถ้าไม่ควบรวมกัน ทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งอ่อนแอลง ก็คือ true และ dtac ถ้ายิ่งมองไปในอนาคต ยุค 6G ธุรกิจโทรคมนาคมของไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีผู้ประกอบการไทยที่แข็งแกร่งมากกว่า 1 ราย อย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งต้องหมายถึงว่า NT และอาจจะรวมไปจนถึง true และ dtac หลังควบรวม


ถ้าไม่ควบรวม dtac และ true dtac กับ true ก็จะอ่อนแอไปเรื่อยๆ AIS ก็จะแข็งแรงขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึงจุดๆ หนึ่งแล้วก็จะกลายเป็น AIS เป็นเจ้าตลาดและผูกขาดอยู่เพียงเจ้าเดียว แน่นอน แม้ true จะควบรวมกับ dtac ได้สำเร็จ แต่ในแง่ศักยภาพต้องยอมรับความจริงว่า ช่องว่างระหว่างผู้นำตลาดก็ยังคงเป็น AIS อยู่ เพราะการจะไล่ตามให้ทันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเราดูตลาดของ AIS วันนี้ ก่อนควบรวมกิจการ AIS ถือตลาดอยู่ประมาณ 41 เปอร์เซ็นต์ true 26.9 เปอร์เซ็นต์ dtac 18.4 เปอร์เซ็นต์ NT 13.3 เปอร์เซ็นต์ ถ้าควบรวมแล้ว AIS ถืออยู่ 41.4 เปอร์เซ็นต์ แต่ dtac กับ true จะถือรวม 45.8 เปอร์เซ็นต์ มากกว่า AIS ส่วน NT ยังเหมือนเดิม คือ 13.3 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าอะไร ? อย่าไปตกใจกับการที่เมื่อควบรวมแล้ว dtac กับ true จะใหญ่กว่า AIS ใหญ่กว่าก็ไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ


ตลาดของ AIS วันนี้ ความแข็งแกร่งในด้านการปฏิบัติการ เป็นซิลเกิลคอมมานด์ (Single Command) AIS มีต้นทุนการทำธุรกิจที่ต่ำกว่า มีสภาพคล่องที่ดีกว่า ควบรวมแล้ว true กับ dtac ต้องใช้เวลาหล่อหลอมปฏิบัติการ กว่าจะเดินหน้าได้เต็มสูบต้องใช้เวลา 1-2 ปี ซึ่งวันนั้น AIS ก็จะก้าวหน้าไปอีกเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น เป็นความได้เปรียบด้านความพร้อมในเรื่องต้นทุนการดำเนินการของผู้นำตลาดที่พร้อมจะโกอินเตอร์ (หมายถึง AIS) ขณะที่ true และ dtac จำเป็นต้องแบกภาระในการปรับตัวสองวัฒนธรรมองค์กรเข้ามาร่วมกัน จะต้องขจัดส่วนเกินออกไป จะต้องมาบูรณาการแต่ละหน่วยงานในต้นทุนที่ต่ำที่สุด ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี แต่การแข่งขันเช่นนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาซึ่งกันและกัน ทั้งผู้นำ และผู้ตาม ในการก้าวไปสู่การเพิ่มโอกาส เพิ่มศักยภาพเพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ กับใครบ้าง ? อย่างเช่น สิงเทล (Singtel) หรือ Singapore Telecommunications หรือแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่าง เทเลนอร์ (Telenor) ของนอร์เวย์ ที่ทำอยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว การควบรวมที่แท้จริงวันนี้ ระหว่าง dtac กับ true แล้วมี AIS และมี NT นี่คือการแข่งขันจริงๆ แต่การแข่งขันงวดนี้จะเป็นการแข่งขันที่รุนแรงมาก เพราะส่วนแบ่งทางการตลาดมันใกล้กันแล้ว 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ใกล้ๆ กันเลย true กับ dtac ชนะ AIS เพียง 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ true กับ dtac ต้องใช้เวลาอีกสองปีในการบูรณาการส่วนต่างๆ ของสองบริษัทนี้เข้าหากัน แต่การแข่งขันจะรุนแรงมาก ทุกคนจะต้องแข่งเพื่อให้ประโยชน์ตกกับผู้บริโภค ไม่อย่างนั้นแล้ว ส่วนแบ่งตลาดก็จะหายไปทีละนิดๆ นี่คือประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้ ไม่ใช่เป็นการผูกขาด ไม่มีการผูกขาด กลับจะแข่งขันกันมากกว่าเดิมที่เดิมทีมี 3 เจ้า ซึ่ง AIS ตีกินตลอดเวลา และจนในที่สุดแล้ว ถ้า true และ dtac อ่อนแอลงไป ในที่สุดแล้วคนที่ผูกขาดก็คือ AIS สถานการณ์การแข่งขันเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคไม่ได้แย่ลงนะ ท่านผู้ชม มีแต่จะแย่มากขึ้น

ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีการควบรวม อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ผู้นำตลาดอย่าง AIS ก็จะใหญ่ขึ้น true กับ dtac อ่อนแรงลง ก็จะทำให้เหลือโอเปอเรเตอร์ (Operator) แค่รายเดียว โอเปอเรเตอร์รายใหม่เข้ามาก็สู้ไม่ไหว เพราะการลงทุนมันสูงเหลือเกิน นี่คือการผูกขาดที่แท้จริง


เพราะฉะนั้นแล้ว ผมกำลังชี้แจงให้เห็น ให้คณะกรรมการ กสทช. เห็นว่า ถ้าไม่ควบรวมแล้วจะเกิดการผูกขาดตลาดโดย AIS แต่เพียงเจ้าเดียวในที่สุด แต่ถ้าควบรวมแล้ว จะเกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรง คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ ผู้บริโภค เพราะ AIS ก็ต้องไม่ยอมสูญเสียทางตลาด ต้องแย่งชิงผู้บริโภคกับ true และ dtac แล้ว true และ dtac ก็ต้องหาทางที่จะแย่งชิงผู้บริโภค เมื่อต่างฝ่ายต่างแย่งชิงผู้บริโภค ใครได้ประโยชน์ ? ก็คือผู้บริโภคนั่นเอง

ถึงตอนนี้แล้ว เป็นอำนาจ กสทช. ซึ่ง กสทช. เมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ฟังข้อเท็จจริงแล้ว คิดและจะทำอย่างไร การควบรวมบริษัทโทรคมนาคมในต่างประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องลับ หรือไม่ใช่เรื่องที่ไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเยอะมาก ที่มาเลเซีย บริษัท เซลคอม เอเซียต้า (Celcom Axiata) ควบรวมกับ ดิจิ ดอท คอม (Digi.Com's) อินโดนีเซีย บริษัท พีที อินโดแซท (Indosat) ควบรวมกับ ฮัทชิสัน (Hutchison) อิตาลีมีการควบรวมกิจการระหว่าง Wind และ H3G เป็น Wind Tre เป็นการปรับตัวพร้อมสู่การแข่งขันใหม่ที่มีผู้เล่นดิจิทัลมาแข่งขันมากขึ้น หรือที่เรียกกันว่า "อุตสาหกรรมโทรคมนาคมใหม่" หรือ NEW TELCO MARKET ผู้เล่นเปลี่ยนไป


ท่านผู้ชมครับ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมใหม่ หรือ NEW TELCO MARKET คืออะไร ? คือตลาดการสื่อสารที่ประกอบด้วย ผู้ให้บริการดิจิทัลจากหลากหลายประเทศ ผู้ให้บริการเสียงผ่านแอปพลิเคชัน ให้บริการส่งข้อความผ่านแอปฯ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ (LINE) วีแชต (WeChat) เฟซบุ๊ก (Facebook) ให้บริการประชุมผ่านแอปฯ ให้บริการคอนเทนต์ผ่านมือถือ เช่น Netflix, Disney Plus, VIU

ท่านผู้ชมครับ ผู้ประกอบการในตลาดโทรคมนาคมใหม่นี้ ผู้นำตลาดมีทั้งจากประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน อีกหลายประเทศ จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าผู้ให้บริการทางด้านโทรคมนาคมดั้งเดิม โดยผู้ประกอบการ NEW TELCO MARKET ที่เขาเรียกกันว่า OTT (Over the Top) ถูกเรียกภาษาทั่วไปว่า Value added (การต่อยอด) ซึ่งหมายความถึงบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ที่สนุกสนานกับการทำรายได้

ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานรัฐใดออกมากำกับ เนื่องจากรูปแบบการบริการค่อนข้างใหม่ หารายได้โดยอิสระ ยังมีเรื่องการจัดเก็บภาษี ณ วันนี้เรายังไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ อย่างเช่น LINE, Netflix หรือ เฟซบุ๊ก เพราะบริษัทแม่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ รายได้มหาศาล บริษัทเหล่านี้ยังไม่ถูกควบคุม สามารถนำกลับประเทศได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษี ทำให้ผู้ประกอบการในไทยแข่งขันด้วยได้ยาก เพราะเรามีกฎหมายควบคุม และมีต้นทุนทางภาษีที่สูงกว่า

นอกจากนี้ OTT มีเนื้อหาที่ยากต่อการควบคุม แต่ไม่ค่อยมีใครออกมาเรียกร้อง รวมทั้งหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องเร่งออกกฎเกณฑ์ ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้ OTT อยู่ในกติกาเดียวกันในการแข่งขัน

ทุกบริการที่ผู้เล่น OTT ให้บริการ จะใช้ข้อมูลมหาศาล ยังคงขี่อยู่บนหลังของผู้ประกอบการไทยที่ให้บริการเครือข่าย แต่ไม่สามารถทำรายได้เพิ่ม แต่ต้องขยายช่องสัญญาณเพื่อรองรับการใช้อินเทอร์เน็ต แต่ไม่สามารถเก็บรายได้เพิ่ม

ท่านผู้ชมครับ กสทช. ครับ ความเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ธุรกิจ หรือตลาดโทรคมนาคมใหม่นี้ทำให้ผู้ประกอบการไทยรายต่างๆ ที่อยู่ในปัจจุบันต้องปรับตัว รองรับการแข่งขัน ซึ่งไม่ใช่มีเพียงแค่ NT, AIS, true และ dtac แต่ต้องรวมไปถึงแพลตฟอร์มระดับโลก เช่น กูเกิล เฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ วีแชต วอทส์แอป (WhatsApp) Netflix Skype และอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้


นอกจากนี้ NEW TELCO MARKET ยังมีผู้เล่นใหม่ที่ชื่อว่า บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งกำลังมาแล้ว อย่างเช่น ผ่านดาวเทียมสตาร์ลิงก์ (Starlink) ของอีลอน มัสก์ ตอนนี้มีคนใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสตาร์ลิงก์ถึง 1 แสนคน ทั่วโลก และอีลอน มัสก์ จะยิงดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีก อีกสามปียิงเพิ่มอีก 4,425 ดวง เพราะฉะนั้นแล้ว เป้าหมายสูงสุดของสตาร์ลิงก์ คือ การปล่อยดาวเทียมสู่วงโคจรให้ครบ 42,000 ดวง

ท่านผู้ชมครับ ท่านกรรมการ กสทช. ครับ ในตลาดโทรคมนาคมใหม่ หน่วยงานภาครัฐต้องเริ่มหาแนวทางในการปกป้องผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน จำนวนผู้เล่นในตลาดมีมากขึ้น และจะเป็นผู้เล่นดิจิทัลจากประเทศมหาอำนาจมาแข่งขันในตลาดไทยที่ยังไม่มีการกำกับที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ยากจะควบคุม เนื่องจากเป็นบริการผ่านทางอากาศ และสำนักงานอยู่ต่างประเทศ

ท่านผู้ชมครับ NEW TELCO MARKET จะเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองและวิเคราะห์ว่า ผู้ชนะในตลาดใหม่จะเป็นอย่างไร การปรับตัวของผู้ประกอบการเดิม สู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีนั้น จะทันต่อความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

กสทช. ชุดใหม่นี้ การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งของ กสทช. สำหรับดีลนี้ true กับ dtac จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า กทช. ในฐานะที่เป็นผู้กำกับ จะส่งต่อธุรกิจโทรคมนาคมอย่างแน่นอนอย่างไร ถ้าวิเคราะห์ถึงการควบรวมกิจการของโอเปอเรเตอร์ นี่คือการแฟร์เพลย์ (fair play) บนสังคมโลกโทรคมนาคมยุคใหม่ และจะดีต่อภาพรวมของธุรกิจโอเปอเรเตอร์นั้น ในที่สุดจะต้องปรับตัวเองและอัปเกรดเป็นบริษัทเทคโนโลยี เพราะการพัฒนาต่อยอดธุรกิจโทรคมนาคมไปสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ เป็นการเดินที่ถูกบังคับ โดยตลาดโทรคมนาคมและเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกำหนดให้ต้องทำ

บริษัทเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้น จะเป็นผู้นำไม่เพียงแต่เครือข่ายบริการโทรคมนาคมคุณภาพสูง แต่จะรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Cloud Technology, IoT (Internet of Things), เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City, Digital Media Solution การศึกษาด้านเทคโนโลยีอวกาศเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจ ตลอดจนการเสริมสร้างสรรค์ระบบนิเวศทางธุรกิจ (EcoSystem) และเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัป (Startup) ในเมืองไทย สร้างประโยชน์และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้า ผู้ใช้บริการ ผู้ถือหุ้น คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทย ทั้งในด้านโครงข่ายนวัตกรรม และการลงทุน ซึ่งจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 4.0 ของประเทศไทย


สรุปแล้ว ดีลการควบรวม true กับ dtac จะว่าไปแล้ว มันเป็นเพียงแค่ปฐมบทของการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจโทรคมนาคมไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และตลาดโทรคมนาคมใหม่ที่จะพิสูจน์ว่า ผู้กำกับดูแล (Regulator) อย่าง กสทช. นั้น พร้อมแล้วหรือเปล่ากับความท้าทายใหม่นี้ สมัยก่อนนั้น กสทช. เคยทำงานชิ้นโบแดงเอาไว้ในการกำกับเพดานอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ต ที่ว่ากันว่าประเทศไทยนั้นมีอัตราที่ถูก และการบริการที่ดีกว่าในต่างประเทศ ที่คนในวงการโทรคมนาคมให้การยอมรับ ว่า กสทช. ได้ทำหน้าที่เป็น Regulator ผู้กำกับ เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมผู้ประกอบการ สร้างความสมดุลในธุรกิจโทรคมนาคมด้วยดีตลอดมา

ท่านผู้ชมครับ ท่านกรรมการทั้งหลายครับ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมเชื่อว่า กสทช. จะเป็นพี่เลี้ยงส่งเสริมให้ธุรกิจไทยยกระดับไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น การควบรวม dtac และ true นั้น เป็นปฐมบทแรกเลยที่จะก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างยุติธรรมที่สุด และทั้งสองฝ่าย ทั้ง true-dtac และ AIS จะต้องแข่งขันการให้บริการ แล้วหลังจากนั้นก็จะปรับธุรกิจโทรคมนาคม เคลื่อนย้ายตัวเองต่อไปในบริษัทเทคโนโลยี ที่ผมได้พูดไปข้างต้น



ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราจะพูดในเรื่องที่ค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หนักอะไรมากมายนะครับ เพราะว่าผมพยายามใช้ภาษาง่ายๆ ให้ท่านผู้ชมฟัง

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าวันนี้เราเป็นหนี้ เรามีหนี้สาธารณะทั้งหมดเท่าไร ซึ่งในขณะนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาก ล่าสุด ท่านผู้ชมยังจำได้ไหมว่ามีการอภิปรายในสภาฯ ที่ ส.ส. ท่านหนึ่งพูดถึงเรื่องของเงินกู้ที่รัฐบาลกู้มา แต่ว่าไม่ได้บันทึกลงไป เขาเรียกว่า "เงินกู้นอกงบประมาณ" นั่้นก็คือกู้แล้วก็ซ่อนเอาไว้ เขาบอกว่าเงินที่ซ่อนเอาไว้ มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท เดี๋ยวค่อยว่ากันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร


แต่ผมจะทวนความจำนิดหนึ่ง 25 พฤศจิกายน 2564 มีเทวรูป คือ พระคลัง ที่กระทรวงการคลัง มีคราบสีแดงคล้ายเลือดไหลอาบพระเศียร คนก็เลยตกอกตกใจกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทางการคลังประเทศไทยคงไปไม่รอดแน่นอน แต่ตอนหลังก็มีคนมาชี้แจงว่า คราบสีแดงเป็นคราบสนิมที่ไหลลงมาจากหลอดไฟที่เสียแล้ว หยดลงเศียรองค์เทวรูปพระคลัง ไม่ได้เป็นคราบเลือดแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกันก็เคยมีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นมาหนึ่งครั้ง คราบสนิมนี้ก็ตกมาจากฝนที่ตกหนัก คราบดังกล่าวก็กลายเป็นเหมือนกับร้องไห้และเป็นสีเลือด เจ้าหน้าที่ก็เอามาขัดให้สวยงามเหมือนเดิม


วันเดียวกัน ข่าวลือนี้ เมื่อปีที่แล้ว 25 พฤศจิกายน 2564 คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็พูดว่า... คือพูดง่ายๆ ว่าตอนนั้นก็มีการเสียกำลังใจกันมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพระคลังบ้านเราหรือเปล่า จะมีความพินาศฉิบหายในเรื่องของประเทศชาติไหม คุณอาคม ก็บอกว่า "ถ้าเราทำดีก็มีความมั่นคง" ท่านยืนยันว่า "สถานะการคลังของประเทศไม่มีปัญหา ไม่ได้ถังแตกเหมือนกระแสข่าวที่เกิดขึ้น"


ขณะเดียวกัน ณ วันนั้น คุณสันติ พร้อมพัฒน์ หรือฉายาของท่านคือ คุณสันติ พร้อมมาก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันอีกเสียงว่า ตอนนี้กระทรวงการคลังได้เสนอขยายเพดานหนี้ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ได้เสนอไปแล้วตามมาตรา 28 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ ให้เพิ่มจาก 30 เปอร์เซ็นต์ ของสัดส่วนงบประมาณ เป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ของสัดส่วนงบประมาณ เป็นการชั่วคราว เป็นเวลา 1 ปี มาตรา 28 นี้ ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี มีการแก้ไขตามที่เสนอ

ท่านผู้ชมครับ หลังจากนั้นอีก 6 เดือน หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ แล้วยังมีหนี้ที่ซุกไว้อีก 1 ล้านล้านบาท ผมเคยหยิบเรื่องนี้มาพูดแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 ผมใช้ชื่อตอนย่อย ว่า "พระคลังโชกเลือด"


ผมได้หยิบตัวเลขเรื่องหนี้สาธารณะคงค้างมาให้ท่านผู้ชมได้ดู สิ้นกันยายน 2564 อยู่ที่กว่า 9 ล้าน 3 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58.15 เปอร์เซ็นต์ พอผ่านมา 6 เดือน ถึงมีนาคม ที่ผ่านมานี้ หนี้สาธารณะคงค้างของไทยเป็นเท่าไร ? สิ้นเดือนมีนาคม 2565 หนี้ตัวเดียวกันที่เมื่อกี้บอกว่ามีอยู่ 9 ล้าน 3 แสนล้านบาท ตอนนี้ปรับขึ้นไปเป็น 9 ล้าน 9 แสนล้านบาท คิดเป็น 60.64 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP หรือเพิ่มมา 6 แสนกว่าล้านบาท คือเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นเดือนละ 1 แสนล้านบาท เงินที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนี้ มันพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า จริงๆ แล้ว ... ตีตัวเลขกลมๆ ก็แล้วกัน หนี้จาก 9 ล้านล้านบาท กลายเป็น 10 ล้านล้านบาท ไปแล้ว

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า หนี้สาธาระก้อนใหญ่ที่สุด ก็คือหนี้รัฐบาล เพราะหนี้รัฐบาลนั้นเป็นสัดส่วน 88.5 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้ทั้งหมด ในจำนวน 9 ล้าน 9 แสน 5 หมื่นล้านบาท หรือผมตั้งเป้าไว้ว่า 10 ล้านล้านบาท มีจำนวนถึง 8 ล้าน 8 แสนล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ 26 เดือน หรือ 2 ปี กับ 2 เดือนที่ผ่านมา หนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้น 3 ล้านล้านบาท

ทีนี้ เรามาพูดถึงเรื่องการซุกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ซุกเอาไว้โดยที่ไม่รวมไว้ในบัญชีให้ปรากฏเห็นเป็นหนี้สาธารณะ

วันที่ 29 มีนาคม 2565 กระทรวงการคลัง นำเสนอรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2564 ให้ที่ประชุม ครม. ทราบ ภายใต้รายงานความเสี่ยงของการคลังฉบับล่าสุด กระทรวงการคลัง ระบุว่า สิ้นปีงบประมาณ 2564 รัฐบาลมีหนี้สาธารณะจำนวน 9 ล้าน 3 แสน 3 หมื่น 7 พันล้านบาท เป็นหนี้สาธารณะที่รัฐบาลรับผิดชอบอยู่ 84.12 ล้านบาท ของหนี้สาธาระทั้งหมด อีก 15.88 ล้านบาท เป็นหนี้สาธารณะที่รัฐบาลไม่มีภาระในการชำระหนี้

ท่านผู้ชมครับ แต่ถ้าเราดูตัวเลขภาระผูกพันจากการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐที่ไม่รวมอยู่ในหนี้สาธารณะ ปรับปรุงล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2564 พบว่า หน่วยงานของรัฐที่มีภาระผูกพันที่ไม่รวมอยู่ในหนี้สาธารณะ และรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณไปชดเชยภาระหนี้ดังกล่าวในอนาคต มีอยู่ 1 ล้านล้านบาท (ตัวเลขกลมๆ นะครับ) ทั้งหมนดี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

ส่วนสำคัญของภาระผูกพันจากการดำเนินนโยบายรัฐบาลที่ไม่รวมอยู่ในหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการคลัง พ.ศ. 2561 ส่วนผูกพันส่วนนี้เกิดจากการที่รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการ โดยรัฐบาลรับภาระ จะชดเชยค่าใช้จ่าย หรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการนี้ สิ้นปีงบประมาณ 2564 ยอดคงค้างดังกล่าว 9 แสน 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 29.01 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณรายจ่ายปี 2564

ท่านผู้ชมครับ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เป็นโครงการตามมาตรา 28 ที่มีแนวโน้มในการก่อเกิดภาระการคลังเป็นจำนวนสูงขึ้นทุกปี ในช่วงปี 2562-2563 ภาระการคลังของมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรมีจำนวนใกล้เคียงเท่ากัน ก็คือ 9 หมื่น 7 พันกว่าล้านบาท และ 9 หมื่น 9 พันล้านบาท ตามลำดับ

แต่ในปี 2564 โครงการตามมาตรา 28 ที่คุณสันติ พร้อมพัฒน์ บอกว่าได้ขอเพิ่มวงเงินเพดานหนี้ จาก 30 เปอร์เซ็นต์ เป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณ ที่เป็นมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรมีเท่ากับ 1 แสน 3 หมื่น 6 พันกว่าล้านบาท ในปี 2564 อยู่ในระดับสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ท่านผู้ชมครับ จากเดิมที่ต้องไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นไม่เกิน 35 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ปรากฏว่าตอนนี้เกิน 35 เปอร์เซ็นต์ แล้ว ปริ่มๆ แล้วก็เกินด้วย

เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของรัฐบาล เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมพยายามจะอธิบายให้ฟัง ท่านผู้ชมครับ หนี้ที่รัฐบาลก่อมานั้น คนที่รู้เรื่องนี้ดีพากันตำหนิรัฐบาล คุณอาคม โต้ข่าวซุกหนี้ 1 ล้านล้านบาท คุณอาคม ชี้ว่าเป็นกลไกของกฎหมายมาตรา 28


กฎหมายตามมาตรา 28 ที่คุณสันติ พูดไปเมื่อตอนต้น ก็คือว่า ขอเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งมีอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณ ให้เป็น 35 เปอร์เซ็นต์ คุณอาคม บอกว่า ที่เพิ่มมานี้มันก็เป็นไปตามมาตรา 28 ซึ่งเราขอไปเรียบร้อยแล้ว แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องพูด คุณอาคม ก็พยายามจะอธิบายการกระทำของรัฐบาล คือ ท่านบอกว่าในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลตั้งชดเชยการขาดดุล 7 แสนล้านบาท เนื่องจากรายจ่ายของรัฐบาลที่มีมากกว่ารายได้ และตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลตั้งงบชำระหนี้มากขึ้น เพื่อให้เงินต้นลดลงมาก ในปีงบประมาณ 2565 ต้องชำระหนี้เป็นเงินต้นอย่างน้อย 1 แสนล้านบาท ดูสับสน แต่เอาง่ายๆ

สรุปประเด็น ผมต้องการชี้ให้เห็นจากข่าวนี้ว่า รัฐบาลได้ก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจริงประมาณเดือนละ 1 แสนล้านบาท รวม 2 ปี กับ 2 เดือน ก่อหนี้สาธารณะเพิ่มแล้ว 3 ล้านล้านบาท จนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ 10 ล้านล้านบาท หรือเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP ไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับท่านผู้ชม เพราะว่าหลายๆ ประเทศก่อหนี้สาธารณะเกินจำนวน GDP ทั้่งประเทศเลย บางทีเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อย่างญี่ปุ่น หนี้สาธารณะเกินกว่า GDP ของประเทศ แต่ประเด็นที่ผมจะพูดก็คือว่า หนี้สาธารณะพวกนี้ ยังไม่นับรวมหนี้ของหน่วยงานรัฐอีกหลายหน่วยงาน เมื่อรวมหนี้สาธารณะ 10 ล้านล้านบาท และหนี้หน่วยงานภาครัฐที่มีภาระผูกพันอีก 1 ล้านล้านบาท คิดสะระตะแล้วประเทศไทยมีหนี้ที่ต้องชำระอยู่คือ 11 ล้านล้านบาท


ทีนี้ ถ้าเราเจาะเข้าไปดูถึงไส้ในของหนี้หน่วยงานภาครัฐที่มีภาระผูกพัน ที่ไม่รวมอยู่ในหนี้สาธารณะประมาณ 1 ล้านล้านบาท พบว่า สัดส่วน 3 ใน 4 เงินที่ใช้นั้น ใช้ไปในโครงการประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2564 โครงการตามมาตรา 28 ที่เป็นมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร มีจำนวนเท่ากับที่ใช้ไป 1 แสน 3 หมื่น 6 พันกว่าล้านบาท คิดเป็น 76.3 เปอร์เซ็นต์ ของภาระกระทรวงการคลัง จากการดำเนินการตามมาตรา 28 ทั้งหมดในปี 2564 ต้องถือว่าเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า กู้หนี้ยืมสิน เอาเงินประชาชนคนไทยทั้งประเทศมาแบกรับนโยบายประชานิยมของพรรคประชาธิปัตย์ที่หาเสียงเอาไว้ ทับถมปีแล้วปีเล่า ปีแล้วปีเล่า

พระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ท่านเคยตรัสว่า ที่ฉันช่วยเขา ไม่ใช่จะช่วยได้ตลอดไป แต่ช่วยเพื่อให้เขาได้มีโอกาสช่วยตัวเองต่อไป เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรให้เบ็ดตกปลาและสอนวิธีตกปลาจะดีกว่าอย่างสิ้นเชิง


ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า การกู้เงินสร้างหนี้สาธารณะนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดโดยตัวมันเอง แต่สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คือการกู้เงินเพื่อมาให้ประชาชนใช้จ่ายบริโภค หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Comsumption (C) แต่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุน หรือ Investment (I) อุปมาอุปไมยเหมือนพ่อแม่ให้เงินลูกซื้อของแบรนด์เนม ไปเที่ยวเล่นกินอยู่วันๆ ไป พ่อแม่ที่ให้เงินลูกไปเรียน ไปศึกษาหาความรู้ ลงทุนในสิ่งที่สามารถต่อยอด สร้างทักษะใหม่ๆ สู่อาชีพใหม่ๆ ได้ ไม่ได้ทำ แต่ให้เงิน ให้ลูกรูดบัตรเครดิต เอาไปซื้อของแบรนด์เนม เอาไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อรถคันใหม่ ไปดาวน์โน่นดาวน์นี่ มันเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้สร้างผลผลิต กิจกรรมที่ให้กู้ไปก็คือกู้เพื่อให้เอาไปใช้ เหมือนกับ คนละครึ่ง หรือ เป๋าตัง หรือพวกชื่อแปลกๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น คือกู้เงินให้คนใช้ และจริงๆ แล้วคนที่ได้ไปก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะได้ไปคนละ 3 พัน คนละครึ่ง ก็คนละ 2-3 พัน เสร็จแล้วมันก็เหมือนกับไฟไหม้ฟาง เงินก้อนนี้ก็เลยเป็นหนี้สาธารณะที่ทับถมขึ้นมาๆ แทนที่จะเอาเงินก้อนนั้นให้ประชาชนไปลงทุน หรือลงทุนให้ประชาชน เพื่อประชาชนจะได้ทำอะไรแล้วมีผลตอบแทนกลับมา แต่รัฐบาลเน้นโครงการประชานิยม ที่ต้องการที่จะทำให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยและชมเชยรัฐบาล

หรือแม้กระทั่งการประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์ ประกันแล้วประกันอีก ทุกปี ขาดทุนไปขาดทุนมา


ท่านผู้ชมครับ การประกันรายได้เกษตรกรที่รัฐต้องควักเงินจ่าย มันจะต่างอะไรกับการประกันราคาข้าว หรือการจำนำข้าวที่รัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ ทำ เหมือนกัน เงินที่พอกพูนขึ้นมาจากการประกันรายได้เกษตรกร กับเงินที่รัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ ใช้ในการจำนำข้าว ในขณะนี้ชนกันแล้ว เท่ากันแล้ว แล้วมีอะไรเกิดขึ้น ? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็คือก็ยังดำเนินนโยบายประกันราคาเกษตรกรต่อไป ตราบที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีอำนาจอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ แทนที่จะประกันราคาพืชผลปีนี้ แล้วระบุชัดเจนว่าต้องหาวิธีการที่จะขยับรายได้ของเกษตรกรขึ้นด้วยการสร้างผลผลิต ด้วยการสร้างวิธีผลิต ด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ต้นทุนการผลิตมันต่ำ แล้วก็หาตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น รัฐบาลจะได้ไม่ต้องประกันทุกปี แต่พรรคประชาธิปัตย์ผลักดันให้รัฐบาลชุดนี้ควักเงิน ถ้าเงินไม่พอก็ไปกู้มาเพื่อประกันรายได้เกษตรกร เพื่อหาเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ แต่ความพินาศฉิบหายของประเทศชาติโดยส่วนรวมเขาไม่สนใจ

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีฯ คลัง และอดีตประธานกรรมการ ธ.ก.ส. ได้พูดถึงเรื่องหนี้สาธารณะเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2565 คุณธีระชัย บอกว่า ประเทศระดับกำลังพัฒนาอย่างไทยอาศัยเฉพาะเงินจากรายได้รัฐอย่างเดียว การเติบโตจะมีเพดานจำกัดอยู่เพียงระดับหนึ่ง แต่ถ้าเสริมด้วยเงินกู้ ก็สามารถเพิ่มเพดานเศรษฐกิจเติบโตได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วัตถุประสงค์ในการใช้เงินกู้ต้องชาญฉลาด ไม่ใช่โง่เขลาเบาปัญญาเหมือนรัฐบาลชุดนี้ คุณธีระชัย บอกว่า ดังที่ผมเคยอธิบายไว้แล้วว่ารัฐบาลนี้กู้มาเพื่ออุดหนุนการอุปโภคบริโภคของประชาชนอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็คือการจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้ประชาชนมีความสุข ถึงแม้จะได้ผลในการเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน แต่เป็นเพียงชั่วคราว ไม่ได้ยั่งยืน ผิดหลักการบริหารเศรษฐกิจ

คุณธีระชัย พูดต่อว่า ไม่ต่างจากหัวหน้าครอบครัวที่สงสารลูก ไม่มีจะกินหรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเดิม ก็ให้ไปรูดบัตรเครดิต เอาเงินมาให้ลูกกินลูกใช้ ถึงแม้จะรักษาคุณภาพชีวิต แต่ได้ผลแบบไฟไหม้ฟาง กิน-ใช้แล้วหมดไป


เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ประเทศที่กำลังพัฒนาที่บริหารอย่างระมัดระวังเลยไม่นิยมกู้เงินมาเพื่อโปรยให้ประชาชนจากเฮลิคอปเตอร์ ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Helicopter Money ก็คือว่าได้เงินมา ก็เอาไปๆ โยนลงไป เอาไปๆ เอาไปใช้อย่างไรก็ได้ เอาไป ในที่สุดรัฐบาลต้องเป็นหนี้เพิ่มเติมขึ้นมา ไม่สนใจ ขอให้ประชาชนมีความสุขก่อน แล้วก็เป็นความสุขชั่วคราวด้วยนะ ไฟไหม้ฟาง ประเภทคนละครึ่ง วันนี้ลองถามดูสิ เป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตดีกว่าเดิมไหม ไม่ได้ดีกว่าเดิม

ท่านผู้ชมครับ มีแต่ประเทศร่ำรวยที่ตลาดสากลมั่นใจในฐานะการเงินที่นิยมใช้นโยบายการคลังแบบลดแลกแจกแถมเช่นนี้ รัฐบาลไทยไม่ควรจะไปขี้ตามช้าง ประเทศที่กำลังพัฒนาที่กู้เงินมาให้ประชาชนเต้นกินรำกิน รักษาคุณภาพชีวิตแบบเกินตัว กินแล้ว ใช้แล้วหมดไปนั้น มีหลายตัวอย่าง เช่น ในลาตินอเมริกา สุดท้ายก็มักจะล้มละลาย

วัตถุประสงค์นโยบายคลังแบบขยายตัวเพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชนที่ถูกต้องนั้น รัฐจะต้องพยายามใช้เงินให้มีผลเป็นการลงทุนให้มากที่สุด คืออะไร ? คือใช้ทำโครงการที่ชุมชนเข้มแข็ง ยืนบนขาตัวเองได้ ยึดศาสตร์ของพระราชาอย่างแท้จริงในการใช้เงิน ไม่ใช่ตั้งแต่ชื่อ และทำให้เป็นโครงการที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของชุมชน ต้องลดต้นทุนผู้ประกอบการ ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลต้องแยกผลดี-ผลเสียให้ออกจากกัน ระหว่างนโยบายการคลังที่กระตุ้นการใช้จ่าย คนละครึ่ง เป๋าตัง โน่นนี่นั่น ซึ่งได้ผลแค่ชั่วคราว และรัฐบาลประเทศที่กำลังพัฒนาควรจะเลี่้ยง กับนโยบายคลังที่เพิ่มโอกาสให้แก่ประชาชนแบบสะสมยั่งยืน ที่รัฐบาลประเทศกำลังพัฒนาควรจะเป็น

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ควรจะหาทางชี้แนะให้รัฐบาลใช้เงินกู้ในลักษณะที่ประชาชนเอาไปต่อยอดได้จะดีกว่า คือแนวคิดว่า รัฐใช้เงิน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ประชาชนเอาเงินนั้นมาขยาย ใช้ศาสตร์พระราชาขยายได้ถึง 200 เปอร์เซ็นต์

ท่านผู้ชมครับ ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของรัฐในขณะนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ถ้าเราเอาเงินกู้ไปใช้สร้างรายได้ให้แก่ชาติ ในอนาคตรัฐบาลจะจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น จะเป็นปัจจัยช่วยทำให้สัดส่วนนี้ไม่สูงขึ้น แต่ถ้าเราเอาเงินกู้มหาศาลไปโปรยแจก ทิ้งจากเฮลิคอปเตอร์ ที่เขาเรียกว่า Helicopter Money ถึงแม้ประชาชนที่ได้รับเงินจะรู้สึกดี แต่ก็เป็นชั่วคราว ไฟไหม้ฟาง ประเดี๋ยวเดียวเอง ไม่ได้เพิ่มรายได้รัฐในระยะยาว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในโลกมีแนวโน้มที่จะกลับเข้าไปสู่วัฏจักรที่สูงขึ้น

ท่านผู้ชมครับ ในอนาคต เมื่อคนรุ่นใหม่ต้องแบกภาระชำระหนี้ คนรุ่นใหม่ คือรุ่นลูกหลานเรา เขาจะต้องย้อนนึกถึงรัฐบาลชุด พล.อ.ประยุทธ์ ที่โยนภาระหนี้เป็นมรดกสีดำให้กับพวกเขา เราต้องเสนอให้เขาออกจากวังวนในการสร้างคะแนนนิยม ทุกวันนี้ทำเพื่อสร้างคะแนนนิยม ให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า เออ คนละครึ่ง แล้วก็มาพูดอย่างภูมิใจด้วยนะ ผมเป็นคนคิดเรื่องคนละครึ่งขึ้นมา ทำเป็นระเบียบวาระแห่งชาติจะดีกว่า คือเอาเงินนั้นมาเสริมศักยภาพ ให้ประชาชนสามารถที่จะใช้ศาสตร์พระราชามาลงทุนเพิ่มเติม ส่งมา 100 บาท ให้มันมีมูลค่าหลังจากเอามาลงทุนแล้ว ใช้ศาสตร์พระราชาแล้ว เพิ่มเป็น 200 บาท

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ ท่านผู้ชมรู้ไหม รัฐบาลขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง ต่างอ้างว่ารัฐบาลการเงินการคลังมั่นคง ท่านผู้ชมครับ โกหกทั้งเพ วันนี้เงินที่จะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ที่รักษาโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล รัฐบาลไม่ได้จ่ายมา 3 เดือน เกือบๆ 6 เดือนแล้ว หลายๆ โรงพยาบาลไม่ได้รับเงินเลย เงินคงค้างท่อที่ยังไม่ได้จ่ายออกไป ที่จะต้องจ่ายเป็นรายเดือนให้กับส่วนต่างๆ ที่จะต้องมีหน้าที่รับเงินเดือนนั้นไปจับจ่ายใช้สอย ก็ค้างอยู่ประมาณ 3 หรือ 4 เดือน

ท่านผู้ชมครับ ผมรู้ว่าถ้าผมบอกว่ารัฐบาลถังแตก ไม่มีตังค์ ทุกคนก็จะออกมาสวนผม โต้เถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด แล้วพอบอกว่าคุณเอาหนี้ 1 ล้านล้านบาท ซุกไว้นอกงบประมาณ ต่างกันตรงไหน ? ถ้าเอามาไว้ในงบประมาณ ยอดหนี้จะสูงขึ้น เมื่อยอดหนี้สูงขึ้นแล้ว รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาชดใช้หนี้ต่างๆ พวกนี้ การที่ไม่ได้เพิ่มเข้าไปอีก 1 ล้านล้านบาท จะทำให้การตั้งงบประมาณของรัฐบาลในการชดใช้หนี้ต่างๆ เหล่านี้ มันสามารถตั้งได้น้อยลง ท่านผู้ชมครับ หนี้ 10 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลเป็นหนี้อยู่ เราจะใช้คืนอย่างไร งบประมาณทุกปีของเรา จำนวนเงินที่ต้องมาชดใช้หนี้ ไม่ใช่แค่หนี้อย่างเดียวท่านผู้ชมครับ ยังมีดอกเบี้ยต้องจ่ายต่ออีก

นี่คือที่มาว่าทำไมงบประมาณแผ่นดินก็มีแต่หนี้พอกพูนเรื่อยๆ คือกู้มาเพื่อใช้หนี้ แล้วก็ใช้ต่อไป กู้มาต่อไป กู้มาเพื่อใช้หนี้ต่อไป เพราะฉะนั้นงบประมาณแผ่นดินไทยจากนี้ไปในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปากได้ เราก็จะอยู่ในมุมมืดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นห่วงเป็นใยในเรื่องภาพพจน์ของตัวเอง อยากให้ประชาชนชื่นชม แล้วประชาชนที่ได้กันไปคนละครึ่ง วันนี้ก็ไม่ได้อีกต่อไป ประชาชนก็ลืมไปแล้ว หรือพรรคประชาธิปัตย์เอาเงินมาประกันราคาข้าว ปรากฏว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เอามาประกันนั้น ก็คือเงินภาษีอากรที่มาประกัน แต่แทนที่รัฐบาลเมื่อประกันราคาข้าวไปปีหนึ่งแล้ว ต้องมีแผนระยะกลางว่า จากนี้ไปเงินที่ประกันก็จะลดน้อยลง ลดน้อยลงจากอะไร จากการที่ไปเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร หาตลาดให้เกษตรกรได้มากขึ้นกว่าเก่า แต่ไม่ทำ เพราะรัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่เป็นเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นอยู่อย่างเดียว คือการสร้างหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จ่ายเงินออกไป ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก่อให้เกิดความสุขในการจับจ่ายใช้สอยเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง และในที่สุดแล้ว ประเทศชาติก็จะฉิบหายกันทั้งประเทศครับท่านผู้ชม


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 หรือวันจันทร์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้การต้อนรับ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในการมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เป็นแขกของรัฐบาลไทย

นายคิชิดะ นั้น ออกเดินทางเยือนประเทศอาเซียน-ยุโรป จำนวน 5 ประเทศ ไปอินโดนีเซีย ไปเวียดนาม มาไทย แล้วก็จะไปอิตาลี และอังกฤษ ประเด็นสำคัญที่นายกฯ คิชิดะ มาก็คือ สงครามยูเครน-รัสเซีย แล้วก็พยายามแสวงหาความร่วมมือการป้องกันประเทศเพื่อรับมือการขยายอิทธิพลของจีน ใช้เวลาตั้ง 8 วัน

ภารกิจครั้งนี้ ท่านผู้ชมดูให้ดีๆ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ ทำตัวเหมือนเป็นลูกไล่ ลิ่วล้อของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเดินสายไปล็อบบี้ ประสานความสัมพันธ์กับ 5 ประเทศ เพื่อชักชวนทั้ง 5 ประเทศนั้น ให้มาต่อต้านรัสเซีย และหลายๆ ประเทศในพื้นภูมิภาคนี้ เพื่อเข้ามาเป็นแนวร่วมในการต่อต้านประเทศจีน

ประเทศไทย เป็นประเทศที่สำคัญที่สุดในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพื่อดำเนินการปิดล้อมจีน และ QUAD ที่อินโดนีเซีย นายคิชิดะ หารือกันเรื่องการประชุม G20 ที่อินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซียแสดงความประสงค์จะซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ท่ามกลางสงครามยูเครน แล้วก็มีการกดดัน แบนพลังงานของรัสเซียจากทางตะวันตก

ส่วนเวียดนามนั้น เป็นฐานการลงทุนแห่งใหม่ของญี่ปุ่น ชาวเวียดนามเป็นแรงงานใหม่ต่างชาติจำนวนมากที่อยู่ในญี่ปุ่น ในกลุ่มของผู้ฝึกงานทางเทคนิค เวียดนาม ในกรณีของยูเครนนั้น แสดงท่าทีเป็นกลางด้วยการงดออกเสียงกรณีที่สหประชาชาติให้ประณามรัสเซีย มิหน้ำซ้ำยังโหวตสวนมติยูเอ็น ที่นำโดยสหรัฐฯ ในการขับรัสเซียให้พ้นจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ทั้งนี้ ทางการทหารนั้น เวียดนามมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับรัสเซีย อาวุธที่เวียดนามนำเข้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากรัสเซีย มิหนำซ้ำแล้ว เวียดนามยังอนุญาตให้รัสเซียมาตั้งฐานทัพเรือในประเทศเวียดนาม เพราะว่าเวียดนาม กับรัสเซีย สนิทสนมกันมากตั้งแต่สงครามอินโดจีนแล้ว และรัสเซียเป็นผู้ที่สนับสนุนเวียดนามในการต่อสู้เพื่อให้ได้เอกราชมาตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้ นายคิชิดะ ได้ไปเยือนอินเดีย และกัมพูชา แต่ไม่ได้รับการตอบรับดังหวัง เพราะอินเดีย และกัมพูชา ไม่ยอมประณามและคว่ำบาตรรัสเซีย


ในส่วนของอิตาลีนั้น เป็น 1 ใน 5 ชาติที่นายคิชิดะ จะไปเยือน รัฐมนตรีฯ ต่างประเทศอิตาลี คือ นายลุยจิ ดิ มาโย เคยออกมาปฏิเสธการเข้าร่วมปฏิบัติการของนาโตในยูเครน โดยชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวนั้น อาจจะนำไปสู่สงครามโลก ซึ่งประเด็นนี้สื่อตะวันตกไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก

นอกจากนั้น ผู้นำญี่ปุ่นยังมีกำหนดการต้อนรับผู้นำต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นในเวลาดังกล่าว โดยมีนายโอลาฟ ชอลซ์ ผู้นำเยอรมนี มาเยือนญี่ปุ่นปลายเดือนเมษายน ที่ผ่านมา โจ ไบเดน ก็จะมาเยือนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ประมาณวันที่ 20-24 พฤษภาคม เพื่อร่วมประชุมสมาชิก 4 ประเทศ QUAD คือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และอินเดีย

ท่านผู้ชมครับ กล่าวโดยย่อแล้ว ญี่ปุ่นคือเครื่องไม้เครื่องมือของอเมริกาในพื้นภูมิภาคนี้ คืออเมริกาจะบอกทิศทางว่าให้ญี่ปุ่นทำอะไร เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศในเอเชียด้วยกัน เขาก็เลยคิดว่าเหมาะสมที่จะให้คนเอเชียคุยกับคนเอเชียว่ามาร่วมมือกันเพื่อความมั่นคงนะ ตอนนี้จีนมีอิทธิพลมากแล้ว เรามาจับมือกันต้านจีน และที่รัสเซียบุกยูเครนนั้นไม่ถูกต้องนะ เราต้องร่วมกันต่อต้าน แบนรัสเซีย นั่นคือจุดยืนของทางตะวันตก และของอเมริกา แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นจุดยืนของประเทศในอาเซียน เพราะกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นมีผลประโยชน์ร่วมกับรัสเซีย และมีผลประโยชน์ร่วมกับประเทศจีน และไม่มีใครต้องการที่จะเป็นศัตรูกับจีน เพราะการที่จะไปประกาศร่วมกับญี่ปุ่น หรืออินโด-แปซิฟิก นั่นคือการประกาศสงครามอย่างไม่เป็นทางการกับประเทศจีน ซึ่งไม่มีใครในกลุ่มอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาว เวียดนาม ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เพราะว่าประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนย่อมรู้ดีว่า อยู่ในภูมิภาคนี้ และอยู่ใกล้ชิดจีน ควรที่จะคบจีน และอย่าไปหาเรื่องจีน เป็นปัญหาระหว่างจีน กับ อเมริกา ในการปะทะกันเพื่อช่วงชิงการนำของโลก เพราะว่าอเมริกา และตะวันตก ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอียู และประเทศทางผิวขาว รวมทั้งอังกฤษด้วย พยายามจะรักษาสถานภาพการเป็นเจ้าโลกอยู่

ยุโรปนั้น แท้ที่จริงก็คือลูกไล่ของอเมริกาเช่นกัน และอังกฤษ-อเมริกา คือหัวหมู่ทะลวงฟัน ผสมออสเตรเลีย แดนจิงโจ้ อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบว่าถ้าประเทศไทยคือหมาชิวาว่าของอเมริกา ญี่ปุ่นก็คือหมาชิบะของอเมริกา แล้วออสเตรเลียก็คือแกงการู (Kangaroo) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของอเมริกาเช่นกัน


ท่านผู้ชมครับ มันมีข้อตกลงระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับนายกรัฐมนตรีคิชิดะ ซึ่งผมมีข้อสงสัยหลายประการ คือเขารายงานว่า นายคิชิดะ อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยเสนอให้ยกระดับความสัมพันธ์กับไทย จาก "หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์" ขึ้นเป็น "หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์บูรณาการ" คิชิดะ บอกว่า จะพิจารณาข้อเสนออย่างจริงจัง และจะพิจารณาความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ท่านผู้ชมครับ ผมมีคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ และนายดอน ปรมัตถ์วินัย ผมอยากถามว่า คำว่า "หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์" ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Strategic Partner กับ "หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์บูรณาการ" หรือ Comprehensive Strategic Partner มันแตกต่างกันอย่างไร ? ครอบคลุมมิติเรื่องความมั่นคงและการทหารด้วยหรือเปล่า ? เพราะในรายละเอียดที่มีการรายงาน การพบปะครั้งนี้ได้มีการพูดถึงเรื่องการส่งออกอาวุธจากญี่ปุ่นมาไทยด้วย แต่ญี่ปุ่นเลี่ยงใช้คำว่า "อาวุธ" ใช้คำว่า "ส่งออกอุปกรณ์การป้องกันประเทศ รวมทั้งการถ่ายโอนเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นให้กับไทยด้วย"


ท่านผู้ชมครับ ความตกลงด้านยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ จะเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นสามารถขายอาวุธ ถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการทหารให้กับประเทศไทยได้

ท่านผู้ชมครับ ตามกฎหมายการป้องกันประเทศญี่ปุ่น ข้อตกลงดังกล่าวจะอนุญาตให้กระทรวงป้องกันประเทศ กองกำลังป้องกันตนเอง และเอกชนของญี่ปุ่น มีความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ ถ่ายทอดเทคโนโลยี จำหน่ายอาวุธให้ประเทศคู่สัญญาได้ แล้วหากประเทศคู่สัญญาจะนำยุทธภัณฑ์ของญี่ปุ่นไปส่งต่อให้ประเทศที่สาม จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากญี่ปุ่นก่อน

สื่อญี่ปุ่นอ้างว่า ประเทศไทยสนใจเครื่องบินลาดตระเวน เครื่องบินกู้ภัยทางทะเลของญี่ปุ่น

ท่านผู้ชมครับ การเจรจากันครั้งนี้มันมีอะไรที่น่าสนใจมาก ในการเจรจจาครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายทาโร โคโนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ หรือรัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ ซึ่งเป็นที่มาของข้อตกลงด้านยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศที่มีการลงนามร่วมกันในการมาเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นครั้งนี้


ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทยเป็นจิกซอว์ตัวสำคัญในการรับมือการขยายอิทธิพลของจีน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการร่วมมือกันระหว่างไทย กับ ญี่ปุ่น ในเรื่องคดีอาญา สามารถแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ข้อมูลเกี่ยวกับความผิดทางอาญาระหว่างประเทศโดยไม่ต้องผ่านช่องทางทางการทูต

ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้ที่ผมอยากจะเสริมให้ท่านผู้ชมได้เข้าใจทั้งหมด เป็นไปได้หรือไม่ว่าไทยได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของเครือข่ายข่าวกรองความมั่นคงของชาติตะวันตก แองโกล-แซกซัน หรือกลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษ ที่ผมเคยเล่าให้ฟังในเรื่องกลุ่ม 5 ตา (FIVE EYES)

กลุ่ม 5 ตา มีใครบ้าง ? มีอเมริกา มีอังกฤษ มีแคนาดา มีออสเตรเลีย มีนิวซีแลนด์ คือ 5 ประเทศจอมป่วนโลก อันธพาลโลกที่พูดภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่ากลุ่มประเทศแองโกล-แซกซัน หลายๆ ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นถูกตั้งฉายาว่าเป็น "ตาที่ 6" ให้กลุ่มชาติตะวันตก


ทั้งๆ ที่เป็นคนเอเชียด้วยกัน ญี่ปุ่นสร้างความเจ็บแค้นให้กับประเทศในเอเชียหลายประเทศ ประเทศจีน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เมืองนานกิง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองประเทศจีน หรือการเข้าไปยึดเกาหลี แล้วใช้ความโหดเหี้ยมอำมหิตของทหารญี่ปุ่นในการไล่ฆ่าคนเกาหลี คนในเอเชียที่เจ็บแค้นกับการกระทำของญี่ปุ่นในอดีตนั้น ยังไม่ได้ลืมเรื่องพวกนี้ไป ญี่ปุ่นมาครั้งนี้ ชอบอ้างเลยว่า ฉลองความสัมพันธ์ 135 ปี คือรักกันดีเหลือเกิน คุณรักกับผมดีจัง แต่ว่ายุคสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณยกกองทัพคุณมายึดประเทศไทย นี่คือความรักที่ญี่ปุ่นให้ มันเป็นการหน้าไหว้หลังหลอกจริงๆ

แท้ที่จริงแล้ว ในความเห็นของผม การมาพบนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นการปูพื้นฐานให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งที่สำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของอเมริกา เพื่อปิดล้อมและต่อต้านจีน เพื่อเปิดทางให้ส่งอาวุธออกมายังประเทศไทยได้ เปิดทางให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยีทางทหารญี่ปุ่นให้กับไทย ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีทางทหารอะไรบ้าง ? ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีอะไร เทียบกับจีนยังไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าญี่ปุ่นถูกบังคับด้วยรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นให้มีกองกำลังป้องกันประเทศอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว ความรู้ความสามารถ เทคโนโลยี สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทญี่ปุ่นเป็นบริษัทที่ผลิตอาวุธที่เก่งมาก อย่างเช่น บริษัท มิตซูบิชิ

มิตซูบิชิ ผลิตเครื่องบินรบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ก็ไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านนี้เลย

เปิดทางให้มีการแลกเปลี่ยนข่าวกรองระหว่างไทย กับ ญี่ปุ่น นั่นก็คือระหว่างไทยกับตะวันตกนั่นเอง เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นเครื่องมือของตะวันตก เป็นเครื่องมือของอเมริกา แล้วล่าสุด อเมริกาพยายามจะติดต่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้เพื่อติดขีปนาวุธพิสัยกลางติดหัวรบนิวเคลียร์ ทุกประเทศปฏิเสธหมด ไม่เอา อเมริกาเลยคิดว่ากำลังจะเรียกหมาชิบะตัวนี้มา แล้วก็ติดขีปนาวุธพิสัยกลาง ติดหัวรบนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งพี่คิม จอง-อึน ของผมก็ประกาศมาชัดเจนแล้วว่า (ขอประทานโทษครับท่านผู้ชม พูดตามภาษานักเลง) มึงลองดูสิ มึงติดเมื่อไร ยังไม่ทันติด กูจะถล่มมึงด้วยอาวุธนิวเคลียร์ นี่คือคำพูดของคิม จอง-อึน

นี่คือการปูพื้นฐานสำหรับการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรทางการทหารในเอเชียแปซิฟิก เหมือนกับที่อเมริกาเคยบงการนาโต นี่คือการเกิด "นาโต 2" ใช่หรือเปล่าท่านผู้ชม ผมเห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์

พล.อ.ประยุทธ์ บ่นกับคนใกล้ชิดว่าอึดอัดใจมากเรื่องพวกนี้ แต่ผมเห็นว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถ้าเราแสดงจุดยืนของเราชัด ทำไมอินเดียเขาถึงแสดงจุดยืนของเขาได้ ทำไมหลายประเทศ อินโดนีเซียเองเขาก็ไม่ยอมประณามรัสเซีย ซึ่งเรื่องนี้เดี๋ยวก็จะย้อนกลับไปถึงเรื่องของคุณดอน อีก เอาเรื่องนี้ให้จบเสียก่อน แล้วยังมีปริศนาเงินกู้อีก 5 หมื่นล้านเยน


ญี่ปุ่นเสนอเงินกู้ให้ไทย 5 หมื่นล้านเยน หรือประมาณ 1 หมื่น 2 พันล้านบาท ท่านผู้ชมครับ เขาอ้างว่าเงินกู้นี้ต้องมาดูแลเรื่องโควิด-19 การพัฒนาการตรวจคัดกรองตามจังหวัดชายแดนของเรา กับประเทศรอบบ้าน ซึ่งจริงๆ แล้วเงิน 1 หมื่น 2 พันล้านบาท แทบจะไม่มีความหมายเลย แต่อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่า 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ กู้เงินมาเพิ่มเติมเดือนละกว่า 1 แสนล้านบาท อยู่แล้ว ร่วม 2 ปี ก็ 3 ล้านล้านบาท

5 หมื่นล้านเยน หรือ 1 หมื่น 2 ล้านบาท แม้จะเป็นเงินใหญ่ แต่ถ้าเปรียบเทียบเงินที่รัฐบาลกู้ในประเทศแล้ว น้อยมากๆ

ท่านผู้ชม ผมถามแหล่งข่าวในกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณการตรวจคัดกรองโควิด-19 ป้องกันตามชายแดน ท่านผู้ชมรู้ไหม กระทรวงสาธารณสุขบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย และไม่ได้มีการของบรัฐบาลในส่วนนี้ไป แล้วเงินก้อนนี้มาอย่างไร ? กระทรวงสาธารณสุขเขาไม่เดือดร้อน เขาไม่ได้ของบก้อนนี้ไป ซึ่งคิดให้ดีๆ แล้วคุณจะมาช่วยเรื่องโควิด-19 เรื่องวัคซีน เรื่องอุปกรณ์อะไรต่างๆ มาในรูปแบบการบริจาคก็ได้ คุณส่งของมาสิ แต่ทำไมคุณต้องให้กู้มากมายถึง 1 หมื่น 2 พันล้านบาท

เมื่อเอาเหตุผลต่างๆ มาพิจารณาแล้ว ผมเลยมั่นใจว่างบประมาณ 1 หมื่น 2 พันล้านบาท จะต้องถูกนำไปใช้กับฝ่ายความมั่นคง ใช้กับกิจการทางทหารไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่แขวนป้ายอ้างว่าเป็นเงินกู้โควิด-19 เพื่อหาเงินมาสนับสนุนในส่วนนี้

ท่านผู้ชมครับ มีคนที่อยู่ในแวดวงความมั่นคงตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า การจะมาให้กู้เงินแล้วกำหนดวัตถุประสงค์พร่ำเพรื่อว่าซื้ออาวุธ สร้างระบบเรดาร์ ระบบสอดแนม ระบบโน่นระบบนี่นั้น อาจจะผิดกฎหมายและทำไม่ได้ ก็เลยต้องอ้างงบโควิด เพื่อดึงส่วนนี้เข้ามาก่อน ท่านผู้ชมครับ นี่คือปริศนาเงินกู้ 5 หมื่นล้านเยน ที่ผมและประชาชนชาวไทยต้องการคำตอบและรายละเอียดจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่า จริงๆ แล้วเอาไปใช้ทำอะไรกันแน่ แต่ผมจะขอเตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คุณดอน ปรมัตถ์วินัย ไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า การรักษาผลประโยชน์ของประเทศ หนึ่ง ไม่ใช่นำพาประเทศเราไปซุกอยู่ใต้อุ้งตีนของชาติใดชาติหนึ่ง ที่จะต้องทำหรือไม่ทำอะไรตามใจของต่างชาติ สอง เราต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ต้องอยู่บนหลัก 2 ประการ คือ 1) เราจะต้องไม่แสดงความขัดแย้ง ต่อต้าน คัดค้าน หรือเป็นศัตรูกับชาติใดชาติหนึ่ง 2) เราต้องสร้างมิตรไมตรีในการไปมาหาสู่ ค้าขาย ความร่วมมือกับทุกประเทศโดยอิสระ เสมอภาค และเราไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกัน

สาม ถ้ารัฐบาลดำเนินการ 2 ข้อที่ผมพูดไปแล้วไม่ได้ ก็อย่ามาหลอกลวงคนไทยว่าได้รักษาผลประโยชน์แห่งชาติอย่างดีแล้ว เหมือนอย่างที่คุณดอน พยายามพูดมาตลอดเวลา สี่ ถ้ายิ่งตั้งตัวสร้างความขัดแย้ง ต่อต้าน หรือเป็นศัตรูกับชาติอื่นตามคำบงการของชาติอื่น นั่นคือการทำลายผลประโยชน์แห่งชาติเพื่อประโยชน์ของต่างชาติ ถ้าถึงขั้นเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอนันตริยกรรม การกระทำเช่นนี้คนไทยถือว่าเป็นการ "ขายชาติ" คุณดอน ได้ยินหรือเปล่า


อาทิตย์ที่แล้ว ตอนที่ 135 วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ผมได้ออกรายการ พูดถึงกรณีความผิดปกติภายในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ตั้งที่ปรึกษาชื่อ คุณพรพิมล กาญจนลักษณ์ ซึ่งผมเอาประวัติมาให้ดูว่า คุณพรพิมล นั้น เป็นล็อบบี้ยิสต์ในสายพรรคเดโมแครตตัวยง ต้องคดีอาญาในศาลอเมริกา ในข้อหาให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยผิดกฎหมาย ถูกต้องโทษคุมขังภายในบ้านพัก คุมประพฤติ ถูกติดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์

คุณดอน ตั้งคุณพรพิมล ขั้นมาเป็นผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในด้านสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยคุณดอน อ้างหน้าตาเฉยเลยว่า คุณพรพิมล เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพม่า

ผมพูดเรื่องนี้ไปแค่สามวัน วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม กระทรวงการต่างประเทศ ก็คือคุณดอน นั่นเองล่ะ ออกมากล่าวโต้ แล้วก็เคียดแค้น อ้างว่าการที่ผมบอกว่าถ้าทำอย่างโน้นทำอย่างนี้แล้วเป็นการขายชาติ คุณดอน บอกว่า คำว่า "ขายชาติ" ที่นำมากล่าวหานั้น ไม่ใช่เป็นเพียงการกุเรื่องสร้างความเท็จ และเป็นการสบประมาทต่อนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น แต่เป็นการปรามาสเจ้าหน้าที่ทุกคนของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ หรือข้าราชการการเมือง ขณะปฏิบัติหน้าที่ การกล่าวหาใดๆ อันปราศจากมูลความจริงต่อพลังทุ่มเทเพื่อชาติบ้านเมืองนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่มิบังควรทางด้านกฎหมาย ข้อเท็จจริง และจริยธรรม


ท่านผู้ชมครับ หยุดตรงนี้ก่อน กด STOP ไว้ก่อน คุณดอน ครับ ถ้าคุณจะฟ้องศาล หาว่าผมหมิ่นประมาทคุณว่าคุณขายชาตินั้น คุณอย่านะครับ อย่าช้า รีบฟ้อง ผมภาวนาเช้า ภาวนาเย็น ให้คุณฟ้อง เพราะผมจะได้ขอคำสั่งศาลเรียกดูเอกสารหลายๆ เอกสารที่คุณงุบงิบทำมา และผมก็สามารถที่จะเรียกดูแถลงการณ์ร่วม ระหว่างนายเอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอเมริกา กับนายกรัฐมนตรี ในปี 2562 ขอดูรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ เผอิญแถลงการณ์ดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ เขาไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร แต่จริงๆ แล้วก็หมายถึงผมนั่นล่ะ แต่เผอิญมีคนที่อ่านเรื่องนี้ แล้วมีทัศนะที่น่าสนใจมาก ชื่อ คุณรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตรองอธิบดีกรมสารนิเทศ เคยเป็นอดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ปัจจุบันท่านเป็นแอดมินเพจ "ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador" ท่านออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่เนืองๆ

ผมถือว่าคำตอบของท่านรัศม์ ชาลีจันทร์ ถือว่าเป็นคำตอบที่ผมจะให้คุณดอน เช่นกัน แต่ไหนๆ ท่านรัศม์ ก็อุตส่าห์เปลืองตัวมาแล้ว ลงเฟซบุ๊กของท่าน 3 พฤษภาคม ท่านบอกว่า "เมื่อไม่กี่วันมานี้ กระทรวงต่างประเทศได้ออกคำสั่งแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษรัฐมนตรีต่างประเทศว่าด้วยเรื่องพม่า

แม้ว่าจะรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ พิกลอยู่บ้างในการแต่งตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นมา ผมก็ยังคิดว่าจะขอรอดูการดำเนินการ/ผลงานก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่เรื่องนี้กลายเป็นดรามาขึ้นมากลายๆ เมื่อมีหลายคน ที่บางคนก็อยู่ฟากรัฐบาลด้วยซ้ำ ออกมาโจมตีการแต่งตั้งครั้งนี้ นัยว่าฝ่ายความมั่นคงไม่พอใจมาก (ในยูทูบน่าจะหาชมกันได้ไม่ยาก) จนกระทรวงต่างประเทศต้องรีบมาออกแถลงการณ์แก้ต่างเรื่องนี้


ท่านทูตรัศม์ พูดอย่างนี้

"อันที่จริงการตั้งผู้แทนพิเศษด้านพม่าในหลักการถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะแสดงถึงว่าเราให้ความสำคัญกับปัญหาสถานการณ์ในพม่า แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจคือ หนึ่ง เรื่องคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าวว่าเป็นผู้รอบรู้มีความชำนาญด้านพม่าเพียงใด สอง คือเรามีนโยบายพิเศษอะไรใหม่ต่อพม่า ที่กลไกปกติของกระทรวงต่างประเทศ ที่มีทั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ปลัดกระทรวง อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ฯลฯ เหล่านี้ ไม่สามารถทำได้ ตามภารกิจที่ระบุอยู่ในคำสั่งการแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าวนี้ขึ้นมา ?

ครั้นพอมีคนออกมาโจมตีการแต่งตั้งครั้งนี้ ก็รีบมาออกแถลงการณ์เหมือนร้อนตัว แต่ก็แค่มาบอกลอยๆ ว่าเป็นสิ่งดีและอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ ที่ใครๆ ก็อ้างได้ โดยไม่ได้อธิบายให้รายละเอียดแต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคนๆ นี้มีประวัติความสามารถชำนาญรอบรู้ด้านพม่าเช่นไร รวมทั้งเรามีนโยบายอะไรที่เด่นชัดที่ต้องการผลักดันเป็นพิเศษ ก็จะดูไม่ตลก หรือเป็นการกินปูนร้อนท้องมากเท่านี้
และซึ่งเมื่อมันอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ก็ยากที่จะพ้นข้อสงสัยและครหา ว่าตั้งมาทำไม ?

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์นี้ยังต้องมาดึงเอาชื่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทั้งหมดมาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งๆ พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยกับเรื่องนี้ และก็เป็นการรู้กันทั่วไปว่าข้าราชการส่วนใหญ่เขารู้สึกเอือมระอากันมากแค่ไหน

ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรเป็นการมาออกแถลงการณ์แก้ต่างโดยใช้ชื่อกระทรวงต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ ถ้าเห็นว่าคนที่ออกมาโจมตีหมิ่นประมาทก็ควรไปฟ้อง หรือไปใช้โซเชียลมีเดียตอบโต้เอาเอง ดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศในอดีตก็ตั้งทนายของตนไปฟ้องร้องเอาเองในกรณีเช่นนี้

และที่น่าอับอายมากคือนโยบายของไทยต่อพม่าในทุกวันนี้ ที่ประชาชนไทยตามชายแดนติดพม่าต้องได้รับผลกระทบจากการสู้รบ นักเรียนต้องมาคอยซ้อมวิ่งลงหลุมหลบภัย การดำเนินชีพ การค้าขายถูกกระทบไปหมด ไหนจะเรื่องผู้อพยพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าทั้งสิ้น
แต่ไทยแทบไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เห็นเรียกทูตพม่ามาประท้วง ไม่มีการประท้วงต่อสหประชาชาติอย่างที่ควรต้องทำ เพราะนี่คือการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง ซึ่งนี่คือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงต่อนโยบายสำคัญในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยที่เคยแถลงไว้ต่อสภาฯ

แต่ดันกลับมาเที่ยวออกแถลงการณ์แก้ตัวอะไรที่ดูไม่ฉลาดเลย แถมยังมีเป็นภาษาอังกฤษอีก (ซึ่งแปลได้แย่มาก) ที่ตอนนี้บรรดาสถานทูตทั้งหลายในไทย ที่เขาอาจไม่ได้สนใจแต่แรก ก็ตัองพากันมารายงานเรื่องนี้ให้เป็นที่เอิกเกริก ที่เท่ากับประจานทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และผู้นำรัฐบาลไปด้วยในตัว"

ท่านผู้ชมครับ เอาแค่นี้ก็พอแล้ว คำตอบของท่านทูตรัศม์ ชาลีจันทร์ เท่ากับจบ ผมไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว นี่คืออดีตเอกอัครราชทูตประจำหลายประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายคือ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ ท่านพูดออกมาว่าคนในกระทรวงการต่างประเทศก็เอือมระอา คุณดอน เข้าใจหรือยัง

คุณดอน ครับ คุณดอน คอยเจอผมวันจันทร์นี้ในรายการ SONDHI EXPRESS ตอนเช้า ออก 9 โมงเช้าเลย ไลฟ์ ผมจะพูดเรื่องที่คุณและนายกรัฐมนตรีจะไปที่อเมริกา ไปหาเจ้านายคุณ ก็คือ โจ ไบเดน ตามคำสั่งที่ดีดนิ้ว แล้วคุณก็วิ่งกระดิกหางไปหาเขา รอฟังก็แล้วกันนะครับคุณดอน


ท่านผู้ชมครับ ในวันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565 ที่ห้องเสวนา ชั้น 1 ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ที่อยู่แถวๆ ราชเทวี จะมีเวทีเสวนาเวทีสาธารณะ ชื่อ "อย่าชักน้ำเข้าลึก อย่าชักศึกเข้าบ้าน" มีวิทยากรที่น่าสนใจหลายท่าน และผมได้ประสานให้สถานีโทรทัศน์ News1 ไปร่วมถ่ายทอดสดในช่วงเสวนาด้วย

ท่านผู้ชมครับ การแสดงจุดยืนเรื่องนี้ คนที่เข้ามาเสวนานั้น ถือว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติบ้านเมือง คนที่เข้ามาน่าสนใจมาก รายการนี้จะลงทะเบียนเวลา 15.00 น. ให้ชมนิทรรศการ และมีดนตรีของพี่หงา คาราวาน พิธีกรจะนำเข้าสู่กิจกรรม พิธีเปิดงาน 16.15 น. ชมวีดิทัศน์เปิดงานสถานการณ์โลก ปัจจัยเสี่ยงภัยของไทย หรือ ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน

เสวนาวิชาการ น่าสนใจมาก คือ คุณไพศาล พืชมงคล ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องจีน รัสเซีย และพื้นภูมิภาคเอเชีย ท่านซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี ซึ่้งท่านเป็นผู้นำนิกายชีอะฮ์ ของอิหร่าน อยู่ในอาเซียน คุณนิลยา มาลากุล ณ อยุธยา คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาอย่างละเอียดและรู้ลึกซึ้งในเรื่องราวต่างๆ พวกนี้ด้วยข้อมูลที่เพียบ และยังมีคุณนิติธร ล้ำเหลือ จตุพร พรหมพันธุ์ แต่ว่าผู้ดำเนินการเสวนา คือ คุณโสภณ องค์การณ์ อย่าลืม ท่านผู้ชมครับ เสวนาเรื่องการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่เคยมีใครจัดเสวนาในเรื่องนี้เลย ท่านผู้ชมจะได้ไปเปิดหูเปิดตาและไปรับทราบข้อมูลที่สื่อมวลชนทั่วๆ ไปไม่ได้รายงานเลยแม้แต่นิดเดียว และก็เป็นที่น่าเสียใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รายงานนะ เขาไม่สนใจเลย ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้ชาติบ้านเมือง ประเทศไทยอาจจะกลายเป็นยูเครนที่ 2 อย่าลืมไปฟังกันครับ ไม่เสียเงิน ที่ศูนย์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ราชเทวี เริ่มงาน 15.00 น. โดยมีวงดนตรีของหงา คารางาน เป็นคนเริ่มงาน

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์หน้าเราก็จะมีอะไรหลายเรื่องที่สนุกสนาน แน่นอนที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันและยังหาคำตอบไม่ได้อีกหลายๆ เรื่อง ท่านผู้ชมครับ เรากำลังทำเรื่องๆ หนึ่งสำหรับคนใต้โดยเฉพาะ การสิ้นชีพของเมืองหาดใหญ่ อีกไม่นาน เดี๋ยวผมจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาให้ดูว่า ทำไมหาดใหญ่ถึงเป็นเมืองตายไปแล้ว ความผิดอยู่ที่ใคร วันนี้พอแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น