xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ครอบครัวเพื่อไทย แฟรนไซส์การเมือง ใต้ตระกูล "ชินวัตร"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 10 มิ.ย.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และและแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่

- สื่อรับงาน CIA? แพร่ FAKE News

- GT200 มหากาพย์ไม้ล้างป่าช้า ภาพสะท้อนประเทศยุค 3 ป
- ความจริงที่ไม่มีใครพูดเรื่อง “รถไฟสายสีเขียว”
- ตั้งกรรมการแก้ทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์ วิธีแก้ปัญหาแบบ พล.อ.ประยุทธ์
- แฉขบวนการจัดฉากงาบสัมปทานท่อน้ำอีอีซี 25,000 ล้าน
- ครอบครัวเพื่อไทย แฟรนไชส์การเมืองใต้ตระกูล “ชินวัตร”

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.141



คำต่อคำ SONDHI TALK EP.141 [10 มิ.ย. 65] : ครอบครัวเพื่อไทย แฟรนไซส์การเมือง ใต้ตระกูล "ชินวัตร"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ก็เป็นประจำทุกๆ วันศุกร์ เวลาประมาณนี้ 9 โมง หรือ 9 โมงกว่านิดๆ เรามาพบกันในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ซึ่งออกอากาศผ่านไลฟ์สด ผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านยูทูบ และ Sondhi App

พูดถึง Sondhi App ท่านผู้ชมครับ ขออนุญาตนิดหนึ่ง ทำไมเราถึงต้องมี Sondhi App และทำไมท่านผู้ชมควรที่จะดาวน์โหลด Sondhi App และสมัครเป็นสมาชิกเอาไว้ ?

ตอนนี้สถานการณ์การปิดกั้นการเข้าถึงรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทั้งบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก และยูทูบ นั้น หนักหนาสาหัสขึ้นทุกที มันเป็นไปตามนโยบาย "กำไรสูงสุด" ของนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" อินฟลูเอนเซอร์ทุกคนต่างได้รับผลกระทบ และร้องกันระงม แต่ผมเคยคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสถานการณ์ต้องมาในรูปลักษณ์นี้ แล้วนับวันยิ่งจะหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ อีกประการหนึ่ง เฟซบุ๊ก (facebook) กับยูทูบ (YouTube) เป็นแพลตฟอร์มของทางตะวันตก วันใดวันหนึ่งก็อาจจะบล็อกข่าวที่ไม่เป็นประโยชน์กับตะวันตก ข่าวที่เชิดชูให้อเมริกาเป็นเทวดา แล้วจีน รัสเซีย หรืออิหร่าน เป็นซาตาน ถ้าเรารายงานความจริงออกไปก็อาจจะถูกบล็อกได้ นับวันมีแต่หนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงต้องทำแอปพลิเคชัน Sondhi App ขึ้นมา เพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


ท่านผู้ชมครับ ไม่แน่นะครับ ในระยะยาวเราอาจจะต้องปรับการออกอากาศทั้งหมด แล้วให้ออกเฉพาะ Sondhi App เท่านั้น เพราะว่าเขาจะปิด Sondhi App ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ใครก็ตามยังไม่ได้ดาวน์โหลด หรือสมัคร Sondhi App ให้รีบทำโดยด่วนนะครับ สำหรับท่านที่ดาวน์โหลด Sondhi App แล้ว จะทราบดีว่าแอปฯ นี้ไม่มีโฆษณา แอปฯ นี้มีการแจ้งเตือนรายการใหม่ทุกครั้ง ไม่มีอะไรมากวนใจ ดูรายการย้อนหลังได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ค่าสมาชิกแค่เดือนละ 99 บาทเท่านั้น เพียงวันละ 3 บาท ยิ่งท่านผู้ชมสมัครเป็นรายปี ปีละ 990 บาท ยิ่งคุ้ม เพราะได้ชมฟรีถึง 2 เดือน ส่วนใครมีปัญหาในเรื่องการจ่ายเงิน หรือเข้าแอปฯ ไม่ได้ ท่านแอดไลน์มาสอบถามได้เลยที่ @sondhitalk จะมีแอดมินคอยตอบคำถามและแก้ปัญหาให้ทุกเรื่อง อย่าลืมนะครับ Sondhi App แล้วค่าสมาชิกที่เราจำเป็นต้องคิด เพราะเมื่อเข้ามาในแอปฯ แล้ว เราไม่มีรายได้จากการโฆษณา สนับสนุนเราแค่วันละ 3 บาท ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้ออกไปนอกบ้าน แค่ก้าวเท้าออกไปนอกบ้านก็ใช้ไป 100-200 บาทแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวนี้มีประโยชน์อย่างมากที่สุด



ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ค่อนข้างจะมีเรื่องราวหลายเรื่องที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก และเป็นเรื่องที่บางทีท่านผู้ชมอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว แต่ไม่รู้นัยของมัน ไม่รู้ความหมายของมัน

เรื่องแรกที่ผมอยากจะพูดมากเลย และวันนี้จะเป็นบทพิสูจน์ สถานทูตอิหร่านได้ออกมาประณามหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เหตุผลเพราะ บางกอกโพสต์ไปอ้างแหล่งข่าว แล้วก็โยงใยไปทุกเรื่องทุกราว ว่ามีสายลับอิหร่านก่อการร้ายแล้วก็มีเครือข่ายในประเทศไทย สถานทูตอิหร่านบอกว่าเป็นการแพร่ข่าวเท็จ ที่สำคัญที่สุด แหล่งข่าวที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์อ้างว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งให้มีการเตรียมระมัดระวัง สั่งหน่วยงานทุกหน่วยงานให้จับตาดู ปรากฏว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายกองการต่างประเทศ ท่านออกมาชี้แจงว่า ที่บางกอกโพสต์รายงานข่าวออกมานั้น ไม่เป็นความจริง เบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวผมจะฉีกหน้ากากบางกอกโพสต์ และคนเขียนข่าวเช่นนี้ออกมา ให้ดูเป็นชิ้นๆ

เรื่องที่สอง ผู้บัญชาการกองบัญชาการภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ มาเยือนไทย เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ มาทำไม ? มาเรื่องอะไร ? น่าสนใจมาก เดี๋ยวผมจะเล่าเบื้่องหน้าเบื้องหลังให้ฟัง

เรื่องที่สาม ท่านผู้ชมจำเรื่องมหากาพย์ "ไม้ล้างป่าช้า" ได้ไหม ? เครื่องแสวงหาวัตถุระเบิด GT200 ที่ค่อนข้างจะทุเรศทุรัง และเป็นการโกงชาติ โกงบ้านโกงเมืองอย่างหน้าด้านๆ ที่สุด โดยฝีมือของฝ่ายทหาร เรามาดูกันว่า ทหารเขาขี้โกงกันอย่างไรอย่างหน้าด้านที่สุด

เรื่องที่สี่ ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่าช่วงหลังจะมีเรื่องของการทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศไทย ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ท่านก็เลยใช้สไตล์ พล.อ.ประยุทธ์ อีกแล้ว คือท่านตั้งกรรมการ 3 ฝ่าย อีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวผมจะชี้ให้เห็นว่าท่านตั้งผิด ท่านไม่ควรจะตั้งเลย สิ่งที่ท่านควรจะทำคือท่านต้องไปไล่บี้เอาหน่วยงานแต่ละหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบในแต่ละเรื่องของการคดโกงของสหกรณ์ให้ทำงานเสียที ไม่ใช่ว่าข้างล่างไม่ทำงาน แล้วเรื่องมาถึงข้างบน ข้างบนนึกอะไรไม่ออก ปัดขยะเข้าใต้พรม ก็ตั้งกรรมการ 3 ฝ่ายอีก

เรื่องที่ห้า สนุกสนานมากท่านผู้ชม สัมปทานท่อน้ำอีอีซี 25,000 ล้าน ท่านผู้ชมรู้ไหมที่ถูกระงับไม่ให้เซ็นสัญญาให้มาพิจารณาข้อเท็จจริงนั้น ผมเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง ว่าแท้ที่จริงแล้ว นี่คือการจัดฉาก คนที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มๆ คือ คุณสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ดูแลกรมธนารักษ์ งานนี้มีเกี่ยวข้องหมด ตั้งแต่อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ คุณสันติ พร้อมพัฒน์ และผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ งานนี้เงินสดปลิวกันว่อนเลย และงานนี้มีอะไรที่พิลึกกึกกือ พิกลพิการ

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่หก สนุกสนานมากท่านผู้ชม ผมมีเบื้องหลัง เบื้องหลังจริงๆ ที่ไม่มีใครพูดถึงเลยในเรื่อง รถไฟฟ้าสายสีเขียว ฟังแล้วท่านผู้ชมจะอ้าปากหวอ อ๋อ ... เรื่องมันเป็นเช่นนี้แล ทำไมมันถึง here อย่างนี้

เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องการเมือง ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องครอบครัวชินวัตร ผมกำลังจะพูดว่า คุณทักษิณ ชินวัตร กำลังทำแฟรนไชส์การเมือง โดยใช้ชื่อตัวเป็นแบรนด์ แล้วให้คนเข้ามาลงพรรคการเมืองตัวเอง เพื่อหวังการสร้างภาพในการที่มีโอกาสทำแลนด์สไลด์

7 เรื่อง เข้มข้นหมดทุกเรื่อง สนุกสนานหมด ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ รีบสมัครเป็นสมาชิก Sondhi App แล้วก่อนจะเข้าสู่รายการ เอาสักหน่อย "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" LUTEIN ทานแล้วจะทำให้สายตาดีขึ้น QUERCETIN C PLUS ZINC ยาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง มีขายแล้วใน Shopee หัวข้อ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" รวมทั้ง ฟ้าทะลายโจร ของอาจารย์ปานเทพ ของระดับพรีเมียมจริงๆ


สิ่งที่ผมจะพูดในช่วงนี้ มันเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ และเกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยที่ชื่อ "บางกอกโพสต์" เกี่ยวข้องกับสถานทูตอิหร่าน เกี่ยวข้องกับสถานทูตอิสราเอล ทำไมผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ? ที่ผมต้องเอาเรื่องมาพูด และผมจะเอ่ยชื่อตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อที่จะให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณฟังข้อมูลทางผม และตรรกะ เหตุผล ที่ผมกำลังจะสรุปในเรื่องนี้ ว่าในขณะนี้เราอยู่ท่ามกลางกระบวนการ IO ของประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา CIA หรือประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่หูของอเมริกา ในการใช้สื่อมวลชนในการปล่อยข่าวบางอย่างออกมา แล้วทำให้เกิดการเสียชื่อเสียงกับประเทศ ซึ่งในกรณีนี้คือประเทศอิหร่าน อย่างมากมาย

ในวันที่ 6 มิถุนายน รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เขียนโดยนักข่าวที่ชื่อ นายวัสยศ งามขำ

วัสยศ งามขำ คือใคร ? วัสยศ งามขำ ชื่อเล่นชื่อ โจ้ย เป็นผู้สื่อข่าวประจำกองบังคับการปราบปราม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เป็นถึงอุปนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นประธานชมรมนักข่าวกองปราบปราม เคยออกหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ก ชื่อ "CRIME TRACK แกะรอยอาชญากรรม"


ตระกูลของคุณวัสยศ เป็นคนอยู่ในแวดวงสื่อมวลชน คุณพ่อชื่อ วิชเลิศ งามขำ เป็นอดีตหัวหน้าข่าวอาชญากรรม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คุณวัสยศ เรียนจบโรงเรียนที่วัดบวรนิเวศฯ แถวนี้เอง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จบปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์

คุณวัสยศ เป็นคนเขียนข่าวชิ้นนี้ โดยคุณวัสยศ อ้างแหล่งข่าวตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งคำลับให้ตำรวจทั่วประเทศไทยจับตาดูสายลับจากอิหร่าน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รายงานอ้างแหล่งข่าว ก็คืออ้างแหล่งข่าวเป็นตัวตนอะไรก็ไม่รู้ อาจจะมี หรืออาจจะไม่มี สุดแล้วแต่ท่านผู้ชมตีความเอา ระบุว่า หน่วยงานความมั่นคงกำลังติดตามการเคลื่อนไหวของชาวอิหร่าน และชาวไทยมุสลิม ที่สงสัยว่าจะเป็นสายลับให้อิหร่านในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด

บางกอกโพสต์ ยังอ้างด้วยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ออกคำสั่งให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรทั้ง 9 ภาค เฝ้าระวังและรวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวของสายลับเหล่านี้ บางกอกโพสต์ ระบุว่า คำสั่งนี้อ้างถึงเหตุการณ์ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่ทางการอินโดนีเซียพบว่า นาย Ghassem Saberi Gilchalan เดินทางเข้าประเทศโดยถือหนังสือเดินทางบัลแกเรีย ต่อมาพบว่าหนังสือเดินทางนี้ปลอม ชายคนนี้ถูกจับโดยทางการอินโดนีเซียที่ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ขณะที่กำลังจะเดินทางออกไปประเทศกาตาร์


ตำรวจอินโดนีเซียยังอ้างว่า พบชายคนนี้มีโทรศัพท์มือถือ 11 เครื่อง คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต 1 เครื่อง ซิมการ์ดจำนวนหนึ่ง เงินสดมูลค่ากว่า 320,000 บาท

เนื้อข่าวอ้างว่า จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของเขา พบชื่อของชาวไทยมุสลิมบางคน แหล่งข่าวของบางกอกโพสต์กล่าว และเสริมว่า ทางการอินโดนีเซียเชื่อว่า นาย Ghassem Saberi Gilchalan เป็นสายลับจากอิหร่าน

ท่านผู้ชมครับ จากการเปิดเผยของนาย Gilchalan ครั้งนี้ ทำให้เกิดความปั่นป่วนในหลายประเทศ ซึ่งกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติการลับและสายลับของอิหร่าน ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาติในแต่ละประเทศ การดำเนินการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ใครพูดรู้ไหมท่านผู้ชม ? แหล่งข่าวของคุณวัสยศ พูด "แหล่งข่าว"

รายงานของบางกอกโพสต์ อ้างด้วยว่า นาย Gilchalan และอดีตนักการทูต เคยมาเยือนประเทศไทยหลายครั้ง ยังพบกับชาวไทยมุสลิมชีอะฮ์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิหร่าน รายงานของบางกอกโพสต์ระบุ ยังเขียนต่อว่า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปได้ที่สายลับจากอิหร่านอาจกำลังปฏิบัติการลับในประเทศไทย โดยใช้หนังสือเดินทางปลอม และคนไทยบางคนถูกสงสัยว่าทำงานเป็นสายลับ ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินหรือการสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ และยังพูดต่อว่า เราไม่สามารถจะปล่อยให้เกิดความไม่สงบหรือรุนแรงเกิดขึ้นได้

วันที่ 6 มิถุนายน 2565 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ถึงสื่อมวลชน ซึ่งมีเนื้อหาตอบโต้รายงานดังกล่าวของบางกอกโพสต์ แล้วประณามว่าเป็นการแพร่ข่าวเท็จ ระบุว่า สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย ปฏิเสธ และขอประณามข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลของสื่อในกรุงเทพฯ เกี่ยวกับประเทศอิหร่าน และพลเมืองอิหร่าน หลังสื่อไทย (ก็คือบางกอกโพสต์) แพร่ข่าวเท็จนี้ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านฯ ได้ดำเนินการติดตามประเด็นนี้่ผ่านช่องทางการทูต จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่การเมืองและความมั่นคงของไทยยืนยันข้ออ้างนี้


สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านฯ ย้ำว่า ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และมิตรภาพระหว่างสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และราชอาณาจักรไทย มีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกันโดยตลอด นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามเป็นต้นมาอิหร่านต้องเผชิญกับการใส่ร้ายป้ายสีทำนองนี้มาโดยตลอด ในขณะที่อิหร่านต้องการต่อสู้กับการก่อการร้าย รวมทั้งการเอาชนะกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอเอส ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไปมีอิทธิพลต่อการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อย่างสันติของอิหร่าน ซึ่งอยู่ภายใต้การสอดส่องของ IAEA โดยสมบูรณ์

Zionist (ก็คืออิสราเอล) และสื่อตะวันตกบางส่วน ได้แพร่ข้อกล่าวหาเท็จเกี่ยวกับอิหร่าน รัฐบาลอิหร่าน ซึ่งมีประสบการณ์เฉพาะตัว มีประวัติความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในการต่อสู้กับการก่อการร้าย ได้เสนอการให้ความร่วมมืออย่างฉันมิตรให้แก่ประเทศไทยที่เป็นมิตร และราชอาณาจักรไทย รัฐบาลอิหร่านถือว่าการตีพิมพ์ข้อหาดังกล่าวที่ไม่มีมูล เป็นการสร้างข้อมูลเท็จโดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และมิตรภาพของอิหร่าน สถานทูตฯ ยังคงพยายามส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศไทยอย่างมากขึ้น


ขณะเดียวกัน ผู้นำชีอะฮ์ในไทย ถามหาจรรยาบรรณของสื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางกอกโพสต์ นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี นักศาสนาคนสำคัญ และผู้นำมุสลิมชีอะฮ์ในไทย กล่าวว่า เป็นที่รู้กันว่าอิสราเอล กับ อิหร่าน เป็นคู่ปรปักษ์กันมายาวนาน อิสราเอลอยู่ในห้วงที่ดิ้นรนอย่างหนักเนื่องจากการเจรจาเพื่อรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านรอบใหม่กำลังคืบหน้าและใกล้บรรลุขั้นสุดท้าย

ที่สำคัญที่อิสราเอลกำลังพยายามทำตอนนี้คือ หาแนวร่วมให้ตัวเองและทำลายมิตรของอิหร่าน และวันนี้อิสราเอลกำลังปั่นให้ไทยมีปัญหากับอิหร่าน โดยโยงเรื่องที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียเพื่อใช้ไทยเป็นเครื่องมือในการต้านอิหร่าน

สำหรับรายงานบางกอกโพสต์ที่กล่าวหาและพยายามโยงมุสลิมชีอะฮ์ไทย กับการก่อการร้าย วินาศกรรมในไทยนั้น ซัยยิดสุไลมาน ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวรายงานโดยไม่มีจรรยาบรรณของผู้สื่อข่าวมืออาชีพ การเขียนข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวนิรนาม และโยงไปสิ่งที่แหล่งข่าวพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสร้างความเสียหายให้กับมุสลิมชีอะฮ์ ใส่ร้ายป้ายสีโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่มีการสอบถามอีกฝั่งที่ได้รับผลกระทบ บ่งบอกว่าผู้สื่อข่าวคนนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพพอ ไม่ยึดถือจรรยาบรรณสื่ออย่างที่ควรเป็น

ท่านซัยยิดสุไลมาน พูดเลยว่า มุสลิมชีอะฮ์ในไทยมีเกียรติประวัติในการปกป้องบ้านเมืองไทยอย่างยาวนาน เป็นผู้รู้ทันแผนการร้ายของศัตรูมาโดยตลอด ฉะนั้น เวลาเหล่าชาติตะวันตกต้องการจะแผ่อิทธิพลในภูมิภาคใด คนกลุ่มแรกที่เขาต้องระมัดระวังคือกลุ่มชีอะฮ์ และผมกำลังคิดว่า บทบาทของชีอะห์ที่ออกมาขับเคลื่อนร่วมกับขบวนการประชาชนคนไทยเพื่อต่อต้านอิทธิพลของอเมริกาและอิทธิพลพันธมิตรตะวันตกในการทำสงครามกับจีนในภูมิภาคบ้านเรา ตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนาโต จนถูกเรียกว่า นาโต 2 นั้น จึงทำให้มีความพยายามดิสเครดิตด้วยรายงานข่าวชิ้นนี้ของบางกอกโพสต์

ผมอยากฝากไปถึงบรรณาธิการและสำนักสื่อว่าจะรับผิดชอบและแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นกับมุสลิมชีอะฮ์ ซึ่งเป็นประชาชนคนไทย ในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วอย่างไร ผมไม่ได้ร้องขออภิสิทธิ์ แต่สิ่งที่ผมต้องการคือ ขอให้มีความเป็นมืออาชีพในการรายงานข่าว


ท่านผู้ชมครับ ทันทีที่ข่าวบางกอกโพสต์ลง สื่ออิสราเอลรับลูกทันควัน เดี๋ยวผมเอารูปขึ้นให้ดู หนังสือพิมพ์ THE TIMES OF ISRAEL พาดหัวเลยว่า After Israeli warning, Thailand said to be on high alert for potential Iranian spies. อ้างเลยว่า หลังจากที่ประเทศอิสราเอลได้เตือน ประเทศไทยก็เลยตื่นตระหนก เข้มงวดมากเพื่อจับตาดูสายลับของอิหร่าน หลังจากบางกอกโพสต์ออกไปยังไม่ทันไรเลย สื่ออิสราเอล THE TIMES OF ISRAEL, The Jerusalem Post, ช่อง 24 ในอิสราเอล พากันเสนอข่าวนี้ทันควัน แต่สื่อตะวันตกบางแห่งไม่ได้เสนอข่าว ไม่ว่าจะเป็น CNN, Al Jazeera หรือแม้กระทั่ง BBC

ทีเด็ดอยู่ตรงนี้ท่านผู้ชม ที่ผมจะพูดตอนจบ เหตุเกิดวันที่ 6 มิถุนายน สถานทูตอิหร่านออกมาประณามเหตุการณ์ข่าวนี้ ปรากฏว่าวันที่ 8 มิถุนายน เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พูดออกมาเลย ตามข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ และอ้างอิงเว็บไซต์สำนักข่าวบางกอกโพสต์ ที่อ้างว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีข้อสั่งการลับไปยังหน่วยงานในสังกัด ให้เฝ้าระวังกลุ่มบุคคลสัญชาติอิหร่านและกลุ่มคนไทยมุสลิมชีอะฮ์ ที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน นั้น ท่านผู้บังคับการฝ่ายต่างประเทศของตำรวจ บอกว่า เรื่องดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้มีการสั่งการให้เฝ้าระวังกลุ่มบุคคลดังต้น พร้อมกันนี้ ก็เลยได้สั่งการให้กองการต่างประเทศ ตร. สอบยืนยันกับประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทางตำรวจสากล เกี่ยวกับการจับกุมคนร้ายที่ประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2564 ผลปรากฏว่า ทางการอินโดนีเซียไม่ได้มีการประสานข้อมูลการข่าวกับทางไทยในการขยายผลถึงบุคคลอื่นที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวอันใดเลย


ท่านผู้ชมครับ ตำรวจพูดต่อ ขอเน้นย้ำว่า กรณีมีข้อมูลข่าวสารที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการที่เกี่ยวข้องด้วยความละเอียด รอบคอบ อย่างไม่เลือกปฏิบัติ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ และความสัมพันธ์ของมิตรประเทศเป็นสำคัญ


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าคุณวัสยศ งามขำ ที่อ้างแหล่งข่าว ผมเชื่อว่าเป็นสายของ CIA และประเทศอิสราเอล หน่วยงานสืบราชการลับของประเทศอิสราเอล อย่างแน่นอนที่สุด ผมไม่รู้ว่าคุณวัสยศ มีความรู้ในเรื่องของโลกปัจจุบันนี้ ความขัดแย้งกันในโลกนี้ ระหว่างระเบียบโลกเก่า กับ ระเบียบโลกใหม่ ที่กำลังจะเกิดขึ้น คุณวัสยศ อาจจะไม่เข้าใจว่าในขณะนี้ทางกลุ่มประเทศอิสลาม ทางตะวันออกกลาง กำลังรวมพลเพื่อจะยึดที่ราบสูงโกลัน (ที่ผมพูดถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว) คืนมา คุณวัสยศ คงไม่รู้ประวัติศาสตร์ใช่ไหม ว่าอิสราเอลคือประเทศที่ทำร้ายชนชาวมุสลิมอย่างแสนสาหัสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย และอิสราเอลเป็นคนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์ คนที่อยู่ในฉนวนกาซา อิสราเอลคือซาตานตัวจริง คุณวัสยศ คงไม่รู้ ผมยกประโยชน์ให้กับคุณ ว่าคุณโง่ แล้วคุณก็ฟังข้อมูลจากสายลับ CIA และสายลับอิสราเอล คุณไม่รู้เลยหรือว่าอิหร่านช่วยประเทศไทยมามากขนาดไหน

หลายๆ เรื่อง ถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์สักนิด ผมเห็นใจคุณ เพราะคุณทำข่าว เป็นผู้สื่อข่าวประจำกองบังคับการปราบปราม ข่าวอาชญากรรม แต่พอมาเรื่องระหว่างประเทศ คุณวัสยศ คุณเป็นเด็กน้อย แถวบ้านผมเขาเรียกว่า โหน่วเกี้ย คุณอย่าทะลึ่งไปซี้ซั้วรับงานของสายลับต่างชาติมา ซึ่งมาในหลายรูปหลายแบบ แล้วมากล่าวหาคนโน้นกล่าวหาคนนี้ โดยใช้คุณเป็นเครื่องมือ คุณวัสยศ คุณไปทำเรื่องข่าวอาชญากรรมของคุณเถอะ อย่าทะลึ่งมาสัมผัสเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งความรู้ของคุณแทบจะหางอึ่ง หรือแทบจะไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว คุณเล่นไปตามเกมฝรั่ง อิสราเอล เล่นไวโอลิน คุณก็เต้นไปตามนั้น มันบอกให้เต้นไปซ้าย คุณก็เต้นไปซ้าย บอกให้เต้นไปขวา คุณก็เต้นไปขวา เสียชื่อหมด คุณวัสยศ คุณเรียนรู้ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมามากน้อยแค่ไหน ข้อมูลคุณมีแค่ไหน คุณวัสยศ

แล้วบางกอกโพสต์ ชื่อเสียงมันมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยโน้น สมัยเก่า สมัยคุณเท่ห์ จงคดีกิจ เป็นบรรณาธิการ ว่าบางกอกโพสต์คือเครื่องมือของ CIA และสายลับของทางตะวันตก เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ผม 75 ปี ผมผ่านยุคบางกอกโพสต์สมัย คุณเท่ห์ จงคดีกิจ คุณพ่อของ อัญชลี จงคดีกิจ เป็นบรรณาธิการอยู่ เป็นเครื่องมือของ CIA และหน่วยสืบราชการลับทางตะวันตก มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าต้องการให้บางกอกโพสต์รายงาน เพื่อสื่อข้างนอกจะได้ดึงข่าวบางกอกโพสต์ไปเผยแพร่ข้างนอก เพื่อทำลายและทำร้ายชาติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการก่อการร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว


แล้วพอผมมาดูโครงสร้างบางกอกโพสต์ คุณสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ เป็นเจ้าของ ถือหุ้นอยู่ 24.22 เปอร์เซ็นต์ คุณธีระเดช จิราธิวัฒน์ 9.98 เปอร์เซ็นต์ สรุปง่ายๆ แล้ว บางกอกโพสต์ ยังเป็นของคุณสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ อยู่

คุณสุทธิเกียรติ รู้บ้างหรือเปล่าว่าลูกน้องของคุณทำขายหน้าหมด นี่ผมพูดตามหลักฐานนะว่า คุณวัสยศ อ้างว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งไปทางตำรวจภูธรทั้ง 9 ภาค นครบาลด้วย โน่นนี่นั่นด้วย แต่ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ เป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาประกาศว่าไม่มีจริง ไม่เคยสั่ง ไม่มี แล้วก็ประสานงานไปทางอินโดนีเซียแล้ว อินโดนีเซียก็บอกว่าไม่เคยมีการประสานงานมาทางเมืองไทยให้จับตาดูคนโน้นคนนี้

คุณวัสยศ คุณเป็นถึงอุปนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นประธานชมรมนักข่าวกองปราบปราม คุณวัสยศ คุณอาจจะเก่งในเรื่องอาชญากรรม ไปในเส้นทางที่คุณชำนาญดีกว่า คุณอย่าเสือกมาในเรื่องที่คุณไม่รู้เรื่อง แล้วโดนคนเขาหลอก นี่ผมเห็นว่าคุณเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานนะ ผมถึงกล้าพูดกับคุณอย่างนี้ คุณไม่รู้เรื่องหรอก ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล ความขัดแย้งระหว่างตะวันออกกลาง คุณไม่รู้เรื่องหรอกว่าอเมริกา และอิสราเอล ขโมยน้ำมันซีเรียอยู่ในขณะนี้ ตั้งกองกำลังทหารเข้าไปซ่อนอยู่ในกลุ่มกบฏเคิร์ด พรรคแรงงานเคิร์ด ที่ตุรกีต้องการปราบ แล้วคุณไม่รู้เรื่องหรอกว่า ซีเรีย อิรัก กำลังยิงถล่มขีปนาวุธใส่บ่อน้ำมันที่อเมริกา และอิสราเอล ไปยึดและขโมยส่งน้ำมันออกไปจากประเทศซีเรีย คุณยังเป็นเด็กน้อยในเรื่องนี้ อีกนานคุณ ผมเสียใจมาก คุณทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ อิหร่าน ต้องแปดเปื้อน เพียงเพราะว่าคุณไปเชื่อสายลับที่มันหลอกใช้คุณเป็นเครื่องมือ



ถ้าท่านผู้ชมจำได้ และเป็นแฟนที่ติดตามรายการนี้ตลอดเวลา ผมจะเป็นคนที่ตอกย้ำเสมอว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ชอบบริหารงานแบบข้าราชการ คือทุกอย่างต้องตั้งตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อตั้งการ์ดสูง ป้องกันตัวเองไว้ก่อน จริงๆ แล้วภาวะผู้นำจะต้องกล้าตัดสินใจและจะต้องเดินหน้าไปให้สุดซอยเพื่อแก้ปัญหาได้ทันที การตั้งคณะกรรมการทุกครั้งคือการยื้อเวลา การซื้อเวลา และบางครั้งอาจจะแปลความหมายได้ว่า เป็นการไม่ต้องการจะแก้ปัญหาจริงๆ

หลายต่อหลายเรื่อง หลายปัญหา ควรจะแก้ไขได้ทันทีทันใด กลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องล่าช้าออกไป ความเสียหายเกิดเพิ่มขึ้นเยอะ อะไรๆ ท่านนายกฯ ก็ตั้งคณะกรรมการสอบ เคยมีการรวบรวมว่า 7-8 ปีที่ผ่านมานี้ ท่านนายกฯ ตั้งคณะกรรมการมาหลายร้อยคณะแล้ว เป็นทุกเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การค้า การลงทุน คมนาคม ขนส่ง การศึกษา เทคโนโลยี ดิจิทัล ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แก้ปัญหาคอร์รัปชัน สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว สาธารณสุข ปัญหาโควิด ปฏิรูปโน่นปฏิรูปนี่ หรือการตั้งกรรมการของท่านนายกฯ นั้น ตั้งขึ้นมาก็เพื่อเตะตัดขาเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านไม่อยากให้เกิดขึ้น อย่างเช่นกรณีล่าสุดที่ท่านตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเรื่องกัญชาเพื่อบูรณาการ โดยให้รองฯ วิษณุ ซึ่งในข้อเท็จจริงก็รู้อยู่แล้วว่ารองฯ วิษณุ นั้น อยู่ข้างหมอที่ไม่ต้องการที่จะให้กัญชาถูกกฎหมาย ท่านก็ยังจงใจตั้งคณะกรรมการ 30 คน งานนี้ก็คืองานเตะตัดขาไม่ให้ พ.ร.บ. กัญชาฯ เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาสู้กันมาตลอด


ล่าสุด ได้พบการทุจริตที่สหกรณ์หลายๆ แห่งในประเทศไทย ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง สหกรณ์คลองจั่น ปี 2556 มีการยักยอกทรัพย์กว่าหมื่นล้านบาท นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตผู้บริหาร ประธานสหกรณ์ เกิดจากการแย่งชิงอำนาจภายใน สหกรณ์เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง เจ้าหน้าที่สหกรณ์กว่า 70 แห่ง ได้มีการร้องทุกข์ดีเอสไอให้รับคดี เรียกให้ชดใช้เงินจำนวน 3,800 ล้าน ก็ดำเนินการต่อๆ ไป


2562 สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ (สอ.สรฟ.) อดีตกรรมการสหกรณ์ และพวก ร่วมทุจริตนำเงินของสหกรณ์ฯ ไปซื้อที่ดินและทรัพย์สิน โอนเป็นกรรมสิทธิ์ของอดีตกรรมการสหกรณ์ฯ ตั้งแต่ปี 2559 เสียหายตั้งสองพันกว่าล้านบาท นี่ยังไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ครู สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ สหกรณ์การเกษตร ซึ่งพบว่าทรัพย์สินถูกยักยอกไปไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ส่งผลให้สหกรณ์ขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง สมาชิกไม่สามารถถอนเงินฝาก กู้ยืม ดำเนินธุรกิจกับสหกรณ์ได้ รวมไปถึงสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งผมเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังไปแล้ว คือ คดีทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งขณะนี้มีรายงานยอดความเสียหายเบื้องต้นสูงถึง 6 ร้อยกว่าล้านบาท เชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจระดับพลตำรวจตรีคนหนึ่งที่เพิ่งเกษียณอายุได้ 1-2 ปี มีตำแหน่งสูง เป็นอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดใหญ่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน แล้วตำรวจคนนี้ก็เป็นคนที่พาผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศ


เมื่อ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ท่านนายกฯ ก็เลยตัดสินใจจัดการแก้ปัญหาคาราคาซังนี้ด้วยการลงนามตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทุจริตสหกรณ์ กรรมการชุดดังกล่าวมีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ ตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในสหกรณ์ ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะแก่กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตในสหกรณ์ คณะกรรมการนี้ประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณมนัญญา ไทยเศรษฐ์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์


ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ที่ไหน เรื่องนี้ ? ผมจะพูดให้ฟัง เมื่อผมมาดูแล้ว การโกงเงินสหกรณ์ โกงกันมากเหลือเกินในช่วงหลัง คำถามที่คนไม่เคยตอบเลย และไม่เคยตั้งคำถามถามเลยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ มันเกิดอะไรขึ้นกับกระทรวงเกษตรฯ มีการโกงเงินสหกรณ์ แต่ผู้ที่รับผิดชอบกรมส่งเสริมสหกรณ์ คืออธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และรองอธิบดี หรือคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกรมส่งเสริมสหกรณ์ ยังนั่งสบายดีอยู่หรือ ทำไมเขาไม่ทำงาน นี่คือปัญหาใหญ่ คือถ้ากรมส่งเสริมสหกรณ์ทำงาน โอกาสที่จะโกงมันก็มีน้อยลง แต่มันไม่ได้ทำงาน ทีนี้หากมีระเบียบ มีข้อบังคับ มีทุกอย่างแล้ว ยังโกงกันได้ ก็แสดงว่าอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ใช่ไหม มันต้องเล่นงานอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็ในเมื่อต้นเรื่อง หัวหน้าที่อยู่ต้นเรื่องมันไม่ทำงาน แล้วยังเอาเข้ามาเป็นกรรมการอีก อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ มันสะท้อนถึงใคร ? สะท้อนถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถ้าปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แก้ปัญหาไม่ได้ มันก็ต้องโยงยิงตรงไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใช่ไหม ท่านผู้ชม

พอจับได้เรียบร้อยแล้ว สมมุติว่ารู้เรื่อง จับได้ ปัญหาต่อไปที่ท่านนายกฯ ท่านตั้งขึ้นมา ผบ.ตร. และดีเอสไอ ปปง. ก็อีกล่ะ สหกรณ์เจอข้อเท็จจริง ข้อทุจริต ส่งเรื่องไปที่ตำรวจ ตำรวจก็ต้องทำงานอย่างรวดเร็ว ส่งไปดีเอสไอ ดีเอสไอต้องทำงานอย่างรวดเร็ว คุณมาตั้งคณะกรรมการเช่นนี้แล้วมันแก้อะไรได้ มันแก้อะไรไม่ได้ มันก็ต้องยืดเยื้อไปอีก ส่งเรื่องส่งราวไปที่คณะกรรมการ ให้คณะกรรมการชุดนี้มาจัดการเรื่องนี้ แล้วคุณตั้ง ผบ.ตร. ตัวแทนตำรวจ ผบ.ตร. ก็ไม่มา ให้คนอื่นมา คุณตั้งดีเอสไอ อธิบดีดีเอสไอก็ไม่มา ให้รองอธิบดีมา ก็คือระบบราชการที่มันทำให้ประเทศชาติฉิบหายทุกวันนี้ไง เพราะฉะนั้นการตั้งคณะกรรมการของท่านนายกฯ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบราชการที่ท่านนายกฯ นำมาใช้กับประเทศไทย มันล่มสลายไปหมด


การโกงเงินชาวบ้านที่ฝากเงินในสหกรณ์นั้น สหกรณ์ทุกแห่งขึ้นอยู่กับกรมส่งเสริมสหกรณ์ อธิบดี คุณไม่ทำงานกันเลยหรือ คุณทำงานประเภทไหน ถึงมีการโกงกันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว การแต่งตั้งอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็ต้องแต่งตั้งอธิบดีในลักษณะที่เข้ามาแก้ไขปัญหา บอกว่า คุณต้องเข้ามาอุดรูรอยรั่วในการโกงสหกรณ์ ถ้าคุณอุดไม่ได้ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็ต้องไป อย่างวันนี้สหกรณ์ตั้งกี่แห่งล่ะ สหกรณ์ตำรวจ สหกรณ์รถไฟ สหกรณ์ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ สหกรณ์โน้น สหกรณ์นี้ โกงกันไปไม่รู้ตั้งกี่สหกรณ์ อธิบดีก็ยังนั่งอยู่เฉยๆ สบายใจดี ชิลๆ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ยังนั่งอยู่เฉยๆ ชิลๆ ไม่ได้ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม มันต้องเริ่มที่ต้นสังกัด ต้นสังกัดจะแก้อย่างไร ช่องโหว่มีอยู่ที่ไหน ต้นสังกัดต้องเรียกประชุมภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วบอกว่า การเบิกจ่ายแบบนี้มันหละหลวม ต้องแก้ไข 1..2..3..4..5.. แล้วถ้าท่านอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์เจอเรื่องการโกง ก็ต้องส่งไปที่ตำรวจ ตำรวจอาจจะต้องตั้งหน่วยพิเศษชุดหนึ่งเพื่อจัดการเรื่องการโกงสหกรณ์โดยเฉพาะ หรือจัดการในเรื่องการโกงทุกประเภท ตำรวจชุดนี้มีหน้าที่จะต้องทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน จัดเป็นเวรเข้าไป 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่มีวันหยุด เพื่อที่จะลากเอาคนที่ผิดออกมา แล้วเมื่อลากเอาคนผิดออกมา ก็ต้องส่งไปที่ ปปง. ปปง. ก็ต้องทำงานทันที ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านนายกฯ ไม่ต้องตั้งกรรมการหรอก ท่านนายกฯ ควรจะตั้งกรรมการตรวจสอบตัวท่านเองมากกว่า เพราะว่าท่านเองทำงานไม่ได้ผล เอะอะอะไรท่านก็ตั้งกรรมการ ท่านก็ปัดขยะ ปัดขยะเข้าสู่ใต้พรม นี่ไม่ใช่เรื่องแรกนะ เดี๋ยวจะมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะพูดถึง แล้วผมจะอธิบายให้ฟัง หลายๆ อย่าง

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ชมเห็นไหมว่าปัญหาประเทศเรามันแก้ไม่ได้ถ้ามีการตั้งกรรมการ ตั้งมากี่กรรมการแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นมีผลการรายงานการตั้งกรรมการที่จัดการเรื่องนี้แล้วผลออกมาอย่างไร 100-200 กรรมการแล้ว ท่านนายกฯ ครับ ผมขอดูผลหน่อยได้ไหม ท่านอย่าเก่งแต่ปาก ผมจัดการอย่างแน่นอน ท่านไม่ได้จัดการหรอก ท่านปัดขยะเข้าสู่ใต้พรม มาอีกแล้ว กรรมการ ยังไม่ทันไรเลย ถ้ากรรมการตั้งเพื่อยื้อเวลา หรืออีกประเภทหนึ่ง กรรมการตั้งเพื่อล้มโครงการนั้น อย่างเช่น กัญชา อย่างนี้ท่านถนัด

ท่านนายกฯ ครับ ปัญหาใหญ่ที่สุดของการปราบปรามการโกงสหกรณ์นั้น ไม่ใช่อยู่ที่ต้นสังกัดอย่างเดียว อยู่ที่ผู้ดำเนินการจับกุมและปราบปราม อย่างเช่นตำรวจ ท่านนายกฯ แล้วใครเป็นประธาน ก.ตร. ? ถ้าไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านทั้งนั้น ท่านทั้งนั้นเลยครับท่านนายกฯ


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะต้องมาพูดเรื่อง "ไม้ล้างป่าช้า" GT200 อีกครั้งหนึ่ง ผมพูดมาแล้วหลายครั้ง แต่เรื่องนี้ไม่จบเสียที มหากาพย์ของการทุจริตอย่างหน้าด้านๆ ที่สุด ผมย้ำนะท่านผู้ชม หน้าด้านฉิบหายเลยงานนี้ และเกี่ยวข้องกับทหารชั้นผู้ใหญ่ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เมืองไทย คดีนี้เกิดขึ้นมาเป็นที่ฉาวโฉ่ เป็นเรื่องราวไปถึงระดับชาติ ระดับโลก คนที่คิดค้น GT ถูกศาลอังกฤษพิพากษาจำคุกแล้วว่าหลอกลวงประชาชน โยงมาถึงประเทศไทย แต่ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านไม่เคยตั้งกรรมการเรื่องนี้ เพราะทำไมรู้ไหม ? เพราะเรื่องนี้เผอิญมันไปเกี่ยวข้องกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รุ่นพี่ของท่าน สมัยที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องรับผิดไปเต็มๆ แต่ไม่เคยได้เข้าไปเกี่ยวข้องในการรับผิดเลยแม้แต่นิดเดียว

"ไม้ล้างป่าช้า" นี้ มันเกิดขึ้นเพราะเผอิญมี ส.ส. พรรคก้าวไกล คนหนึ่ง อภิปรายเรื่องงบทดสอบ พิสูจน์ 7.57 ล้านบาท เพื่อมาตรวจสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 จำนวน 757 เครื่อง เฉลี่ยแล้วเครื่องละ 1 หมื่นบาท 


ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังว่า GT200 เขาเคยแกะออกมาแล้ว แกะออกมาแล้วมันคือพลาสติกธรรมดา ไม่มีอะไรเลย ท่านผู้ชม ให้เด็กวิศวะ หรือเด็กที่ไหนก็ได้ ผมก็ได้ ผมตรวจสอบ แกะออกมาแล้วไม่มีอะไรเลยในนั้น เพราะทำไม ? เพราะมันเป็นของหลอกลวงมาตั้งแต่ต้น

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นจากความโลภของคน แล้วก็สมรู้ร่วมคิดกับคนขาย ย้อนที่มาของ GT200 ก่อน ท่านผู้ชมหลายๆ ท่านที่ไม่เคยตามเรื่องนี้ จะได้เข้าใจ


เครื่อง GT200 ผลิตออกมาเมื่อปี 2544 บริษัท โกลบอล เทคนิคัล จากประเทศอังกฤษ เป็นพลาสติกทรงกระบอก มีด้านจับ มีเสาอากาศยื่นออกมา แล้วมีช่องบัตร Sensor Card อวดอ้างสรรพคุณว่าใช้ระบบแม่เหล็กขั้นสูง จึงไม่ต้องใช้แบตเตอรีใดๆ ไม่ต้องชาร์จไฟ เพราะใช้จากไฟฟ้าสถิตในร่างกายของตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ตลกมาก นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเขางงกันไปหมดเลยว่า มนุษย์มีเครื่องไฟฟ้าสถิตในร่างกายได้อย่างไร ถ้ามันแรงใช้ได้กับ GT200 มนุษย์เรา โทรศัพท์มือถือก็ไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรีแล้ว คือถ้าคิดแบบตรรกะธรรมดาสามัญก็จะรู้ว่ามันเป็นงานโกหกหลอกลวง แต่ว่าประเทศหลายประเทศในโลกนี้ เพื่อความแฟร์ ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว ก็ตกอยู่ในหลุมพราง กับดับ โดนฝรั่งหลอก มันอ้างว่าตรวจเจอวัตถุระเบิดได้ โน่นนี่นั่น


ในช่วงนั้นเจ้าของบริษัทนี้ ชื่อ นายแกรี โบลตัน นักธุรกิจชาวอังกฤษ เสนอขายให้หลายหน่วยงาน เม็กซิโกซื้อไปใช้ 1,200 เครื่อง ตะวันออกกลาง แอฟริกา แม้แต่องค์การสหประชาชาติ ก็เคยซื้อไป ใช้ปราบปรามขบวนการค้างาช้างในแอฟริกา เมื่ออุปกรณ์ GT200 ขายดี ก็มีบริษัทอีก 2 เจ้า เพราะว่าบริษัท 2 เจ้าที่ตั้งใหม่ ก็คงเอา GT200 มา แกะดู แล้วบอกว่ามันไม่มีอะไรเลย ทำไมหลอกได้หลอกดี มันก็เลยตั้งผลิตอุปกรณ์ที่ชื่อว่า ADE 651 กับ Alpha 6 ซึ่งลักษณะคล้ายๆ กัน


ในประเทศไทย คนที่ซื้อ GT200 มากที่สุดก็คือยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก ท่านซื้อตั้ง 11 สัญญา 755 เครื่อง ประเทศไทยปี 2548 บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้สั่งซื้อ GT200 จากบริษัท AVA Satcom ตัวแทนในประเทศไทย 4 เครื่อง เครื่องละ 1.4 ล้านบาท แหล่งข่าวบอกว่า ที่บิ๊กบัง ตัดสินใจจัดซื้อเพราะว่ามีข่าวมาว่ากองทัพอากาศใช้แล้วได้ผล ก็เลยสั่งซื้อ พอตอนหลัง คมช. ปฏิวัติยึดอำนาจ กองทัพบกยุคบิ๊กบัง ก็ซื้ออีก 2 เครื่อง วงเงิน 1.8 ล้านบาท

ทีนี้พอ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ท่านขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนต่อมา ตั้งแต่ปี 2551-2552 สองปีนี้ ท่านจัดซื้อ 11 สัญญา รวม 755 เครื่อง วงเงิน 680 กว่าล้านบาท ถือเป็นหน่วยงานที่จัดซื้อ GT200 มากที่สุด โดยการจัดซื้อทุกครั้งจะใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ว่าเป็นกรณีเร่งด่วน และมีข้อจำกัดทางเทคนิค ระบุว่าต้องยี่ห้อนี้เท่านั้น


ที่น่าสนใจ ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ แม้จะเป็นเครื่องเดียวกัน แต่ราคาซื้อขายกลับแตกต่างกันมาก

กรมศุลกากรก็เอากับเขาด้วย ซื้อมา 6 เครื่อง แต่ด้วยวิธีประกวดราคา ได้เครื่องละ 4.2 แสน แต่กองทัพบกภายใต้การนำของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซื้อมาตกเครื่องละล้านกว่าบาท กรมศุลกากรซื้อ 4.2 แสน กองทัพบกซื้อล้านกว่าบาท ของชิ้นเดียวกัน ต่างกันตรงที่ว่ากรมศุลกากรจัดประกวดราคา แต่กองทัพบกบอกว่าซื้อด้วยกรณีพิเศษ กองทัพเรือก็ซื้อเหมือนกัน 8 สัญญา 38 เครื่อง 39 ล้านบาท ตกเครื่องละ 1.2 ล้านบาท แล้วมีใครซื้ออีกท่านผู้ชมรู้ไหม ? ศูนย์รักษาความปลอดภัยของกองบัญชาการกองทัพไทย ซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด Alpha 6 ผลิตโดยบริษัท คอมสแตร็กซ์


ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งกับ GT200 จำนวน 8 เครื่อง ผ่านบริษัท Jackson Electronics ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ด้วยราคาเครื่องละ 1.3 ล้านบาท ลักษณะเหมือนกันเป๊ะ แม้กระทั่งดีเอสไอ

ปี 2548-2553 มีหน่วยงานรัฐของไทยจัดซื้อเครื่อง GT200 และ Alpha 6 รวมกัน 15 หน่วยงาน รวมแล้ว 1,398 เครื่อง รวมหมด ดีเอสไอ หน่วยงานรัฐของไทย ทั้งกองทัพบก คิดเป็นเงิน 1,134 ล้านบาท ผมเชื่อว่าต้นทุนเครื่องมือนี้ไม่เกิน 100 บาท ในการทำ จัดสร้างขึ้นมา เงินคงตกหล่นเข้ากระเป๋าหมาไปไม่รู้กี่ตัว แล้วหมาบางตัวกลายเป็นหมาที่เป็นใหญ่มาแล้วด้วย

ตรวจผลพิสูจน์คุณภาพ ตรวจระเบิดไม่แม่น ประชาชนโดนลูกหลง มีเยอะท่านผู้ชม ผมมีตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ 6 ตุลาคม 2552 เกิดคาร์บอมบ์ เพราะฉะนั้นแล้ว เอาไปตรวจไม่พบ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า อ้างว่าอาจจะเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่หรือของเครื่องมือ แล้วก็อ้างว่าเครื่อง GT200 เป็นเครื่องที่ทำงานขึ้นอยู่กับไฟฟ้าในตัวคน คือไฟฟ้าสถิต ผมยังยอมรับไม่ได้ ท่านผู้ชม นี่มันใช้เหตุผลตลกสุดๆ ตลกถึงโลกพระอังคารเลย บอกว่า คนที่ใช้ร่างกายอ่อนแอ เพราะฉะนั้นไฟฟ้าสถิตในร่างกายน้อยลง ทำให้ประสิทธิภาพในเครื่องใช้ไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ ผมจะหัวเราะท้องคับท้องแข็ง หน่วยงานราชการจะโกง จะเอาข้อเหตุผลมาสนับสนุนการโกง มันมีข้ออ้างมากเลย ที่เครื่องใช้ไม่ได้เพราะว่าคนร่างกายอ่อนแอ ไฟฟ้าสถิตในร่างกายมีแรงไม่พอที่จะมาใช้เครื่องนี้ ทุเรศมากจริงๆ


19 ตุลาคม มีเหตุระเบิดที่ตลาดสดยะลา บาดเจ็บ 26 คน เอาเครื่อง GT200 มาตรวจสอบ ไม่มีวัตถุน่าสงสัย พ่อค้าแม่ค้าก็เริ่มตายใจ มีรถจักรยานยนต์มาจอดเอาไว้ที่ตลาดสดรถไฟยะลา พ่อค้าแม่ค้าก็กลัวว่าจะมีระเบิดหรือเปล่า ทหารก็เอา GT200 มาตรวจ ไม่เจอ พอบอกว่าไม่เจอ เดินออกไปยังไม่ทันไรเลย มันระเบิดขึ้นมา คนบาดเจ็บไป 26 คน ก็เลยทำให้ประชาชนเขาตั้งคำถามว่า คุณเอาเครื่อง GT200 มาใช้ เครื่องชี้ไปที่วัตถุต้องสงสัยมั่วจริงๆ

ศูนย์ทนายความมุสลิม ระบุว่า ในช่วงที่ใช้เครื่อง GT200 ประชาชนถูกจับเป็นแพะไป 1,300 คดี โดย 500 คดี ถูกควบคุมตัวไปซักถาม เพราะทหารใช้เครื่อง GT200 แล้วชี้ว่าคนนี้มีระเบิด แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเพราะไม่พบอะไรเลย มีข้อสงสัยมากมาย ทั้งในโลกอินเทอร์เน็ต นักวิชาการ แต่การแกะออกมาตรวจสอบนั้น ยังแกะไม่ได้ เพราะมีข้อตกลงว่า คนขายบอกว่าห้ามแกะพิสูจน์ ห้ามแกะเครื่อง ห้ามดัดแปลงแก้ไขนำไปพิสูจน์ เมื่อค้นพบวิธีว่า ในการเอาไปใช้แล้วไม่ได้ผล จะเป็นข้ออ้างว่าผู้ที่ใช้พักผ่อนน้อย ไฟฟ้าสถิตไม่พอ เครื่องไม่ดี สารปนเปื้อน พวกนายร้อยก็กลัว ก็เลยส่งไปให้พวกจ่าระดับลูกน้องใช้ พวกลูกน้อง จ่า นายสิบ ก็ใช้งาน เด็กๆ ข้างล่างมันก็เชื่อว่าใช้งานได้ การค้นหาอาวุธก็เลยใช้ GT200 เป็นตัวค้นหา แม้กระทั่งคุณสรรเสริญ แก้วกำเนิด


2553 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ ก็ดันไปออกรายการช่อง 3 อธิบายเรื่องการใช้งานเครื่อง GT200 ยืนยันว่าใช้งานได้จริง เพียงพอต่อการฝากชีวิตของประชาชนในพื้นที่ แม้แต่คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ก็เคยออกมาการันตีว่าใช้ได้

ท่านผู้ชมครับ คนพวกนี้ถ้าได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาหลังสุด น่าจะได้เห็นข่าวที่ศาลที่อังกฤษจำคุกผู้ผลิตเครื่อง GT200 ว่าหลอกลวงประชาชน ผมยังไม่รู้เลยว่า คุณสรรเสริญ แก้วกำเนิด กับ คุณหญิงพรทิพย์ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เรามาดูบริษัทที่ขายเครื่องนี้ AVA Satcom จดทะเบียนครั้งแรก 1 ล้านบาท พอขายของได้ เพิ่มทุน 6 ครั้ง ล่าสุด แค่ 9 ปีเท่านั้นเอง จดทะเบียนเป็น 400 กว่าล้านบาท บริษัท AVA นี้ เจ้าของคือ นายสุทธิวัฒน์ วัฒนกิจ มีหุ้นส่วน 3 ราย รายแรก คือ พล.อ.อ.อภิชิต กานตรัตน์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองบัญชาการทหารสูงสุด


พล.อ.อ.อภิชิต ท่านเป็นญาติกับ พล.อ.อ.พะเนียง กานตรัตน์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ คนที่สอง คือ เรืออากาศเอก ขจรศักดิ์ วัฒนางกูร ก็เป็นญาติกับ จอมพลอากาศเอก เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร เคยเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ รายที่สาม คือ บริษัท ซาบ จากสวีเดน

AVA เคยทำมาค้าขายกับกองทัพอากาศมานานแล้ว ก็เลยมีคอนเนกชัน ในที่สุดแล้ว ฝรั่งเอง ที่เมืองนอก ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ตัดสินใจเอาเครื่อง GT200 มาพิสูจน์


Dr. Markus Kuhn แห่งห้องทดลองคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ผ่าพิสูจน์การ์ดในเครื่อง ADE 651 ยืนยันว่า ไม่มีกลไกใดที่จะสำรวจระเบิดได้ ตกลงแล้ว GT200 ที่เขาเรียกกันว่า "ไม้ล้างป่าช้า" ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ ก็เลยถูกโยงใยกลับมาถึงเครื่อง GT200 ที่ใช้ในประเทศไทย พล.อ.อนุพงษ์ ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปไม่สุดซอยแล้วคราวนี้ ก็เลยสั่งการให้หน่วยเฉพาะกิจจัดทดสอบค้นหาวัตถุระเบิด สนามฝึกราชบุรี ปรากฏว่ามีการซุกซ่อนระเบิดไว้ ดันหาเจออีก 2 ชิ้น ก็เลยให้ใช้ต่อมา แต่แค่วันเดียวเท่านั้นเอง พล.อ.อนุพงษ์ ยอมให้ผ่าพิสูจน์เครื่อง GT200 เป็นครั้งแรก แล้วให้ชะลอการจัดซื้อไว้ก่อน หลังจากที่ซื้อไปแล้ว 755 เครื่อง วงเงิน 680.2 ล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ มีการพิสูจน์หลายอย่างจากผู้อำนวยการศูนย์ NECTEC ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ แถลงว่า GT200 ใช้แหล่งพลังงานจากไฟฟ้าสถิต ตามหลักความเป็นจริงไม่น่าจะใช้เป็นพลังงานป้อนเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์อย่าง GT200 ได้ สรุปง่ายๆ GT200 ถ้าจะทำได้ มันต้องมีแหล่งพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี เหมือนเราใช้โทรศัพท์มือถือ ตามหลักอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ไฟฟ้าสถิตจะเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ไฟฟ้าสถิตจะเป็นตัวทำลายอุปกรณ์ฮาร์ดดิสก์ ก็ต้องถามว่า แล้วเอาไฟฟ้าสถิตมาจากไหน ถ้าเป็นไฟฟ้าสถิตตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วจะมีน้อยมากในร่างกายคน


ปรากฏว่า เรืออากาศเอก ขจรศักดิ์ วัฒนางกูร ผู้อำนวยการบริษัท AVA Satcom ก็ยังออกมายืนยันว่า หน่วยราชการหลายแห่งสั่งซื้อเพิ่มเพราะใช้ได้ดี

ในที่สุด 2 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมติให้ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในขณะนั้น ตั้งคณะกรรมการ 13 คน ทดสอบประสิทธิภาพ GT200 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปรากฏว่าผลทดสอบสรุปว่า 20 ครั้ง สามารถค้นพบระเบิดได้ 4 ครั้ง ทำให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ระงับการจัดซื้อ GT200 ก็เลยมีการดำเนินคดีกับผู้จำหน่าย หลังจากที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ สั่งให้ระงับการจัดซื้อเครื่อง GT200 เพราะผลการทดสอบประสิทธิภาพพบว่า ไม่สามารถทำงานได้จริงตามโฆษณาขาย ทำให้เกิดความเสียหาย ตอนนี้ก็เอาล่ะสิ ท่านผู้ชม พอความจริงปรากฏแล้ว ทุกคนใส่ตีนหมาวิ่งเข้าไปฟ้อง ฟ้องดำเนินคดีอาญา ผู้ที่เสียหายมี สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ คุณหญิงพรทิพย์ อยู่ที่นั่นด้วย กรมสรรพาวุธทหารบก จ.พิษณุโลก กรมศุลกากร กรมการปกครอง กรมราชองครักษ์ เพชรบุรี จ.ภูเก็ต ตำรวจภูธร จ.สิงห์บุรี จ.ยะลา ภูธรชัยนาท องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ศูนย์รักษาความปลอดภัยกองทัพเรือ จ.สุโขทัย

ท่านผู้ชมครับ NECTEC ตรวจสอบเรื่อง GT200 ไม้ล้างป่าช้า เสร็จแล้ว ส่งไปให้ศาลที่ประเทศอังกฤษ เพื่อใช้ไต่สวนคดี ผ่านไป 3 ปี พบว่ามีการดำเนินคดีผู้ผลิตอย่างเกี่ยวข้อง


พฤษภาคม 2556 ศาลในประเทศอังกฤษตัดสินจำคุก นายเจมส์ แมคคอร์มิค นักธุรกิจชาวอังกฤษ 10 ปี ฐานผลิตและจำหน่ายเครื่อง ADE 651 แก่รัฐบาลอิรัก และประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งอัยการระบุว่า สร้างจากกลไกการทำงานของเครื่องมือค้นหาลูกกอล์ฟ และไม่สามารถใช้งานได้จริง ก่อนที่เวลาต่อมาศาลจะออกคำสั่งยึดทรัพย์นายเจมส์ ทั้งเงินสด อสังหาริมทรัพย์ เรือหรู ประมาณ 7.9 ล้านปอนด์ เพื่อนำเงินไปชดใช้ให้กับรัฐบาลอิรัก จอร์เจีย และประเทศอื่นๆ รวมทั้งกองกำลังเฉพาะกิจของสหประชาชาติ

20 สิงหาคม 2556 ปีเดียวกัน พฤษภาคม ศาลสั่งจำคุกไปแล้ว 1 คน คือผู้ผลิตยี่ห้อหนึ่ง คือ ADE 651 อีกสี่เดือนให้หลัง ศาลประเทศอังกฤษตัดสินจำคุก นายแกรี โบลตัน นักธุรกิจชาวอังกฤษ ข้อหาหลอกลวงขายเครื่อง GT200 เป็นเวลา 7 ปี หลอกลวงไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย


ศาลเห็นว่า นายโบลตัน จงใจหลอกลวงว่าอุปกรณ์ใช้งานได้ และรู้ดีแก่ใจว่าผลิตโดยใช้ "วิทยาศาสตร์จอมปลอม" ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศุลกากร และอื่นๆ อีกมากมาย ให้ความไว้วางใจต่อเครื่องมือ ก็เลยหลงซื้อไป คณะลูกขุนระบุว่า จำเลยรู้ดีว่าใช้ไม่ได้ แต่ยังเดินหน้าขายต่อไปอีก 5 พันเครื่อง ทั่วโลก ทำรายได้กว่า 3 ล้านปอนด์ ศาลประเทศอังกฤษบอกว่า ต้นทุนอุปกรณ์พิสูจน์แล้วราคาไม่เกิน 5 ปอนด์ (200 บาท) เอามาขายที่เมืองไทย 1.4 ล้านบาท

นอกจากนั้นแล้ว 2557 ต่อมาอีกหนึ่งปี ศาลประเทศอังกฤษจำคุก นายแซมวล ทรี คนที่ผลิตอีกยี่ห้อหนึ่ง แต่เป็นแบบเดียวกัน ยี่ห้อ Alpha 6 เป็นเวลา 3 ปี

ท่านผู้ชมครับ มันเป็นตลกร้าย ผมหัวเราะไม่ออกจริงๆ นะ เมืองไทยบัดซบจริงๆ ทหาร ระดับพลตรี พลโท พลเอก ไม่รู้ไปมีผลประโยชน์อะไรกับเขาหรือเปล่า ต้นทุนเครื่องละ 5 ปอนด์ ศาลอังกฤษบอกแล้ว 200 บาท เอามาขาย 1.4 ล้านบาท ในประเทศไทยก็เลยมีการดำเนินคดี จาก 16 คดี เพิ่งจะผ่านไป 4 คดีเอง คดีที่หนึ่ง ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย คดีที่สอง กรมสรรพาวุธทหารบก เป็นผู้เสียหาย จำคุกกระทงละ 3 ปี 12 กระทง 36 ปี จำคุกจริง 10 ปี คดีที่สาม กรมราชองครักษ์ เป็นผู้เสียหาย คดีที่สี่ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นผู้เสียหาย อีกตั้ง 12 คดี ยังเดินช้าเหมือนเต่า คดีก็อยู่ใน ปปง. ป.ป.ช. นั้น เมื่อ 15 กรกฎาคม 2564 ที่ประชุมมีมติชี้มูลความผิดคดีจัดซื้อจัดจ้างเครื่อง GT200 Alpha 6 จำนวน 20 สำนวน จากทั้งหมด 25 สำนวน ส่วนใหญ่ผู้ถูกชี้่มูลเป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง และคณะกรรมการตรวจรับงานจ้างของหน่วยงานนั้น แปลว่าอะไร ? แปลว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่สั่งซื้อไม่มีผิด เพราะโบ้ยความผิดไปที่คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก ที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่ผิด เพราะคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างเป็นคนจัดซื้อจัดจ้าง แต่โดยหลักแล้ว ถ้าท่านผู้ชมที่อยู่ในวงการราชการ ก็ต้องรู้ว่าคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะได้รับธงจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่คุมหน่วงานนั้นว่า เฮ้ย เอาอันนั้นนะ เฮ้ย เอาอันนี้นะ แต่ตามกฎหมายแล้ว คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างต้องรับไป ก็รับไปก็แล้วไป เงินคุณอาจจะไม่ได้ หรือได้แค่เศษสตางค์

เหมือนคดี บอส อยู่วิทยา ท่านผู้ชมรู้ไหม มีการวิ่งเต้น ไม่รู้ใครเอาเงินไปให้คนวิ่งเต้น 100 ล้านบาท 200 ล้านบาท คนวิ่งเต้นคนนี้ ก็เอาเงินมาให้คนที่ทำหน้าที่อัยการคนหนึ่ง 100 บาท ไม่รู้ว่าใคร อัยการคนนี้ก็เอาให้ลูกน้องซึ่งเป็นอัยการที่ทำเรื่องนี้ ให้ไป 2 ล้านบาท

ท่านผู้ชม นี่คือประเทศไทย นี่ประเทศไทยจริงๆ ให้ตาย ฟังแล้วเศร้าไหม ท่านผู้ชมครับ ในที่สุดแล้ว GT200 ก็มาสู่จุดจบ แต่คดียังค้างอยู่อีก ป.ป.ช. ยังค้างคดีอีก ตั้งกี่ปีแล้ว (2556-2564) 9 ปี ท่านนายกฯ ไม่คิดจะตั้งคณะกรรมการบ้างหรือ เรื่องนี้ ตั้งสิครับท่านนายกฯ ตั้งหน่อยสิ ตั้งเอาไว้เป็นหลักการ แล้วหลังจากที่ท่านนายกฯ หรือพรรคพวกท่านที่มีแชร์อำนาจด้วยกัน ถ้าลงจากตำแหน่ง ลงจากอำนาจในการปกครองประเทศแล้ว ผมจะได้เห็นว่ามีการเช็กบิลของพวกท่าน ใครก็ตามที่หลุดไปครั้งนี้ อย่าลืมนะ มีคนรอเช็กบิลไว้เยอะมาก ไม่ใช่เฉพาะ GT200 นะ ยังมีบอลลูน ลูกโป่งน่ะ จำได้ไหม ประเภทซื้อมาเพื่อตรวจสอบวิวต่างๆ ปรากฏว่าบินขึ้นได้แล้วก็ตก แล้วก็บินขึ้นไม่ได้อีก จนกระทั่งวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาว่าใครสั่งซื้อบอลลูนห่วยๆ แบบนี้

ท่านผู้ชมครับ ที่นี่ประเทศไทย ของแบบนี้ ของเชี่ยๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ที่เดียวเท่านั้นเอง ก็คือ ประเทศไทย


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคงได้อ่านข่าวบ้างแล้วในเรื่องของสัมปทานท่อน้ำที่ส่งเข้าไปที่อีอีซี จำนวน 25,000 ล้านบาท ที่กำลังจะเซ็นสัญญาแล้วจู่ๆ ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านสั่งให้ระงับ อย่าเพิ่งเซ็นสัญญา ส่วนผู้ที่ชงเรื่องนี้คือ คุณสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งดูแลกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่อง ก็ออกมายืนยันว่าเซ็นได้ๆ เซ็นไปเลยๆ

วันนี้ผมจะมาแฉ "ขบวนการจัดฉากงาบสัมปทานท่อน้ำอีอีซี 25,000 ล้าน" มันเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2565 ส่อไปในทางไม่โปร่งใส ในทางทุจริต เดิมอ้อยกำลังจะเข้าปากช้าง ควรจะมีการเซ็นสัญญาแล้ว ระหว่างรัฐบาล กับ เอกชนที่ได้งานไปแล้ว แต่ถูกฝ่ายค้าน คุณยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ออกมาจับพิรุธ นายกฯ เอง ท่านคงไม่อยากจะเปลืองตัว ท่านสั่งเบรกหัวทิ่ม ตั้งกรรมการสอบ ง้างอ้อยออกจากปากช้าง แต่ยังวางไว้เผื่อจะกินต่อไป ส่วนเอกชนก็ปากกล้าขาสั่น ทำซ่า บอกว่าจะฟ้องรัฐในฐานะที่ผิดสัญญา ไม่ยอมเซ็นสัญญา ทั้งๆ ที่เอกชนเจ้านี้ เมื่อผมไปดูประวัติแล้ว บริษัท วงษ์สยาม ก็ทำมาค้าขายกับสัมปทานรัฐทั้งนั้น คุณจะกล้าฟ้องรัฐหรือเปล่าล่ะ แน่จริงคุณก็ฟ้องสิ

โครงการท่อส่งน้ำอีอีซี เนื่องจากว่าสัญญาเก่าจะหมดปีหน้า (2566) แล้ว กรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าของงาน จัดประกวดราคา 9 สิงหาคม 2564 ก็มีอยู่ 5 บริษัท ที่เชิญเข้ามา มีบริษัท อีสท์วอเตอร์, วงษ์สยามก่อสร้าง, อมตะ วอเตอร์, โกลบอล ยูทิลิตี้ เซอร์วิส และ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล แต่ก็มีแค่ 3 ราย ที่ยื่นในการประมูลครั้งนี้


13 สิงหาคม คณะกรรมการได้คัดเลือกให้บริษัท อีสท์วอเตอร์ ได้คะแนนสูงสุด ต่อมาประธานคณะกรรมการไม่เห็นด้วย สั่งให้ยกเลิก อีสท์วอเตอร์ เขาได้ไปแล้วนะ แต่ประธานกรรมการดันสั่งให้ยกเลิก โดยอ้างว่าร่างขอบเขตสัญญาไม่สมบูรณ์ จึงได้ปรับปรุงใหม่ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ไม่ใช่บริษัทที่กูต้องการ คนอื่นได้มา กูล้มเสียก่อน อ้างว่าขอบเขตสัญญาไม่สมบูรณ์ จึงได้ปรับปรุงใหม่ คัดเลือกใหม่ ทั้งๆ ที่บริษัทที่ยื่นข้อสัญญาดี ข้อเสนอที่ดีที่สุดให้ภาครัฐ คือบริษัท อีสท์วอเตอร์ แต่กูขอล้ม เพราะกูตั้งใจให้วงษ์สยามฯ ได้ ก็เลยมีการสรรหาครั้งที่ 2 ท่านผู้ชมจำไว้นะ ครั้งแรกสรรหาเรียบร้อยแล้ว เชิญบริษัทเข้ามา 5 บริษัท 1 ใน 5 นั้นมีคนยื่นเข้าไปแค่ 3 บริษัท 1 ใน 3 ที่ยื่นแล้วได้คะแนนสูงสุดก็คือ อีสท์วอเตอร์ แต่คณะกรรมการ หรือประธานกรรมการ ไม่อยากได้ อยากได้บริษัทอื่น ก็เลยสั่งให้ยกเลิก อ้างว่าร่างขอบเขตสัญญาไม่สมบูรณ์ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมอ่านเกมก็อ่านออกแล้วใช่ไหม เด็กเมื่อวานซืนยังดูรู้เลยว่างานนี้ที่ล้มประมูล และยกเลิก เนื่องจากคนของตัวเองไม่ได้

ก็เลยเปิดการสรรหาครั้งที่ 2 ท่านผู้ชมจับตาคำว่า "สรรหา" ดู

เชิญชวนเอกชน 5 ราย เข้ามา ประกาศผลการคัดเลือกปรากฏว่า วงษ์สยามก่อสร้าง เสนอผลประโยชน์ตอบแทนตลอดอายุสัญญา รองลงมา คือ อีสท์วอเตอร์ ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยล้านบาท ก็เลยทำให้วงษ์สยามฯ มาที่หนึ่ง แต่ TOR วงษ์สยามก่อสร้าง ถูกรัฐบาลชะลอการเซ็นสัญญาไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะมีความพิลึกกึกกือในรายละเอียดการประมูล การเบรกสัญญามันเป็นที่น่าสงสัย


ฝ่ายค้านได้ร้องเรียนเรื่องนี้ไปยัง ป.ป.ช. ตรวจสอบ ฝีมือของ เสี่ยโจ้ จอมแฉแห่งยุค ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม จะอภิปรายไม่ไว้วางใจหนึ่งในสามเรื่องใหญ่ ยุทธพงศ์ ให้น้ำหนักไปที่การเซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำอีอีซี มูลค่ากว่า 25,000 ล้าน ยุทธพงศ์ ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ยื่นเรื่องต่อประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา ติดตามการบริหารงบประมาณ ให้ตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินโครงการถึง 8 ข้อ ท่านผู้ชมครับ ท่านนายกรัฐมนตรีท่านนั่งอยู่บนกระทะร้อนทุกวันนี้ ท่านกำลังโดนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และหนึ่งในเรื่องที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็คือเรื่องของท่อส่งน้ำฯ ที่บริษัท วงษ์สยามฯ ได้ไป ท่านก็เลยต้องให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอย่างละเอียด

ผมจะตั้งข้อสังเกตว่า งานโครงการใหญ่นี้มีการจัดฉากอย่างแน่นอน ไม่โปร่งใส ทุจริต และอาจจะเป็นไปได้ อาจจะมีการล้มประมูลในที่สุด


ท่านผู้ชมครับ ทำไมเขาถึงมองว่าโครงการนี้มีปัญหา ? ประการแรก วิธีการของกรมธนารักษ์ อ้างว่าเปิดประมูล จริงๆ แล้วภาษาคนในวงการผู้รับเหมาก่อสร้างเขาไม่เรียกวิธีนี้ว่าการประมูล เพราะโครงการนี้ไม่ใช่การประมูล ไม่ควรเรียกว่าประมูล เพราะกรมธนารักษ์ใช้วิธีคัดเลือกเอกชน จากหนังสือที่เชิญเอกชนเข้าประกวดราคา ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการสรรหาคู่สัญญาของภาครัฐ ซึ่งมีอยู่ 4 วิธี หนึ่ง คือ จัดซื้อจัดจ้างทั่วไป สอง เปิดประมูล สาม คัดเลือก สี่ จัดซื้อจัดจ้างเฉพาะเจาะจง อย่างในกรณีของไม้ชี้ป่าช้า GT200 ก็คือจัดซื้อจัดจ้างเฉพาะเจาะจง ส่วนกรณีของท่อส่งน้ำฯ คือคัดเลือก


โครงการท่อส่งน้ำอีอีซี ใช้วิธีเชิญเอกชนมาประกวดราคา แล้วกรมธนารักษ์คัดเลือก ประกาศผู้ชนะ ภาษาของคนในวงการรับเหมาก่อสร้างเขาเรียกว่า "การจัดฉาก" ให้มีกระบวนการคล้ายๆ การประมูล แต่ความจริงไม่ใช่ นั่นก็คือที่มาของคำถามว่า ทำไมไม่เปิดประมูล เพราะการเปิดประมูลจะเปิดโอกาสให้บริษัททั่วไป ยักษ์ใหญ่ เข้าร่วมประมูล แต่กลับเรียกมาแค่ 5 บริษัท แข่งขันราคากัน สาเหตุคืออะไร ? คือ ถ้าเปิดให้บริษัทก่อสร้างใหญ่ บริษัท อิตาเลียนไทย บริษัท ช. การช่าง บริษัท ซิโนไทย เข้าร่วมประมูล อาจจะเสนอผลประโยชน์ให้รัฐมากกว่า บริษัท วงษ์สยามฯ ซึ่งคนเขามองว่าเป็นบริษัทก่อสร้างขนาดเล็ก

ยุทธนา หยิมการุณ
ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง คุณยุทธนา หยิมการุณ อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ เร่งรีบให้เปิดซองการประกวดราคาในวันเกษียณอายุราชการ 30 กันยายน 2564 ซึ่งถ้าจะทำให้โปร่งใสจริง ต้องเปิดให้มีการประมูลใหม่ โดยเรียกบริษัทใหญ่อื่นๆ ทุกบริษัทเข้ามาร่วมประมูลด้วย แล้วคุณยุทธนา หยิมการุณ ก็ถูกฟ้องที่ ป.ป.ช. ด้วยเช่นกัน ว่ามีส่วนสมรู้ร่วมคิด

โครงการจำนวนมากในอีอีซี ต้องใช้รูปแบบการร่วมลงทุน แบบร่วมทุนระหว่างภาครัฐ-เอกชน เป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เขาเรียกว่า Public Private Partnership ชื่อย่อคือ PPP ให้เป็นไปตามกฎหมายร่วมลงทุน เพื่อความโปร่งใส กรมธนารักษ์ ในยุคของคุณยุทธนา หยิมการุณ หาช่องเลี่ยง PPP โดยอ้างว่าผลการศึกษาวิเคราะห์โครงการ มีการคำนวณมูลค่าโครงการตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ปรากฏว่าโครงการมีมูลค่าไม่เกิน 5 พันล้านบาท จึงไม่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ปี 2562 เลยใช้วิธีคัดเลือกเอกชนแทน

ก็เลยมีข้อสงสัยปนถามว่า กรมธนารักษ์จงใจเอื้อผลประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่งหรือไม่ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ดำเนินการคุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐหรือเปล่า มีข้อร้องเรียนว่ากรมธนารักษ์กำหนด TOR ไม่สมบูรณ์ ครบถ้วนในเนื้อหาสาระสำคัญด้านวิศวกรรม สังคม กฎหมาย อาทิ ปริมาณน้ำที่ใช้คำนวณใน TOR จากข้อสงสัยดังกล่าวก็เลยถามว่า ใครเข้ามาเกี่ยวข้องในโครงการนี้บ้าง ? ฝ่ายค้านยื่นเอาผิด ยื่น ป.ป.ช. อภิปรายไม่ไว้วางใจผู้อยู่ในข่าย 5 ราย คือ หนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สอง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สาม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ นี่ไงครับประธานกรรมการที่สั่งให้ยกเลิกการคัดเลือกครั้งแรก ก็คือ สันติ พร้อมพัฒน์ ท่านผู้ชมครับ ยกเลิกเพราะว่าร่างระเบียบการประมูลไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์แล้วคุณเรียกเขามาได้อย่างไร แล้วคุณยื่น TOR เข้าไปได้อย่างไร แสดงว่าคุณเจตนาไม่บริสุทธิ์เลย

สันติ พร้อมพัฒน์
มีคณะกรรมการที่ราชพัสดุ 6 คน ที่ลงมติรับรองให้บริษัท วงษ์สยามฯ เป็นผู้ชนะประมูล และคนที่ 5 คือ นายยุทธนา หยิมการุณ อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ ที่เร่งรีบให้เปิดซองประกวดราคาในวันเกษียณอายุราชการ 30 กันยายน เรามาดูเบื้องลึกเบื้องหลังกันดีกว่า ท่านผู้ชม

บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นใครมาจากไหน ? ทำไมถึงล้ม อีสท์วอเตอร์ เจ้าของสัมปทานน้ำอีอีซีเจ้าเดิมลงไปได้ ?

บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียน 630 ล้าน ตั้งอยู่เลขที่ 111 ซอยพหลโยธิน 8 แขวงสามเสนใน ผู้ถือหุ้นเป็นคนในตระกูล เกิดสินธ์ชัย คนที่สำคัญที่สุด ชื่อ อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย ถือหุ้นอยู่ 74.52 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็เป็นญาติพี่น้อง ลูกสาวบ้าง ลูกชายบ้าง คุณอนุฤทธิ์ เป็นคนที่มีคอนเนกชันพิเศษ สายสัมพันธ์พิเศษกับคนทุกวงการ วงการธุรกิจ วงการกีฬา วงการเมือง เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่มี ซูเปอร์คอนเนกชัน


คุณอนุฤทธิ์ เขาเรียกชื่อสั้นๆ ว่า "เสี่ยนุ" จบหลายหลักสูตรเหลือเกินที่เขามีการอบรมกัน เยอะแยะไปหมด ผมขี้เกียจจะอ่านให้ฟัง

นักธุรกิจที่จบหลักสูตรเหล่านี้ย่อมมีคอนเนกชันที่ไม่ธรรมดา ยิ่งไปเรียน วปอ. ยิ่งมีสายสัมพันธ์กับคนมีสี บิ๊กทหาร บิ๊กตำรวจ นักธุรกิจชื่อดัง เพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ รุ่นน้อง ด้วยคอนเนกชันของเสี่ยนุ ทำให้บริษัท วงษ์สยามฯ สามารถต่อยอดงานภาครัฐ รู้ข้อมูลลึกกว่าใคร

เมื่อเรามาดูผลงานของบริษัท วงษ์สยามฯ แล้ว เลยไม่น่าแปลกใจว่าในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง คว้าสัญญากับหน่วยงานภาครัฐได้ถึง 13 โครงการ เป็นเงินตั้ง 5 พันกว่าล้านบาท นี่คือเบื้องหลังที่เกิดเหตุกัน นี่คือประเทศไทย


ท่านผู้ชมครับ เรื่องราวของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้จะเป็นเบื้องหลังจริงๆ ที่ท่านผู้ชมฟังแล้วอย่าตกใจนะครับ ว่า อ๋อ เรื่องราวแบบนี้มันมีการจัดฉาก มันมีขบวนการของมัน

ผมเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผมย้ำแล้วย้ำอีกว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียว คือปมปัญหาใหญ่ที่ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต้องเข้ามาสะสางภาระหนี้ก้อนโตกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งหนี้ก้อนนี้เกิดขึ้นจากอะไร ? แสนกว่าล้านบาท เกิดขึ้นจากการรับโอนค่างานโยธามาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ราวๆ 6 หมื่นกว่าล้านบาท ขณะเดียวกัน กทม. ยังค้างหนี้บริษัท ระบบขนส่งมวลชน จำกัด หรือ บีทีเอส จากการรับจ้างเดินรถและค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ตอนนี้กลายเป็นคดีที่เอกชนฟ้องร้องอยู่ในศาลปกครอง

ทางออก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. มีนโยบายขยายสัมปทานสายสีเขียวให้กับเอกชน โดยยกร่างสัญญาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้กับ บีทีเอสซี ในฐานะผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนกลาง ออกไปทั้งระบบ อีก 30 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดอายุสัมปทานส่วนหลักในปี 2572 ขยายไปจนถึงปี 2602 กำหนดเพดานค่าโดยสารตลอดสายที่ 65 บาท เดินทางระยะสั้น คิดตามจำนวนสถานี


ท่านผู้ชมครับ แต่เรื่องนี้มันยังยืดเยื้อ เนื่องจากกระทรวงคมนาคม และภาคสังคม ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับ ว่าค่าโดยสารตั้ง 65 บาท คุณคิดมาอย่างไร ถ้าใครจำเรื่องนี้ได้ ผมเคยเกริ่นไว้ให้ฟังแล้ว ทีนี้มันยังมีความจริงที่ยังไม่เคยมีใครพูดเลย เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ความจริงเลยนะ

ประเด็นแรก รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ระยะทาง 19 กิโลเมตร กับ รถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ (แบร์ริ่ง-สมุทรปราการ) ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจากเครือข่ายรถไฟฟ้าบีทีเอสเดิม พบว่าอย่างไรส่วนต่อขยายทั้งเหนือและใต้ก็ต้องขาดทุน รัฐบาลต้องจัดงบประมาณมาอุดหนุน ก็ถามว่า แล้วเอกชนเจ้าไหน ก็คงไม่มีใครอยากมารับสัมปทานส่วนต่อขยายสองส่วนนี้ เพราะทราบดีว่า ต่อขยายอย่างไรก็ขาดทุนแน่นอน


ท่านผู้ชมครับ ใครเคยขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย คงทราบดีว่า จำนวนผู้โดยสารโหรงเหรงมาก ไม่ได้มากเหมือนพื้นที่เขตในเมือง ย่านกลางเมือง CBD สยาม สีลม เพลินจิต สุขุมวิท เมื่อไม่มีเอกชนมารับสัมปทาน ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือ กทม. ก็ต้องมีการจัดสรรงบมาให้ รัฐบาลก็ต้องจัดสรรงบประมาณประจำปี ส่วน กทม. ต้องเสนอสภา กทม. เพื่อขออนุมัติงบประมาณ แต่ปรากฏว่าไม่มีเลย ทั้งๆ ที่คุณรู้อยู่แล้วว่า ถ้าเปิดให้บริการ เปิดเดินรถเมื่อไร ต้องขาดทุนทันที นั่นคือประเด็นแรก

ประเด็นที่สอง เมื่อมีการเปิดการเดินรถส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้ ช่วงแบร์ริง-สมุทรปราการ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 (4 ปีที่แล้ว) รัฐบาลประกาศว่าช่วงแรกจะให้ขึ้นฟรีไปก่อน เพื่อทดลองเดินรถ จะเริ่มเก็บค่าโดยสารอีกปีหนึ่งให้หลัง คือเดือนเมษายน 2562 แต่พอมาถึงเดือนเมษายน 2562 รัฐบาลก็ไม่มีการสั่งการให้เก็บค่าโดยสารแต่อย่างใด กลับตั้งคณะกรรมการเจรจาเพื่อแก้ไขสัญญาสัมปทานในวันที่ 11 เมษายน หลังการเลือกตั้ง 22 มีนาคม 2562 เพราะฉะนั้นเลยเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า รัฐบาลและ กทม. รู้อยู่ว่าเปิดให้บริการเมื่่อไรก็ขาดทุนแน่นอน เมื่อเปิดให้บริการมา 4 เดือนกว่า ก็ไม่เก็บค่าบริการ อ้างว่าทดลองเดินรถ แต่พอถึงเวลาที่บอกว่าจะเก็บค่าบริการ ก็ไม่เก็บค่าบริการอีก กลับใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของคณะปฏิวัติ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเจรจาต่อสัญญาสัมปทาน


ลึกๆ แล้ว การตั้งมาเจรจาต่อสัญญาเพื่อให้ความชอบธรรมในการต่อสัญญาสัมปทาน โดยที่หลีกเลี่ยงการลงทุนร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน โดยใช้อำนาจมาตรา 44

ท่านผู้ชมครับ นี่คือเรื่องของการสร้างเงื่อนไขก่อหนี้ เพื่อบีบให้มีการต่อสัญญาสัมปทานโดยมิชอบ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผ่าน พ.ร.บ. ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ใช่หรือเปล่า ? ใช่แน่นอน

ประเด็นที่สาม หลังเลือกตั้ง 22 มีนาคม 2562 เกิดรัฐบาลใหม่ขึ้นมา ถึงแม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกลุ่ม 3 ป. จะกลับมาเป็นรัฐบาลกุมอำนาจอีกครั้ง และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็มานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุม กทม. เหมือนเดิม แถม พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ก็ถูกแต่งตั้งมาด้วยมาตรา 44 มานั่งแช่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ตั้ง 5-6 ปี


แต่หลังเลือกตั้งแล้ว พวก 3 ป. ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนยุคปฏิวัติอีกแล้ว เพราะพรรคภูมิใจไทยก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามา แล้วส่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ มานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายศักดิ์สยาม ก็เห็นความไม่ชอบมาพากลในการต่อสัญญาสัมปทาน กระบวนการเลยถูกนายศักดิ์สยาม ขัดขวาง และถูกล้มโต๊ะไปในที่สุด อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า พิรุธมีอย่างน้อย 4 ประเด็น ที่ผมเคยพูดไปแล้ว


ข้อที่สี่ หลังจากพรรคภูมิใจไทยขวางในวันที่ 21 มกราคม 2564 พล.ต.อ.อัศวิน จึงจำใจประกาศเก็บค่าโดยสารตลอดสาย 104 บาท โดยจะดีเดย์วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ประกาศได้ไม่กี่วัน วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 พล.ต.อ.อัศวิน ก็ลงนามในประกาศ เลื่อนเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาท ออกไปก่อน อ้างว่าเป็นคำสั่งรัฐบาล เพื่อให้ทบทวนภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

ประเด็นที่ห้า เมื่อผู้ว่าฯ อัศวิน ประกาศเลื่อนการเก็บค่าโดยสารออกไป อ้างว่ารัฐบาลสั่ง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่กำกับดูแล กทม. อยู่ แสดงว่าตอนนี้ กทม. ขาดทุนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางออก ถามว่า ปล่อยขาดทุน พอกพูนหนี้ที่รัฐติดกับเอกชนไปเรื่อยๆ เพื่ออะไร ? ปรากฏว่า คณะกรรมการเจรจาต่อสัญญาสัมปทานเอกชนที่ตั้งขึ้นในปี 2562 ซึ่งเชื่อมโยงไปถึง ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์


ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีของลาดกระบังอยู่ ดร.เอ้ มีข้อสรุปว่า ให้กำหนดเพดานค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 65 บาท โดยต่อสัญญาสัมปทานให้เอกชนไปอีก 30 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2572 กลายเป็นสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2602

ฝั่งเอกชน ในฐานะที่เขาทำธุรกิจ เป็นธรรมดาของนักธุรกิจ เป็นเหตุเป็นผลในเชิงธุรกิจ เขาก็เลยคิดว่าน่าจะคุ้มค่า ได้ล้างหนี้ ได้ต่อสัญญาสัมปทานไปอีก 30 ปี น่าจะกำไรคุ้มค่าที่ลงทุนแบกหนี้ให้รัฐบาลหลายหมื่นล้าน เขาก็เลยตอบตกลง

ประเด็นที่หก ท่านผู้ชมตั้งใจฟังดีๆ จบเรื่องเอกชนแล้วนะ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขามีแรงจูงใจ เพราะรัฐบาลจู่ๆ มาเสนอ ราคา 65 บาท ในการทำธุรกรรม แต่มันมีพิรุธในส่วนภาครัฐ คนมีอำนาจในรัฐบาล คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแล กทม. อยู่ และผู้ว่าฯ กทม. ชื่อ อัศวิน ขวัญเมือง ท่านผู้ชมครับ พิรุธตรงไหน ?


หนึ่ง การรับโอนค่างานโยธามาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. 6 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ที่ พล.ต.อ.อัศวิน เซ็นรับทรัพย์สินและหนี้สินจาก รฟม. ให้มาเป็นของ กทม. คุณได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย และผ่านที่ประชุม ครม. หรือยัง ? ยัง แต่ พล.ต.อ.อัศวิน เซ็นรับมาโดยพลการ

สอง พล.ต.อ.อัศวิน ก็รู้ว่าการเดินรถในสองเส้นทางส่วนต่อขยายสายสีเขียวนี้ อดีตผู้ว่าฯ กทม. รู้อยู่แล้วว่าเดินรถไปก็ขาดทุนทุกเที่ยว ขาดทุนทุกวัน แต่ทำไมถึงไม่ของบประมาณชดเชยมาจากสภา กทม.

สาม ที่หนักกว่านั้น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ไม่เคยเก็บค่าโดยสารเลย พอกหนี้กับเอกชนไปเรื่อยๆ เพื่อบีบเขาสู่การแก้ไขสัญญาสัมปทาน 30 ปี โดยกำหนดเพดานค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย และ พล.ต.อ.อัศวิน ก็ออกมาย้ำแล้วย้ำอีกว่า 65 บาทตลอดสาย ไม่แพง ท่านผู้ชมครับ ประเด็นของการย้ำแล้วย้ำอีกของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ว่า 65 บาทตลอดสาย ไม่แพง ซึ่งประชาชนเขาด่ากันทั้งเมือง แล้วด่ามาตลอดว่าพูดออกมาแล้วจริงๆ พูดออกมาได้อย่างไร เท่าที่ผมทราบมาว่า 65 บาท เอกชนเขาไม่ได้เสนอตัวเข้ามาเลย เป็นเรื่องของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง คิดกันมาเองตั้งไว้ที่ 65 บาท ก็แล้วกัน เอกชนไม่ได้คิดตัวเลขนี้เลยว่า 65 เป็นคนของภาครัฐ อัศวิน อนุพงษ์ และประยุทธ์ คิดราคา 65 บาท แล้วก็เอามาใส่พานให้กับเอกชน เอกชนก็บอกว่า 65 บาท นั่งเฉยๆ คุณเสนอมาเองว่า 65 บาท ก็โอเค ผมไม่ขัดข้อง สร้างสรรค์ปั้นแต่งตัวเลขขึ้นมาว่าสูงสุดคือ 104 บาท ซึ่งคุณรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ รัฐบาลสั่งเบรก 104 บาท เพื่อทำให้ดูเหมือนว่าเห็นอกเห็นใจประชาชน เพื่อปูทาง เพื่อปั้นตัวเลข 65 บาทตลอดสาย เพื่อแลกกับการต่อสัญญาสัมปทาน 30 ปี ให้กับเอกชน


ท่านผู้ชมครับ กระบวนการทั้งหมดนี้ ใช่หรือเปล่า คือการสร้างสถานการณ์ ? ปั้นโครงการ ปั้นตัวเลข เพื่อหวังเงินทอนจากผลประโยชน์และผลกำไรที่ภาคเอกชนจะได้

ท่านผู้ชมครับ แหล่งข่าวผม หลังจากไปเช็กมาละเอียดแล้ว บีทีเอส ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย นั่งอยู่เฉยๆ แล้ววันนี้เขาก็ไม่อยากจะต่อสัญญาสัมปทานแล้ว เขารำคาญ เขาขอเงิน 4 หมื่นล้านบาท ของเขาคืน เขาขอเพียงแค่นั้น เขาไม่อยากจะยุ่งอีกแล้ว คุณจะต่อสัมปทานหรือไม่ต่อ ก็เรื่องของคุณ แต่เอาเงิน 4 หมื่นล้านบาท มาคืนเขาหน่อยได้ไหม

ผมทราบมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าองค์คณะศาลฎีกา ว่า การกระทำเช่นนี้ของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ของ กทม. อาจจะเข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุว่า การตั้งบริษัทวางแผนทำธุรกิจต้องทำเพื่อแสวงหาและแบ่งกำไร แต่การกระทำเช่นนี้ของผู้ว่าฯ กทม. ผ่านบริษัทกรุงเทพธนาคม น่าจะมีวาระซ่อนเร้นเพื่อจุดประสงค์อื่น

ปรากฏว่าผู้บริหารระดับสูงของบีทีเอส บอกว่า ตอนนี้เขาตกเป็นจำเลยสังคม ว่าทำไมเขาคิด 65 บาท แพงไป เขาบอกเขาไม่เคยคิดเลยแม้แต่นิดเดียว 65 บาท คือเรื่องที่อัศวิน ขวัญเมือง ตั้งแท่นมาให้เขา ก็ในเมื่อคุณให้ผม 65 บาท ผมก็รับสิ เพราะผมได้กำไรอยู่แล้วนี่ เขาไม่ผิด แต่ปรากฏว่าสังคมไปเข้าใจว่าเขาเป็นคนเสนอราคา 65 บาท อัศวิน เป็นคนเสนอ 104 บาทก่อน แล้วก็มีการสั่งบอกว่า 104 บาท แพงไป ให้ระงับ แสดงความเห็นอกเห็นใจประชาชน แล้วก็กลับมาเสนอ 65 บาท อัศวิน เสนอ 65 บาท บีทีเอสไม่เคยรู้เรื่อง เอามาวางใส่พานประเคนบีทีเอส วันนี้บีทีเอสก็ปวดหัว เพราะสายสีเขียวไม่ไปไหน เขาก็บอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณรีบเอาเงิน 4 หมื่นล้านบาท ที่คุณค้างผม เอาคืนผมมา ส่วนคุณจะต่อสัมปทานหรือไม่ต่อ ผมไม่สนใจ เอาเงินคืนผมมาก่อน

ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริง งานนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ครับ คุณอย่าคิดว่าคุณออกไปแล้วเรื่องจะจบนะ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่คุณทำทิ้งเอาไว้ใน กทม. 6-7 ปีนี้ เชื่อผมสิมันจะค่อยๆ โผล่มาทีละเรื่องๆๆ เราเข้าใจตรงกันนะท่านผู้ชมว่า 65 บาทตลอดสาย ไม่ใช่ฝีมือของเอกชนที่เสนอ แต่เป็นฝีมือของ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ และ อัศวิน ขวัญเมือง ที่ตั้งไว้ที่ 65 บาท หลังจากที่ประกาศตั้งไว้ 104 แล้วออกมายกเลิกไม่ให้เก็บเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจประชาชน แล้วค่อยลดจาก 104 ลงมาเหลือ 65 แล้วเอามาประเคนให้กับเอกชน ท่านผู้ชม เราเข้าใจตรงกันนะครับ นี่คือเบื้องหลังที่แท้จริงที่ไม่มีใครเคยพูดออกมาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว และนี่คือ ประเทศไทยทุกวันนี้


ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะเข้าเรื่องนี้ ขออนุญาต ท่านผู้ชมที่ต้องการซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" สั่งมาที่ inbox ได้นะครับ แล้วเดี๋ยวจะเอาข้อมูลส่งมาให้ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของเพิ่งมา อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าวัตถุดิบใกล้หมดแล้ว มีคนต้องการเยอะมาก รีบๆ สั่งเข้ามาก่อนที่ของล็อตนี้จะหมด

ท่านผู้ชมครับ หลังจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า คุณชัชชาติ ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีในยุคที่คุณทักษิณ ชินวัตร และคุณยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คุณชัชชาติ ได้รับเลือกตั้งแบบถล่มทลาย 1.3 ล้านเสียง ห่างจากอันดับสอง อย่าง ดร.เอ้ ซึ่งได้แค่ 2.5 แสนเสียง ตามคอนเซปต์ที่ทักษิณ ได้กล่าวไว้


เราย้อนอดีตไปนิดหนึ่ง เมื่อตุลาคม ปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร พูดกับพวก ส.ส. พรรคเพื่อไทย ผ่านวิดีโอคอล ถึงตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ว่า "ผมมีหลายแนวทาง รับรองว่าแต่ละแนวทางเนี่ย ส.ส. ที่คิดจะออก รับตังค์เขามาแล้ว ต้องเอาตังค์ไปคืน เที่ยวนี้ต้องชนะแลนด์สไลด์ เพราะว่าชนะธรรมดามันไม่ให้เป็นรัฐบาลหรอก แต่ถ้าแลนด์สไลด์มันไม่กล้า ต้องเอาแลนด์สไลด์ชนิดที่ไม่กล้าเป็นรัฐบาล"


หลังจากเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ภาพชัดเจนว่า คุณชัชชาติ ในฐานะผู้สมัครอิสระ แต่จะมีเงาทมึนของทักษิณ และพรรคเพื่อไทย อยู่ข้างหลังหรือเปล่า ก็สุดแล้วแต่คนจะตีความ ที่แน่ๆ บรรดาสาวกเพื่อไทยเริ่มเชื่อมั่นจริงจังขึ้นมาแล้วว่าการเลือกตั้ง ส.ส. สมัยหน้า พรรคเพื่อไทย ที่อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ตอนนี้มีตำแหน่งเป็น หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย จะต้องชนะแลนด์สไลด์แบบเดียวกับชัชชาติ


ด้วยเหตุนี้ ทำให้เพียงวันเดียวหลังจากการเลือกตั้ง อุ๊งอิ๊ง ชินวัตร ได้โพสต์อินสตาแกรมใช้ชื่อว่า ingshin21 ระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แน่นอน ดิฉันขอแสดงความยินดีอีกครั้งกับสมาชิกสภากรุงเทพมหานครในนามพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เป็นครั้งแรกที่เพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพฯ อย่างมากมายขนาดนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นว่าประชาชนมีความหวังและต้องการการเปลี่ยนแปลง คุณอุ๊งอิ๊ง ยังพูดต่อว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยจะขอเปลี่ยนแคมเปญใหญ่ของเรา จาก พรุ่งนี้เพื่อไทย เป็น วันนี้เพื่อไทย เพื่อเป็นสัญญาณในการเริ่มเดินหน้าต่อไป สร้างความหวังของประชาชนให้เกิดขึ้นจริง


ประเด็นที่ผมจะพูดวันนี้ เรื่องนี้ คืออะไร ? ถ้าเราวิเคราะห์ลงไปอย่างลึกๆ แล้ว ปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ของชัชชาติ ในสนามเลือกตั้ง กทม. กับความหวังแลนด์สไลด์อุ๊งอิ๊ง ในสนามใหญ่ทั่วประเทศ แม้จะมีความเหมือน แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ระดับหนึ่ง แน่นอน ท่านผู้ชมครับ ผลการเลือกตั้งทั่ว กทม. เมื่อ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา อาจจะวิเคราะห์ได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตย อันประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ได้รับชัยชนะทุกแง่มุม ขณะเดียวกัน ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม คือทั้งพลังประชารัฐ ที่มี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นตัวแทนลงสมัครในนามผู้สมัครอิสระ พรรคประชาธิปัตย์ ฝ่าย กปปส. พ่ายแพ้เกือบจะทุกประตู โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนลดลงอย่างมากๆ ทั้งๆ ที่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อนสามารถกวาดคะแนนมาทำให้มี ส.ส. เป็นจำนวนมาก

การเลือกตั้ง ส.ส. ในปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ ได้เสียง 791,000 เสียง เก้าอี้ ส.ส. 12 ที่นั่ง แต่ผลการเลือกตั้ง ส.ก. 2565 ที่ผ่านมานี้ ได้คะแนนแค่ 2.7 แสน หายไป 5 แสน คะแนนที่ลดลงของแกนนำรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คล้ายเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งต่อไป คะแนนจะสวิงไปที่พรรคเพื่อไทย และมีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์แลนด์สไลด์ซ้ำรอยชัชชาติ


ท่านผู้ชมครับ อย่างไรก็ตาม ระหว่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กับ อุ๊งอิ๊ง ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร มีปัจจัยที่แตกต่างกันหลายประเด็น สำหรับชัชชาติ ถือว่าเพียบพร้อมทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ การศึกษา แม้กระทั่งชาติวุฒิ อายุ 56 จบวิศวกรรมศาสตร์ เหรียญทองอันดับ 1 จากจุฬาฯ ได้ทุนอานันทมหิดล ไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ MIT และปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์ อเมริกา กลับมาเป็นอาจารย์จุฬาฯ เคยดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ ประสบการณ์ทางการเมือง ค่อนข้างเพียบพร้อม เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มาแล้วในสมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากนี้ ในการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป ในปี 2562 ที่น่าสนใจ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ร่วมกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ นายชัยเกษม นิติสิริ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยยังวางตัวชัชชาติ เป็นผู้ว่าฯ กทม. ของพรรค แต่ชัชชาติ ปฏิเสธ ต้องการลงแบบอิสระ ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เนื่องจากคุณชัชชาติ คิดว่าการเป็นผู้สมัครอิสระ สามารถเรียกความไว้วางใจจากชาว กทม. ส่วนใหญ่ได้มากกว่าสวมเสื้อเพื่อไทย ซึ่งถ้าสวมเสื้อเพื่อไทยแล้ว ก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวชินวัตร

ส่วนอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม รวมทั้งมีหน้าที่ คือ เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งคาดกันว่าคงจะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งสมัยหน้า ในลักษณะคุณวุฒิ และวัยวุฒินั้น ถือว่าห่างกันหลายหมื่นลี้เลย เมื่อเทียบกับชัชชาติ เนื่องจากอุ๊งอิ๊ง เกิด 21 สิงหาคม 2529 อายุ 35 ปี จบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปี 51 ปริญญาโท การบริหารโรงแรม ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ อังกฤษ ปัจจุบันสมรสกับนายปิฎก สุขสวัสดิ์ อดีตนักบินสายการบินแห่งหนึ่ง โดยมีบุตรสาว 1 คน


ในการสอบเอนทรานซ์ ปี 2547 ก็มีข่าวโด่งดังเกี่ยวกับกรณีข้อสอบรั่วในยุคที่ ศ.วรเดช จันทรศร ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งพอหลังจากนั้นแล้ว คุณวรเดช ได้รับการปูนบำเหน็จให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิการบดี ม.ชินวัตร ด้วย

ประวัติการทำงานของอุ๊งอิ๊ง นั้น ก็อยู่ในแวดวงธุรกิจของครอบครัว ทุกอย่าง เป็นที่รู้กันว่าในแง่ประสบการณ์ทางการเมืองของอุ๊งอิ๊ง ถือว่าน้อยมาก ไม่แตกต่างจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้มีศักดิ์เป็นอา ก่อนการเลือกตั้งปี 2554 โดยอุ๊งอิ๊ง นอกจากมีการร่วมรณรงค์ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก. พรรคเพื่อไทย แล้ว ในแง่มุมอื่นก็มีการแสดงวิสัยทัศน์ผ่านการประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และการหาเสียงเป็นครั้งคราวเท่านั้น ยังไม่ถือว่ามีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็นว่ามีความสามารถในการบริหารประเทศแต่อย่างใด

อุ๊งอิ๊ง มีประสบการณ์ คุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญในการก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และเป็นแคนดิเดตนายกฯ นั่นคือ การเป็นลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร

ท่านผู้ชมครับ ที่ผมพูดเรื่องนี้เพราะว่าผมมีประเด็นหลายๆ ประเด็นจะพูดถึง ผมกำลังจะเล่าเรื่องโมเดลใหม่ของทักษิณ ก็คือว่า คุณทักษิณ ชินวัตร กำลังเสนอโมเดลใหม่ของการเมืองของพรรคเขา โดยเขาสร้างแฟรนไชส์ทางการเมือง ยี่ห้อ "เพื่อไทย" ถึงแม้ว่ากระแสแลนด์สไลด์อันเป็นผลจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะมาแรง แต่ถ้าเราลองหันกลับมามองดูความเป็นจริง พรรคเพื่อไทยวันนี้ไม่เหมือนพรรคเพื่อไทยเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ยุคของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ขุนพลน้อยใหญ่อันเป็นมรดกตกทอดจากพรรคไทยรักไทย รวมถึงกลุ่มเสื้อแดง ยังอยู่กับแนบแน่น พร้อมหน้าพร้อมตา ยกตัวอย่างเช่น การย้ายออกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทย ปี 2564 ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์


และแกนนำพรรคเพื่อไทย อย่างโภคิน พลกุล ศิธา ทิวารี พงศกร อรรณนพพร อุดมเดช รัตนเสถียร ประภัสร์ จงสงวน ต่อพงษ์ ไชยสาส์น สุธา ชันแสง และอื่นๆ ในช่วงนั้นพรรคเพื่อไทยมีเลือดไหลไม่หยุด จนทักษิณ ต้องตัดสินใจส่งอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร เข้ามาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ ส.ส. ของพรรคที่เหลือ ยังทำให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทย โดยจุดความหวังขึ้นมาด้วยว่า พรุ่งนี้เพื่อไทย และแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น

แม้กระทั่งช่วงหลังนี้ก็มีคนหลายๆ คนที่เคยอยู่ครอบครัวเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นคุณจาตุรนต์ ฉายแสง หลายๆ คนก็เริ่มกลับมาอยู่ในพรรคเพื่อไทย


แต่ผมจะเล่าเรื่องรอยร้าวของพรรคเพื่อไทยในการอภิปรายงบฯ 2566 วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 ปลายสัปดาห์ที่แล้ว เกิดสัญญาณรอยร้าวภายในครอบครัวเพื่อไทย หลังจากการอภิปราย พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ 2566 วงเงิน 3.18 ล้านล้านบาท วาระแรก ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผ่านด้วยคะแนน 278 ต่อ 192 แต่มี ส.ส. พรรคเพื่อไทย 7 คน โหวตผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายฯ เป็นการโหวตสวนมติพรรคเพื่อไทยด้วย และไม่เกรงกลัวที่จะถูกขับออกจากพรรค บางคนถึงกับให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ใช่พนักงานบริษัทที่จะสั่งอะไรก็สั่งได้ ให้ทำอะไรก็ได้ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 7 คน ก็เป็น ส.ส. ที่อยู่ต่างจังหวัดกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่อุดรธานี อยู่พิษณุโลก อยู่นครนายก มีอยู่แม้กระทั่งนครราชสีมา ศรีสะเกษ ซึ่งปัจจุบันนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทย แล้ว


ธีระ ไตรสรณกุล พี่ชายของนางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส. ศรีสะเกษ ผ่องศรี แซ่จึง ส.ส. ศรีสะเกษ ทั้งหมดนี้ที่ผมเอ่ยชื่อ ในศรีสะเกษทั้งหมดนี้ อยู่กับพรรคภูมิใจไทยไปเรียบร้อยแล้ว

คุณปวีณ ซึ่งเป็นสามีของคุณผ่องศรี ส.ส.ศรีสะเกษ พูดอย่างไรถึงคุณทักษิณ ? คุณปวีณ บอกว่า อยู่กับนายทักษิณ 20 ปี ได้ผูกเสี่ยว ได้สรุปบทเรียน ถือว่าใช้เวลาพิสูจน์นานเกินไป สิ่งตอบแทนไม่มีจากพรรคเพื่อไทย แล้วจะปล่อยให้คนเพื่อไทยด่าภรรยา คือนางผ่องศรี ต่อไปไม่ได้ ทุกคนมีศักดิ์ศรี ตนได้บอกนายทักษิณ ว่า ถ้าจะย่ำยีภรรยาของตนขนาดนี้ ขอให้ไล่ออก ที่ผ่านมา นางผ่องศรี เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นภูมิใจไทย ทั้งยกมือให้พรรคเพื่อไทย และไม่มีใครขยันเท่าภรรยาผม เรื่องที่เสียอย่างเดียวคือ ขยันมากเกินไป


คำพูดของคุณปวีณ น่าสนใจครับ ผมจะอ่านต่อ

ผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ เป็น ส.ส. ตั้งแต่หลายคนยังไม่เกิด ต่อเนื่องมาในการเมือง 50 ปี อยู่พรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย เป็นพลังประชาชน จนเป็นพรรคเพื่อไทย ยังไม่เคยได้อะไร นายทักษิณ บอกว่าเป็นเสี่ยวกัน คุยกันแต่เรื่องงาน ลูบหลังกัน แต่ไม่เกิดความรู้สึก มันไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควร ที่ให้นางผ่องศรี ลง ส.ส. เพราะผมจะเลิกเล่นการเมือง เพื่อไม่ให้เขาใช้ผมเป็นเบ๊ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ที่พูดนี่ไม่ได้ด่า ขนาดนางผ่องศรี ของบ แต่ไม่ได้ ก็ต้องมาขอกับพรรคภูมิใจไทย ผมการันตีการตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้องแล้ว กลับไปอยู่กับนายเนวิน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เหมือนได้กลับไปอยู่กับพี่น้องของผม ผมมีความสุข

ปวีณ แซ่จึง
นอกจากนี้ ยังมีคำพูดที่ขีดเส้นใต้ไว้หลายๆ เส้น จากการเปิดใจของนายจักรพรรดิ ไชยสาส์น ส.ส. อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กรณีที่เป็นงูเห่าของพรรคเพื่อไทย ลงคะแนนเสียงให้รัฐบาล

คุณจักรพรรดิ ไชยสาส์น พูดอย่างนี้ครับ ถ้าจะให้ผมโหวตเพื่อเห็นด้วยตามมติพรรค ผมทำไม่ได้ เลยตัดสินใจโหวตสวน รับหลักการ เป็นเรื่องน่าแปลกที่พรรคโหวตไม่รับหลักการ แต่กลับไปร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2566 ในวาระสอง ดูแล้วไม่ค่อยดี ไม่เคยปรากฏมาก่อน

คุณจักรพรรดิ พูดต่อ ผมไม่ใช่พนักงานบริษัทที่ใครจะมาสั่งอะไรได้ แต่มาจากประชาชน จึงมีเอกสิทธิ์ในการโหวต


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า แม้จะมีการตีปีกจุดกระแสแคมเปญครอบครัวเพื่อไทย โดยหยิบเอาทายาทสายตรง สายเลือดทักษิณ มานั่งเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เลือดก็ยังไหลไม่หยุด เรายังพบว่า ส.ส. ที่ทรยศ 7 คนนั้น ล้วนแต่เป็นอดีต ส.ส. หลายสมัย หลายคนเคยอยู่ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ทำให้เกิดคำถามคาใจ จริงๆ แล้วความหวังแลนด์สไลด์เพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า จะเป็นไปได้อย่างที่คาดหวังกันหรือเปล่า มี ส.ส. อีกจำนวนเท่าไรที่พร้อมย้ายพรรค เพราะหมดความอดทนที่จะถูกปฏิบัติเช่นเสมียน เสมือนพนักงานบริษัท หรือแม้กระทั่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็นหมาในบ้าน เหมือนกับนายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย เจ้าของฉายา "แรมโบ้อีสาน" เคยถูกทักษิณ ดูถูกเหยียดหยามมาก่อน ช่วงต้นปี กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา


แล้วยังมีอีกหลายภาพที่สะท้อนเรื่องราวภายในพรรคเพื่อไทย กับการเล่นการเมืองของทักษิณ ชินวัตร ที่สิบกว่าปีที่ผ่านมายังคงใช้รีโมตคอนโทรลมาคุมพลพรรคทั้งหมดที่อยู่ในเมืองไทย การต่อรองทางการเมือง ต่อรองเพื่อตัวเอง แต่ใช้รีโมตคอนโทรลคุมพรรคเพื่อไทย เพื่อทำให้การต่อรองค่อนข้างที่จะไม่ธรรมดา มีอำนาจ มีน้ำหนักในการต่อรองมากขึ้น

สรุปง่ายๆ ว่า ทักษิณ ชินวัตร ใช้ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และต่อรองทางการเมือง หรือบางทีอาจจะต่อรองทางผลประโยชน์ เพื่อให้ได้ประโยชน์กับทักษิณ ชินวัตร อย่างมากที่สุด

ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้ผมจะพูดถึงเรื่องแฟรนไชส์พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำแฟรนไชส์พรรคเพื่อไทย ใต้เท้าของตระกูลชินวัตร และนัยของครอบครัวเพื่อไทย


ท่านผู้ชมครับ เราต้องมาวิเคราะห์ให้ถ่องแท้จากกรณีโหวตร่างฯ งบประมาณรายจ่าย ในวาระแรก ที่มีงูเห่า 7 คน พรรคเพื่อไทย โหวตสวนมติพรรค งานนี้พรรคเพื่อไทยได้ออกแอกชันไปแล้ว ลั่นสัจจะวาจาว่าจะจัดการลงโทษงูเห่าให้สาสม ตราหน้า ส.ส. กลุ่มนี้เป็นคนทรยศต่ออุดมการณ์ของพรรค เบื้องต้นดีดออกจากสมาชิกห้องไลน์ (LINE) ทุกห้อง ไม่ให้ร่วมสังฆกรรมในกลุ่มสื่อสารของพรรค แม้กระทั่งหัวหน้าพรรค คือ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ก็ยังดุและตำหนิคนกลุ่มนี้อย่างจริงจัง แต่ถามว่า นายใหญ่ดูไบ หรือ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจริง รู้หรือเปล่า ผมต้องบอกว่าเขารู้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อไทยมีเลือดไหล หรืองูเห่าคิดย้ายออกไปหารังใหม่ อย่างที่นายแพทย์ชลน่าน มีมาอยู่แล้วก่อนหน้านี้

ทักษิณ ย่อมรู้ความเคลื่อนไหวเป็นอย่างดี ซึ่งหากดูกันจริงๆ แล้ว 7 ส.ส. พรรคเพื่อไทย โหวตสวนมติพรรคงบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2566 เราโฟกัสเฉพาะ ส.ส. ศรีสะเกษ 3 ท่าน เป็นที่รับรู้ว่าใจของพวกเขาย้ายไปอยู่ภูมิใจไทย แล้ว คุณผ่องศรี แซ่จึง ส.ส. เขต 8 คุณจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส. เขต 4 ธีระ ไตรสรณกุล ส.ส. เขต 6


ในอดีตที่ผ่านมา ท่าทีของทักษิณ พอมารู้ว่าคนของตัวเองจะย้ายหนีเพื่อไทย นอกจากบอกว่าไม่สนใจ ไม่มีราคา ยังสาปส่ง พร้อมเย้ยหยันด้วยว่าคนพวกนี้ออกจากพรรคก็มีแต่สอบตก เพราะประชาชนเลือกพรรค ไม่ได้เลือกคน กลับเป็นเรื่องดีเสียอีกที่เพื่อไทยจะถือโอกาสถ่ายเลือด ปรับโครงสร้างใหม่ นี่คือที่มาของการปลุกปั้นแคมเปญ "ครอบครัวเพื่อไทย" ให้ลูกสาวมาเป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ยกขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นี่คือการสร้างตลาด ตอกย้ำแบรนด์เพื่อไทย ว่าอย่างไรก็ยังมีตระกูลชินวัตรดูแลอยู่

ในการหาเสียง จัดกิจกรรมที่ จ.สุรินทร์ ขนาดอุ๊งอิ๊งไปไม่ได้ ก็ยังอุตส่าห์ให้โอ๊ค พานทองแท้ พี่ชาย และบุตรชายคนโต เป็นตัวแทนเข้าร่วมกิจกรรม


ผมถามต่อว่า โอ๊ค พานทองแท้ มีตำแหน่งอะไรในพรรคเพื่อไทย ? อุ๊งอิ๊ง หัวหน้าครอบครัว ไปไม่ได้ พี่ชายหัวหน้าครอบครัวไปแทนอย่างนี้ได้หรือ ? เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวชินวัตร หรือเรื่องของพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นการชี้นำ ครอบงำพรรคการเมืองหรือเปล่า

เพราะฉะนั้นเห็นได้ชัดว่าพรรคเพื่อไทย จากพรรคการเมืองที่ควรจะเป็นตัวแทนประชาชนทั้งประเทศจากหลากหลายกลุ่ม วันนี้กลายเป็นพรรคที่เป็นตัวแทนของครอบครัวชินวัตร ไปหมดแล้ว

งานนี้ทักษิณ ชินวัตร ผลักดันลูกๆ ออกหน้ามาเป็นนอมินี เดินเกมเปิดหน้าทวงคืนอำนาจรัฐแบบสุดตัว ด้วยการโหมกระพือโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อไทยยุคถ่ายเลือดจะแลนด์สไลด์กลับมาได้แน่ ท่านผู้ชมครับ เพราะอะไร ? ตามผมมา

เนื่องจากคุณทักษิณ วางโมเดลธุรกิจการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า เขาวางโมเดลธุรกิจการเมืองไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งสมมติฐานว่า อย่างไรก็ตาม ทักษิณ จะไม่ควักกระเป๋าตัวเองคนเดียวในการสู้ศึกเลือกตั้ง ข้อที่สอง ทักษิณ คิดว่าทำอย่างไรให้นักการเมืองต้องอยากอยู่โยงกับเพื่อไทย โดยไม่เรียกร้องเงินเลือกตั้งมหาศาล ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดไปแล้วนะครับ ตอนนี้แค่เงินจองซื้อ ส.ส. ไม่รวมหาเสียง ก็ 50 ล้านบาท เข้าไปแล้ว ถ้าต้องการ ส.ส. 250 เสียง รวมค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเข้าไปด้วย สมมุติคนละ 100 ล้านบาท ต้องใช้เงินถึง 2-3 หมื่นล้านบาท ทักษิณ ไม่ยอมจ่ายแน่นอน เพราะเหตุนี้ ทักษิณ จึงคิดสูตรการเมืองใหม่ คือ การแฟรนไชส์เพื่อไทย เหมือนกับการทำแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารแดกด่วน ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ร้านบะหมี่หมูแดงข้างทางที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ด้วยการประโคมแบรนด์ สร้างความเชื่อว่าจะกลับมายิ่งใหญ่แน่นอน

เห็นไหม ลองดูชัชชาติ สิ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นี่คือการตีกินเรื่องของชัชชาติ ประกอบกับสถานการณ์คนไทยเบื่อรัฐบาล เบื่อหน่าย 3 ป. ทนทุกข์กับภาวะเศรษฐกิจและความเน่าเฟะของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง กระบวนการยุติธรรม ศาสนา ระบบการศึกษา และระบบราชการ ทักษิณ ก็เลยเสนอให้นักการเมืองแถวสอง แถวสาม ที่เชื่อในโมเดลนี้มาซื้อแฟรนไชส์โดยตัวเองไม่ต้องจ่ายเงิน แต่คนที่มาซื้อแฟรนไชส์ต้องมาดูแลลูกทีมกันเอง โดยใช้ยี่ห้อ ใช้โลโก้ "พรรคเพื่อไทย" "ครอบครัวเพื่อไทย" และคนในตระกูล "ชินวัตร" เพื่อหาเสียง สร้างคะแนนนิยม

จากวิธีนี้ ทักษิณ หมายมั่นปั้นมือว่าตัวเองมีโอกาสจากโมเดลแฟรนไชส์เพื่อไทย โดยไม่ต้องลงทุนเงินมากมายนัก

ท่านผู้ชม ขอโทษ อย่าโกรธกันนะครับ ยาสีฟันของ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" ท่านผู้ชมครับ ใช้ขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด ฟันสะอาด หอม ฆ่าเชื้อทุกอย่างได้ สั่งซื้อได้ที่ Shopee ขอโทษครับท่านผู้ชม ขอโอกาสใช้เวลานิดหน่อย

ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นว่า ทักษิณ อาจหลงลืมไปว่า อดีต ส.ส. หรือ ส.ส. เพื่อไทยปัจจุบัน ที่ตัดสินใจหนีครอบครัวชินวัตร ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น ส.ส. ประเภทบ้านใหญ่ มีฐานเสียงของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยการตลาดกระแสของเพื่อไทย ไม่กลัวสอบตก เพราะไม่หวั่นต่อคำขู่ของทักษิณ พูดได้ว่าบ้านใหญ่เหล่านี้ไม่มีใครคิดอยากย้ายพรรค หรือทรยศใคร หากไม่มีเหตุผลจำเป็นทางการเมือง ซึ่งแน่นอนไม่ใช่เรื่องเงินด้วย เป็นความอึดอัดคับข้องใจในระดับที่ทนไม่ไหวมากกว่า บ้านใหญ่ที่เคยทำงานทางการเมืองกับเพื่อไทย รู้เช่นเห็นชาติว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงของเพื่อไทย ตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาเป็นเพื่อไทย ปัญหาอยู่ที่ทักษิณ คนเดียว

ว่ากันว่า ทักษิณ ไม่ได้เห็น ส.ส. เป็นผู้แทนประชาชน ไม่ได้เห็น ส.ส. เป็นคนที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เห็น ส.ส. เป็นลูกจ้าง เป็นพนักงานบริษัท เป็นคนรับใช้ตระกูลชินวัตร หรือกระทั่งเป็นแค่สัตว์เลี้ยงในบ้าน


ท่านผู้ชมครับ ผมเอาพวกการ์ตูนของบัญชา คามิน ขึ้นให้ดูหลายๆ รูป ขณะที่ประสบการณ์ในอดีตของคนเสื้อแดง ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อคนเสื้อแดง เป็นคนพายเรือให้คนในตระกูลชินวัตรนั่ง บาดเจ็บล้มตายไปก็ไม่น้อย แต่พอถึงฝั่งก็ถีบหัวเรือ ทิ้งคนเสื้อแดงติดคุกติดตะรางหลายคน ไม่เชื่อก็ลองไปถามคนชื่อ จตุพร พรหมพันธุ์ ดูสิท่านผู้ชม ไม่นับรวมคนใกล้ชิดที่ทำงานถวายหัว พอติดคุกแล้ว ทักษิณ มาจนถึงยิ่งลักษณ์ ก็หนีเอาตัวรอด ใครล่ะ ? บุญทรง เตริยาภิรมย์ ภูมิ สาระผล หรือ วัฒนา เมืองสุข คนเหล่านี้ไม่ได้ทำงานด้วยตัวเอง แต่ทำตามคำสั่งของทักษิณ และตระกูลชินวัตร คนเหล่านี้เป็นแค่ตัวอย่างของคนรับใช้ที่ถูกทิ้งให้ติดคุกติดตะรางแทน โดยที่นายไม่สนใจใยดี

ต้องถามทักษิณ และเพื่อไทย ว่า ใครทรยศใคร ใครหักหลังใคร ทักษิณ สร้าง ส.ส. หรือว่า ส.ส. สร้างทักษิณ ใครเป็นหนี้บุญคุณใคร เพราะวันนี้ทักษิณ เอาลูกมาข่มผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสในพรรค จนไม่มีบทบาท ไม่มีปากเสียง เป้าหมายแลนด์สไลด์ แท้ที่จริงเพื่อมานิรโทษกรรมให้ตัวเองใช่หรือเปล่า


ท่านผู้ชมครับ ใครก็ตามที่เดินออกจากเพื่อไทยวันนี้ ถือเป็นงูเห่า ไม่จงรักภักดี อย่างนั้นหรือ คนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต้องคิดแบบเดียวกับทักษิณ ชินวัตร หรืออย่างไร

ท่านผู้ชมครับ นี่ผมยังมีข้อสงสัยอยู่ จากการที่ได้พูดกับผู้ที่คร่ำหวอดทางวงการเมืองอีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมาก วันนี้การเมืองเมืองไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน กฎหมายเดียวกัน ภายใต้ราชอาณาจักรเดียวกัน แต่จู่ๆ กลับมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งประกาศว่า พรรคการเมืองนี้อยู่ภายใต้ครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งหมายความว่าเป็นครอบครัวตระกูลชินวัตร ปรากฏได้จากหลักฐาน คำพูด และการกระทำที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วว่า หัวหน้าครอบครัว อุ๊งอิ๊ง ป่วย ไปงานไม่ได้ ก็ให้พี่ชาย โอ๊ค พานทองแท้ ไปลงพื้นที่ที่ จ.สุรินทร์ แทน ทั้งๆ ที่โอ๊ค ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในพรรคเลย


ท่านผู้ชม ผมถามว่า การสร้างครอบครัวเพื่อไทยภายใต้ตระกูลชินวัตร คือการปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและโครงสร้างทางสังคมอะไรหรือเปล่า เป็นแนวคิดในการสร้างไดนาสตี้ ราชวงศ์ทางการเมือง เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับตระกูลมากอส ในฟิลิปปินส์ หรือเปล่า เหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าจับตา และสังคมต้องช่วยกันตั้งคำถามถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นว่า สุดท้ายแล้วจะชักนำประเทศชาติและสังคมไทยไปสู่จุดไหน


วันนี้รายการก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ มีเรื่องที่คั่งค้างอยู่หลายเรื่องที่ผมทำทิ้งเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส เรื่องหนึ่งคือการวางกำลังของผู้ที่ต้องการจะเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่ กับผู้ที่ยังคงต้องการที่จะรักษาระเบียบโลกเดิมเอาไว้ สงครามยูเครน กับ รัสเซีย เข้มข้นทุกนาที ทุกวันเวลาที่ผ่านไป ระเบิดเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่จะเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ที่อิสราเอลกำลังจะโจมตีอิหร่าน และอิหร่านจะสวนหมัดด้วยการยิงขีปนาวุธเป็นหมื่นๆ ลูกใส่อิสราเอล ก็อยู่ในระดับที่เรียกว่า อย่ากะพริบตา และยังมีประเทศไทยที่หลงกลและร่วมไปซ้อมรบกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ฮาวาย โดยกองทัพเรือส่งหน่วยงานเข้าไปร่วมซ้อมรบด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าซ้อมรบเพื่อประจันกับใคร ต้านใคร ต้านจีนหรือเปล่า อีกหลายต่อหลายเรื่อง เยอะมาก ที่นี่ประเทศไทย มีเรื่องที่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" พูดไม่รู้จักจบ พูดไปบางทีก็เบื่อไป ก็เซ็งไป ว่าเป็นเรื่องเก่าๆ เรื่องวรนุชทั้งหลายที่พูดแล้วพูดอีกมันก็ยังคงเกิดแล้วเกิดอีก วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น