xs
xsm
sm
md
lg

ดราม่า! “สะพานพิบูลสงคราม” ถูกเปลี่ยนชื่อ ก่อนมือดีทุบทำลายป้ายชื่อใกล้สะพานเสียหาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


“สะพานพิบูลสงคราม” ถูกมือดีเปลี่ยนชื่อเป็น “สะพานท่าราบ” จนเกิดเป็นดราม่าขึ้นในโลกโซเชียล
หลัง “สะพานพิบูลสงคราม” ถูกคนนำป้ายมาปิดทับเปลี่ยนชื่อเป็น “สะพานท่าราบ” ทำให้กลายเป็นดราม่าในโลกโซเชียลมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ก่อนที่จะมีมือดีทุบทำลายป้ายชื่อ “เขตดุสิต” ที่อยู่ใกล้ ๆ กับชื่อสะพานท่าราบเสียหายหลายจุด ขณะที่ ผอ.สำนักการโยธา กทม. ได้สั่งเจ้าหน้าที่รื้อป้ายสะพานท่าราบที่มีการนำมาปิดทับทิ้ง ก่อนมอบให้เจ้าหน้าที่แจ้งความมือดี

ถือเป็นอีกหนึ่งกระแสโด่งดังในโลกโซเชียล หลังมีภาพป้าย “สะพาน พิบูลสงคราม” ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “สะพานท่าราบ” ทำให้เกิดเป็นดราม่าขึ้นมา เมื่อมีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย-เห็นต่างกันอย่างกว้างขวาง

ทั้งนี้ชื่อ “สะพานท่าราบ” นั้นมีรายงานข่าวว่ามี มือดีนำป้ายชื่อใหม่มาปิดทับป้ายของเดิม โดยนายไทวุฒิ ขันแก้ว ผู้อำนวยการสำนักการโยธา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นป้ายอะคริลิกข้อความ สะพานท่าราบ มาติดทับชื่อสะพานพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นชื่อเดิม เชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้ง จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าศูนย์ก่อสร้างและบูรณะ ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.บางโพ รวมทั้งรื้อป้ายดังกล่าวออกทันที

“สะพานพิบูลสงคราม” ถูกมือดีเปลี่ยนชื่อเป็น “สะพานท่าราบ” ก่อนมีคนทุบทำลายป้ายชื่อเขตดุสิตที่อยู่ใกล้เคียงเสียหาย (ภาพจาก เฟซบุ๊ก : Sa-nguan Khumrungroj)
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่ามีมือดีผู้ไม่หวังดี ทุบทำลายป้ายชื่อ “เขตดุสิต” ใกล้ ๆ กับ “สะพานท่าราบ” เสียหายหลายจุด โดย “สงวน คุ้มรุ่งโรจน์” อดีตสื่อมวลชนอาวุโส ได้โพสต์เฟซบุ๊ก
ในบัญชีรายชื่อ Sa-nguan Khumrungroj ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

ด่วน ด่วน ด่วน
เช้านี้ มือดีทุบทำลายป้ายชื่อ"เขตดุสิต" บน"สะพานท่าราบ" ที่ขึ้นป้ายแทน "สะพานพิบูลสงคราม" เสียหายจำนวนมาก
หลังจากขึ้นป้ายชื่อใหม่ได้เพียงวันเดียว แทน "สะพานพิบูลสงคราม"ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2514 บนถนนประชาราษฎร์สาย 1 ใกล้แยกเกียกกาย เขตดุสิต เส้นทางยุทธศาสตร์จากกรุงเทพฯ มุ่งสู่นนทบุรี

ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงสะพาน ส่วนใหญ่ไม่รู้"สะพานพิบูลสงคราม"ถูกเปลี่ยนชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น


สำหรับกรณีทุบทำลายป้ายชื่อเขตดุสิต ทำทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเร่งหาคนกระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ในส่วนเรื่องราวความเป็นมาของ “สะพานพิบูลสงคราม” ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น “สะพานท่าราบ”ทางเพจโบราณนานมาได้ให้ข้อมูลว่า

จาก “สะพานพิบูลสงคราม” สู่ “สะพานท่าราบ”

“สะพานพิบูลสงคราม” นั่นหลายคนน่าจะทราบดีว่า มาจากชื่อบรรดาศักดิ์ที่ต่อมาเป็นนามสกุลของ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” บรรดาศักดิ์เดิม คือ “หลวงพิบูลสงคราม” นามเดิม “แปลก ขีตตะสังคะ” เป็นสมาชิกคณะราษฎร ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเป็นรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง และอดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในไทยเกือบ ๑๕ ปี

ส่วน “สะพานท่าราบ” ชื่อสะพานนี้น่ามาจากสกุลของ “พระยาศรีสิทธิสงคราม” นามเดิมคือ “ดิ่น ท่าราบ” เป็นนายทหารบกชาวไทย มีบทบาทสำคัญในฐานะแม่ทัพหน่วยล่วงหน้าและหน่วยระวังหลังของฝ่ายกบฏในเหตุการณ์กบฏบวรเดช มีศักดิ์เป็นตาของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี

“พระยาศรีสิทธิสงคราม” มีนามเดิมว่า “ดิ่น ท่าราบ” เกิดที่ตำบลท่าราบ จังหวัดเพชรบุรี ในครอบครัวชนชั้นกลางซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม ดิ่นเป็นคนเรียนเก่ง สอบเข้านายร้อยทหารบก และจบการศึกษาได้ที่ ๑ จึงได้ทุนการศึกษาไปศึกษาต่อที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่นเดียวกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ทั้งสามคนเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมืองพ็อทซ์ดัมเป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลิน ในช่วงนี้ทั้งสามคนสนิทสนมกันมากจนได้รับฉายาจากพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ ว่าเป็น “สามทหารเสือ” เช่นเดียวกับสามทหารเสือในนวนิยายของอาแล็กซ็องดร์ ดูว์มา

ระหว่างที่อยู่ทวีปยุโรปนี้ “ประยูร ภมรมนตรี” เริ่มเป็นตัวกลางชักชวนบุคคลต่าง ๆ ให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ประยูรใช้เวลาร้องขอพระยาศรีสิทธิสงครามกว่าปีเศษจึงยอมร่วมมือ แต่มีเงื่อนไขว่าขอดูตัวผู้ที่จะเป็นหัวหน้าคณะก่อการเสียก่อน แต่เมื่อทราบผู้นำการก่อการคือสองเพื่อนสนิทของตน จึงขอถอนตัวโดยรับปากว่าจะไม่เอาความลับไปแพร่งพราย และจะติดตามดูอยู่จากวงนอกเท่านั้น

“ดิ่น ท่าราบ” อยู่ที่ยุโรปประมาณสิบปีแล้วจึงเดินทางกลับสยามและได้รับยศร้อยตรี ในปี ๒๔๗๐ และมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ตามลำดับ จนได้รับยศเป็นพันเอก ในปี ๒๔๗๑ ขณะอายุได้ ๓๗ ปี แรกเป็นนายทหารประจำกรมเสนาธิการทหารบก ต่อมาได้เป็นหัวหน้าแผนกที่ ๒ กรมเสนาธิการทหารบกในปี ๒๔๗๓ และดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพที่ ๑ ในปีเดียวกัน และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาศรีสิทธิสงคราม” เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม๒๔๗๔ ขณะอายุได้ ๔๐ ปี พระยาศรีสิทธิสงครามเคยออกความเห็นว่าระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไม่เหมาะสมแก่ยุคสมัย สมควรเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี ๒๔๗๕ พระยาพหลพลพยุหเสนา (กลุ่มสามทหารเสือ) ชักชวนพระยาศรีสิทธิสงคราม (กลุ่มสามทหารเสือ) เข้าร่วมคณะราษฎร แต่พระยาศรีสิทธิฯ ก็ปฏิเสธไปเนื่องจากไม่ชอบวิธีการรุนแรงที่คณะราษฎรใช้เปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาทรงสุรเดช (กลุ่มสามทหารเสือ) ไม่พอใจจึงสั่งย้ายพระยาศรีสิทธิฯ ไปประจำกระทรวงธรรมการ นัยว่าเป็นการลงโทษ

ในเดือนมิถุนายน ๒๔๗๖ พระยาพหลฯ กับพระยาทรงฯ ทะเลาะกันเรื่องงานจนวังปารุสก์แทบแตก พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ), พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ปรึกษากันแล้วเห็นว่าถ้ารับราชการแล้วต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ก็ลาออกดีกว่า ทั้งสามพระยาจึงลาออก ส่งผลให้พระยาพหลฯ ต้องลาออกตามเพื่อรักษามารยาท นั่นทำให้ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและกองทัพที่เคยเป็นของสี่เสือคณะราษฎรว่างลงทั้งหมด
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (นายกรัฐมนตรีขณะนั้น) ปรึกษากับพันโทหลวงพิบูลสงคราม ได้ข้อสรุปว่าจะให้พันโทประยูร ไปเชิญพลตรีพระยาพิไชยสงครามมา เป็นผู้บัญชาการทหารบก, เชิญพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม มาเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก ส่วนตัวหลวงพิบูลจะขอเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พระยาพหลฯ ไม่คัดค้านจึงเป็นอันตกลงกันได้ ในที่สุดก็มีพระบรมราชานุญาติให้สี่ทหารเสือลาออก ระหว่างนี้ให้บุคลลที่จะได้รับแต่งตั้งรักษาราชการในตำแหน่งที่ว่างลงไปพลางก่อน

เมื่อกลับสู่กองทัพ พระยาศรีสิทธิสงคราม เตรียมโยกย้ายนายทหาร (สายคณะราษฎร) ทั้งหมดออกจากตำแหน่งคุมกำลังพล การข่าวเรื่องนี้หลุดไปถึงหลวงพิบูลสงคราม ทำให้ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พระยาพหลฯ หลวงพิบูลฯ และหลวงศุภชลาศัย ชิงก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณนิติธาดา หลวงพิบูลบอกพันโทประยูรว่า “...ประยูร จำเป็นต้องทำ ไม่มีทางเลี่ยง เพราะเจ้าคุณศรีสิทธิสงครามเล่นไม่ซื่อหักหลัง เตรียมสั่งย้ายนายทหารผู้กุมกำลังทั้งกองทัพ พวกก่อการจะถูกตัดตีนมือและถูกฆ่าตายในที่สุด...”

ประยูรได้เขียนบันทึกไว้ว่า “...ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ท่านเจ้าคุณศรีสิทธิสงครามมาหาข้าพเจ้าที่บ้านบางซื่อ หน้าเหี้ยมเกรียม ตาแดงก่ำเป็นสายเลือด นั่งกัดกรามพูดว่าหลวงพิบูลสงครามเล่นสกปรก ท่านจะต้องกำจัด จะต้องฆ่าหลวงพิบูลสงคราม แต่จะต้องดูเหตุการณ์ไปก่อน ถ้าหลวงพิบูลล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินเมื่อใด ท่านเป็นลงมือเด็ดขาด...” พระยาศรีสิทธิสงครามถูกโอนย้ายไปสังกัดกระทรวงธรรมการตามเดิม

ในเหตุการณ์กบฏบวรเดชในเดือนตุลาคม ๒๔๗๖ พระยาศรีสิทธิสงคราม เข้าร่วมด้วย มีฐานะเป็นแม่ทัพ รับหน้าที่เป็นกองระวังหลัง จนเมื่อทางฝ่ายกบฏเพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาล ในเวลาพลบค่ำของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ปีเดียวกัน พระยาศรีสิทธิสงคราม ถูกยิงเสียชีวิตใกล้กับที่สถานีรถไฟหินลับ จังหวัดสระบุรี โดยหน่วยของว่าที่ร้อยตรีตุ๊ จารุเสถียร จากนั้นร่างของพระยาศรีสิทธิสงครามได้ถูกส่งกลับกรุงเทพมหานคร โดยทำการฌาปนกิจอย่างเร่งด่วนที่วัดอภัยทายาราม หรือวัดมะกอก โดยที่ทางครอบครัวไม่ได้รับรู้มาก่อนเลย และกว่าจะได้อัฐิกลับคืนก็เป็นเวลาล่วงไป ๓-๔ ปีแล้ว อีกทั้งยังถูกคุกคามต่าง ๆ นานา ตลอดสมัยรัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

ปัจจุบันนามของ “พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)” ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อที่ต่าง ๆ เช่น “ห้องศรีสิทธิสงคราม” ในอาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ (ในปี ๒๕๖๒) และ “สะพานท่าราบ” ใกล้แยกเกียกกายและอาคารรัฐสภา (ในปี ๒๕๖๕)

บรรณานุกรม
(๑) ย้อนราก “๓ ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี ศิลปะวัฒนธรรม. ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๓
(๒) หนังสือที่ระลึกในงานพิธีพระราชทานเพลิงร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์. หน้า ๓๕-๔๐


สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline
กำลังโหลดความคิดเห็น