xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เปิดเบื้องลึกลอบสังหาร "ชินโซ อาเบะ" - หลักฐานชวนอึ้ง “ผกก.โจ้” รวย 1,400 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 15 ก.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่

- “ผกก.โจ้ ถุงดำ” รวย 1,000 กว่าล้าน ความรวยนี้ คนๆ เดียวมิอาจทำได้แน่นอน

- ลอบสังหาร “ชินโซะ อาเบะ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เบื้องลึกคืออะไร? เกี่ยวพันอย่างไรกับ “บูชิโด”

- วิกฤต “ศรัลังกา” ใครคือต้นเหตุจะใช่จีนหรือไม่?
- BRICS ขบวนการปลดแอกให้หลุดพ้นจากการตกเป็นทาสการเงินโลกตะวันตก
- ความจริง 8 ประการ “กัญชา” ติดเร็วกว่าเหล้าและบุหรี่จริงหรือ?

- ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ นาทีทองของนักการเมืองที่ต้องการทำมาหากิน

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.146



คำต่อคำ SONDHI TALK EP.146 [15 ก.ค. 65] : เปิดเบื้องลึกลอบสังหาร "ชินโซ อาเบะ"
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK<

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตอนนี้เป็นตอนที่ 146 แล้ว อีกไม่กี่ตอน ไม่ถึงสิบตอน ก็จะครบสามปี ที่ผมออกรายการนี้มาโดยที่ไม่มีวันหยุดเลยแม้แต่อาทิตย์เดียว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากหยุดนะครับ ผมก็อยากจะมีชีวิตเป็นส่วนตัวเหมือนกัน แต่ว่าความรับผิดชอบที่มีต่อท่านผู้ชม ผมรู้ว่าท่านผู้ชมหลายท่านก็อยากจะดูรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนพันธุ์แท้ที่ต้องการจะดูทุกๆ วันศุกร์ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องกัดฟัน อาจจะขอตายในหน้าที่ก็ได้

มีท่านผู้ชมหลายท่านแจ้งมาจากหลากหลายช่องทางว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กแล้วเมื่อมีการไลฟ์ หรือมีวิดีโอใหม่ที่ลงในเพจ จริงๆ แล้วก็ไปกดกระดิ่งอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ให้เขาแจ้งอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะแจ้งหรือไม่แจ้งนั้นก็ไม่สามารถจะทราบได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่แจ้ง เพราะเขาต้องการปิดกั้น


ท่านผู้ชมครับ ทำไมไม่โหลด Sondhi App เอาไว้ เพราะว่ารายการไลฟ์ หรือคลิปใหม่ที่เราจะออกใน Sondhi App จะมีการแจ้งเตือนให้ท่านผู้ชมทราบทุกคลิปเลย ทุกคลิปไม่มีโฆษณา ไม่มีวันพลาด รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" รายการ WORLD TALK รายการข่าวต่างประเทศ รายการ BIG STORY ซึ่งช่วงหลังได้รับความนิยมจากแฟนๆ มาก ท่านผู้ชมครับ กรุณาโหลด Sondhi App เอาไว้ แล้วก็สมัครเป็นสมาชิก ปีนี้มีรายการใหม่ๆ ให้อีกมากมาย ตอนนี้มีรายการเรื่องหนึ่งซึ่งอยากจะแจ้งให้รู้ล่วงหน้าก่อน ผม กับคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ เราจะมาทำอะไรร่วมกัน และเป็นเรื่องที่ท่านผู้ชมไม่เคยทราบมาก่อนจากที่ไหนมาก่อนเลย เผยแพร่เฉพาะช่อง Sondhi App เท่านั้น

เพราะฉะนั้นแล้ว ใครที่ยังไม่ได้ดาวน์โหลด ให้รอติดตามเอาไว้นะครับ จริงๆ แล้วเปิดเผยสักนิดหนึ่ง แย้มๆ หน่อยก็ได้ คือแอ้ม กับผม จะมานั่งคุยกันในเรื่องชีวิตของผม แอ้ม จะมาจับประเด็นตั้งแต่เด็กเลย เรียนหนังสือมา อัสสัมชัญศรีราชา เป็นอย่างไรบ้าง จบ ม.6 หรือ ม.8 สมัยนั้น แล้วไปเรียนต่อที่ไต้หวัน ทำไมถึงไปเรียนไต้หวัน และทำไมถึงไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วกลับจากอเมริกามาทำอะไรบ้าง แต่ละขั้นตอนชีวิตที่ไม่เคยมีใครรับทราบมาก่อน นอกจากคนที่เคยอ่านหนังสือที่ชื่อว่า "ต้องแพ้เสียก่อน จึงจะชนะได้" แต่นั่นก็เป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นเอง มันยังมีอีกหลายตอน ตอนช่วงกลางชีวิต "ต้องแพ้เสียก่อน จึงจะชนะได้" นั่นเป็นช่วงต้นชีวิต กับช่วงต้นๆ ที่เริ่มทำงาน แต่ช่วงกลางชีวิต ช่วงปลายชีวิต ที่มีความโลดโผนเหมือนม้าป่าตัวหนึ่งที่กระโดดแล้วไม่มีใครสามารถจะคุมได้ หลายๆ เรื่อง เรื่องการเมือง ทำไมถึงต้องอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนี้

คุณแอ้ม กับผม จะมานั่งคุยกัน เท่าที่ปรึกษาหารือกับพรรคพวกแล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณปีหนึ่งถึงจะหมด อาทิตย์หนึ่งคุณแอ้ม จะคุยกับผมสักครั้ง สองครั้ง ผมคิดว่าต้องมีประมาณสักเกือบร้อยตอน มันเป็นอัตชีวประวัติชีวิตของผมเลย ซึ่งไม่เคยออกที่ไหนมาก่อน

ท่านผู้ชมครับ มีท่านผู้ชมหลายหมื่นคนดาวน์โหลด Sondhi App แล้ว มันไม่มีโฆษณาแทรกหรือกวนใจ สามารถดูรายการย้อนหลังได้ต่อเนื่อง ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ 99 บาทเอง วันละ 3 บาท ถ้าสมัครเป็นรายปี 990 ยิ่งคุ้มใหญ่

ท่านผู้ชม ถ้ายังมีปัญหาในเรื่องของการจ่ายเงิน หรือเข้าแอปฯ ไม่ได้ ให้แอดไลน์ (LINE) มาสอบถามที่ @sondhitalk ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับเรื่องนี้ เรามีอะไรที่เราอยากจะพูดหลายๆ เรื่อง และมีหลายอย่างที่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ท่านผู้ชมควรจะรับรู้เอาไว้

ส่วนหนึ่งที่ผมต้องพูดนิดหนึ่งวันนี้ตอนเปิดรายการ คือ ท่านผู้ชม เวลาผมอธิบายเรื่องราวเรื่องอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องต่างประเทศ ผมจะเอาองค์ความรู้ทั้งหมด บอกที่มาที่ไปให้ทราบ ผมไม่ได้เอารายงานข่าวที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น แล้วมาอธิบายให้ฟัง เหมือนอย่างอาทิตย์นี้ผมจะพูดถึงการตายของนายชินโซ อาเบะ ผมไปขุดคุ้ยรากเหง้าของ ชินโซ อาเบะ กับชีวิตของคุณตาเขา ซึ่งนามสกุล คิชิ ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ตระกูลอาเบะ กับ ตระกูลคิชิ เป็นตระกูลนักการเมืองมาตลอด ผมเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าให้ฟัง หลายต่อหลายเรื่อง แม้กระทั่งในประเทศไทย ผมก็ไม่ได้ละเว้น เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว อธิบายไปจนจบแล้ว และมีความต่อเนื่อง ผมก็จะตามเรื่องนั้นเพื่อเอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง เพราะผมคิดว่าเวลาเล่าเรื่องอะไรให้ฟังแล้ว "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง" ต้องเล่าให้จบทุกกระบวนความ ท่านผู้ชมจะได้มีองค์ความรู้ได้อย่างเต็มที่

ท่านผู้ชมครับ เรื่องต่างประเทศ ผมยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยพูดเป็นชิ้นๆ นั้น เมื่อท่านผู้ชมเอามาร้อยเรียงกันแล้ว ท่านผู้ชมจะได้ภาพรวมที่ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งที่ผมพูดไปนั้น ในที่สุดแล้ว อาจจะใช้เวลานิดหนึ่ง มันก็เป็นความจริงเกิดขึ้นมา


ก่อนที่เราจะเข้าไป ผมจะเรียนขออนุญาตนิดหนึ่ง "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ท่านผู้ชมครับ ผมทานมาปีกว่าแล้ว แล้วคนอายุมากที่ซื้อไปทาน รู้สึกดีตลอดเวลา และต้องการที่จะสั่งเพิ่มตลอดเวลา กล่องหนึ่งทานได้ 1 เดือน 30 ซอง เป็นยาอายุวัฒนะ เป็นยาสูตรของหลวงพ่อฉิม วัดชัยชนะสงคราม สมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงพระราชทานนามว่า "ขรัวตาฉิม หมอเทวดา" ท่านเรียกเลยว่าเป็นหมอเทวดา เชื่อผมสิครับ ไม่ผิดหวัง อันนี้เป็นอายุวัฒนะจริงๆ ขับไล่ลม ลดเสมหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะการณ์ที่มีโควิด-19 แบบนี้ เป็นการลดเสมหะ แล้วก็ล้างเสมหะ แล้วก็ช่วยในเรื่องของปอดด้วย ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ไม่ได้เลยนะครับ ของมีน้อย ท่านผู้ชมเข้ามาใน inbox เลย สั่งซื้อให้คุณพ่อ สั่งซื้อให้คุณแม่ หรือถ้าอายุมากขึ้น สี่สิบกว่าปีขึ้นไป สั่งซื้อเพื่อให้ตัวเองกิน แล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่าหลังจากกินต่อเนื่องไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน ความสมดุลในธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในร่างกายเรามันจะสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรดีกว่าอันนี้แล้วครับท่านผู้ชม "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สั่งเข้ามาใน inbox เลยนะครับท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีหลายๆ เรื่องที่ผมคิดว่าท่านผู้ชมฟังแล้วคงจะฮือฮาพอสมควร เรื่องแรก ท่านผู้ชมจำ ผู้กำกับโจ้ ได้ไหม ผู้กำกับโจ้ถุงดำ ที่ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตข้อหาจงใจทำให้ผู้ต้องหาคดียาเสพติดต้องตายโดยการเอาถุงดำคลุมหัว ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต แล้วลดลงเหลือตลอดชีวิต เนื่องจากการให้การเป็นประโยชน์ เรื่องก็ยังอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ ทำไมผมเอาเรื่องนี้มาพูด ? เป็นครั้งแรก ท่านผู้ชม ผมมีหลักฐานชัดเจนว่าผู้กำกับโจ้คนนี้มีเงินฝากอยู่ในธนาคารประมาณหนึ่งพันกว่าล้านบาท ท่านผู้ชมครับ หนึ่งพันกว่าล้านบาท ในชื่อของผู้กำกับโจ้ ยังไม่นับทรัพย์สินอื่นอีก ติดตามมา รับรองว่าฮือฮาแน่นอน

เรื่องที่สองก็คือ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าผมจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังการลอบสังหาร ชินโซ อาเบะ ซึ่งผมกำลังอธิบายอีกมิติหนึ่งให้ท่านผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ หรือติดตามแล้ว ที่อื่นไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว คือ ชินโซ อาเบะ กำลังจะฟื้นฟูลัทธิ "บูชิโด" อีกครั้งหนึ่ง ตามแนวทางที่คุณตาของเขาได้วางเอาไว้ คุณตาของนายชินโซ อาเบะ คือมือขวาของนายพลโตโจ นายพลโตโจ คือใคร ? คือผู้ที่กุมชะตาเอเชียไว้ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคนที่วางยุทธการ ยุทธศาสตร์ในการบุก และยึด โจมตีประเทศจีน โจมตีเกาหลี เข้าไปในเอเชียอาคเนย์ หลายอย่าง แล้วก็เข้ามายึดประเทศไทยหลายแห่ง

เรื่องที่สาม ท่านผู้ชมครับ ศรีลังกามีตระกูลราชปักษา ครองอำนาจอยู่ในประเทศศรีลังกาสิบปี ตระกูลราชปักษาอยู่ทุกจุด แล้วก็สูบเลือดสูบเนื้อประเทศศรีลังกา จนกระทั่งประเทศศรีลังกาล่มสลายไป ซึ่งจริงๆ แล้วตระกูลราชปักษาก็คือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา เข้ามาปกครองศรีลังกา

เรื่องที่สี่ ปฐมบทการก่อกำเนิดของธนาคารแห่งใหม่ของโลก ชื่อ BRICS Bank คือการปลดแอกจากทาสเสรีการเงิน มันเป็นอย่างไร BRICS Bank เกิดขึ้นได้เพราะอะไร แล้วทำไมต้องมี BRICS Bank ตั้งขึ้นมาเพื่อเอามาแข่งกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลก โดยเฉพาะ นั่นคือระเบียบโลกใหม่

เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องเก่า แต่ก็ไม่เชิงเก่า คือเรื่องที่ผมพูดมาแล้วสองอาทิตย์ซ้อน คือเรื่อง "กัญชา" มีความจริง 8 ประการ ที่ผมจะเอามาพูดอธิบาย กรณีที่มีหมอคนหนึ่งปล่อยข่าวกัญชา ปล่อยข่าวว่ากัญชาติดเร็วกว่าเหล้าและบุหรี่ คำถามคือจริงหรือเปล่า ? ที่สำคัญ ท่านผู้ชมครับ งวดนี้ผมเอาความจริงที่เกิดขึ้น ท่านผู้ชมหลายท่าน บางท่านเป็นถึงแพทย์แผนปัจจุบัน ส่ง inbox ตรงมารายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" โดยที่ใน inbox นั้นมีข้อมูลเพรียบพร้อม และมีตัวอย่างที่แพทย์ท่านนี้รักษาผู้ป่วยด้วยกัญชาแล้วได้ผลอย่างไรบ้าง โรคอะไรบ้างทำได้ ผมเอามาเล่าให้ฟัง และผมก็ขอเปิดตัวตำรับยาแผนไทยของชาติที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม 162 ตำรับ ท่านผู้ชมจะได้รับทราบเอาไว้ และพร้อมที่จะให้ดาวน์โหลดข้อมูลหนังสือเล่มนี้ เพราะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีขายในท้องตลาด

เรื่องสุดท้าย ท่านผู้ชมอาจจะถามผมว่า การเมืองเมืองไทยเป็นอย่างไร ผมจะเล่าเป็นภาพรวมให้ฟัง ท่านผู้ชมฟังเข้าใจแล้วจะเห็นว่าผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย เพราะผมกำลังรอให้พ้นวันที่ 28 สิงหาคม ก่อน ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ก็มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังว่าราคากล้วยตอนนี้ขึ้นจาก 5 ล้าน ต่อ 1 คะแนนเสียงที่ยกมือให้ เป็น 15-20 ล้านแล้ว เป็นการทำมาหากินครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการยุบสภา ราคาก็เลยแพงหน่อย


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำ "ผู้กำกับโจ้ถุงดำ" ได้ไหม ? ผู้กำกับโจ้ถุงดำ คือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล เป็นผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ กับลูกน้องนายตำรวจอีก 6 คน ใช้กำลังรีดทรัพย์จำนวน 2 ล้านบาท จากนายจิระพงศ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหายาเสพติด จนเสียชีวิตคามือ เหตุเกิดขึ้นวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกือบปีแล้ว ถึงแม้ผู้กำกับโจ้ จะพยายามเคลียร์เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ด้วยการจ่ายเงินจ่ายทองครอบครัว และกลบเกลื่อนว่าเป็นการเสียชีวิตจากพิษสารแอมเฟตามีน แต่หลักฐานกล้องวงจรปิดในห้องสอบสวน ผลชันสูตรที่แท้จริงว่าผู้ต้องหาเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจจากการถูกถุงดำคลุมหัว รัดคอ


ในที่สุดแล้ว คดีความก็เลยขึ้นไปสู่ที่ศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นพิพากษาออกมาแล้วว่าให้ประหารชีวิตผู้กำกับโจ้ แต่ให้การเป็นประโยชน ให้ลดโทษลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคนอื่นๆ ก็โดนมาก-น้อยแล้วแต่ บางคนก็โดนแค่ 5 ปี 4 เดือน บางคนก็โดน 7 ปี มีผู้กำกับโจ้เท่านั้นเองที่โดนพิพากษาประหารชีวิต แล้วเป็นจำคุกตลอดชีวิต

แน่นอนที่สุด กระบวนการนี้ ผู้กำกับโจ้ ก็คงจะอุทธรณ์และฎีกาต่อไป ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าคำพิพากษาจากศาลอุทธรณ์จะฎีกา และฎีกาจะผิดไปจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปเท่าไรนัก เพราะพยานและการทำหลักฐานชัดเจนเหลือเกิน


ทำไมผมถึงเอาเรื่องนี้มาพูด ? ผมได้ข่าวมาว่าผู้กำกับโจ้ ซึ่งอยู่ในเรือนจำคลองเปรมนั้น ผิดหวังต่อคำพิพากษาประหารชีวิต แล้วลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตมาก กลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก อาจจะคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสหลุดพ้นออกไป ใช้เงินที่ทำการทุจริตและเก็บสะสมเอาไว้หลายต่อหลายปีเสียที เอาล่ะ เรามาถึงเรื่องประเด็นหลัก


ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่า ผู้กำกับโจ้ รับราชการตำรวจ 17 ปี สิบปีหลัง ผู้กำกับโจ้รวยเป็นเงินพันกว่าล้านบาท ประวัติการรับราชการของผู้กำกับโจ้นั้น แม้จะมีการเปิดเผยมาบ้างแล้ว แต่ผมจะแจกแจงข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อท่านผู้ชมจะได้ใช้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับประเด็นสำคัญกว่านั้นที่ผมจะพูดต่อไป


ทรัพยสินและที่มาของความร่ำรวยผิดปกติอย่างมากของผู้กำกับโจ้ ก่อนหน้านั้นมีการสันนิษฐานว่าประมาณ 500-600 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมาจากการยึด การนำจับ ประมูลรถหรูจำนวนมากกว่า 400 คัน

ท่านผู้ชมครับ ผมถามว่าผู้กำกับโจ้รวยมาจากขบวนการยึด นำจับ ประมูลรถหรูนำเข้าจากต่างประเทศที่เชื่อได้แน่ว่าเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรมีส่วนรู้เห็นด้วย แค่นั้นหรือ ? ตามผมมา ย้อนหลังมาดูนิดหนึ่ง ท่านผู้ชม


ผู้กำกับโจ้ เกิด 29 มิถุนายน ปัจจุบันอายุ 42 ปี เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 57 ครั้งแรกรับราชการยศร้อยตำรวจตรี 2547 พอ 2548 ไปเป็นรองสารวัตรสถานีตำรวจภูธรโคกเคียน นราธิวาส 2549 ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งรองสารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

16 พฤษภาคม 2559 ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ ณ กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 4 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

ผมตั้งข้อสังเกตอย่างนี้ ท่านผู้ชม ตอนผู้กำกับโจ้ อยู่ที่กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ยาวนานถึงสิบปี อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ยาวนานกว่า 13 ปี ระหว่างนั้นมีโอกาสทำคดีสำคัญๆ อย่างเช่น คดี พ.ต.ท.ธนกฤต นิตสพันธ์ สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ร่วมคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ สืบสวนจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดเครือข่ายข้ามชาติอีกหลายคดี เช่น จับกุมเครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา มาเฟียค้ายาเสพติดข้ามชาติชาวลาวที่โยงกับ เบนซ์ เรซซิ่ง นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช อดีตสามีของดาราสาว แพท ณปภา


13 ธันวาคม 2562 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้กำกับสืบสวน สถานีตำรวจภูธร จ.พิษณุโลก อีกปีหนึ่งต่อมา ปีเดียวนะ เป็นรองผู้กำกับปีเดียว ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจเมืองนครสวรรค์ เอาล่ะมาดูกัน


มาดูภาษี ผู้กำกับโจ้ ยื่นภาษี 7 ปี รายได้รวมที่ผู้กำกับโจ้ระบุมา คือ 2.96 ล้านบาท ท่านผู้ชมครับ แต่ว่าบัญชีเงินฝากของผู้กำกับโจ้ มีถึง 1,243 ล้านบาท ทวนอีกทีนะท่านผู้ชม ผู้กำกับโจ้ ยื่นภาษี 7 ปี รายได้รวม 2.96 ล้านบาท แต่บัญชีเงินฝากของผู้กำกับโจ้ มีเงินฝากรวม 1,243 ล้านบาท ในชื่อผู้กำกับโจ้ ได้มีการตรวจสอบการเสียภาษีของผู้กำกับโจ้ ว่าทั้งหมดนี้มีรายได้รวม 2.96 ล้านบาท


พอมาดูทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ ค้นพบว่าผู้กำกับโจ้มีเงินฝากในธนาคาร 3 บัญชี มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชี เป็นผู้มีอำนาจในการถอนเงิน 3 บัญชีรวมแล้ว 1,243,813,772.48 บาท แบ่งเป็น บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน ประเภทสะสมทรัพย์ เลขบัญชี 211-0-57181-3 ชื่อบัญชีผู้กำกับโจ้เอง ใช้เวลาเป็นเวลา 10 ปี 2554-2564 บัญชีนี้ทำรายการฝาก 258 รายการ รวมเป็นเงิน 1,197,694,152.48 บาท


ท่านผู้ชมครับ แสดงว่าสิบปีนั้นคือสิบปีของการที่ทำงานอยู่ในกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด อนุมานได้เลยว่าเงินที่เอามาฝากนั้น คือเงินที่ไปรีดไถพ่อค้ายาเสพติด ฝากตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 23 เมษายน 2564 มีเงินฝากถึง 1,197 ล้านบาท


มีบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาหลักสี่ บัญชีชื่อผู้กำกับโจ้ มี 8 รายการ จำนวน 11,542,450 บาท บัญชีที่ 3 เป็นบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย สาขาราชวัตร ชื่อบัญชีผู้กำกับโจ้เช่นกัน ปี 2554-2557 ในช่วงนั้นยังอยู่กับกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ทำรายการฝากเงินจำนวนถึง 18 รายการ รวมเป็นเงิน 34,577,170 บาท

ท่านผู้ชมครับ เมื่อผมลงไปดูรายละเอียดในการฝากเงิน ผมพบว่า รายละเอียดระบุชัดเจนว่าเป็นการฝากเงินครั้งละหลักหลายล้านบาท เดือนละหลายๆ ครั้ง บางครั้งมีการฝากเงินจำนวนมากเป็นหลักหลายสิบล้านภายในวันเดียวก็มี ยกตัวอย่างเลย วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557 มีฝากเงิน 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง 21,999,800 บาท ครั้งที่สอง 1,999,750 บาท รวมเป็นเงินฝากในวันเดียว 23,999,550 บาท


ผมเอาตัวเลขบัญชีให้ดู 20 มิถุนายน มีการฝากเงิน 1 ครั้ง 15 ล้านบาท 20 พฤศจิกายน มีการฝากเงิน 3 ครั้ง ครั้งละ 10 ล้านบาท วันเดียวเป็นเงิน 30 ล้านบาท 8 ธันวาคม 2557 มีการฝากเงิน 1 ครั้ง จำนวน 30,999,900 บาท 17 เมษายน 2558 มีการฝากเงิน 2 ครั้ง แบ่งเป็น ครั้งที่หนึ่ง 17,902,500 บาท ครั้งที่สอง 12,540,000 บาท รวมเป็นเงินฝากวันเดียว วันที่ 17 เมษายน 30,442,500 บาท


ท่านผู้ชมครับ เรามาดูบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้กำกับโจ้ เขาเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 79/898 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ บนที่ดิน 4 แปลง รวม 5 ไร่ ใน ต.บางชัน อ.คลองสามวา ผู้กำกับโจ้ ติดต่อซื้อจากผู้ขาย วันที่ 20 กรกฎาคม ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2557-2558 มูลค่ารวม 54.15 ล้านบาท เงินที่ซื้อที่นี้ ถอนออกมาจากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน ในชื่อผู้กำกับโจ้ มาซื้อ


รถยนต์ พบว่าผู้กำกับโจ้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองรถยนต์จำนวน 15 คัน แต่คิดเป็นเงินเพียง 6.19 ล้านบาท เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมูลค่าต้องมากกว่านั้นหลายเท่า พิจารณาจากรถแล้ว เป็นยี่ห้อหรูหลายคัน ไม่ว่าจะเป็น Benz, Audi, Porche


เกร็ดข้อมูลการเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อ Lamborghini หมายเลขทะเบียน จก 5 กรุงเทพมหานคร เช่าซื้อกับบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง ชำระค่าเช่าซื้ออัตรางวดละ 534,334 บาทต่อเดือน เป็นจำนวน 60 งวด ชำระค่าซื้อครบถ้วนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 เป็นจำนวนเงิน 32,060,040 บาท ส่วนต่างจากราคาจำหน่ายจริงราว 14 ล้านบาท แสดงว่าน่าจะมีเงินดาวน์รถอีกประมาณ 15-20 ล้านบาท รถคันนี้มูลค่า 40-50 ล้านบาท นอกจากนั้น ก็เป็นหนี้สินเช่าซื้อรถยนต์


ทั้งหมดนี้ ที่ผมเอามาพูด มันมีหลักฐานหมดเลย ท่านผู้ชม หลักฐานเบอร์บัญชี หลักฐานเงิน ข้าวของของผู้กำกับโจ้ ปฏิเสธไม่ได้เลย ข้อมูลเงินสด ทรัพย์สิน ของผู้กำกับโจ้ที่ผมเอามาเล่าให้ฟังนี้ มูลค่าจริงตามท้องตลาด ไม่ใช่ตามที่ทางการประเมิน ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ที่ดิน ทั้งหมดแล้วมูลค่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 1,400-1,500 ล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ ผู้กำกับโจ้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ว่าจริงๆ แล้วการจับทุจริตในประเทศไทย หากมีการบูรณาการด้านข้อมูลข่าวสาร เอา Big Data ที่หน่วยงานต่างๆ มาปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ประพฤติมิชอบ ก็จะง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษี การเสียภาษีกับกรมสรรพากรของเจ้าตัวกับคู่สมรส การจดทะเบียนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ข้อมูลการฝากเงิน ถอนเงิน เงินโอนเข้า-ออกจากบัญชี ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถขอได้จากธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งได้อยู่แล้ว

ท่านผู้ชมครับ นี่คือตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง รับราชการมาแค่ 17 ปี ถูกจับตอนอายุ 41 ปี แต่มีเงินมากมายถึง 1,500 ล้านบาท 1,500 ล้านบาท นี่ชื่อของเขาเองเลยนะท่านผู้ชม ไม่ได้เอาเป็นชื่อคนอื่นนะ ยังไม่นับทรัพย์สินที่ซุกซ่อนหรือฝากไว้กับนอมินีอีกไม่รู้กี่คน อีกกี่ร้อยล้านบาท ผมดูแล้ว ขบวนการแบบนี้ จำนวนเงินที่เข้าแบบนี้ ระยะเวลาที่เงินเข้าแบบนี้ คงไม่น่าจะเอี่ยวกับขบวนการยึด นำจับ ประมูลรถยนต์เถื่อนเท่านั้น ผมอนุมานได้ว่าต้องเกี่ยวกับขบวนการทำผิดกฎหมายอย่างอื่น เช่น ยาเสพติด ค้าของเถื่อน ค้าแรงงานเถื่อน การพนันออนไลน์

ท่านผู้ชมครับ แน่นอนว่าแค่ผู้กำกับโจ้คนเดียวไม่อาจทำได้แน่นอน น่าจะมีขบวนการใหญ่ที่มีผลประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลัง เผลอๆ เงินที่ผู้กำกับโจ้ฝากเอาไว้ นั่นอาจจะเป็นเงินก่อนที่จะเอามาแบ่งให้กับหลายๆ คนที่อยู่เบื้องหลัง และก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้นนะท่านผู้ชม และนี่คือข้อเท็จจริงนะ ท่านผู้ชม ของระบบราชการไทย ของตำรวจไทยบางคน เชื่อว่าทางทหารก็ต้องมี ท่านผู้ชมครับ นี่คือประเทศไทยนะ รายการนี้เอาแต่ของจริงมาเปิด เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมอย่าคิดว่าผมมีอคติอะไรกับคนโน้นคนนี้ ไม่ใช่ ผมมีอคติกับระบบที่มันเลวทรามต่ำช้า มีอคติกับคนที่อยู่ในวงการและมีอำนาจ แล้วใช้อำนาจในการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่กรณีนี้ไม่ใช่ฉ้อราษฎร์บังหลวง กรณีนี้ก็คือว่า รีดไถคนที่อยู่ในวงการยาเสพติด

ผมเชื่อเลยว่าเงินทั้งหมด ทั้งก้อนนี้ มาจากขบวนการค้าแรงงานเถื่อน ขบวนการยาเสพติด แน่นอนที่สุด ไม่อย่างนั้นเงินจะเข้าเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร 1,500 ล้าน ทรัพย์สินที่ซ่อนไว้ แล้วยังซ่อนอีกเยอะเลย ที่ยังไม่รู้ นี่คือปรากฏในชื่อของเขา ใน 3 ธนาคาร ผมเชื่อว่ามีนอมินีที่ถือเงินแทนเขาอยู่อีกเยอะเลยงานนี้ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคิดอย่างไร ผมไม่ได้คิดอย่างไร ผมมีแต่ความเศร้า เศร้าจริงๆ ท่านผู้ชมครับ ขอประทานโทษครับ โคตรทุเรศเลย ทุเรศฉิบหายเลย ดูแล้วเป็นไปได้อย่างไร รับราชการตำรวจมา 17 ปี มีเงินฝาก บวกทรัพย์สินแล้ว เกือบสองพันล้านบาท แล้วเงินฝากเป็นชื่อตัวเอง 3 บัญชี แสดงว่าผู้กำกับโจ้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องถูกจับได้ เงินที่ใช้น่าจะเป็นการใช้ซื้อตำแหน่ง ยัดปากผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เผอิญถุงดำนั้นทำให้คนตาย ถ้าคนที่ถูกถุงดำคลุมยังอยู่ หรือไม่ได้คลุมถุงดำ และเขาไม่ตาย ป่านนี้ผู้กำกับโจ้อาจจะได้ขึ้นเป็นรองผู้การไปแล้ว เพราะยัดเงินหนักเหลือเกิน และก็ทำกรรมชั่วต่อไปอีกนานแสนนาน

ท่านผู้ชมครับ รู้จักคน รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการตายของนายชินโซ อาเบะ อดีตผู้นำญี่ปุ่น วัย 67 ปี สักนิดหนึ่ง เพราะว่าเท่าที่ดู อ่านข่าวมาตลอด ไม่ค่อยมีใครลงลึกถึงเรื่องของตระกูลนายชินโซ อาเบะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโยงไปถึงผู้นำยุคปัจจุบัน คือ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ แล้ว จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้ว ถึงแม้ว่าการตายของนายชินโซ อาเบะ คนที่ยิงจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง แต่ว่า ทั้งนายชินโซ อาเบะ และนายคิชิดะ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการบูชิโดในญี่ปุ่น

คำว่า "บูชิโด" หมายถึง นักรบ พวกนี้เป็นพวกขวาจัด เป็นพวกที่ต้องการจะให้ญี่ปุ่นกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณตาของนายชินโซ อาเบะ ซึ่งเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เป็นมือขวา เป็นคนสนิทของนายพลโตโจ

นายพลโตโจ คือใคร ? นายพลโตโจ คือคนที่สนับสนุนและต้องการที่จะเผยแพร่ ขยายอำนาจ แสนยานุภาพของญี่ปุ่นไปครอบทั้งเอเชีย ให้อยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นแต่ประเทศเดียว ที่น่าสนใจอย่างมากคือ ความคิดนี้ในญี่ปุ่น ในวันนี้ยิ่งวันยิ่งแรงขึ้น


นายอาเบะ ตายเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ระหว่างที่ช่วยพรรคแอลดีพีหาเสียงที่เมืองนารา ซึ่งอยู่ใกล้กรุงเกียวโต นายอาเบะ โดนยิงด้วยปืนทำเอง และคนที่ยิงนั้นก็บอกชัดเจนเลยว่า เขาไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ที่เขาฆ่านายอาเบะ ก็เพราะว่า เขาเข้าใจว่านายอาเบะนั้นเกี่ยวข้องกับองค์กรๆ หนึ่งทางศาสนาที่แม่ของเขาลุ่มหลงถึงขนาดขนเงินก้อนใหญ่ไปบริจาค จนทำให้ครอบครัวระส่ำระสาย ก็เลยตั้งใจมาฆ่าอดีตนายกฯ อาเบะ


ท่านผู้ชมครับ ในที่สุดแล้ว นายอาเบะก็เลยถูกสังเวยทางการเมือง และการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น หรือผู้นำประเทศญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เกิดขึ้นบ่อยมากและถี่มาก คือเรื่องยากูซา ก็ยากูซาไป นั่นคือเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่องค์กรอาชญากรรม ซึ่งทุกแห่งก็มีกันหมด ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา หรือว่าจะเป็นประเทศไทย หรือประเทศไหนก็ตาม แต่จู่ๆ คนญี่ปุ่นซึ่งไม่มีใครรู้จักเลย เอาปืนที่ทำด้วยตัวเอง ที่ใช้เทคโนโลยี 3D ประกอบขึ้นมา โดยใช้ท่อพลาสติก และใช้เทปสีดำพันเอาไว้เพื่อไม่ให้มันมีปัญหาอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น


แล้วก็ทำขึ้นมาเอง และเป็นคนโนเนม จู่ๆ เดินเข้ามาข้างหลังนายอาเบะ แล้วก็ยิงนายอาเบะนั้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง เดาไม่ถึง เพราะว่าบางครั้งคนญี่ปุ่นหรือคนทางเอเชียที่ค่อนข้างจะหัวรุนแรง มองเรื่องชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเขามองว่าคนๆ นี้จะนำให้ชาติบ้านเมืองไปสู่ความพินาศฉิบหาย เขาก็พร้อมที่จะเสียสละชีวิตของเขาในการฆ่าผู้นำคนนั้น


ก็อย่างที่ทราบล่ะครับ นายอาเบะ นั้นคือสถาปนิกตัวยงในการที่จะปลุกปั่นและดำเนินการเพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นมีพลานุภาพ มีแสนยานุภาพกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ประเทศที่ตัวเองตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องกีดกัน จะต้องป้องกัน และจะต้องเผชิญหน้าให้ได้ ก็คือประเทศจีน ผมเชื่อว่าในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ ก็จะมีการแก้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นได้แล้ว เพราะว่าพรรคของนายอาเบะในขณะนี้ต้องถือว่าเป็นพรรคขวาจัดแล้ว พรรคนายอาเบะ ตอนนี้ได้รับการเห็นอกเห็นใจจากชาวญี่ปุ่นที่นายอาเบะต้องตาย เพราะฉะนั้นแล้ววุฒิสมาชิกสายพรรคของนายอาเบะก็เข้าไปในสภามาก มีมากพอที่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญนั้นต้องใช้เสียงในวุฒิสภาถึง 2 ใน 3 เท่าที่นักวิเคราะห์ วิเคราะห์มาว่าก็น่าที่จะทำได้แล้ว

ท่านผู้ชมครับ คนที่ยิงนายอาเบะ อดีตก็เป็นทหารคนหนึ่งในกองกำลังป้องกันตนเอง คือสังกัดกองทัพเรือ เป็นเรื่องที่ช็อกตำรวจญี่ปุ่นมาก เพราะว่าญี่ปุ่นไม่เคยมีเรื่องอะไรที่รุนแรงแบบนี้ และหาได้ยากมาก


นายเท็ตสึยะ ยามากามิ คนร้ายที่ฆ่านายอาเบะนั้น รายงานเป็นองค์กรศาสนา และอาจจะเป็นองค์กรที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองบางพรรค สำนักข่าวเองกำลังหาหลักฐานมายืนยันคำสารภาพของคนร้ายอยู่ ถ้าสมมุติว่ามีความเกี่ยวพันกับองค์กรพรรคการเมืองจริง อาจจะส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง เท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งก็ได้ผ่านไปแล้วในวันที่ 10

ในวงการการเมืองญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่านักการเมืองที่พลีชีพจากความขัดแย้งในลัทธิความเชื่อทางการเมือง หรือการต่อสู้ในรัฐสภา จะเป็นนักการเมืองที่ประวัติศาสตร์จะจดจำไว้ ท่านผู้ชมครับ ฟังแล้วน่ากลัวไหม เพราะฉะนั้นแล้ว บางคนลุ่มหลง หลงในประวัติศาสตร์เหมือนอย่างผม แต่ผมคงไม่เที่ยวไปฆ่าใครหรอกครับ ผมไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์มาจดจำผมเอาไว้ แต่ญี่ปุ่นจะเป็นอย่างนั้น

การเมืองญี่ปุ่นพูดสั้นๆ ได้ว่าเป็นการเมืองแห่งการลอบสังหาร ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นในสายตาพวกเราดูเหมือนเป็นประเทศสงบสุข ไร้ความรุนแรงทางสังคม การเมืองก็อย่างงั้นๆ แต่เราก็จะได้ข่าวคราวเกี่ยวกับแก๊งยากูซ่าประปราย การฆ่าตัวตาย การเกิดเหตุโดยใช้อาวุธมีด ของมีคม แต่การใช้ความรุนแรงอย่างเช่นการลอบสังหารผู้นำทางการเมืองนั้น แทบจะไม่เคยมีใครได้ยินเลย ในช่วงนี้ แต่ถ้าท่านผู้ชมตามผมกลับไปสมัยยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง จะมีการลอบสังหารนายกฯ ญี่ปุ่นค่อนข้างบ่อย ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายขวาในยุครัฐบาลประชาธิปไตยเฟื่องฟู แล้วการลอบสังหารแบบนี้ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้ว อาชญากรรมทางการเมืองในญี่ปุ่นจึงมีเป้าหมายที่ชัดเจน จากความโกรธแค้น และอุดมการณ์ทางการเมือง อย่างเช่นการลอบสังหารนักการเมือง อย่างเช่น นายชินโซ อาเบะ

ผมจะไล่ให้ดูว่ามีการลอบสังหารมาอย่างไร 2452 ฮิโรบูมิ อิโตะ อดีตนายกรัฐมนตรี 4 สมัยของญี่ปุ่น ถูกคนรักชาติชาวเกาหลีสังหารที่สถานีรถไฟในเมืองฮาร์บิน


4 พฤศจิกายน 2464 (101 ปีที่ผ่านมา) นายกฯ ฮาระ ทาเคชิ ถูกฝ่ายขวาจัดแทง ที่สถานีรถไฟโตเกียว

14 พฤศจิกายน 2473 นายกรัฐมนตรีฮามากุจิ โอซาจิ ถูกฝ่ายขวายิงที่สถานีโตเกียวเช่นกัน แต่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็ตายไปในที่สุดในอีก 9 เดือนต่อมา

15 พฤศจิกายน 2475 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย นายทหารญี่ปุ่น 15 นาย ลอบสังหารนายกฯ อินุไค ซึโยชิ ทำให้ไซโก มาโกโตะ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

อีกสี่ปีให้หลัง 26 กุมภาพันธ์ 2479 นายทหารหนุ่ม 11 คน พยายามยึดอำนาจ ยกพลไปลอบสังหารนักการเมืองใหญ่ของประเทศ ครั้งนั้นมีอดีตนายกรัฐมนตรีเสียชีวิตไป 2 คน คือ นายไซโก มาโกโตะ อดีตนายกฯ ส่วนนายเคสึเกะ โอคาดะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด


ท่านผู้ชมครับ กรณีลอบสังหารทั้งสองกรณีนี้ทำให้การเมืองญี่ปุ่นผันแปรไปอย่างมากมาย เปลี่ยนจากทิศทางระบบเสรีประชาธิปไตย เป็นระบอบเผด็จการทหารนิยม และในที่สุดก็นำญี่ปุ่นเข้าไปสู่วังวนแห่งสงครามเอเชียอาคเนย์

การลอบสังหารผู้นำญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่โด่งดังที่สุดก็คือ คุณตาของนายชินโซ อาเบะ คือ โนบุซูเกะ คิชิ ซึ่งเป็นคุณตาของชินโซ อาเบะ เป็นเจ้าของฉายาว่า "อสูรแห่งยุคโชวะ" ได้ถูกคนร้ายใช้มีดแทง แต่ครั้งนั้นคุณตาของอาเบะรอดมาได้


12 ตุลาคม 2503 หกสิบสองปีที่แล้ว อิเนจิโระ อาซานุมะ นักการเมืองฝ่ายซ้าย หัวหน้าพรรคฝ่ายสังคมนิยมของญี่ปุ่น ถูกนักศึกษาหัวรุนแรงขวาสุดโต่งใช้ดาบซามูไรจ้วงแทงที่ท้องจนเสียชีวิต ต่อหน้าผู้คนที่ฟังการปราศรัยหาเสียง โดยมีเหตุจูงใจจากความไม่พอใจในจุดยืนแบบสังคมนิยม และเขาได้ไปเยี่ยมเยือนประเทศจีนด้วย

2533 มีการลอบสังหารนายกเทศมนตรีนางาซากิ โดยพวกฝ่ายขวาใช้ปืนยิงตาย

2535 สามสิบปีที่แล้ว มีการยิงทำร้ายรองประธานพรรคแอลดีพี พรรคของนายชินโซ อาเบะ

2550 สิบห้าปีที่แล้ว นายกเทศมนตรีนางาซากิถูกแก๊งยากูซ่ายิงตาย

ท่านผู้ชมครับ ห้วงเวลาความมั่นคงของญี่ปุ่นห้วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสุดโต่ง ญี่ปุ่นพยายามสร้างประเทศให้ทันสมัยเพื่อต่อกรกับจักรวรรดินิยมตะวันตกในสมัยเมจิ และปัญหามากมายที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญหลังจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ก่อให้เกิดกลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองขึ้นมาระหว่างฝ่ายขวา คือ ฝ่ายบูชิโด ที่นายอาเบะ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่ ตลอดจนส่งไม้ต่อให้นายคิชิดะ พวกนี้อยากให้ญี่ปุ่นมีกำลังทหารเข้มแข็ง สู้ต่างชาติได้ มีความนิยมสุดโต่ง อีกฝ่ายคือฝ่ายซ้าย รณรงค์หลักสันติและสังคมนิยม มันจึงเรียกว่าเป็นการเมืองแห่งการลอบสังหาร การเมืองที่ใช้ความรุนแรง ลอบสังหาร เป็นเครื่องมือเพื่อทำลายศัตรูทางการเมือง

ท่านผู้ชมครับ เรามาย้อนหลังไปสัก 3 เดือน ในรายการตอนที่ 132 "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2565 ถ้าใครยังจำได้ ผมเคยเล่าให้ฟังถึงคำพูดและแนวคิดของนายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับสงครามในยูเครนและอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้อย่างนี้


27 กุมภาพันธ์ 2565 หลังเกิดเหตุรัสเซียบุกยูเครนได้สามวัน ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งยังมีอิทธิพลสูงมากอยู่ในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือพรรคแอลดีพี ซึ่งเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบัน ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ญี่ปุ่นว่า "ญี่ปุ่นควรจะเปลี่ยนความคิดให้สามารถกลับมาติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ บนผืนแผ่นดินของญี่ปุ่นได้" ท่านผู้ชมครับ หลักการแล้ว สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ยึดหลักการ 3 ไม่ คือ ไม่ผลิต ไม่ครอบครอง และไม่นำเข้าอาวุธนิวเคลียร์

ชินโซ อาเบะ ชี้แจงผ่านสื่อสาธารณะ แล้วก็พูดตอนนายคิชิดะ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่าญี่ปุ่นควรจะถึงเวลาแล้ว ถ้าไม่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นฐานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ได้ นายฟูมิโอะ คิชิดะ รีบออกมาปฏิเสธถึงความเป็นไปได้


นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน รีบออกมาตอบโต้คัดค้านเลย โดยบอกว่า "เราขอให้ญี่ปุ่นไตร่ตรองประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง" นายหวังเผย และเตือนญี่ปุ่นให้ระมัดระวังในคำพูดและการกระทำเกี่ยวกับปัญหาไต้หวันที่จะยั่วยุให้เกิดปัญหา

ท่านผู้ชมครับ เป็นที่ทราบกันดี และถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองว่า ญี่ปุ่นนั้นได้สร้างบาปกรรมอย่างแสนสาหัสไว้กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งจีน และเกาหลี และตลอดทวีปเอเชีย จนกลายเป็นประเด็นที่บาดหมางกันต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน และเรื่องนี้ยากที่จะแก้ไขได้

หลายคนอาจจะคิดว่าความคิดของนายอาเบะ เป็นแค่ความคิดและข้อเสนอ แต่ญี่ปุ่นไม่กล้าทำจริงด้วยการปล่อยให้อเมริกามาตั้งฐานจรวดนิวเคลียร์บนผืนแผ่นดินหรอก เพราะบทเรียนจากที่ญี่ปุ่นเคยได้รับจากเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ เมื่อ 77 ปีที่แล้ว แต่เราต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้นักการเมืองและชาวญี่ปุ่นที่มีแนวคิดแบบนายอาเบะ คือเป็นนักการเมืองสายเหยี่ยว ออกโรงสนับสนุนไต้หวัน ท้าชนกับรัสเซีย กล้าต่อต้านกับจีน กำลังขยายตัว คนที่ชอบแบบนี้ คนที่ชอบแบบขวาจัด ประเภทพอประดาบแล้วก็รบกันทันทีเลย กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นมากๆ


ท่านผู้ชมครับ นายโนบุซูเกะ คิชิ ตาแท้ๆ ของนายอาเบะ ผู้เป็นหลาน มีความเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือต้องการให้ทั้งตัวตาและตัวหลาน นายคิชิ และนายชินโซ อาเบะ ต้องการให้ญี่ปุ่นมีกองทัพที่แข็งแกร่งอีกครั้ง คิชิ ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญ เลิกข้อห้ามญี่ปุ่นมีกองทัพเลยทีเดียว มิหนำซ้ำแล้ว ตาของอาเบะ คิชิ ยังแก้ต่างให้กับการรุกรานชาติเอเชีย ว่าทำถูกต้องแล้ว เพื่อสร้างวงศ์ไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพาในช่วงสงครามด้วย

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูตระกูลของชินโซ อาเบะ กับนายคิชิ เป็นสองตระกูลที่ทรงอิทธิพลในญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซเกะ แล้วไปเรียนต่อที่อเมริกาจบมหาวิทยาลัยที่ USC : University of Southern California หลังจากนั้น จบแล้วก็มาทำงานกับบริษัทเหล็ก ชื่อ โกเบ สตีล (Kobe Steel) ลาออก แล้วมาเล่นการเมือง


ชินโซ อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 57 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุด 2 สมัย สมัยแรก 2549-2550 สมัยที่สอง 2555-2563

2563 เขาก้าวลงจากตำแหน่งด้วยสุขภาพที่ไม่ดี ส่วนนายอาเบะ คิชิ ตระกูลทั้งคู่ อาเบะ มาจากตระกูลใหญ่ทางการเมืองญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นบุตรชายของนายชินทาโร อาเบะ ซึ่งเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และยังเป็นหลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คือ นายโนบุซูเกะ คิชิ

สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คุณตาเขาเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง พลเอก โตโจ มีบทบาทอย่างสูงในการรุกรานจีน เกาหลี และชักใยประเทศแมนจูเรีย แล้วทั้งเคยถูกดำเนินคดีข้อหาอาชญากรสงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง

ชินโซ อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรีในยุคหลังสงคราม ที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่น ตระกูลอาเบะ-คิชิ ทรงอิทธิพลทางการเมืองในญี่ปุ่นมาถึงสามชั่วคน มีผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีถึงสามคน และเป็นตระกูลที่ร่วมก่อตั้งพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี ที่กุมอำนาจญี่ปุ่นมายาวนาน ตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ปู่ของอาเบะ คือ คัน อาเบะ เป็น ส.ส. ตั้งแต่ปี 2480-2489


พ่อของนายอาเบะ แต่งงานกับโยโกะ ลูกสาวของนายกฯ โนบุซูเกะ คิชิ มีลูกชาย 3 คน ลูกชายคนหนึ่งถูกประธานบริษัท Seibu Oil รับไปเลี้ยงดูเป็นลูก เพราะไม่สามารถมีลูกได้ นายโนบุโอะ จึงใช้ชื่อสกุลทางฝั่งแม่ คือ คิชิ ตั้งแต่เกิด

โนบุโอะ คิชิ ก็คือน้องชายของชินโซ อาเบะ แต่ใช้คนละนามสกุลกัน น้องแท้ๆ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากตระกูล คิชิ ที่มีคุณตาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคโอะ ซึ่งมีชื่อมาก ก็เข้าทำงานกับบริษัท ซูมิโตโม และเคยไปทำงานสาขาบริษัทในสหรัฐฯ เวียดนาม และออสเตรเลีย


เมื่อชินโซ อาเบะ เจริญเติบโตทางการเมือง ก็ดึงน้องชายคนนี้เข้าสู่เส้นทางการเมือง นายโนบุโอะ คิชิ ได้รับเลือกเป็น ส.ว. ในปี 2547 ในจังหวัดยามากูชิมะ ซึ่งเป็นฐานของตระกูลคิชิ และตระกูลอาเบะ จากนั้นก็มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาล เมื่อชินโซ อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2555 โนบุโอะ คิชิ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ ต่างประเทศ และต่อมาก็ได้มีการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ตอนนี้น่าจับตาดูว่าหลังเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 ที่นายชินโซ อาเบะ ถูกลอบสังหาร นายอาเบะ ยืนอยู่หลักการของชาตินิยมและมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม นิยมขวาจัด จะกลายเป็น ... จะมีโอกาสที่จะพลิกผันให้กลับไปเป็นอดีตได้หรือเปล่า

ข้อมูลจากปากผู้ลอบสังหาร เขาบอกว่าไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง แต่มีบางคนทางการเมืองในญี่ปุ่น มองว่าอาเบะ ตายเพราะต้องการฟื้นญี่ปุ่นให้เป็นลัทธิบูชิโด หรือจะเรียกว่าเป็นลัทธิโตโจ ก็ได้ ผู้ที่ขับเคลื่อนลัทธิวงศ์ไพบูลย์แห่งเอเชียบูรพาในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สร้างความพินาศฉิบหายย่อยยับให้ญี่ปุ่นมาแล้ว ทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ทั่วประเทศต่อต้านลัทธิบูชิโด เหมือนกับชาวเยอรมันที่ต่อต้านลัทธินาซี

นับตั้งแต่รัฐบาลนายชินโซ อาเบะ เรื่อยมาจนถึงทายาททางการเมืองของเขา คือ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ ที่ประกาศตัวเป็นสายเหยี่ยวเต็มที่ นายคิชิดะ เข้าร่วมประชุมนาโต ประกาศล่มหัวจมท้ายกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของอเมริกาอย่างเต็มตัว


ด้วยนโยบายอย่างเช่น ตั้งตัว เอาญี่ปุ่นมาตั้งตัวเป็นแกนหลักในเอเชียในการดำเนินนโยบายคว่ำบาตรรัสเซียตามมตินาโต สหภาพยุโรป นายคิชิดะ ตั้งตัวเป็นกองหน้าแกนหลักของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เป็นสุนัขรับใช้ให้กับอเมริกาเพื่อปิดล้อมจีน นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นแกนหลักในภาคพื้นมหาสมุทรอินเดีย เข้าก่อตั้งและเข้าร่วมกับ QUAD เป็นแกนหลักในภาคพื้นแปซิฟิกในการปกป้องไต้หวัน และพร้อมจะเผชิญหน้ากับจีนและเกาหลีเหนือ

ท่านผู้ชมครับ และในการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก G7 ที่เยอรมนี ช่วงปลายมิถุนายน 2565 ญี่ปุ่นยืนยันว่าจะเพิ่มงบประมาณทางทหารในช่วง 5 ปีข้างหน้า อีก 1 เท่าตัว จาก 1 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ประมาณ 7 ล้านล้านเยน เป็น 2 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ราว 14 ล้านล้านเยน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มเท่าตัว ให้เท่าเทียมกับมาตรฐานของสมาชิกนาโต


ท่านผู้ชมครับ นอกจากนี้แล้ว ยังมีการคาดหมายด้วยว่า เมื่อพรรคแอลดีพีของนายอาเบะ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และครองเสียงในสภาสูง ก็จะมีการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น โดยเฉพาะในมาตราที่ 9 ที่ระบุชัดเจน ให้ญี่ปุ่นมีสิทธิที่จะตั้งกองทัพของตัวเองขึ้นมาได้

ท่าทีของนายคิชิดะ ครั้งนี้ที่ออกมาในแนวขวาจัด แล้วมาร่วมกับทางตะวันตก นาโต และอเมริกา ประณามรัสเซีย ก็เลยส่งผลให้ หนึ่ง ญี่ปุ่นถูกรัสเซียยึด 4 เกาะ และตั้งฐานทัพประจำประจันหน้าญี่ปุ่น สอง ทำให้เกาหลีเหนือเตรียมอาวุธนิวเคลียร์พร้อมทุกเมื่อที่จะถล่มญี่ปุ่น สาม ทำให้ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเงิน และความเดือดร้อนจากการร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย


ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่น่าสนใจและน่าจับตาคือ ณ วันนี้ นายชินโซ อาเบะ ตายแล้ว แต่การเสียชีวิตแนวคิดและแนวนโยบายที่เขาวางเอาไว้ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและมีชีวิตอยู่ จะเบ่งบานไปได้มาก-น้อยแค่ไหนในสังคมญี่ปุ่น ท่านผู้ชมครับ สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงวัย ตอนนี้มีเปอร์เซ็นต์ของผู้สูงวัยในญี่ปุ่นมากกว่า 30-40 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นกำลังขาดคนวัยหนุ่มวัยสาว เพราะฉะนั้นแล้ว ญี่ปุ่นจะเสริมกำลังกองทัพอย่างไร ด้วยอาวุธอย่างไร จำนวนคนที่จะเข้ามา ที่จะร่วมทำสงครามในอนาคตข้างหน้านั้น ด้วยความเป็นสูงวัยของประเทศอย่างญี่ปุ่น ก็จะมีอุปสรรคอย่างมาก แต่ที่แน่ๆ ถ้านายคิชิดะ ไม่ระมัดระวังตัว เข้ามาแทรกแซงในไต้หวัน ถ้าจีนบุกเข้ายึดไต้หวันในฐานะที่เป็นพื้นที่ของประเทศจีนแล้ว การปะทะกับไต้หวัน กับจีน ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน เพื่อปกป้องไต้หวัน ซึ่งญี่ปุ่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย มาแทรกแซง ก้าวก่ายเรื่องภายในของจีน ก็อาจจะเกิดสงครามขึ้นในพื้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างแน่นอนที่สุด และก็ทำนายได้เลยว่า เกาหลีเหนือก็คงจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มญี่ปุ่นทันที เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายคิชิดะ กำลังเดินอยู่ และประชาชนที่เริ่มมีอารมณ์ร่วมกับนายคิชิดะ หลังจากการตายของนายอาเบะ ว่าญี่ปุ่นควรที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง อาจจะนำพาให้ในที่สุดแล้วญี่ปุ่นก้าวเข้ามาสู่การล่มสลายทั้งประเทศก็ย่อมเป็นไปได้ครับ


ท่านผู้ชมครับ เมื่อ 1 หรือ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านผู้ชมคงจะพอรับทราบข่าวและเห็นภาพชาวศรีลังกานับแสนที่คับแค้นใจจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง ขาดแคลนทั้งเรื่องพลังงาน อาหาร เงินเฟ้อ ประชาชนนับแสนคนบุกตะลุยเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีของคุณโคฐาภยะ ราชปักษะ นั่นคือชื่อของประธานาธิบดีในประเทศศรีลังกา โคฐาภยะ นามสกุล ราชปักษะ เผาบ้าน และก็เผาบ้านนายกรัฐมนตรี บุกเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดี และเผาบ้านนายกรัฐมนตรีชื่อ รนิล วิกรมสิงหะ ที่กำลังเกิดขึ้นในศรีลังกา


ไม่ได้ต่างไปกว่าหนังตัวอย่างที่บรรดาประเทศเล็กประเทศน้อยทั้งหลายคงต้องเอามาหยิบใช้เป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อสะกิดใจเอาไว้ให้จงหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนาที่เป็นอดีตอาณานิคมชาติตะวันตก เมื่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกขณะนี้กำลังออกไปในแนวของผลพวงของโดมิโน ก็คือ โดมิโนพอมันล้มตัวหนึ่งแล้ว ตัวโดมิโนตัวแรกที่ล้มก็จะไปกระแทกตัวต่อไป มันก็จะล้มทั้งแถบเลย

จากจุดหนึ่ง สามารถลามไปอีกจุดหนึ่งได้ อาจจะต้องพังทลายพินาศไปทั้งประเทศ หลายๆ คนพยายามจะเปรียบเทียบเรื่องในศรีลังกา กับประเทศไทย แต่ผมไม่เห็นด้วย ประเทศไทยคงไม่ใช่เป็นแบบศรีลังกา แต่ลักษณะของตระกูล ราชปักษะ ซึ่งผูกขาดอำนาจ และครองศรีลังกามา มีส่วนคล้ายคลึงกับลักษณะของ 3 ป. ประวิตร ประยุทธ์ อนุพงษ์ ที่ครองอำนาจประเทศไทยมาแปดปีเต็มๆ ตั้งแต่ปี 2557 เหมือนกันครับ เหมือนกันจริงๆ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดประเทศไทยยังมีสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นตัวค้ำจุนอยู่ ก็เลยไม่สามารถจะล่มสลายเหมือนศรีลังกาได้

ศรีลังกา เป็นอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักรอังกฤษ ได้รับเอกราชมาแล้ว 74 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 (2491) แต่วิกฤตศรีลังกาเกิดขึ้นเมื่อมีนักการเมืองโค่นตระกูล ราชปักษะ เหมือนประเทศไทยที่มีวิกฤตการเมืองของ 3 พี่น้อง 3 ป. เช่นกัน ครองอำนาจอย่างรากลึกทางการเมืองยาวนานถึง 20 ปี ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ พระเอกคนเก่า ตระกูลราชปักษะ ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา


ประธานาธิบดี โคฐาภยะ ราชปักษะ อายุ 73 ปี มีพี่-น้องทั้งหมด 8 คน รวมตัวเองเป็น 9 มีผู้ชาย 6 ผู้หญิง 3 พี่ชายคนรอง ตระกูลเดียวกัน เป็นรองนายกรัฐมนตรี ชื่อ มหินทรา ราชปักษะ อายุ 76 ปี พี่ชายคนโต ชื่อ ชามาล ราชปักษะ อายุ 79 ปี เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตรัฐมนตรีการชลประทานและการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ ยังมีน้องชายที่ชื่อ บาซิล ราชปักษะ อายุ 71 ปี อดีตรัฐมนตรีคลัง มิหนำซ้ำ นายบาซิล ราชปักษะ อดีตรัฐมนตรีฯ คลังคนนี้ ถือพาสปอร์ตอเมริกาด้วย บุตรชายของนายมหินทรา ราชปักษะ คือ นามาล ราชปักษะ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาของศรีลังกา


ท่านผู้ชมครับ ทั้งระบบเส้นสายราชการในศรีลังกา ล้วนแต่สกุล ราชปักษะ ปกครองหมด ถึงขนาดผู้แทนหลายๆ ชาติที่มาเยือนศรีลังกา ถามด้วยความประหลาดใจที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่จะต้องติดต่อทุกคน ล้วนแต่นามสกุล ราชปักษะ ถึงกับถามว่าประเทศนี้ทุกคนใช้นามสกุล ราชปักษะ หมดเลยหรืออย่างไร

ผมเอาภาพ ทั้งประธานาธิบดีศรีลังกา โคฐาภยะ และพี่ชาย ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ชื่อ มหินทรา ราชปักษะ มาให้ดูครับ


ท่านผู้ชมครับ ศรีลังกาเจอภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเงินขั้นรุนแรง ถึงขั้นประเทศล้มละลาย ขาดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งตัวเองใช้ทุนสำรอง 70-80 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินดอลลาร์ มีเงินรูปีเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ฐานะการคลังของศรีลังกาอ่อนแอลง รายจ่ายมากกว่ารายได้ ขาดดุลการค้า ผิดชำระหนี้ ลำบากในการนำเข้าสินค้าจำเป็นต่างๆ รวมทั้งอาหาร ยารักษาโรค พลังงาน เชื้อเพลิง เงินเฟ้อสูงมาก นำมาสู่ความสับสนวุ่นวาย ความระส่ำระสาย เกิดการจลาจลชนิดที่ตระกูล ราชปักษะ ซึ่งครองแผ่นดินศรีลังกามาร่วม 10-20 ปี ยังเอาไม่อยู่

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูไทม์ไลน์กันนิดหนึ่ง เรื่องการล้มละลายของศรีลังกา 2563 (สองปีที่แล้ว) โควิด-19 ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวศรีลังกาลด ส่งออกทางเกษตรลด ขาดบัญชีเดินสะพัด ทุนสำรองระหว่างประเทศลด ปลายปี 2564 จีนได้ช่วยแลกเงินดอลลาร์ออกไป 1,500 ล้านดอลลาร์ กุมภาพันธ์ 2565 ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง แบงก์ชาติศรีลังกาประกาศทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลือแค่ 2,310 ล้านดอลลาร์ แต่หนี้ต่างประเทศสูงถึง 7 พันล้านดอลลาร์

ต้นปี 2565 ตระกูลราชปักษะ ได้ขอจีนช่วยปรับโครงสร้างหนี้กว่า 3,500 ล้านดอลลาร์ จากข้อมูลอย่างเป็นทางการในออสเตรเลีย ชี้ให้เห็นว่าเงินกู้ที่กู้จากจีนมีสัดส่วนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้ที่ศรีลังกามี เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อมูลและข้อกล่าวหาที่บอกว่าล้มเพราะหนี้ของจีนนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะว่าหนี้ของจีนมีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง


แต่ว่าการกู้ยืมจากตลาดต่างประเทศ และธนาคาร ADB ที่อยู่ในเครือข่ายของตะวันตก โดยใช้ญี่ปุ่นเป็นประธานธนาคาร ADB เป็นแหล่งที่มาของหนี้ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่ง ของศรีลังกา เงินกู้ของญี่ปุ่นยังคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้ต่างประเทศ อยู่อันดับเดียวกับจีน

30 มีนาคม (สามเดือนกว่าที่แล้ว) ปัญหาขาดแคลนพลังงาน รัฐบาลตัดไฟ 13 ชั่วโมงต่อวัน ศรีลังกาต้องกู้อินเดีย 500 ล้าน ซื้อน้ำมัน อินเดียขยายเงินกู้เพื่อช่วยจ่ายค่าอุปกรณ์จำเป็น มูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ อินเดียเป็นเจ้าหนี้ศรีลังการาวๆ 20 เปอร์เซ็นต์

ท่านผู้ชมครับ น่าสนใจมาก ตรงนี้อยากให้ตั้งใจฟังดีๆ ขนาดชาติตะวันตกซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของศรีลังกา เป็นเจ้าหนี้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ยอมช่วยอะไรเลยแม้แต่ดอลลาร์เดียว มีแต่บีบให้ศรีลังกาไปกู้เงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ลูกเดียว รัฐบาลศรีลังกายังเดินหน้าพึ่งทุนสำรองเงินตราต่างประเทศตะวันตกอย่างหนัก เพราะถังแตก เงินทุนสำรองกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ หมดภายใน 2 ปี

1 เมษายน (2-3 เดือนที่แล้ว) รัฐบาลศรีลังกาประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังจากที่คนออกมาขับไล่ ประท้วงประธานาธิบดีราชปักษะ รัฐมนตรีส่วนใหญ่ในคณะรัฐมนตรีได้ลาออก ผู้ว่าการแบงก์ชาติศรีลังกาลาออก รัฐมนตรีฯ คลังลาออก สูญเสียเสียงข้างมากในสภาจนต้องยอมยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน

อีก 6 วันต่อมา วันที่ 7 เมษายน รัฐบาลศรีลังกาเข้าตาจน ต้องพิมพ์เงินเพิ่มโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง เพื่อใช้หนี้ต่างชาติ หนี้พันธบัตรเงินกู้ เงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐ ค่าเงินรูปีศรีลังกาอ่อนค่า 35 เปอร์เซ็นต์ ถูกลดทอนค่าด้วย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดอลลาร์ หลังจากสหรัฐฯ คว่ำบาตรรัสเซีย รูเบิลแข็งขึ้น เงินเฟ้อสูง เงินดอลลาร์มหาศาล ถูกนานาชาติเทขายทุนสำรองทิ้ง ดอลลาร์ก็เลยไหลกลับไปสู่ต้นทางอเมริกา ลากเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาดอลลาร์เป็นทุนสำรอง ให้พังทลายยับเยิน ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ศรีลังกาพึ่งพาเงินดอลลาร์อย่างเดียวเลย


9 เมษายน ชุมนุมประท้วงจากคนเดือดร้อนทั่วประเทศ รัฐบาลราชปักษะ ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำมันสำเร็จรูป แถมยังปิดโรงกลั่นน้ำมันดิบตนเองไปแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจ ขาดแคลนเชื้อเพลิง ไฟดับบ่อยครั้ง โรงพยาบาลขาดแคลนยา อัตราเงินเฟ้อคุมไม่ได้

ถัดไปอีกสามวัน 12 เมษายน ศรีลังกาผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ 51,000 ล้านดอลลาร์

18 เมษายน ศรีลังกาขอเข้าโครงการกู้ยืมไอเอ็มเอฟ และขอความช่วยเหลือจากจีนและรัสเซีย ถ้าผมจำไม่ผิด รัสเซียส่งน้ำมันมาให้โรงกลั่นศรีลังกาโดยที่ยังไม่เก็บเงิน

พฤษภาคม (สองเดือนที่แล้ว) นายกรัฐมนตรี มหินทรา ราชปักษะ ผู้เป็นน้องชาย ลาออกไป เปลี่ยนเป็นนายกรัฐมนตรี ชื่อ รานิล วิกรมสิงหะ ซึ่งเข้ามาเดือนเดียวก็ยังทำอะไรไม่ได้ มิถุนายน (เดือนที่แล้ว) อัตราเงินเฟ้อศรีลังกา 54.6 เปอร์เซ็นต์ และกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ ผู้นำฝ่ายค้าน และประชาชน เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการหาแหล่งทุนด่วน

9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประชาชนไม่ทนแล้ว นับแสนๆ คน โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ชิงชังโคตรตระกูลราชปักษะ บุกตะลุยเข้าทำเนียบประธานาธิบดีโคฐาภยะ ราชปักษะ ซึ่งต้องเผ่นหนีออกจากทำเนียบแทบไม่ทัน เผาบ้านนายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงหะ ด้วย


12 กรกฎาคม (สามวันที่แล้ว) มีการหนีออกจากศรีลังกา จะไปดูไบ ของนายบาซิล ราชปักษะ น้องคนเล็กของประธานาธิบดี แต่ถูกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองศรีลังกาขวางไม่ให้ออก เพราะนายบาซิล ราชปักษะ ถือสัญชาติอเมริกาอีกหนึ่งสัญชาติ เหมือนใครรู้ไหมท่านผู้ชม ? เหมือนตัวตลกเซเลนสกี เหมือนกันเป๊ะเลย

ประธานาธิบดีโคฐาภยะ ราชปักษะ ก็หาทางหนีออกทางช่องทางธรรมชาติทางทะเล หลังจากเจ้าหน้าที่ ตม. ไม่ยอมประทับตราให้บินไปยูเออี (ดูไบ) โดยไม่ยอมให้บินไปตั้ง 4 เที่ยวบิน เจ้าหน้าที่พบกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยเอกสาร ได้ถูกทิ้งไว้ในแมนชันของทางการ พร้อมกับเงินสดจำนวนมหาศาล ตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลของเมืองโคลัมโบ

13 กรกฎาคม (สองวันที่แล้ว) ประธานาธิบดีศรีลังกาต้องลาออก ประธานรัฐสภาจะเข้ารับตำแหน่งประมุขชั่วคราว จนกว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะเลือกประธานาธิบดีคนใหม่

ช่วงเช้าวันเดียวกัน เมื่อสองวันที่แล้ว วันพุธ มีรายงานว่า นายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว หลังจากบรรดาผู้ประท้วงบุกเข้าทำเนียบที่เป็นบ้านพักของประธานาธิบดี และบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อมา 3 เดือน ก่อให้เกิดภาวะการณ์ขาดแคลนอาหาร/เชื้อเพลิงอย่างรุนแรง

ท่านผู้ชมครับ นี่คือหายนะของประเทศศรีลังกา ที่ต้องล้มละลาย ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ ภายใต้การนำของนักการเมืองตระกูล ราชปักษะ ตระกูลเดียว ที่ใช้อำนาจครอบงำมาตลอดเวลา 20 ปี แล้วก็ภัยเกิดขึ้นจากการสะสมเงินดอลลาร์เป็นทุนสำรองมากเกินไป ไม่ยอมซื้อเงินหยวนที่เงินเฟ้อต่ำมาถ่วงดุล ไม่ส่งเสริมภาคการผลิต ประมง เกษตร ผลิตอาหารให้เพียงพอภายในประเทศ

สรุปว่าอย่างไร ? สรุปว่าการล่มสลายของศรีลังกามีผู้เชี่ยวชาญ และสื่อตะวันตก ออกมาพยายามโยนขี้ โยนบาป ให้กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน และรัสเซีย เช่น หาว่าเป็นเพราะกับดักหนี้ของจีน ที่ปล่อยกู้ให้กับโครงการสาธารณูปโภคศรีลังกาตามแนวทาง 1 แถบ 1 เส้นทาง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ศรีลังกาไม่เหลือเงินไว้ใช้หนี้

แต่ท่านผู้ชมครับ Think Tank ของอังกฤษที่ชื่อ Chatham House หรือเขาเรียกว่า Royal Institute of International Affairs สถาบันนโยบายอิสระของโลก สำนักงานอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตีรายงานผลการวิจัยปี 2563 สรุปว่า ปัญหาหนี้สินของศรีลังกาไม่ได้เกี่ยวกับเงินกู้ที่กู้จากจีน แต่ผลเกิดจากการตัดสินใจด้านนโยบายภายในประเทศที่เอื้ออำนวยการปล่อยกู้นโยบายการเงินของตะวันตกมากกว่านโยบายของรัฐบาลจีน


รายงานตอนหนึ่งกล่าวว่า จากการวิจัยฉบับนี้ยืนยันถึงการค้นพบก่อนหน้านี้ว่า ศรีลังกาอาจจะมีปัญหาหนี้ต่างประเทศเป็นการทั่วไป แต่ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะหนี้สินกับจีนเลยแม้แต่นิดเดียว

ท่านผู้ชมครับ การเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ของอเมริกาถือเป็นนิสัยถาวร ตัวเองไม่เคยโทษตัวเองเลยว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอเมริกา รวมทั้งประเทศพันธมิตรยุโรปทั้งหลาย เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อแบบครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงระหว่างนี้ จนกระทั่งถึงการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของดอลลาร์ ได้กลายเป็นตัวเพิ่มพูนปริมาณหนี้สินมหาศาลให้กับประเทศกำลังพัฒนาอย่างศรีลังกา ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน จนกระทั่งได้ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ และสุดท้ายก็ต้องประกาศตัวเองล้มละลาย

ท่านผู้ชมครับ นอกเรื่องศรีลังกา มาที่ประเทศไทยนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมรู้ใช่ไหมว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง เงินบาทไทยอ่อนค่าลงถึง 36.03 มาวันนี้ วันศุกร์ ถ้าผมจำไม่ผิด เงินบาทไทยอ่อนต่อไปอีกแล้ว 36 บาท เกือบๆ 50 สตางค์ แล้ว อเมริกาในขณะนี้ ดอกเบี้ยนโยบายของอเมริกาอยู่ที่ 1.45 เปอร์เซ็นต์ ทราบมาว่าอีกไม่กี่วัน หรือไม่กี่อาทิตย์นี้ อเมริกาจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 0.75-1 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าดอกเบี้ยนโยบายนั้นจะถูกขึ้นไปเป็นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า - 2.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงมากในรอบ 41 ปี หรือ 50 ปี ของอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว เงินทุนก็จะไหลกลับเข้าอเมริกาหมด ประเทศไหนที่ต้องพึ่งเงินดอลลาร์อเมริกา ก็จะเจ๊กอั้ก เจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด หนี้ที่กู้มาในรูปแบบของดอลลาร์ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เหมือนประเทศไทย ถ้าใครกู้เงินดอลลาร์มา แล้วถ้าอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า เงินบาทจะต้องถึง 38 บาท อย่างแน่นอน ก็หมายความว่า จากกู้มาตอนนั้น 30 บาท ต้องจ่ายคืน 38 บาท ท่านผู้ชมครับ ถ้าไม่เจ๊กอั้กวันนี้ จะไปเจ๊กอั้กวันไหน


นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก นางคาร์เมน ไรน์ฮาร์ต เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม เมื่อหกวันที่แล้ว เตือนว่า มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นแบบศรีลังกา หรือเกิดการผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ จนนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย จลาจล ในประเทศที่เบี้ยน้อยหอยน้อย หรือประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศในลาตินอเมริกา อย่างเช่น เอลซัลวาดอร์ ประเทศในแอฟริกาอย่างเช่น กานา อียิปต์ ตูนิเซีย หรือประเทศในเอเชียอย่างปากีสถาน ที่ต่างเจอกับวิกฤตหนี้สินไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือกำลังรอเข้าคิว รอการผิดชำระหนี้ไปเป็นประเทศๆ ไม่น้อยกว่า 19 ประเทศ อาจจะพังเป็นแถบๆ ไปซีกโลกหนึ่ง

ท่านผู้ชมครับ การชักธงรบระหว่างอเมริกา ซึ่งจับมือกับยุโรป และจีน ซึ่งจับมือกับรัสเซีย ก็ยิ่งเท่ากับเป็นตัวซ้ำเติมให้บรรดาประเทศเล็กๆ จนๆ หรือประเทศกำลังพัฒนาในแต่ละราย ฉิบหายกันลุกลามบานปลาย หรือยิ่งแก้ยิ่งยากขึ้น ความพยายามที่จะแทรกแซง ฉวยโอกาสทางการเมืองของอเมริกา และโลกตะวันตก ที่จะบีบบังคับให้ประเทศเล็กๆ ต้องเลือกข้าง ย้ายข้าง เพื่อเล่นงานมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน รัสเซีย ที่ทำให้ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแต่ละประเทศสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะนำไปสู่การจลาจล หรือก่อการร้าย หรือมหาวิกฤตในด้านใดด้านหนึ่ง อันจะนำมาสู่ปัญหาระยะยาว ดังเช่นเหตุการณ์จลาจลที่เห็นและเป็นอยู่ในวิกฤตศรีลังกา ไม่ต่างกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่ออกอาการแบบที่เรียกว่า ผลกระทบแบบโดมิโน จากเงินดอลลาร์สหรัฐ และประเทศต่างๆ เอาตัวไม่รอด หนี้ท่วมหัวแบบศรีลังกานั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ แถมพกนิดหนึ่ง เงินยูโรวันนี้ ต่ำกว่าเงินดอลลาร์แล้ว สมัยก่อนเงินยูโร 1 ยูโร เท่ากับ 1.2 ดอลลาร์ หลังจากมีภาวะการณ์เงินเฟ้อหนัก แล้วยูโรขาดพลังงานจากรัสเซีย เศรษฐกิจยูโรมีแนวโน้มจะถดถอย ค่าของเงินยูโรได้ตกลงมาเท่าเงินดอลลาร์ และเริ่มกำลังจะต่ำกว่าเงินดอลลาร์แล้ว ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอเมริกาและตะวันตก และยุโรป ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะจีน กับรัสเซีย เพราะตัวเองไปบอยคอตประเทศรัสเซีย รัสเซียก็เลยไม่ส่งพลังงานให้ แต่รัสเซียก็ส่งพลังงานไปขายที่ตะวันออกกลาง แล้วตะวันออกกลางก็เอาน้ำมันรัสเซียมาผสมกับน้ำมันซาอุดีอาระเบีย แล้วส่งน้ำมันนี้กลับมาขายที่ยุโรป บวกค่าหัวคิวแพงมหาศาล ขายให้กับอเมริกาด้วย เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมที่เข้าใจผิด เข้าใจใหม่ได้ว่าวิกฤตในโลกนี้ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากประเทศทางตะวันตก ทางยุโรป และสหรัฐอเมริกาเป็นคนที่ทำให้เกิดขึ้น ผมหวังว่าเจ้าหน้าที่ประเทศไทยจะทยอยปล่อยเงินทุนสำรองฯ ที่ยังเหลือประมาณ 2 แสน 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ที่เก็บเอาไว้ ทยอยรีบปล่อยไปเรื่อยๆ ซื้อเป็นเงินหยวนเข้ามาเก็บเอาไว้

ท่านผู้ชมครับ แม้กระทั่งเงินเยน ยังตกลงมาต่ำกว่า 130 เยน แล้วตอนนี้ อะไรก็ตามที่เกี่ยวพันกับทางตะวันตก ฉิบหายหมดทุกคน เพราะความเห็นแก่ตัวของประเทศอเมริกาที่จะเอาตัวเองรอด ประเทศพันธมิตรจะพังทลายทางเศรษฐกิจอย่างไร เขาไม่สนใจหรอกครับ

ท่านผู้ชมครับ ขณะนี้ในโลกนี้กำลังมีกระบวนการปลดแอกจากทาสเศรษฐกิจและการเงินของทางตะวันตก ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วไม่ใช่หรือว่า องค์การโลกบาลทั้งหลายในด้านเศรษฐกิจและการเงินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก (World Bank) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) แต่ละองค์กรนี้ล้วนแล้วแต่มีมาเฟียใหญ่ของเหล่าประเทศมหาอำนาจยืนอยู่ข้างหลังทั้งสิ้น สังเกตได้จากประธาน ผุ้อำนวยการขององค์กรแต่ละองค์กร จะถูกผูกขาดโดยบุคลากรของประเทศนั้น หรือทวีปนั้น อย่างเช่น อเมริกาจะคุมธนาคารโลก ยุโรปจะคุมไอเอ็มเอฟ ญี่ปุ่นจะคุม ADB


แม้ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่ปี 2558 หลังฝั่งจีนได้มีการตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงการพื้นฐานของเอเชีย หรือชื่อย่อ AIIB ชื่อเต็มคือ Asian Infrastructure Investment Bank จีนตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นสถาบันการเงินระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนแก่การจัดทำโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ตอนแรกหลายคนมองว่าจีนก่อตั้ง AIIB ขึ้นเพื่อเป็นคู่แข่งกับองค์กรโลกบาลทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การครอบงำของอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เช่น ธนาคารโลก กองทุนไอเอ็มเอฟ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) แต่ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ชัดว่า AIIB ที่จีนตั้งขึ้นมานั้น ถูกตั้งขึ้นมาตามภารกิจในการส่งเสริมนโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง ไม่ได้มีภารกิจการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินและการค้าของโลกอย่างที่มีความคาดหมายไว้ แต่ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้มันมีธนาคารขึ้นมาใหม่แล้ว ชื่อ BRICS Bank


B-R-I-C-S ... B คือ บราซิล (Brazil) R คือ รัสเซีย (Russia) I คือ อินเดีย (India) C คือ จีน (China) และ S คือ แอฟริกาใต้ (South Africa) ชื่อที่ตั้งอย่างเป็นทางการ ชื่อ New Development Bank : NDB คือ ธนาคารเพื่อการพัฒนารุ่นใหม่

อันนี้ต่างหากจะเป็นจักรกลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ทางด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างแท้จริง หรือเรียกได้ว่าเป็นการปลดแอกประเทศกำลังพัฒนาจากการเป็นทาสเศรษฐกิจการเงินของโลกตะวันตกก็ว่าได้


อาคารนี้ NDB : New Development Bank ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า ธนาคาร BRICS สำนักงานตั้งอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ทางตะวันออกของจีน


ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 ปี เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ผมได้ใช้รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ค่อยๆ ปูพื้น เล่าถึงประวัติศาสตร์ ภูมิหลังต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นมา ความเป็นไปทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และกลไกในการวางหมากกลของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมโลก การกำเนิดของอารยธรรมจีน เส้นทาง 240 กว่าปี ตั้งแต่จุดเกิด จนก้าวมาเป็นมหาอำนาจเดี่ยวในโลกของอเมริกา เบื้องหลังความขัดแย้งในฮ่องกง และการแทรกแซงของชาติตะวันตก ของอเมริกา อังกฤษ รวมทั้งการแทรกแซงการเมืองในเมืองไทย ผ่านความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามนิ้ว และพรรคการเมืองบางพรรคในประเทศไทย ผมพูดที่มาที่ไปของวิกฤตยูเครน และเบื้องลึกความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และอเมริกา ผมพูดถึงแนวคิดของวลาดิมีร์ ปูติน ผมพูดถึงการขยายสมาชิกของนาโตเป็นลำดับ ตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 2534 ผมพูดถึงกลุ่มผลประโยชน์และความขัดแย้งในแนวคิดทางการเมืองภายในสหรัฐอเมริกา ผมพูดถึงรากเหง้าปัญหาความขัดแย้งระหว่างยิง-ปาเลสไตน์ ผมพูดถึงกลไกเปโตรดอลลาร์เพื่อการควบคุมเศรษฐกิจโลกของอเมริกา ท่านผู้ชมครับ และผมก็ได้พูดถึงยุทธวิธีก่อสงครามของอเมริกาตามจุดต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสงคราม หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า War Economy และหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมการทหาร คือ Military-Industrial Complex ให้ยังสามารถดำรงและสามารถทำกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนล่าสุด ตอนที่ 143 ในวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565 เมื่อประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผมพูดเรื่อง "เกมจุดไฟสงคราม" ผมได้หยิบข้อเขียนของนายจูเลียน อัสซานจ์ แห่งวิกิลีกส์ ขึ้นมาลำดับให้ฟังถึงวิธีการของอเมริกา ครอบงำเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลก ผ่านกลไกลของเงินดอลลาร์อเมริกา ใครยังไม่ฟังตอนนี้ โดยเฉพาะ "เกมจุดไฟสงคราม" ผมอยากให้ไปเปิดฟังย้อนหลังให้ได้


ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่ผมพูดมาตลอดในอดีต ถ้าท่านผู้ชมสังเกตให้ดีๆ หรือตั้งใจฟัง จะเห็นว่าถึงผมจะพูดเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น แต่เมื่อผมเอาเรื่องอื่นมาพูดแล้ว ท่านผู้ชมสามารถจะโยงได้ว่ามันก็คือแต่ละเรื่องอันเดียวกันนั่นเอง เมื่อท่านผู้ชมเชื่อมต่อไป

สิ่งที่ผมจะพูดในสัปดาห์นี้ จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องระบบการเมือง ระบบการเงิน ระบบเศรษฐกิจ กลไกการค้า และความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับระเบียบโลกที่กำลังจะเปลี่ยนจากระเบียบโลกยุคเก่า ไปสู่ระเบียบโลกยุคใหม่

ท่านผู้ชมครับ เมื่อระเบียบโลกเก่าไปต่อไม่ได้แล้ว และเป็นที่แน่ชัดว่าจะต้องมีการออกแบบและจัดวางระเบียบโลกใหม่ ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้เคยครองอำนาจในโลกเก่าจึงต้องการรักษาและมีส่วนร่วมกับระเบียบโลกใหม่ให้มากที่สุด ดังนั้น ขั้นตอนแรกเลย ท่านผู้ชม เมื่อทุกคนเห็นว่าเงินดอลลาร์สหรัฐไปต่อไม่ได้ เพราะอเมริกานั้นก่อหนี้มหาศาลให้กับตัวเอง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้เครื่องจักรเครื่องหนึ่ง กระดาษพิเศษ เพื่อพิมพ์เงินออกมาโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง แล้วดูแนวว่าอเมริกาไม่มีทางชำระหนี้ตัวเองคืนได้ ประกอบกับอเมริกาเป็นอันธพาลโลก ใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธในการตรวจสอบ บังคับขู่เข็ญ ครอบงำคนโน้น สั่งการคนนี้ กรณีล่าสุด ยึดเงินทุนสำรองของรัสเซียไป 3 แสนล้านดอลลาร์ ตัดรัสเซียออกจากระบบ S.W.I.F.T. ทุกชาติเมื่อเห็นก็ขยาดกันหมด และพยายามหนีจากระบบดอลลาร์

ท่านผู้ชมครับ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องมีการ reset ระบบการเงินโลก เริ่มต้นใหม่เลย เพื่อเปิดทางให้เงินอื่นเข้ามาทดแทนเงินดอลลาร์อเมริกา ซึ่งเขามองว่าสิทธิพิเศษการถอนเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ น่าจะต้องเข้ามาทำหน้าที่เงินสำรองของโลกแทน เพื่อว่ากลุ่มแองโกล-แซกซัน อเมริกัน จะยังคงสามารถรักษาอำนาจทางการเงินของโลกได้

ขั้นตอนที่สอง การ reset ของทางตะวันตก คือการทำให้ระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ ให้มันล่มสลายไปพร้อมกัน


นายมาร์ค คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ส่งสัญญาณเตือนมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2562 แล้วว่า ดอลลาร์กำลังจะหมดอายุขัย หรือหมดประโยชน์ ต้องตั้ง SDR ขึ้นมาทำหน้าที่แทน นอกจากนี้ นายคาร์นีย์ ยังได้พูดอย่างน่าสนใจ ว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการเงินที่เกิดขึ้นทุกครั้งในโลก จะมีสงครามใหญ่ตามมาเสมอ หลังจากนั้น ในปี 2563 เราเผชิญกับโรคระบาดโคโรนาไวรัส ทำให้เกิดการชัตดาวน์ระบบเศรษฐกิจทั้งโลก

นาย Klaus Schwab ผู้อำนวยการ World Economic Forum ออกมาพูดด้วยความลิงโลดใจว่า ไวรัสระบาดเป็นโอกาสอันดีที่จะนำไปสู่การ reset ระบบโลก ทำใหม่หมดเลย และมีคำพูดหนึ่งที่เป็นไวรัล และถูกตีความหมายไปหลากหลายว่า ทุกคนจะไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวเลย แต่ทุกคนจะมีความสุข


ขั้นตอนที่สาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นไวรัสโรคระบาดที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที ส่วนในเชิงสงคราม อเมริกา และนาโต ก็เปิดเกมปิดล้อมรัสเซียและจีนทางการทหารไปพร้อมๆ กัน เพื่อยั่วยุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม แบบอย่างที่เราเองติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด ก็แปลกใจว่าทำไมต้องปล่อยให้สถานการณ์โลกนั้นปั่นป่วน บานปลายมาได้ถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่ากระทบไปทั่วโลก เศรษฐกิจเล็กๆ ของประเทศเล็กๆ หลายชาติล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นศรีลังกา หรือแม้กระทั่งลาว เพื่อนบ้านของเรา ซึ่งกำลังอยู่ในสถานภาพย่้ำแย่ ประเทศที่พัฒนาระดับกลางและระดับใหญ่เอง ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป หรืออเมริกา หรือเอเชียเอง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาพลังงาน ราคาอาหาร และความเป็นอยู่ ไปเป็นแถบๆ แต่กรุงลอนดอน และวอชิงตัน ดี.ซี. ยังคงพอประคองตัวได้ โดยหวังว่าจะมีอำนาจมากกว่ารัสเซีย และจีน ในการกำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบการเงินโลกใหม่ ที่บทบาทของไอเอ็มเอฟจะถูกดันขึ้นมาเป็นธนาคารของโลก ออกเงินดิจิทัล SDR ให้กับประเทศต่างๆ ใช้เป็นทุนสำรองอย่างที่ผมได้กล่าวไว้ตอนต้น

ท่านผู้ชมครับ สงครามยูเครนเกิดจากการปิดล้อมรัสเซียของทหารนาโต ที่สนับสนุนเคียฟ และพวกนีโอนาซี ให้เข่นฆ่าผู้ที่มีเชื้อสายชาวรัสเซียในดอนบาส จนกระทั่งประธานาธิบดีปูติน ต้องเปิดเกมสงครามตามที่อเมริกา อียู และนาโต ต้องการ จนถึงปัจจุบันนี้ก้าวเข้าสู่เดือนที่ห้าแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร

ขั้นตอนที่สี่ ระดับผู้นำของยุโรปต้องการให้เกิดสงครามยูเครน เพื่ออะไร ? เพื่อจะล้างไพ่ระบบการเงิน เพราะระบบการเงินบำนาญของยุโรปเสียหายหนักมาก จนกู่ไม่กลับ จากนโยบายดอกเบี้ยติดลบ คือสมัยก่อนนี้นโยบายดอกเบี้ยเงินฝากติดลบหมด เพราะเป็นความจงใจของประเทศที่พิมพ์เงินออกมาเอง เพื่อให้ราคาดอกเบี้ยเงินกู้มันต่ำ จะได้ปล่อยเงินกู้ไป เพื่อให้นายทุนของประเทศต่างๆ เหล่านี้เดินทางไปทั่วโลก ไปเล่นหุ้น ไปไล่ซื้อทรัพย์สินต่างๆ แล้วก็ส่งกลับ และขายทิ้งเพื่อเอากำไรส่งกลับมาที่ประเทศตัวเอง

นโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ยุโรปทำให้กองทุนบำนาญของยุโรปต่อไปจะไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้กับผู้ปลดเกษียณ ธนาคารกลางก็จะทำหน้าที่พิมพ์เงินทำ QE ต่อไป ก็คือพิมพ์ออกมาเฉยๆ อย่างนั้น ไม่มีวันสิ้นสุด ผลพวงการเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบอย่างมหาศาล และการใช้จ่ายเกินตัวของยุโรป กำลังกลับมาหลอกหลอนทุกคนผ่านเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ ยุโรปเจอเงินเฟ้อมากกว่า 9 เปอร์เซ็นต์ ในเวลานี้ สงครามในยูเครนซ้ำเติมการขาดแคลนพลังงาน อาหาร ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น จนทำให้กลุ่ม G7 เสียงแตกภายใน เพราะว่าเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี ไม่ต้องการสนับสนุนสงครามยูเครนโดยไม่สิ้นสุด เนื่องจากประชาชนของประเทศตัวเองกำลังลำบาก ต้องการให้รัฐบาลกลับมาดูแลปากท้อง

ท่านผู้ชมครับ สรุปแล้วการระบาดของโคโรนาไวรัส การปิดล้อมรัสเซียที่ยุโรป การปิดล้อมจีนผ่านนโยบายอินโด-แปซิฟิก ของอเมริกา ยุโรป และชาติเอเชียบางชาติ อย่างเช่นญี่ปุ่นนั้น มีวาระแอบแฝงเพื่อ reset ระบบการเงินโลก เพื่อว่าจะได้มีอำนาจเหนือระบบการเงินโลกต่อไป เพราะผู้ใดก็ตามคุมเงิน ผู้นั้นจะครองโลก แม้ว่าความเสี่ยงของการเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม หรือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ประหัตถ์ประหารกัน ก็ตามที่มีอยู่ แต่กลุ่มชาติตะวันตกอาจจะคาดว่าจะสามารถประคับประคองตัวเองได้เพื่อเจรจากับรัสเซีย และจีน ในการแบ่งอำนาจกันในการบริหารเงิน SDR ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

ท่านผู้ชมครับ กลุ่มตะวันตกต้องการถืออำนาจในการควบคุมระบบการเงินโลกผ่านเงินสกุลที่อยู่ในเครือข่าย เงินสกุลที่อยู่ในเครือข่ายที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกเวลานี้ อย่างที่กล่าวไปแล้ว มียูเอสดอลลาร์ ยูโร เงินเยนของญี่ปุ่น เงินปอนด์ของอังกฤษ เงินดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์ออสเตรเลีย เป็นต้น

ท่านผู้ชมครับ กลุ่มตะวันตกจะไม่ยอมสูญเสียอำนาจในการควบคุมเงินตราของโลกไปเป็นอันขาด แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับการทำสงครามนิวเคลียร์ก็ตาม

ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าการเงินโลกมีความผิดเพี้ยนไปแล้ว เพราะว่าเงินรูเบิลของรัสเซียแทบจะไม่มีนัยสำคัญในระบบการค้าโลกในปัจจุบันเลย ทั้งๆ ที่รัสเซียเป็นผู้ส่งออกก๊าซ พลังงาน น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งในทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด สังเกตได้จากอำนาจการต่อรองของรัสเซียในสงครามยูเครน

ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศเล็กๆ นิดเดียว ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรในเศรษฐกิจโลกเลย แต่เงินตราของนิวซีแลนด์กลับมีการซื้อขายติดอันดับ 8 ของโลก มากกว่าเงินหยวนของจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ถึงอันดับ 2 ของโลก

ท่านผู้ชมครับ โดยสรุปแล้วระบบการเงินเป็นเรื่องของพวกมากลากไปนั่นเอง กลุ่มชาติตะวันตกเป็นผู้กำหนดเกม ผู้เล่น ผู้ปั่นราคารายใหญ่ที่สุด โดยให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงการกำหนดให้น้ำมันนั้นซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ จนกลายเป็น เปโตรดอลลาร์

ทั้งหมดที่ผมพูด หนุนหลังด้วยแสนยานุภาพทางการทหารของอเมริกา ในการควบคุมให้ประเทศต่างๆ ในโลกต้องเดินตามเกมที่กำหนด ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็เลยตกอยู่ในมือของประเทศชาติตะวันตกที่ใช้เงินเป็นอาวุธเพื่อแลกกับสินค้าและทรัพยากรของโลกที่ตัวเองไม่ได้ผลิต หรือไม่มี

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยยกตัวอย่างให้ฟังแล้ว เราขายข้าว 1 เกวียน เราต้องหว่านกล้าลงไปในนา เราต้องใส่ปุ๋ย เมื่อข้าวเจริญเติบโตแล้ว เราต้องเกี่ยวข้าว ตัดข้าวออกมา เอาเข้าโรงสีเพื่อได้ 1 เกวียน ฝรั่งมาซื้อข้าว 1 เกวียนของเรา มันใช้เงินดอลลาร์ที่มันพิมพ์ออกมาจากแท่นพิมพ์ของมัน โดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง ไม่มีแรงงาน ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย มันก็พิมพ์จากแท่นพิมพ์ของมันแล้วเอาเงินของมันมาซื้อข้าวเราไป 1 เกวียน ท่านผู้ชมครับ เราใช้เรี่ยวแรง ทรัพยากรของเรา เพื่อผลิตสินค้า เพื่อแลกกับกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งพวกเขาพิมพ์ออกมาจากโรงพิมพ์ของเขา เมื่อเราได้เงินของมันมาแล้ว เรายังทะลึ่งเอาเงินก้อนนี้กลับไปฝากมันอีก ในนามของธนบัตรอเมริกา มันก็เก็บเงินของเราไว้ แล้วมันก็เอาเงินของเราที่ไปฝากกับมัน เอามาปล่อยให้พวกมันกู้ เพื่อพวกมันจะได้เอาเงินราคาถูกที่มันกู้ 0 เปอร์เซ็นต์ หรือติดลบ เอามาไล่ซื้อสินทรัพย์ในประเทศไทย ประเทศอาเซียน ในประเทศแอฟริกา หลายแห่ง เห็นหรือยังท่านผู้ชม ทั้งหมดนี้คือความไม่ยุติธรรมในระบบการเงินโลก ที่กลุ่มชาติตะวันตก นำโดยอเมริกา กลุ่มชาติตะวันตกมีประชากรแค่ 700 กว่าล้านคน คิดเป็นสัดส่วนแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ควบคุมโลกทั้งหมด โลกทั้งใบ ผ่านการผูกขาด ทำให้รัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ ต้องรวมพลังกันที่จะปลดแอกทางด้านการทหาร


การรวมตัวของกลุ่ม BRICS เพื่อสร้างเวทีการเงินและเศรษฐกิจของตัวเอง จึงเป็นการตอบโต้การผูกขาด ปลดแอกจากการเป็นเศรษฐกิจและการเงินของชาติตะวันตกด้วยการจัดตั้ง BRICS Bank ขึ้น และต่อไปก็จะจัดตั้งกองทุน BRICS หรือไอเอ็มเอฟ 2 เพื่อสร้างระบบชำระเงินและเงินสำรองให้เคียงคู่ขนานกับระบบเดิม เพื่อว่าประเทศสมาชิกทั้งห้าชาติต่อไปจะเปิดรับประเทศเกิดใหม่เป็นสมาชิก จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยที่ประเทศต่างๆ ที่มาใช้ BRICS ไม่จำเป็นต้องบากหน้าไปหา World Bank (ธนาคารโลก) ไอเอ็มเอฟ หรือ ADB อีกต่อไป


อาทิตย์ที่แล้ว ในรายการตอนที่ 145 "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ในตอนที่เรียกว่า "เปิดหน้าชกแก๊งด้อยค่ากัญชา" ซึ่งผมไม่ได้เปิดหน้าชกอย่างเดียว ผมได้เปิดใจพูดด้วยว่าทำไมผมออกมาสู้ในเรื่องนี้ ที่ผมออกมาสู้ในเรื่องนี้เพราะผมทนไม่ไหวที่จะเห็นสื่อโง่ๆ บางคน ชมรมแพทย์ชนบท หมอแผนตะวันตกที่นับถือฝรั่งเป็นพ่อ ออกมารุมถล่มด้อยค่ากัญชา มีวาระซ่อนเร้นเกี่ยวกับผลประโยชน์เกี่ยวกับบริษัทยา และผลประโยชน์ของการรักษา ตามที่ตัวเองศรัทธา เชื่อถือ แต่กลับกีดกันประชาชนไม่ให้เข้าถึงสมุนไพรที่มีคุณสมบัติอย่างดีในการรักษาโรคมากมายหลายชนิด หลายคนมากล่าวหาว่าผมรับงานพรรคการเมืองมาปกป้องกัญชา ผมอธิบายและเปิดหลักฐาน ชี้ทางสว่างให้เห็นว่า ผม กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นั้นสู้เพื่อภูมิปัญญาตะวันออก ไม่ให้ถูกฝรั่งครอบงำ สู้เรื่องสมุนไพร แพทย์แผนไทย น้ำมันมะพร้าว ฟ้าทะลายโจร มาเป็นเวลาสิบๆ ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาทำ และผมก็ได้เปิดโปงหมอแก่ๆ บางคนที่รับตำแหน่งใหญ่โตในภาครัฐ ต่อหน้าสร้างภาพบอกว่ารักและห่วงใยเยาวชน ประชาชน แต่ลับหลังไปนั่งเป็นบอร์ดบริษัทยักษ์ใหญ่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยที่ไม่ละอายคำว่า นายแพทย์ ไม่คำนึงถึงเกียรติยศของตัวเองเลยที่ตัวเองใช้ ทั้งๆ ที่ตัวเองสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามาเป็นสิบๆ ปี เลยแม้แต่น้อย อย่างนี้เขาเรียกว่า รักประชาชน ห่วงประชาชน จนน้ำลายไหล ใช่หรือเปล่า ท่านผู้ชมคิดเอาเองก็แล้วกัน

อาจจะเป็นเพราะด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมครับ คลิปสั้น "เปิดหน้าชกแก๊งด้อยค่ากัญชา" มีความยาว 18.49 นาที ที่ทีมงานตัดออกมา ได้รับความสนใจกันมาก ในระยะเวลาแค่ 3 วัน (72 ชั่วโมง) ผ่านแพลตฟอร์มยูทูบ และเฟซบุ๊ก ไม่นับรวม Sondhi App มีคนเข้าถึงมากกว่า 1.7 ล้านคน อย่างไรก็ดี ท่านผู้ชมครับ ที่ผมเตือนไปแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าใครก็ตาม สื่อมวลชน หมอ นักวิชาการ ที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ โน่นนี่ ถ้าเอาข้อมูลเรื่องกัญชามาแบ่งปันกันโดยบริสุทธิ์ใจ ใช้ข้อมูลจริง มีผลงานวิจัย ก็สามารถนำมาพูดคุยและถกเถียงกันได้ มีปัญหาตรงไหน ข้อบกพร่องอยู่ตรงไหน พูดกันตรงๆ ได้ แต่ถ้าคิดจะทำเป็นข้อมูล IO ข้อมูลเท็จ ข้อมูลมั่ว ข้อมูลมโน เอาสถิติมาโกหกกัน ที่ฝรั่งเรียกว่า Lie with statistics เพื่อหวังจะด้อยค่ากัญชานั้น ผมบอกแล้วว่าต้องเจอกับผม ผมไม่หยุด ใครเอาข้อมูลมั่วออกมา ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน หรือไม่ว่าจะเป็นหมอแก่ๆ หรือใครก็ตาม เจอผมแน่นอน

ล่าสุด กลับเป็นข่าว และบรรดาหมอๆ ที่ต่อต้านกัญชา ออกมาแชร์กันทั่วโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนสับสน เพราะเรื่องนี้มโนออกมา ดันออกมาจากหมอ คือประเด็นที่ว่า กัญชาติดง่ายกว่าเหล้าและบุหรี่ หัวหอกที่เดินเรื่องนี้ ชื่อ นายแพทย์เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา อดีตเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเก่าของภรรยาผม ที่เป็นอาจารย์สอนอยู่


นายแพทย์เฉลิมชัย โพสต์ข้อมูล blockdit ส่วนตัว ชื่อ "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" อธิบายว่า "เมื่อเริ่มใช้กัญชาแล้ว จะติดง่ายและเร็วกว่าบุหรี่ 5.4 เท่า ติดง่ายและเร็วกว่าเหล้า 2.6 เท่า" เอาตัวเลขมาเทียบว่า เมื่อกัญชาถูกกฎหมาย มีผู้เสพติดเพิ่มพรวดจาก 8.9 เปอร์เซ็นต์ เป็น 27 เปอร์เซ็นต์ โอ้โห ท่านผู้ชมครับ พอหมอเฉลิมชัย พูดแบบนี้ หมอต่างๆ เอาไปแชร์ต่อ สื่อมวลชนที่โง่ สติปัญญาเรี่ยดิน ก็ออกลอกมาเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ


คุณหมอเฉลิมชัย ครับ คุณเป็นอดีตอาจารย์แพทย์ เป็นถึงอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย เป็นถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่หลังรัฐประหารแล้ว เรื่อยมาถึงปัจจุบัน คุณเป็น ส.ว. มาถึง 7-8 ปี ไม่ว่ารัฐบาลประยุทธ์จะพูดว่าอะไร พอเขียนอะไรใครๆ ก็เชื่อว่าเป็นจริง แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรรู้ไหมครับท่านผู้ชม ? อย่างที่ผมบอกไป เผอิญผมไม่ใช่คนที่เชื่อใครง่ายๆ ก็เลยสืบค้นอย่างละเอียดให้ดู

ประการแรก ผมเคยบอกไปหลายครั้งหลายหนว่า งานวิจัยปี 2554 ในวารสารการเสพติดและติดยาแอลกอฮอล์ Drug and Alcohol Dependence ระบุอย่างนี้ ครั้งแรกที่บบุหรี่ จะมีโอกาสจะเสพติดบุหรี่ได้ 67.5 เปอร์เซ็นต์ ครั้งแรกที่ดื่มเหล้า จะมีโอกาสติดเหล้าได้ 22.7 เปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งแรกที่เสพกัญชา จะมีโอกาสติดกัญชาได้เพียง 8.9 เปอร์เซ็นต์


คุณหมอเฉลิมชัย ครับ ท่านผู้ชมครับ งานวิจัยดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาอ้างอิงต่อๆ กันมา ในงานวิชาการอีกหลายๆ ชิ้น ย่อมเห็นว่าเป็นงานวิจัยระดับที่น่าเชื่อถือ สามารถนำมาอ้างอิงได้ กราฟที่นำมาแสดงดังกล่าวนี้ ใช้คำว่า "ความน่าจะเป็นของการเสพติด" ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Dependence

ประการที่สอง กรณีนี้ คุณหมอเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ต้องการหักล้างข้อมูลข้างต้น ก็เลยเอางานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งมาเทียบ นำมาจากวารสารการทบทวนเรื่องยาและแอลกอฮอล์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Drug and Alcohol Review เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 โดยคุณหมอเฉลิมชัย สรุปข้อสันนิษฐานว่า การที่กัญชาเสพติดยาก 8.9 เปอร์เซ็นต์ ในรายงานการวิจัยปี 2554 เพราะกัญชาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย จึงหาซื้อได้ยาก แต่งานวิจัยในปี 2563 กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้ว จึงทำให้มีการเสพติดเพิ่ม 27 เปอร์เซ็นต์


ท่านผู้ชมครับ คุณหมอเฉลิมชัย ครับ ข้อสันนิษฐานของคุณหมอเฉลิมชัย มีดีกรีเป็นอาจารย์หมอ อดีตอธิการบดี ต้องเปรียบเทียบว่า เปรียบเทียบกันไม่ได้ครับ คุณหมอเฉลิมชัย เพราะในเชิงวิชาการ มาตรวัดคำว่า "การเสพติด" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Dependence เมื่อเปรียบเทียบกับการวิจัยเหล้าและบุหรี่ กัญชา โคเคน ในปี 2554 มันเป็นคนละเรื่องกับมาตรวัดงานวิจัยในปี 2563 ที่มุ่งเน้นเรื่องการวัด Cannabis Use Disorder แปลว่าอะไร ? ผู้มีปัญหาในการเสพกัญชา จึงไม่ได้แปลว่าเสพติดกัญชาอย่างเดียว และไม่ได้เทียบกับยาเสพติดประเภทอื่น มันเป็นคนละนิยาม กับคำว่า Dependence ของปี 2554 คุณหมอครับ Cannabis Use Disorder หรือผู้มีปัญหาการเสพกัญชา มีเกณฑ์วัดถึง 11 รายการ เช่น เกณฑ์ผลกระทบต่องาน เกณฑ์ปัญหาเรื่องครอบครัว การลดลงของกิจกรรมทางสังคม ไม่ได้เฉพาะเจาะจงในเรื่องของการเสพติดกัญชา

เพราะฉะนั้นแล้ว นำเรื่องติดกัญชา Dependence 8.9 เปอร์เซ็นต์ ในงานวิจัยปี 2554 มาเปรียบเทียบกับ Cannabis Use Disorder (CUD) หรือผู้ที่มีปัญหาในการเสพกัญชาว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ เอามาเปรียบเทียบและว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั้น ไม่สามารถจะเอามาเปรียบเทียบได้ คุณหมอเฉลิมชัย ครับ

คุณหมอเฉลิมชัย ครับ Dependence กับ Cannabis Use Disorder ลำพังแล้วภาษาอังกฤษผมค่อนข้างที่จะชั้นอนุบาล ผมเรียนไม่สูงเหมือนคุณหมอเฉลิมชัยหรอก แต่ผมเข้าใจว่ามันเป็นคนละความหมายกันเลย คุณหมอทำไมถึงชอบตีกินแบบนี้ น่าเสียดายเป็นถึงอาจารย์หมอ ตีกินแบบมั่วๆ ผมไม่อยากจะพูดว่าคุณหมอตีกินแบบโง่ๆ เพราะคุณหมอคงไม่โง่นัก คุณหมอเป็นถึงอาจารย์หมอ จบแพทยศาสตร์มา ผมไม่รู้ว่าคุณหมอจบที่ไหนมา แต่ภาษาอังกฤษคุณหมอต้องเก่งกว่าผมเยอะ แต่คุณหมอไปเช็กดูอีกที คำว่า "Dependence" กับ "Cannabis Use Disorder" มันเป็นคำจำกัดความนัยอันเดียวกันหรือเปล่า มันเป็นคนละมาตรวัดกัน แม้กระทั่งภาษาอังกฤษที่ใช้ ก็ใช้กันคนละคำ

งานวิจัยปี 2554 ตามที่ระบุเอาไว้ในประการแรก คุณหมอเฉลิมชัย แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า พบว่างานวิจัยดังกล่าวนั้น เป็นการรวบรวมกลุ่มตัวอย่างในช่วงที่กัญชาเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทำให้ผู้ที่เริ่มใช้กัญชามีการใช้ด้วยความถี่และปริมาณน้อย เพราะผิดกฎหมาย ใช้ยาก ก็เลยทำให้สถิติออกมาแค่ 8.9 เปอร์เซ็นต์ คุณหมอ คุณหมอโคตรมโนเลยนะ มั่วฉิบหายเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของคุณหมอ ซึ่งเป็นอดีตอธิการบดี เพราะในความเป็นจริง งานวิจัยปี 2554 ที่ผมนำมาอ้างอิงในรายการนั้น เป็นการวิจัยโดยการทำวิจัยผู้ใช้กัญชาจำนวนมาก เขาสำรวจตัวอย่างจากผู้สูบบุหรี่ 15,918 คน แอลกอฮอล์ 28,907 คน โคเคน 2,259 คน กัญชาก็มีการสำรวจมากถึง 7,389 คน

คุณหมอครับ ข้อมูล Dependence ของคุณหมอมีตัวเลขอย่างนี้หรือเปล่า ? ไม่มี แต่คุณหมอตั้งใจจะด้อยค่ากัญชาใช่ไหม เอาอกเอาใจผู้มีอำนาจใช่ไหม หรือคุณหมอตกอยู่ในหัวข้อไอ้หมอแก่ๆ ที่ผมกล่าวหาหรือเปล่า


เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวเลขที่ผมเอาให้ดูมีกลุ่มตัวอย่างที่มากพอ และที่บอกว่าตัวเลขน้อยเพราะว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หาซื้อยากกว่าเหล้าบุหรี่ ก็ไม่จริง หมอ เพราะถ้าลองเสพติดแล้ว ถ้าเสพติดจริงแล้ว ย่อมทำทุกอย่างเพื่อหาสิ่งเสพนั้นได้ ข้อสำคัญก็คือ กัญชาไม่มีทางหาไม่ได้ เพราะสามารถปลูกได้ในครัวเรือน สามารถใช้เองได้ ไม่มีวันขาดตลาด

ที่สำคัญครับท่านผู้ชม ที่คุณหมอนายแพทย์ เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ นำมาอ้างอิงเรื่องผู้มีปัญหาการเสพกัญชา Cannabis Use Disorder 27 เปอร์เซ็นต์ นั้น ก็ให้การยอมรับว่า เรื่องโอกาสการติดกัญชา 9 เปอร์เซ็นต์ ของการวิจัยปี 2554 ด้วย ยอมรับตัวเลขนี้ด้วย ยอมรับ ย่อมแสดงให้เห็นว่าการศึกษาว่าโอกาสการติดกัญชา 9 เปอร์เซ็นต์ ในงานวิจัย 2554 นอกจากเป็นงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับแล้ว ยังแสดงเห็นได้ชัดว่าผู้วิจัยในปี 2563 ได้แยกแยะ คุณหมอครับ เปิดกะโหลกฟังให้ดีๆ คำว่า Dependence กับ Cannabis Use Disorder มันเป็นคนละเรื่องกันครับคุณหมอ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

ประการที่สี่ การที่คุณหมอเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ตัดสินว่า สิ่งใดเสพติดได้ง่ายหรือยาก โดยการวัดจากระยะเวลาว่าใช้สิ่งเสพติดนั้นในระยะเวลานานเท่าไร กว่าที่จะมีผู้ใช้จำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ จะเสพติด ใช้ดัชนีมีคนติด 50 เปอร์เซ็นต์ หรือครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ทั้งหมด ว่าจะใช้ระยะเวลาสั้นหรือยาวเพียงใด หรือแปลว่าการใช้สารนั้นจะมีความสามารถในการทำให้ติดง่ายหรือติดยากเพียงใด เราพบว่าอย่างนี้ ท่านผู้ชม และคุณหมอครับ กัญชาใช้เวลา 5 ปี เหล้าใช้เวลา 13 ปี บุหรี่ใช้เวลานานถึง 27 ปี คุณหมอเฉลิมชัยเลยสรุปว่า กัญชาใช้เวลาในการเสพติดนั้น หรือเสพติดง่ายกว่าเหล้า 2.6 เท่า ง่ายกว่าบุหรี่ 5.4 เท่า ความเห็นดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นไม่เป็นธรรมกับกัญชา เพราะคุณหมอต้องพิจารณาประกอบตัวอย่าง กัญชาใช้เวลาเพียง 5 ปี สำหรับการติดครึ่งหนึ่งของ 8.9 เปอร์เซ็นต์ แปลว่า 5 ปีนั้น ติดเพียง 4.45 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ใช่หรือเปล่าคุณหมอ ผมคงไม่ตกคณิตศาสตร์นะครับ ถึงแม้ว่าผมจะเรียนมาทางสายศิลป์

บุหรี่ใช้เวลานาน 27 ปี สำหรับการติดครึ่งหนึ่งของ 67.5 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าจะติดได้ 37.75 เปอร์เซ็นต์ ใช่ไหม เหล้าใช้เวลานาน 13 ปี สำหรับการติดครึ่งหนึ่งของ 27.7 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าจะติด 11.35 เปอร์เซ็นต์ ใช่ไหม แต่ถ้าจะเทียบเปอร์เซ็นต์ของการติดเพิ่มเท่าไรในปีที่ห้าของทุกกลุ่ม โดยการดูกราฟ คุณหมอะะพบว่า บุหรี่ติดไป 9 เปอร์เซ็นต์ เหล้าติดไป 8 เปอร์เซ็นต์ กัญชาติดไป 4.45 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น ใช้ความเร็วในการติดมาเป็นการพาดหัวโดยไม่พิจารณาความยากง่ายในการติดกัญชา ทำให้สังคมตื่นตระหนกเกินความเป็นจริง

คุณหมอเฉลิมชัย ครับ นี่คือการโกหกทางสถิติหรือเปล่าครับ Lying with statistic หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจทุกวันนี้ระหว่างการเป็นนักวิชาการอย่างคุณหมอกับการเป็นนักการเมือง เพราะคุณหมอได้รับแต่งตั้งเป็น สนช. / ส.ว. มาถึง 7-8 ปี หมวกใบไหนที่คุณหมอถนัดมากกว่า คุณหมอไม่ใช่นักวิชาการ คุณหมอเป็นนักการเมืองเต็มตัว ไม่ใช่แล้ว ถ้าเป็นนักวิชาการ คุณหมอจะไม่เอาคำว่า Dependence รวมกับ Cannabis Use Disorder คุณหมอต้องไม่เอามารวม แต่หมอดันทะลี่งเอามารวม เพราะคุณหมอเป็นนักการเมือง

คุณหมอครับ การศึกษาโดยนายแอนโทนี และคณะ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Experimental and Clinical Psychology 2537 พบว่า ในบรรดาสารเสพติด 6 ชนิด กัญชามีสารเสพติด ฤทธิ์เสพติดน้อยที่สุด โดยฤทธิ์ของสารเสพติดแต่ละะชนิด เรียงลำดับดังนี้ บุหรี่ 32 เปอร์เซ็นต์ เฮโรอีน 23 เปอร์เซ็นต์ โคเคน 17 เปอร์เซ็นต์ สุรา 15 เปอร์เซ็นต์ ยากล่อมประสาท 9 เปอร์เซ็นต์ กัญชา 9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใกล้เคียงกับงานวิจัยในปี 2554 เช่นกัน


ประการที่หก เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่ากัญชาอันตรายและเสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่จริงๆ แล้ว ขออ้างข้อมูลและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ อย่าง ศาสตราจารย์นายแพทย์ เจ เวสลีย์ บอยด์ เป็นจิตแพทย์ และนักจริยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามีความเห็นว่า กัญชาปลอดภัยกว่าบุหรี่และสุรา คุณหมอครับ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศักดิ์ศรีอาจจะสู้ มศว ไม่ได้ คุณอาจจะไม่เชื่อเขาก็ได้ ใช่ไหม คุณหมอก็ไปเคลมได้ว่า ข้อมูลทางผม ผม อดีตอธิการบดี มศว แม่นกว่าจากฮาร์วาร์ด พูดไปได้เลยคุณหมอ ไหนๆ ก็ไหนๆ ไหนๆ คุณหมอก็มโนมาตลอดแล้ว

ประการที่เจ็ด การจัดลำดับฤทธิ์เสพติดของสารเสพติด 6 ชนิด โดยผู้เชี่ยวชาญสารเสพติดของอเมริกา 3 คน อันดับที่หนึ่งเสพติดมากที่สุด ปรากฏทุกคนเห็นตรงกันว่า ในบรรดาสารเสพติด 6 ชนิดนั้น กัญชามีฤทธิ์เสพติดน้อยที่สุด ผู้เชี่ยวชาญสามคนนี้คือใคร ?


คุณหมอครับ ศาสตราจารย์ Jack E. Henningfield ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเสพติดจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ทำงานให้องค์กรสำคัญหลายๆ องค์กร เช่น นิด้า FDA จอห์น ฮอปกินส์ ก็คงจะสู้ มศว ไม่ได้เหมือนกัน ที่คุณหมอเป็นอธิการบดี ใช่ไหม ศาสตราจารย์ Neal L. Bonowitz ศูนย์วิจัยยาสูบ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองซานฟรานซิสโก UCSF : University of California ที่ซานฟรานซิสโก ก็คงจะไม่มีศักดิ์ศรี ความรู้ทางวิชาการสู้ มศว ของคุณหมอไม่ได้อีกใช่ไหม ขอโทษที ผมก็ศิษย์เก่า UCLA ครับ ผมก็คงจะสู้คุณหมอไม่ได้เหมือนกัน เพราะ มศว เหนือกว่า ทำไม มศว เหนือกว่ารู้ไหม ? เพราะว่าภรรยาผมเป็นอดีตอาจารย์ มศว ผมต้องให้ มศว เหนือกว่า ร.ศ. Daniel M. Perrine มหาวิทยาลัยโลโยลา เมืองโลโยลา มลรัฐแมริแลนด์ เช่นกัน


ประการที่แปด จากการสัมภาษณ์คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานสภาการเกษตรกรแห่งชาติ ในฐานะผู้สูบกัญชามาหลายปี ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผมเป็นโรคนอนไม่หลับ เคยใช้ยานอนหลับมามาก ต่อมาลงทะเบียนในฐานะผู้ป่วย ใช้น้ำมันกัญชาหยอดใต้ลิ้น แต่มีอาการมากเกินไป จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการสูบแทนทุกวัน ปัจจุบันสามปีแล้ว ผมนอนหลับได้อย่างดี ไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ ผมก็ทดสอบต่อมาให้หยุดใช้ กัญชาเป็นระยะๆ ต่อครั้ง เป็นเวลา 10-15 วัน พบว่าไม่มีอาการลงแดงหรืออาการข้างเคียงจากการถอนยา ไม่มีความรู้สึกใดๆ เฉยๆ หยุดได้ทันที ไม่มีอาการใดๆ เลย ขอวิงวอน ร้องขอแพทย์ทั้งหลายให้เปิดใจกว้าง สำรวจสภาพความเป็นจริงจากผู้ใช้จริงในประเทศไทยเสียก่อน แล้วพร้อมจะให้ข้อมูลอย่างเต็มที่

พี่ชายผม ท่านผู้ชมครับ และคุณหมอครับ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ


ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นอาจารย์ของคุณหมอเฉลิมชัย ได้ส่งข้อความบอกเล่าประสบการณ์การใช้สารกัญชามาให้ผมฟังโดยตรง พี่ชายผมเล่าอย่างนี้ นี่คือคำพูดของพี่ชายผม ปัจจุบันอายุแปดสิบกว่าแล้ว น่าจะเป็นอาจารย์ของคุณหมอ ผมมีการปวดเอ็นกล้ามเนื้ออย่างมากมายาวนาน ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดจากโรคอะไร ได้หาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคน รวมทั้งปวดหลังอย่างรุนแรง ซึ่งเคยปรึกษาลูกชาย ลูกชายของพี่ชายผม คือ รศ.นพ. วรวรรธน์ ลิ้มทองกุล อาจารย์แพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องออร์โธปิดิกส์ คือ กระดูก ข้อ เส้นเอ็น กล้ามเนื้อต่างๆ ก็ไม่ได้รับคำตอบ และผลในการปฏิบัติเพื่อทุเลาอาการ เนื่องจากว่าผมเป็นคนชอบบันทึกและสังเกตตัวเองมาตลอดนับสิบๆ ปี พอสรุปได้ว่า เกิดจากโรคภูมิแพ้ของผมที่มีผลต่อร่างกายหลายระบบ ผลจากการเจ็บปวดเอ็นกล้ามเนื้อ ข้อ ทำให้ผมเวลานอนฝันตลอด เคยใช้ยาแก้แพ้หลายชนิด แม้แต่ยานอนหลับก็ไม่ได้ผล ทานยาแก้ปวดก็ไม่ได้ มีผลข้างเคียง

พฤษภาคม 2565 เป็นต้นมา พอผมเริ่มใช้กัญชาหยดใต้ลิ้นก่อนนอน ผลคือ ผมหลับสนิท ไม่ฝัน ตื่นมาสดชื่น ไม่ปวดเอ็นกล้ามเนื้อ เบื้องต้นสรุปว่า ใช้ยากัญชาช่วยการนอนหลับให้สนิทมากกว่าเป็นยานอนหลับ

คุณหมอครับ เอาแค่นี้ดีกว่านะ เดี๋ยวมากเกินไปแล้ว คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะตัดพ้อต่อว่ามาที่ผมว่าทำไมเล่นคุณหมอแรงนัก ถ้าจะไม่ให้ผมเล่นคุณหมอแรง คุณหมอต้องเป็นนักวิชาการจริงๆ และเป็นหมอจริงๆ ดูตัวเลข อย่าเป็นนักการเมืองเหมือนที่คุณหมอกำลังพยายามเป็นอยู่อย่างนี้ เราเข้าใจตรงกันไหมคุณหมอ

สัปดาห์ที่แล้วที่ผมพูดเรื่องกัญชา มีคน inbox เข้ามามากมายมหาศาล มีคนที่มีประสบการณ์ด้านกัญชาอย่างแท้จริง คนที่เคยติดเป็นทาสยาเสพติดได้กัญชามาช่วยชีวิต บางคนเป็นหมอที่วิจัยรื่องกัญชาอย่างจริงๆ จังๆ บางคนยอมให้เปิดชื่อ-นามสกุลตัวเอง เช่น คุณวีกฤษ อุ่นอนุโลม ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร อยากผลักดันเรื่องกัญชาและกฎหมายลูกกัญชาให้ถูกทาง หลังจากเห็นคุณประโยชน์และรายได้มหาศาล ช่วยให้เราผ่านวิกฤตเศรษฐกิจไปได้

จากประสบการณ์ผม ผมเคยสูบติดยาบ้า สมัยที่ผมเรียน เขาเรียกว่า ยาม้า สมัยก่อนนั้นเม็ดละสามร้อยบาท พอกัญชาออกมา ยาบ้าตอนนี้ลดเหลือเม็ดละสิบบาท โคตรถูก เพราะขายไม่ได้ คุณวีกฤษบอกว่า ผมเลิกยาบ้าเพราะกัญชา ผมสูบยาบ้าตั้งแต่อายุ 18 จนถึง 25 เป็นเวลา 7 ปี หลังจากสูบการเรียนตก ตอนทำงาน ทำงานดร็อป หลับใน เที่ยวดึก ไม่หลับไม่นอน วันๆ ทำอะไรไม่ไหว ผอมซูบ หลังๆ นอยด์ หวาดระแวง ทะเลาะกับพ่อแม่บ่อยมาก พี่ชายกลับมาจากซีแอตเทิล เอากัญชา หรือปุ๊น มาทิ้งไว้ในห้องเป็นขีดๆ เลยแอบเอามาลอง เพราะเคยลองมาก่อนบ้างแล้วแต่ไม่ชอบ แต่พบว่าถอนยาบ้าได้ครับ สุดท้ายผมสูบกัญชาทำให้ผมหลับสบาย และกินอาหารปกติ อารมณ์ดี นานๆ ไปผมเลิกติดยาบ้า และกัญช าผมก็สูบนานๆ ทีโดยไม่ติด ปัจจุบันนี้ ผมไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่ติดยาเสพติด แต่เวลาออกรอบกับรุ่นพี่ที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ ก็มีการดูดกัญชาเพื่อความบันเทิงนิดๆ หน่อยๆ คิดว่าสิ่งที่พบมา ประสบมา น่าจะเป็นประโยชน์ ทำให้เข้าใจว่ากัญชาตรงข้ามกับยาเสพติดทุกชนิด ไม่ได้มีภัยเหมือนอย่างที่อีกฝั่งเข้าใจ

ผมยินดีที่จะให้สัมภาษณ์ เอาบทสัมภาษณ์ต่อผม อ้างอิงชื่อผมออกรายการได้เลยครับ ผมคนหนึ่งที่เลิกยาเสพติดทุกชนิด กลับมาทำธุรกิจประสบผลสำเร็จได้เพราะกัญชาอย่างพอดี

ท่านผู้ชมครับ นี่คือคำพูดของคุณวีกฤษ นี่คือประจักษ์พยานตัวจริง มีตัวตน ไม่ใช่การเที่ยวมาด้อยค่ากัญชา แล้วมโนกันฉิบหายวายป่วงหมดเลย อ้างว่า ได้ยินมาว่า เด็กคนนั้น นักเรียนคนนี้ อาจารย์คนนั้น หยุดมโนประเภทนั้นได้หรือยังครับ เอาอย่างนี้ อย่างคุณวีกฤษนี่ มาพูดกันเลย


อีกคนหนึ่เป็นแพทย์จากอุบลราชธานี แพทย์หญิงณัฐิกา วรรณแก้ว แพทย์ชำนาญการพิเศษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านกัญชาสมุนไพรไทย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ประจำอยู่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี บอกมา "สวัสดีค่ะ คุณสนธิ และทีมงาน ดิฉัน ชื่อหมอเล็ก แพทย์หญิง ณัฐิกา วรรณแก้ว ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติของผู้ป่วยมะเร็งในการใช้น้ำมันกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งได้รับการตอบรับให้ลงตีพิมพ์ในวารสารกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ฉบับพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจคำผิดและจัดรูปเล่ม ตามกำหนดจะส่งเป็นวารสารออนไลน์ในเดือนสิงหาคม 2565


จากงานวิจัยที่ดิฉันทำ พบว่าผู้ป่วยมะเร็งมีทัศนคติด้านบวกต่อการใช้น้ำมันกัญชา ขอส่งบทคัดย่อ abstract ของงานที่ทำให้คุณสนธิและทีมงานเพื่อเป็นการสะท้อนและสนับสนุน

ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม มีน้องแพทย์แผนไทย นายธนาดล บุญเหลา ได้ทำการวิจัยเคสรีพอร์ตในการใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งได้ผลดีมาก คะแนนความรุนแรงสะเก็ดเงินหลังจากที่ได้ใช้น้ำมันกัญชา ลดลงจาก 24 เหลือ 6 คะแนน


คุณหมอเล็กได้ส่งข้อมูลด้วยตัวเองมาให้ผมและทีมงาน เพื่อสนับสนุนประชาชนที่เจ็บป่วยจริง ใช้น้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคจริง เขาต้องการให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคตัวเอง โดยถูกกฎหมายและสามารถเข้าถึงกัญชาได้จริง ไม่ใช่เพื่อจะหาเสียงทางการเมืองแล้วหายเงียบไป เหมือนหลายๆ เรื่องในประเทศไทยที่มาพร้อมการเมืองแล้วก็หายไปกับการเมือง

ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ท่านผู้ชมรู้ไหม หมอที่ออกมาสู้ให้กัญชานั้น ส่วนใหญ่เป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ หมอเล็ก แพทย์หญิงณัฐิกา วรรณแก้ว หมอประจำโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เพราะอะไรส่วนใหญ่ถึงเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว ? เพราะว่าหมอที่มาทางเวชศาสตร์ครอบครัวเน้นให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง และของบุคคลในครอบครัว/ชุมชน ไปลงพื้นที่ตรวจในชุมชน ไม่มีผลประโยชน์กับบริษัทยาฝรั่ง ก็เลยเห็นความสำคัญของกัญชาที่จะเป็นคำตอบในการพึ่งพาตัวเองของผู้ป่วย

จริงๆ แล้วคนที่ใช้สมุนไพรกัญชาเพื่อประโยชน์ในการรักษาตัว มีมากมายเยอะแยะไปหมด เป็นหลายล้านคน ผมเอามาเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างเล็กๆ แต่ถือว่าทรงพลังในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ และถือโอกาสตบหน้า 2-3 กลุ่มดังนี้ คือ หนึ่ง พวกคนที่ไม่ว่าจะเป็นหมอ หรือเภสัชกร ที่มีผลประโยชน์กับบริษัทยา อ้างเพื่อจะดึงอำนาจผลประโยชน์กลับเข้าตัวเอง ทั้งๆ ที่กัญชาจะทำให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้ในการใช้สมุนไพรกัญชารักษาอาการโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมทั้งแก้ปัญหายาเสพติด สอง อีกพวกหนึ่งคือนักกฎหมาย คนในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ เจ้าหน้าที่รัฐ เคยได้ประโยชน์จากการเก็บส่วย สาม พวกสื่อมวลชนบางคน และนักวิชาการโง่ๆ ที่ยังมองโลกแบบแคบๆ มองเห็นแต่ผลเสีย แต่ไม่มีการส่งเสริมให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม และผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่ค้างอยู่ในสภาฯ ให้รีบออกมาโดยเร็ว ชอบสร้างข่าวลวง สร้างความหวาดกลัวให้เหมือนว่ากัญชาเป็นภัยสังคมอันใหญ่หลวง ทั้งๆ ที่เหล้า บุหรี่ เบียร์ ยาเสพติด ขายกันเกลื่อนเมือง สามกลุ่มนี้ไม่ต้องการให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้ ต้องการให้สมุนไพรไทยไม่มีที่ยืนในสังคม เป้าหมายคือผลักกัญชาให้กลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด ท่านผู้ชมครับ ขออนุญษต มัน here จริงๆ


เมื่อวันอังคารที่ 12 กรกฎาคม ประมาณสามวันที่ผ่านมา ผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งมีคุณค่ามาก เพราะเป็นหนังสือที่ได้รวบรวมตำรับยาไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม และได้รับการรับรอง ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนไทยของชาติ หนังสือเล่มนี้ชื่อ "ตำรับยาแผนไทยของชาติที่เข้าตัวยากัญชา" อยู่ในชุดตำราภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยฉบับอนุรักษ์ อันนี้ต้องชมครับ จัดทำโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์มาแค่ 650 เล่ม คนที่มีน้ำใจเอามาให้ผม คือ นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ หมอยิ้ม รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ให้ช่วยประชาสัมพันธ์ตำรับยาไทยที่ทรงคุณค่านี้


หมอยิ้ม จบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นลูกศิษย์ของพี่ชายผม อยู่ทางแพทย์ทางเลือกมาสิบปี หมอยิ้ม เชื่อมต่อเครือข่ายจนถึงขั้นลงทุ่มเทศึกษาความรู้จากครูการแพทย์แผนไทยหลายคน เข้าใจปรัชญาของการแพทย์แผนไทย แต่ก็ถูกต่อต้านจากแพทย์แผนปัจจุบันมากเช่นกัน น่าเสียดายมากนะครับ คนที่เป็นอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อตั้งมา ล้วนแล้วแต่ใช้ตำแหน่งนี้เป็นทางผ่านของคนอยากจะขึ้นเป็นอธิบดี คนที่เป็นอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่เคยมีความรู้ในการแพทย์แผนไทยเลย กว่าจะเรียนรู้ เริ่มเข้าใจได้เป็นปี พอเริ่มจะเข้าใจก็ย้ายตำแหน่งไปอยู่ที่อื่น ก็เลยไม่สามารถเกิดความต่อเนื่องในการพัฒนากรมการแพทย์แผนไทยฯ

ผมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหมอยิ้ม เห็นตรงกันว่าตำรับยาไทยในตำรายาไทยนั้นเป็นรูปแบบการวิจัยอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเดิมพัน

ท่านผู้ชมครับ ตำรับยา 1 ตำรับ ถ้าจะขึ้นบัญชีตำรับยาหลวง การขึ้นบัญชีไม่ใช่ขึ้นง่ายๆ นะท่านผู้ชม สมมุติว่าตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวก ของอาจารย์ปานเทพ มาจากไหน ? มาจากขรัวฉิม หลวงพ่อฉิม หมอเทวดา หมอเทวดา ใครตั้ง ? รัชกาลที่ 5 ตั้งให้ และความที่รัชกาลที่ 5 ท่านเชื่อมากในเรื่องนี้ เพราะว่าฝีมือของหมอเทวดา หลวงพ่อฉิม นั้น เก่งมาก ก็เลยบรรจุยาลมนี้เข้าไปในตำราหลวง ซึ่งจะเป็นกรณีพิเศษ เพราะส่วนใหญ่แล้วตำรับยาที่บรรจุในตำราหลวงนั้้น เขาจะเช็กที่มาที่ไป ท่านผู้ชม คุณได้ตำรับยานี้มาอย่างไร ? พ่อให้มา พ่อรักษามา แล้วพ่อได้มาอย่างไร ? จากปู่ ปู่ได้จากไหน ? จากทวด ทวดได้มาจากไหน ? จากทวดของทวด เป็นร้อยปี เพราะฉะนั้นร้อยปีที่ผ่านมา ถามว่าเขามีงานวิจัยไหม ? มีสิ เขาใช้ชีวิตคนไงเล่า ในการรักษา จนได้ผล เพราะฉะนั้นแล้ว ตำรับยาแผนไทยมันจะด้อยไปกว่าตำรับยาฝรั่งได้อย่างไร


ทำไมฝรั่งต้องใช้เวลาวิจัยนาน ? เพราะบริษัทยาฝรั่งมันรวยมาก มันก็บล็อกไม่ให้คนเข้ามา ต้องใช้เงินในการวิจัย แต่ว่าตำรับยาหลวงซึ่งใช้กับบรรพบุรุษเรามาตั้งนานแล้ว เป็นร้อยปี เป็นหลายรุ่น กี่รุ่นล่ะ บางทีเป็นสิบรุ่น สิบรุ่นเขารักษาคนไปกี่คน รุ่นหนึ่งรักษาคนประมาณสักร้อยคน สองร้อยคน สิบรุ่นก็สองพันคน นั่นคืองานวิจัยสองพันคน โดยใช้ชีวิตมนุษย์เป็นหลักการ เข้าใจหรือยังครับหมอแพทย์แผนปัจจุบันที่อ้างว่ามีงานวิจัยหรือเปล่า

ตำรับยานี้กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติใช้ได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ของตำรับยาแผนไทย มี 16 ตำรับที่มีกัญชาเข้ามาใช้ด้วย เป็นยาในโบราณที่ใช้กัญชาผสม

เราห้ามใช้กัญชาในเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี แต่หนังสือเล่มนี้ตำรับยากัญชาในเด็กเล็ก มีนะครับ ท่านผู้ชม ยาแพทย์แผนไทย แล้วใช้กัญชามีถึง 2 ตำรับ แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่ากัญชาทำให้เกิดโรคจิต ใช่ไหม ? แต่ในหนังสือเล่มนี้กลับระบุว่า มีตำรับยาแก้โรคจิตด้วย คนที่ลงนามในหนังสือเล่มนี้ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คำนำคือใคร ? คือจิตแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อดีตอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ซึ่งเพิ่งจะด้อยค่าเรื่องกัญชา ตัวเองเป็นคนที่เขียนคำนำสนับสนุน แต่ตัวเองกลับมาด้อยค่ากัญชา

คุณหมอยิ้ม ดำเนินการให้ประชาชน หมอแพทย์แผนไทย ได้ดาวน์โหลดฟรีแล้ว ตั้งแต่เช้าวันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565 เดี๋ยวผมจะแปะการดาวน์โหลดลงไว้ที่หน้าเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ท่านผู้ชมอยากจะรู้ เข้ามาแล้วดาวน์โหลดไปอ่านได้ฟรีเลย


ก่อนจะจบเรื่องวันนี้ ผมจะพูดเรื่องการเมืองสั้นๆ ไม่เยอะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือกันมากในเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สรุปง่ายๆ แล้วกัน ท่านผู้ชม ตอนนี้ราคากล้วยที่ซื้อขายกัน เพิ่มจาก 5 ล้านบาท กลายเป็น 15-20 ล้านบาทแล้ว ต่อ 1 เสียง นี่คือการเมืองเมืองไทย พยายามที่จะแย่งคนให้มาลงคะแนนให้กับพวกตัวเอง สู้กันอย่างเลือดซิบๆ เงินทองปลิวว่อน

ท่านผู้ชมครับ การเมืองเมืองไทย ถ้าผมจะสรุปให้ท่านผู้ชมฟัง ผมสรุปอย่างนี้ดีกว่า ง่ายๆ ท่านผู้ชมจะได้ไม่ต้องสับสน วันนี้คนพูดถึงว่าคนนั้นจะไปอยู่พรรคนี้ คนนี้จะไปอยู่พรรคนั้น แต่จริงๆ แล้วการเมืองเมืองไทยช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม สองเดือนนี้ ช่วงที่ดาวมฤตยูเข้ามา เป็นช่วงของการที่มีตัวแปรอยู่ 2 จุด ตัวแปรจุดแรกคืออะไร ? ตัวแปรจุดแรกก็คือ สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 500 กับ 100 คน โดนยื่นเข้าไปตีความในศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ประเด็นก็คือว่า ทำไมคุณใช้ 100 หาร ทำไมคุณใช้ 500 หาร ทำไมไม่ใช้ 200 ทำไมไม่ใช้ 300 ทำไมต้อง 100 หรือ 500 ?

โอกาสที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การใช้ 100 หรือ 500 หารนั้น เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ แปลว่าอะไร ? แปลว่าคนที่ยื่นรับสนองพระบรมราชโองการ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก ต้องลาออกลูกเดียว ไม่มีอย่างอื่นเลย ตะแบงก็ไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นคนยื่นขึ้นไปให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อตัวเองยื่นขึ้นไปแล้ว ตัวเองต้องมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าที่คุณประยุทธ์ ยื่นไปนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คุณประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบ

ตัวแปรตัวที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ จะมีวาระครบ 8 ปี ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บางคนที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ก็บอกว่า ไม่ ยังเหลือเวลาอีก บางคนที่ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ก็บอกว่า ไม่ใช่ อ่านกฎหมายให้ชัดๆ สิ ไม่มีเวลาแล้ว เอาล่ะ ไม่เป็นไร คุณวิษณุ เครืองาม ก็คงจะวิ่งเต้นให้คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา


เพราะคุณวิษณุ อยู่ฝ่ายกฎหมาย ก็พยายามวิ่งเต้น เช็กเสียงของศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร เอาล่ะ ผมไม่สนใจ แต่ผมเชื่อว่าจะมีผู้พิพากษาจำนวนหนึ่งในศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ยอมอำนาจรัฐ เพื่อต่ออายุให้คุณประยุทธ์ เพราะว่าเขาระมัดระวังมากในเรื่องของชื่อเสียงในทางกฎหมายเขา เพราะถ้าเขาบอกว่าบอกว่าคุณประยุทธ์ ไม่ครบ 8 ปี ยังอยู่ต่อได้อีก เท่ากับว่าเป็นการปฏิเสธข้อเท็จจริงในตัวบทกฎหมายที่มันชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจนอีก ผมไม่รู้ว่าเขาจะเอาหน้าไว้ที่ไหนในอนาคต ตอนนี้เขาก็แก่แล้ว เขาอาจจะจบชีวิตลงไปด้วยความอัปยศอดสูในการตัดสินคดี 8 ปีนี้ อย่างผิดๆ พลาดๆ

เอาล่ะ ไม่เป็นไร เราไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าผลมันเกิดปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไม่ได้แล้ว 8 ปี ก็ต้องหลุดจากตำแหน่ง พอหลุดจากตำแหน่งแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่แค่ 1 เดือน (30 วัน) หลังจากนั้นแล้วต้องมาเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ แล้วเลือกจากใครล่ะ ? ก็ต้องเลือกจากคนที่เคยถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ หลักๆ มีอยู่ 4 คน คนแรก คือ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คนที่สอง คือ คุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ คนที่สาม คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่สี่ คือ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล สี่คน

ผมไม่เชื่อว่าคุณชัชชาติ จะยอมออกจากผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร แล้วมาเป็นตัวแคนดิเดตคัดเลือกนายกฯ และผมไม่เชื่อว่าทางสภาจะเอาคุณหญิงหน่อย คุณอภิสิทธิ์ เลิกไปได้เลย ก็เลือแค่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ที่อาจจะได้เป็นนายกฯ ถ้าสมมุติกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ หมดวาระไป และ พล.อ.ประวิตร รักษาการแค่เดือนเดียว เท่าที่ทราบ คุณอนุทิน ชี้แจงมาชัดเจนว่า ผมไม่อยากได้ เพราะว่าอยู่ไปแค่ 3-4 เดือน ก็ต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ และนี่คือความจริงทางการเมือง เพราะฉะนั้น ท่านผู้ชมอย่าเพิ่งไปตื่นเต้นกับการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว ให้รอว่าอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลผ่านหรือไม่ผ่าน หนึ่ง สอง ให้ดูว่าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าอย่างไรเรื่องบัญชีรายชื่อ ปาร์ตี้ลิสต์ หาร 100 หรือหาร 500 ว่าผิดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า และสาม ที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ วันที่ 28 จะชี้ชะตาว่ายังจะอยู่ต่อได้หรือไม่ ให้ผ่านจุดพวกนี้ไปก่อนแล้วค่อยมานั่งวิเคราะห์การเมืองใหม่ ตอนนี้วิเคราะห์ไปไม่มีประโยชน์ครับ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็จบลงเพียงแค่นี้ แล้วเราค่อยมาเจอกันอาทิตย์หน้า ก็อย่างที่เคยล่ะครับ มีเรื่องเด็ดๆ อยู่เยอะ วันนี้เวลายาวนานไปหน่อย 2 ชั่วโมง เกือบๆ 20 นาที สวัสดีครับท่านผู้ชม
กำลังโหลดความคิดเห็น