xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ระเบิดเวลา ประยุทธ์ 8 ปี บนเก้าอี้นายก - จาก "บอส อยู่วิทยา" ถึง Zipmex อย่าปล่อยให้ลูกคนรวยลอยนวล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 19 ส.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- ระเบิดเวลา 8 ปี ของนายกรัฐมนตรี อยู่ต่อหรือพอแค่นี้
- Falcon Strike การซ้อมรบไทยและจีน ทะลุกล่องดวงใจอเมริกา
- ลอบสังหาร ซัลมาน รัชดี ศรัทธาฆ่าได้หยามไม่ได้
- เผด็จการ vs ประชาธิปไตย วาทกรรมกับความจริง
- จาก บอส อยู่วิทยา ถึง Zipmex อย่าปล่อยให้ ลูกคนรวย ลอยนวล

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.151



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. [19 ส.ค. 65] : ระเบิดเวลา ประยุทธ์ 8 ปี บนเก้าอี้นายก

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2565 อีกไม่กี่วัน อีกห้าวันมั้ง ก็จะเป็นการตัดสินแล้วว่าท่านนายกฯ จะอยู่ต่อได้หรือเปล่า ตอนนี้ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมต้องขอเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมที่เข้าไปชม Sondhi Talk ย้อนหลังทางช่องยูทูบ Sondhi Talk ซึ่งตอนนี้มีคนติดตาม อยู่ Subscriber อยู่ 1 ล้าน 4 แสน 2 หมื่นคน อาจจะไม่มีคลิปวิดีโอใหม่ลงก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะว่าช่องยูทูบ ซึ่งก็เป็นช่องหลักของเราช่องหนึ่ง เขาห้ามเราทำการไลฟ์และอัปคลิปใหม่เป็นเวลา 90 วัน หรือ 3 เดือน ก็คือเรื่องเก่า เรื่องโรคระบาด วัคซีน ซึ่งถ้าโดนเตือนอีกครั้งเขาจะปิดช่องของเราไปเลย ตอนนี้เราก็เลยหยุดทำการไลฟ์และโหลดคลิปใหม่ชั่วคราว แต่ในช่วงสามเดือนนี้ แฟนๆ ที่ติดตามในช่องยูทูบกรุณาไปกดติดตามช่องทาง Sondhitalk ที่ผมวงเล็บเอาไว้ว่า "ช่องสำรอง" แทนได้ คือท่านผู้ชมสามารถดูได้ แต่เป็นช่องสำรอง ใช้ชื่อ Sondhitalk เหมือนกัน เพียงแต่มีวงเล็บภาษาไทยว่า "ช่องสำรอง" อันนั้นคือช่องสำรองของเรา

ประเด็นสำคัญคือ ท่านผู้ชม ผมพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า เรื่องที่เราพูดไม่ได้ในเฟซบุ๊ก พูดในยูทูบไม่ได้ แต่พูดในช่องทางของเราได้ คือ แอปพลิเคชัน Sondhi App ดังนั้น ใครยังไม่ได้สมัคร ไปสมัครกันได้ ค่าบริการรายเดือน 99 บาท วันละ 3 บาทเอง ถ้าท่านผู้ชมสมัครรายปี ก็จะแค่ 990 บาท คือแถมฟรีให้ 2 เดือน Sondhi App จะมีรายการใหม่ๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ รอเปิดตัวเร็วๆ นี้ ให้รอติดตามกันนะครับ

อาทิตย์นี้ผมมีเรื่องราวประมาณ 5 เรื่อง ที่จะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ผมจะเอาเรื่องระเบิดเวลา 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ บนเก้าอี้นายกฯ นับถอยหลังจาก 24 สิงหาคม ผมจะเอาความเห็นที่เห็นว่านายกฯ อยู่ต่อได้ กับ นายกฯ อยู่ต่อไม่ได้ คือผมไม่ได้เอียงข้างใคร ผมเอาความจริงทั้งสองฝ่ายมาเสนอ แล้วตรรกะเหตุผลของแต่ละฝ่ายที่ให้มา ท่านผู้ชมอ่านแล้วตัดสินใจกันเอง

เรื่องที่สองก็คือ มีการซ้อมรบของกองทัพอากาศไทย กับ กองทัพอากาศจีน ที่เขาเรียกว่า Falcon Strike การซ้อมรบครั้งนี้มีนัยอะไรบ้าง ทะลุกล่องดวงใจของอเมริกาหรือเปล่า เดี๋ยวติดตามมานะครับ

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องต่างประเทศ ท่านผู้ชมก็คงจะเคยรู้หรือเคยได้ยินข่าวมาบ้างว่าได้มีการพยายามฆ่านายซัลมัน รัชดี ซึ่งนายซัลมัน รัชดี คือใคร ? ท่านผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามข่าวพวกนี้ผมจะเล่าประวัติให้ฟังว่า หลักการคือ ศรัทธา ฆ่าได้ หยามไม่ได้ กรณีซัลมัน รัชดี แล้วผมจะยกตัวอย่างอีกหลายตัวอย่างให้ดูว่า ได้มีการพยายามที่จะดำเนินการจัดการกับคนที่ทำร้ายศาสนาอิสลามของอิหร่าน รวมจนถึงคนที่วางแผนในการลอบฆ่านายพลกอเซ็ม สุไลมานี ที่เป็นผลทำให้อิหร่านต้องชักธงแดง ซึ่งถ้าธงแดงยังไม่ลง แสดงว่าเรื่องยังไม่จบ

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่ผมตั้งใจจะอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง ผมถูกกล่าวหาว่าอวยจีน โน่นนี่นั่น แต่ไม่เป็นไร ผมกำลังจะพูด อธิบายจุดยืนของผมให้ท่านผู้ชมฟังว่า ผมเป็นคนเอเชีย ผมทนไม่ได้ที่คนเอเชียถูกชาติตะวันตกรุกรานและรังแก ยึดประเทศไปเป็นอาณานิคม ทำร้าย ทำลายประเทศชาติ ประชาชน ที่สำคัญคือ ผมทนไม่ได้กับการกระทำของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฆ่าคนเอเชียด้วยกัน ฆ่าหมู่ที่เมืองนานกิง และหลายๆ อย่าง รวมทั้งประวัติศาสตร์ของคนอังกฤษที่ยิงทิ้งคนอินเดียเป็นจำนวนหลายร้อยคน

ผมกำลังจะพูดเรื่องเกี่ยวกับเผด็จการ กับ ประชาธิปไตย ผมเอาวาทกรรมแห่งความจริงในประวัติศาสตร์โลกมาเทียบให้ท่านผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามประวัติศาสตร์โลกเท่าไรนักดู วันนี้ญี่ปุ่นกลายเป็นมือเท้าของตะวันตก หลังจากที่โดนตะวันตกทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ประเทศตัวเอง คนตายหลายแสนคน ญี่ปุ่นไม่จำประวัติศาสตร์ตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว กลับพยายามที่จะทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกาเพื่อจะมารุกรานประเทศเอเชียตามนโยบายและอุดมการณ์ของอเมริกาที่ต้องการจะเป็นใหญ่ตลอดไปในโลกนี้

เรื่องสุดท้าย ผมเคยพูดเรื่องของซิปเม็กซ์ (Zipmex) มาแล้ว เป็นน้ำจิ้ม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อาทิตย์นี้ผมจะพูดรายละเอียด ข้อมูลหลักฐานต่างๆ และผมจะเปรียบเทียบให้ดูว่า กรณีซิปเม็กซ์นั้น ลูกหลานคนใหญ่คนโตในซิปเม็กซ์ ลักษณะคล้ายๆ กับกรณี บอส วรยุทธ อยู่วิทยา คล้ายและเหมือนกันอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันที่ 19 สิงหาคม อีกห้าวันจะถึงวันชี้ชะตาว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะอยู่ได้ครบ 8 ปี หรือเปล่า เรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจมาก รวมไปจนถึงท่านผู้ชมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ก็สอบถามมา วันนี้ผมจะเอาเรื่อง 8 ปี ของท่านนายกฯ ผมไม่เข้าข้างใคร ผมจะเอาฝ่ายที่เห็นว่าท่านนายกฯ อยู่ต่อไม่ได้แล้ว ซึ่งแต่ละคนก็มีชื่อเสียงทั้งนั้น และฝ่ายที่บอกว่าท่านนายกฯ ยังมีสิทธิอยู่ต่อได้อีก เอามาเปรียบเทียบให้ดูว่าตรรกะและเหตุผล ข้อกฎหมาย ที่แต่ละคนอ้างอิงกันนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง

ผมจะย้อนกลับไปวันที่ 7 สิงหาคม ต้นเดือนที่ผ่านมา มันมี "นิด้าโพล" กับ "ซูเปอร์โพล" นิด้าโพล ก็เป็นนิด้าโพล อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าเป็นโพลที่ผมให้ความเชื่อถืออย่างมากที่สุด เพราะเป็นการทำโพลโดยที่ไม่รับงานใครมาทั้งสิ้น ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาและมีหลักการทางวิชาการเยอะ


นิด้าโพล เปิดผลสำรวจว่า "8 ปี นายกรัฐมนตรี กับอนาคตทางการเมืองของ 3 ป." ใช้เวลาตรวจสอบ สำรวจความเห็นประชาชน วันที่ 2-3-4 สิงหาคม อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ทั่วประเทศ ทั้งหมด 1,312 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี กับอนาคตทางการเมืองของ 3 ป. ที่น่าสนใจ นิด้าโพล ถามถึงการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนของรัฐธรรมนูญ เรื่อง วาระของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี ระบุว่า คนส่วนใหญ่ 64.25 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่านายกฯ ควรประกาศว่า 8 ปี อยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 24 สิงหาคม 2565 ก็คืออีก 5 วัน

อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อถามถึงบุคคลในกลุ่ม 3 ป. ที่ประชาชนต้องการให้มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า ปรากฏว่า 80.03 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า ไม่ต้องการให้ 3 ป. มีบทบาททางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า

ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลทางนี้ การสำรวจครั้งนี้นิด้าโพลระบุชัดถึงที่มาของผู้รับการสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการสุ่มตัวอย่างแบบวิธีง่ายๆ เขาเรียกว่า Simple Random Sampling เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0 เปอร์เซ็นต์ มีการแบ่งอายุ ภูมิลำเนา ศาสนา การศึกษา อาชีพ รายได้ ของผู้รับการสำรวจทั้ง 1,312 หน่วยตัวอย่าง อย่างชัดเจน ทำไมถึงต้องละเอียดขนาดนั้น ? เหมือนกับนิด้าโพลรู้ล่วงหน้าว่าทันทีที่มีการรายงานผลโพลออกไป กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาโวยวายคัดค้านว่าโพลไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งมีการออกมาจริงๆ เมื่อผลนิด้าโพลออกมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ออกทางสื่อ องครักษ์พิทักษ์นายกฯ เจ้าเก่า คือ แรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ก็ทนไม่ไหว ออกมาด้อยค่านิด้าโพลเป็นการใหญ่ บอกว่านิด้าโพลนั่งเทียนทำ


เหมือนมีธงชี้นำ ไม่ควรทำตัวเหนือองค์กรอิสระ ไม่สมควรทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และคุณเสกสกล ก็ยก "ซูเปอร์โพล" เจ้าเก่า เจ้าประจำของคุณเสกสกล อีกสำนักมาเปรียบเทียบ ว่าข้อมูลผลสำรวจของนิด้าโพลขัดแย้ง ตรงกันข้ามกับข้อมูลผลสำรวจของซูเปอร์โพล ที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้นายกฯ ประยุทธ์ อยู่บริหารประเทศต่อไป อย่างชัดเจน


คุณเสกสกล ก็ตั้งคำถามถามนิด้าโพลหลายข้อว่าทำอย่างนั้นไปทำไม โน่นนี่นั่น ก็เอาล่ะ แม้กระทั่งโพล ก็ยังมีโพลไล่นายกฯ กับอีกโพลหนึ่ง คือ โพลเก็บรักษาตัวนายกฯ เอาไว้ ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะไม่จบง่ายๆ เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่มีโพลออกมาแล้ว ถ้าโพลเกิดสวนกับทิศทางที่รัฐบาลต้องการ หรือคนที่เชียร์รัฐบาลนั้น มันก็จะมีโพลคู่ต่อสู้อีกเจ้าหนึ่งออกมาเหมือนกัน เพื่อมาสนับสนุน เป็นเรื่องปกติธรรมดา

เรามาดูอย่างนี้ดีกว่า ท่านผู้ชม เรามาตีความต่างมุมกันกรณีนายกฯ 8 ปี

แนวทางที่หนึ่ง เป็นการตีความรัฐธรรมนูญว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ นับตั้่งแต่วันที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในแนวทางนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อีก


ส่วนแนวทางที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ จะครบวาระ 8 ปี ในวันที่ 5 เมษายน 2568 (อีก 3 ปี) เป็นการตีความรัฐธรรมนูญว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ควรเริ่มนับในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 คือวันที่ 6 เมษายน 2560 และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในแนวทางนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก 3 ปี

แนวทางที่สาม พล.อ.ประยุทธ์ ครบวาระ 8 ปี ในวันที่ 8 มิถุนายน 2570 เป็นการตีความรัฐธรรมนูญว่า ควรเริ่มนับหนึ่งตอน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 คือ วันที่ 9 มิถุนายน 2562 เพราะฉะนั้นสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก 1 สมัย ถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า


นี่คือสามแนวทาง เอาล่ะ เรามาดูกันนิดหนึ่ง เมื่อเรามาดูกันแล้ว ครั้งแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ตอนที่ก่อรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 รัฐสภาลงมติ 5 มิถุนายน เห็นชอบว่าให้ตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ทีนี้ ข้อกฎหมายที่นำมาถกเถียงกันว่าการอยู่ในอำนาจติดต่อกัน 8 ปี ของนายกฯ ประยุทธ์ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็คือ รัฐธรรมนูญปี 2560 เขากำหนดอย่างนี้ มาตรา 158 วรรคสี่ ระบุว่า "นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่" ก็มีคนแย้งว่า ในรัฐธรรมนูญ 2560 นั้น ยังมีข้อความในบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคแรก ระบุว่า "ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้" มีการระบุในส่วนมาตรา 158 ระบุว่า " การกำหนดระยะเวลาแปดปีไว้ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤตทางการเมืองได้"

เพราะฉะนั้นแล้ว อย่างที่ผมบอกตอนแรก มุมมองแรกก็ต้องนับว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ ครั้งแรกในวันที่ 24 สิงหาคม 2557 จะครบระยะเวลา 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ (อีกสี่วัน) ผู้สนับสนุนการตีความในแนวนี้ คือ บรรดา ส.ส. ฝ่ายค้าน นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งอ้างอิงความมุ่งหมายมาตรา 157 เรื่องไม่ให้เกิดการผูกขาดอำนาจทางการเมือง


ท่านผู้ชมครับ คือถ้าเป็นสิทธิเสรีภาพ ถ้าไม่บัญญัติไว้ หมายความว่าทำได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าไม่เขียนว่า ทำได้ แปลว่า ทำไม่ได้

คุณพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยกวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ มาเทียบเคียงกับตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ซึ่งตัวเองนั้น เมื่อใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน ก็ต้องเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่ก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2560 โดยไม่จำเป็นต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ส่วน รศ.ดร.เจษฎ์ โทณวณิก นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า "รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า วาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี จะต้องนับรวมย้อนหลังกลับไปก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย ซึ่งส่วนนี้มีการเขียนไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ที่ป้องกันการผูกอำนาจ แต่ท้ายที่สุดจะต้องขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะตีความอย่างไร ไม่จำเป็นต้องถามความเห็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ หากมีบทบัญญัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว ต่ทางออกที่ดีที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีคำวินิจฉัย ก็ควรต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อน เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่อาจเยียวยาได้"

นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่เอกสารการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ในฐานะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยบอกว่า "การนับวาระดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ให้นับรวมวาระที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ก่อนจะมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2560" ก็คือว่า ถ้าเคยเป็นนายกฯ ปี 2557 หรือ 2558 ก็ต้องนับตรงนั้นด้วย

มุมมองที่สอง นับเวลา 8 ปี จากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 วันที่ 6 เมษายน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 5 เมษายน 2568 หรืออีก 2 ปี 8 เดือน คนที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ คือ ศ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์

มุมมองที่สาม คือ นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ซึ่งจะครบ 8 ปี วันที่ 8 มิถุนายน 2570 ผู้สนับสนุนการตีความแนวทางนี้ มีฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร นายอุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา โดยสรุปก็คือว่า "เป็นการจำกัดสิทธิที่บุคคลจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการบัญญัติกฎหมายในทางเป็นโทษ จะนำมาบังคับใช้ย้อนหลังในทางที่เป็นโทษมิได้" ซึ่งข้อสงสัยที่ว่าการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ตามมาตรา 264 นั้น ถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งตามมาตรา 158 วรรคสี่ หรือไม่ นักกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรซึ่งยืนข้างนายกรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามบทเฉพาะกาล เป็นการปฏิบัติหน้าที่แทนคณะรัฐมนตรีตามบทหลักของรัฐธรรมนูญเพียงชั่วระยะหนึ่ง ต้องพ้นจากหน้าที่ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้น ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ตั้งแต่ 6 เมษายน 2560 ถึง 9 มิถุนายน 2562 จึงไม่ถือเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158


ท่านผู้ชมครับ คนที่เห็นด้วยว่านายกรัฐมนตรีจะอยู่เกินวันที่ 23 นี้ไม่ได้ ก็พยายามโต้แย้งความเห็นของคนที่บอกว่านายกฯ อยู่ได้ เพราะจะไปนับตั้งแต่วันแรกที่มีพระบรมราชโองการได้อย่างไร มันต้องมาเริ่มวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ แล้วนายกรัฐมนตรีได้รับพระราชทานพระบรมราชโองการให้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2562 พวกนี้เขาบอกว่า เผอิญมันมีคำวินิจฉัยตัดสินกรณีทำนองนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว 2 กรณี

กรณีแรก เขาบอกว่า คดีนายสิระ เจนจาคะ ถูกศาลพิพากษาจำคุกในปี 2538 โดยรัฐธรรมนูญ 2560 ก็บังคับย้อนไปถึงปี 2538 ได้ แล้วก็ตัดสินให้นายสิระ พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เขาเอามานำเสนอก็คือ ในเมื่อนายสิระ เจนจาคะ ถูกจำคุกปี 2538 แต่ปี 2560 รัฐธรรมนูญใหม่ที่เกิดขึ้นมา ทำไมศาลรัฐธรรมนูญถึงตัดสินย้อนหลังไปได้ว่าให้ใช้ได้

กรณีที่สอง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. ก็มีคนยื่นคำร้องไป ก็มีการตัดสินเป็นบรรทัดฐานว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 โดยต่อเนื่องมาตลอด ไม่ได้พ้นจากตำแหน่ง จึงไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ตามกฎหมาย ป.ป.ช. เอ้า ตายล่ะ! ถ้าคำพิพากษาบอกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยื่นทรัพย์สินฯ เหตุผลเพราะว่าได้เป็นนายกฯ มาตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 โดยต่อเนื่องมาตลอด ไม่ได้พ้นจากตำแหน่งเลย จึงไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. ก็คือ สมัย 2557 ตอนนั้นเป็นนายกฯ ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ มาถึงวันนี้ก็ไม่ต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินฯ ก็แสดงว่ามีการยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นข้อโต้แย้งกรณีนายสิระ กับการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ เหตุผลอ้างว่านายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 มาโดยตลอด ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นตัวพิพากษา แต่ผมอยากจะพูดต่อ

คดีท่านนายกฯ เป็นคดีหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมากเลย ก็คือ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ เรากำลังจะมีการประชุมเอเปคที่ใหญ่มาก เอาล่ะ ใจจริงผมก็อยากให้ท่านนายกฯ อยู่จนกระทั่งถึงประชุมเอเปคแล้วค่อยไป แต่ทำอย่างไรได้


เพราะผมคิดว่าใครก็ตามถ้าขึ้นมาเป็นรักษาการนายกฯ การประชุมเอเปคจะไม่เรียบร้อย จริงอยู่ มีการทำงานระดับล่าง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการเจรจาประชุมกัน แต่ท่านผู้ชมครับ อีกไม่กี่วันก็จะกันยายนแล้ว กันยายน-พฤศจิกายน เรามีเวลาสองเดือนกว่าเองนะ คำถามมีอย่างนี้ เรามีการยืนยันหรือยังว่า ใครบ้างที่จะมาประชุมเอเปค ผมไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย หรือว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเก็บตัวไว้เงียบ ไม่กล้าพูด ผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยที่สุดในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมควรจะรับทราบไม่ใช่หรือ ว่าวันประชุมเอเปคนั้น ณ วันนี้ อีกสองเดือนกว่า ต้องมีคนตอบรับมาแล้วไม่ใช่หรือ อย่างน้อยที่สุดพวกนี้ต้องจองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเขาต้องจองโรงแรมกันล่วงหน้า บอกหน่อยได้ไหมครับ คุณดอน ปรมัตถ์วินัย ว่ามีใครตอบรับมาแล้ว

ผมรู้ว่า ประเทศจีนเคยบอกว่า สี จิ้นผิง จะมา แล้วมีข่าวออกมาว่า วลาดิมีร์ ปูติน ก็อาจจะมา แต่ข่าววงในล่าสุดของผมบอกว่า ผู้ใหญ่ทางจีนเขาบอกว่า ทางจีนอาจจะมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าจะมา ถ้ามีคำตอบบอกว่าอาจจะมาไม่ได้ ผมฟันธงได้เลยว่าไม่มา ถ้า สี จิ้นผิง ไม่มา โจ ไบเดน ก็ไม่มา วลาดิมีร์ ปูติน ก็ไม่มา ซึ่งถ้าสามคนมา ก็อาจจะไม่ได้มาทั้งสามคน เพราะว่าความขัดแย้งระหว่างจีน-อเมริกา รุนแรงมาก ในการประชุมอาเซียนที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน พอนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา เดินเข้าที่ประชุม หวัง อี้ เดินออกเลย นี่ถ้าไทยเป็นเจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพ ถ้าไบเดน เดินเข้ามา เกิดสี จิ้นผิง มา และวลาดิมีร์ ปูติน มา ทั้งสองคนเดินออกเลย ท่านนายกฯ รับตรงนี้คงรับไม่ไหว รับไม่ได้แน่นอน นี่คือวิกฤตทางการเมืองทางพิธีการที่คุณดอน จะแก้ปัญหานี้อย่างไร

อีกประการหนึ่ง ผมเสนออย่างนี้ แต่ก็คงจะเสนอช้าไปแล้ว คนที่จะเป็นเจ้าภาพในงานเอเปคครั้งนี้ น่าจะเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับในการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงทำหน้าที่เป็นประมุขของชาติ แล้วท่านจัดเลี้ยงที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ท่านถ่ายรูปรวมผู้ที่มาประชุมเอเปค ผมเคยเอารูปให้ดูแล้วไง ที่สุลต่านบรูไนยืนข้างๆ พระองค์ท่าน


จริงๆ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเป็นพระประมุขของประเทศ ถ้าติดต่อเจรจากับท่านล่วงหน้า ขอความเมตตา ขอพระมหากรุณาธิคุณ ขอให้พระองค์ท่านทรงเป็นประธานเอเปค เพราะพระองค์ท่านเป็นประธานเอเปค พระองค์ท่านไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง คือทำหน้าที่เชิญมา แล้วมานั่งคุยกัน พระองค์ท่านก็ถอยออกไป แล้วพระองค์ท่านก็สามารถจะจัดเลี้ยงที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทได้ เหมือนที่เสด็จพ่อเคยจัด ถ้าสมมุติเขามาแล้ว นายกฯ จะจัดเลี้ยง จะจัดเลี้ยงที่ไหน ? ทำเนียบรัฐบาลหรืออย่างไร โรงแรมหรืออย่างไร กี่ปีที่ประเทศๆ หนึ่งจะมีสิทธิ์ที่จะเป็นประธานเอเปคได้ เพราะเขาเวียนไปเรื่อยๆ สมาชิกเอเปคก็เยอะแยะไปหมดเลย กว่าจะมาถึงประเทศไทยสักครั้งต้องใช้เวลาเป็นสิบปี หรือสิบกว่าปี แล้วก่อนจะประชุมเอเปค ก็จะมีการประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย ซึ่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียเป็นคนจัด เป็นประธานในงวดนี้ แล้วทราบว่า สี จิ้นผิง จะมาที่อินโดนีเซียด้วย วลาดิมีร์ ปูติน ก็จะมา เพราะว่าทั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้เดินทางไปเยี่ยมวลาดิมีร์ ปูติน ที่รัสเซียมาแล้ว ในการเยี่ยมก็คือการไปเชื้อเชิญ วลาดิมีร์ ปูติน มาประชุม G20 แล้ว สี จิ้นผิง ก็เห็นว่าอินโดนีเซียกำลังมีบทบาทมากในการวางตัวเป็นกลางระหว่างความขัดแย้งระหว่างจีน กับ อเมริกา สี จิ้นผิง ก็จะมา แต่ถ้า สี จิ้นผิง มา G20 วลาดิมีร์ ปูติน มา G0 ผมเชื่อว่าทั้งคู่จะไม่มาเอเปค เอเปค ก็จะเป็นการประชุมที่ไม่ใช่การประชุม เพราะผู้เล่นตัวสำคัญที่สุดจะไม่มีใครมา

แต่ถ้าเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะประมุขของประเทศ มีพระราชสาส์นเชิญ โจ ไบเดน เชิญ สี จิ้นผิง เชิญ วลาดิมีร์ ปูติน ผมว่าเขามากันหมด และในฐานะพระองค์ท่านเป็นพระประมุข เป็นประธานเอเปค ทุกคนจะต้องให้หน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะไม่มีการเดินออกไป เดินออกมา เหมือนกับที่เล่นการเมืองในระดับภูมิภาคทุกวันนี้ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม และพระองค์ท่านก็สามารถที่จะจัดเลี้ยงผู้นำเอเปคทุกคนที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท นายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นประยุทธ์ หรือเป็นใครก็ตาม ทำไม่ได้อย่างนี้ พระองค์ท่านทรงเป็นประมุขของประเทศ ให้พระองค์ท่านเป็นผู้เชิญนายกฯ ผู้นำของประเทศทุกประเทศ มาประชุมเอเปค เป็นการส่งเสริมบารมีพระองค์ท่าน เพราะว่าพระองค์ท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พระองค์ท่านทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้าน จะมีเอเปคนะ เราเป็นประมุขของประเทศ ท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขออัญเชิญมาหน่อยได้ไหม มาร่วมประชุมเอเปค แล้วเราจะถือเป็นเกียรติมากถ้าท่านมา เพราะเราก็จะจัดเลี้ยงท่านเพื่อให้รู้จักกันดีมากขึ้น เชิญวลาดิมีร์ ปูติน มา เชิญ สี จิ้นผิง มา แล้วการถูกเชิญไม่ได้เชิญจากนายกรัฐมนตรี แต่เชิญจากกษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศ ผมเชื่อว่าทั้ง วลาดิมีร์ ปูติน โจ ไบเดน และ สี จิ้นผิง จะมีแนวโน้มที่จะยอมรับการเชิญจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้ เอเปค พฤศจิกายน ถ้า สี จิ้นผิง ไม่มา วลาดิมีร์ ปูติน ไม่มา โจ ไบเดน ไม่มา ท่านนายกฯ ท่านจะอยู่เพื่อเป็นประธานเอเปค มันช่างไร้ความหมายและไร้รสชาติเหลือเกิน


ท่านผู้ชมครับ ในช่วงเวลานี้ ตั้งแต่ 14 สิงหาคม ถึง 25 สิงหาคม มันได้มีการซ้อมรบทางอากาศ ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Falcon Strike 2022 Falcon ก็คือเหยี่ยว Strike คือ โจมตี ที่น่าสนใจคือเป็นการซ้อมรบระหว่างกองทัพอากาศจีน ซึ่งส่งฝูงเครื่องบินขับไล่ J-10 C/S และเครื่องบินทิ้งระเบิด JH-7A/AII และ KJ-500 มายังประเทศไทย เพื่อซ้อมรบร่วมกับกองทัพอากาศไทย มีการกำหนดให้มีการฝึกภาคสนามที่กองบิน 23 จ.อุดรธานี ท่านผู้ชมครับ นัยนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นสัญลักษณ์ นี่คือฐานบินอุดรธานี ฐานบินนี้เคยเป็นฐานทัพอากาศอเมริกาในสมัยเวียดนาม รวมถึงหน่วยปฏิบัติการของ CIA ภายใต้ชื่อ Air America สายการบินที่ CIA เป็นเจ้าของ ที่เอามาทำเป็นภาพยนตร์ชื่อ Air America ภารกิจเด่นของฐานบินนี้ คือ เป็นหน่วยไล่ล่าเครื่องบิน MiG ของรัสเซีย ผมเอารูปของสนามบินฐานบินอุดรฯ สมัยสงครามเวียดนามเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนขึ้นให้ดู


กระทรวงกลาโหมจีนระบุว่า การซ้อมรบครั้งนี้เป็นการร่วมกับไทย เป็นการฝึกซ้อมสนับสนุนทางอากาศ โจมตีเป้าหมายต่างๆ ทางพื้นดิน และประจำการทหารทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รูปแบบการซ้อมรบของไทยกับจีนนั้น ในเชิงสัญลักษณ์ มีการเคลื่อนกำลังจริง มีการจำลองสถานการณ์ขึ้นบน สถานการณ์ขึ้นกำลังประชิดชายแดนในอดีต จำลองการต่อสู้แบบสมัยใหม่ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม


การฝึกซ้อมครั้งนี้ได้แจ้งล่วงหน้าไว้แล้ว และเป็นการเตรียมการล่วงหน้า ไม่ใช่เพิ่งจะมาฝึกซ้อมกันปีนี้ ประเทศไทยในการฝึกซ้อมรบครั้งนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์พูดออกมาบอกว่า ประเทศไทยจะไม่ใช้เครื่องบินอเมริกา คือ F-16 อาจจะเป็นเพราะว่ามีข้อตกลงในการซื้อเครื่องบิน F-16 ของอเมริกาว่า ถ้าสมมุติว่ามีการซ้อมรบที่ไม่ใช่อเมริกาแล้ว ห้ามใช้เครื่องบินของอเมริกาในการฝึกซ้อมรบ แต่ประเทศไทย กองทัพอากาศ ก็ใช้เครื่องบินขับไล่กริพเพน (Gripen) กับเครื่องซาบ (Saab) ของสวีเดน และเครื่องบินอัลฟาเจ็ต (Alpha Jet) ของเยอรมนี เป็นการต่อสู้กัน


ก่อนหน้านี้ 13 มิถุนายน 2-3 เดือนที่แล้ว เมื่อ พล.อ.ลอยด์ ออสติน (Lloyd Austin) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เดินทางมาพบนายกฯ ประยุทธ์ หลังจากประชุมร่วมความมั่นคงแชงกรี-ล่า ที่สิงคโปร์ ออสติน ได้แสดงความเป็นห่วงพฤติกรรมของจีนที่คุกคามความมั่นคงของไต้หวัน และรุกล้ำพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ แต่เขาต้องหมดโอกาส เพราะเขาคิดว่าเขาจะสามารถพูดคุยกับจีนได้ จากการที่ แนนซี เพโลซี ไปเยือนไต้หวัน ทำให้ประเทศจีน กองทัพจีนทุกหน่วย ตัดความสัมพันธ์ในการติดต่อสื่อสารกับอเมริกา


นอกจากนี้ อีกสิบวันต่อมา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม มีสมาชิก นอกจากแนนซี เพโลซี กลับไปแล้ว ยังมีสมาชิกของสภาคองเกรส อเมริกา อีกประมาณ 5 คน ไปพบ ไช่ อิงเหวิน หรือนังกุยช่ายของผม ซึ่งก็ไปยั่วยุประเทศจีน นี่คือการชักศึกเข้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสจะทำให้ไต้หวันกลายเป็นยูเครน 2 เมื่อไรก็ย่อมได้ เรียกว่าออกอาการพร้อมที่จะแยกดินแดน ประกาศเอกราชจากความเป็นจีนเดียว ตามความรู้สึก ตามทัศนะของจีนแผ่นดินใหญ่ การยั่วยวนกวนประสาทนี้จึงเป็นไปอย่างระบบ


เหตุการณ์ครั้งนี้ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ออกแถลงการณ์ประณามการเยือนไต้หวันครั้งที่สองในรอบเดือนของนักการเมืองสหรัฐฯ ว่า เป็นการกระทำที่บ้าระห่ำ ไร้ความรับผิดชอบและไร้ซึ่งเหตุผล เหตุการณ์ดังกล่าวก็เลยทำให้กองทัพจีน หลังจากที่หยุดซ้อมรบรอบไต้หวันแล้ว ก็เดินหน้าซ้อมรบใหม่ มีการส่งเครื่องบินรบ 22 ลำ เรือรบ 6 ลำ ลอยตัวอยู่ในช่องแคบไต้หวัน ฝูงบินขับไล่ J-20 บินวนรอบเกาะไต้หวัน กองทัพปลดแอกประชาชนกล่าวว่า ได้ขยายการควบคุมทางอากาศไปยังพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้


นอกจากนั้น กองทัพอากาศจีนก็ยังได้จัดตั้งเขตป้องกันภัยทางอากาศในทะเลจีนตะวันออก ทำการลาดตระเวนเป็นประจำเหนือทะเลจีนใต้ จัดฝึกซ้อมเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก และเข้าร่วมฝึกซ้อมกับกองทัพรัสเซีย เขตจำกัดการบินของจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้อยู่เกินเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่อ้างสิทธิ์ในทะเลจีนตะวันออก แต่ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนที่ดำเนินอยู่ในภูมิภาคนี้ หมายความว่าพื้นที่ดังกล่าวทับซ้อนเขตจำกัดการบินที่ญี่ปุ่นก็อ้างสิทธิ์ เกาหลีใต้ และไต้หวันก็อ้างสิทธิ์

ในเดือนมีนาคม 2565 ผู้บัญชาการทหารอากาศแปซิฟิกของอเมริกา กล่าวว่า มีการเผชิญหน้าอย่างใกล้ชิดระหว่างเครื่องบินรบ J-20 และ F-35 ของอเมริกา เหนือทะเลจีนตะวันออก ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นก็คือ เพียงการเคลื่อนไหวการซ้อมรบร่วมของไทยกับจีน ก็ได้ก่อให้เกิดความกังวลกับอเมริกา ที่มีระบบเฝ้าระวัง ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวของการทหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมรบ หรือปฏิบัติการจริง ทั้งๆ ที่อเมริกาเป็นตัวจุดชนวนสงครามยูเครน เล่นงานรัสเซีย แล้วยังเปิดแนวรบตะวันออก ยั่วยุให้เกิดสงครามช่องแคบไต้หวัน โจมตีจีน หวังผลในการจับปลาตอนน้ำขุ่น ประเด็นสำคัญคือการถ่วงดุลอำนาจที่อาเซียนมีต่อจีน และอเมริกา


ผมมองอย่างนี้ครับท่านผู้ชม กองทัพในประเทศอาเซียน โดยเฉพาะภูมิภาคอินโดจีน คือ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดหรือใกล้ชิดกับจีน ต้องคิดร่วมมือกันอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรต่อไป จึงจะถ่วงดุลอำนาจใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือการซ้อมรบกันเองในกลุ่มอาเซียน ที่อาจจะมีจีน หรืออเมริกา เป็นเครื่องมือ เนื่องจากแนวโน้มในอนาคตอาจจะเพิ่มความสนิทสนมกับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกมิติ เพื่อถ่วงอเมริกาที่ฝังระบบผูกขาดอำนาจขั้วเดียว ท่านผู้ชมครับ ถึงเวลาหรือยังที่กลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคอินโดจีน จะจับมือกันสร้างดุลอำนาจใหม่ เพราะเท่าที่ผ่านมาการซ้อมรบในเอเชียแปซิฟิก ที่มีแกนนำเป็นมหาอำนาจใหญ่ ทั้งอเมริกา และจีน รวมทั้งรัสเซียด้วย เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระบบ โดยใช้ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคนี้เป็นสนามซ้อมรบ เท่ากับว่าถ้าเกิดสงครามขึ้นจริงๆ ดินแดนแถบนี้ล่ะที่จะต้องกลายเป็นสมรภูมิรบ และใครจะโชคร้ายล่ะ ? ก็คงจะต้องเป็นประชาชนในภูมิภาคนี้นั่นเองล่ะครับ

ท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวต่างประเทศ และช่วงหลังๆ นี้คนที่ดูรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ก็จะเป็นคนที่มีความรู้และมีองค์ความรู้มากพอสมควรในเรื่องข่าวต่างประเทศ จนกระทั่งผมเองยังประหลาดใจเลย หลายๆ ท่าน ซึ่งตอนแรกก็ไม่ค่อยสนใจ แต่ตอนหลังกลับรู้เรื่องข่าวต่างประเทศดี


ศุกร์ที่แล้ว 12 สิงหาคม มีคนอินเดียคนหนึ่ง ตอนนี้ถือสัญชาติอังกฤษ ชื่อ อาเหม็ด ซัลมัน รัชดี เป็นนักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ คนอังกฤษเชื้อสายอินเดีย อายุ 75 เท่าผม ถูกมือมีดใช้มีดจ้วงแทงนับสิบแผลในงานวรรณกรรมที่นิวยอร์ก ซึ่งเขากำลังจะขึ้นไปบรรยายในหัวข้อ "เสรีภาพด้านศิลปะ" ที่สถาบันเชาทากัว (Chautauqua) ทางตะวันตกของนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา คือ นายซัลมัน กำลังพูดอยู่ กำลังแนะนำนักเขียนคนดังขึ้นมาบรรยาย มีคนๆ หนึ่ง ผู้ชาย อายุยังน้อยอยู่เลย เดินปรี่เข้าไปหานายรัชดี ซึ่งยืนอยู่บนเวที ระดมหมัดเข้าใส่ ใช้มีดแทง 10-15 ครั้ง จนนายรัชดี ทรุดลงไปกองกับพื้น คนอยู่ในเหตุการณ์ 2,500 คน ตกใจกันหมด

หนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นับ 1-20 เท่านั้นเอง 20 วินาที คนตกใจมาก วิ่งหนีออกจากอาคาร สุภาพสตรีท่านหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ บอกว่า ดูเหมือนว่ารัชดี จะมีชีวิตอยู่ ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า รัชดี ถูกแทงเข้าที่ลำคออย่างน้อย 1 จุด หน้าท้องอีก 1 จุด ก่อนจะถูกส่งตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งอยู่ใกล้ๆ นิวยอร์ก


คนที่ก่อเหตุยังหนุ่มแน่นอยู่ อายุ 24 ปีเอง ชื่อ ฮาดี มาตาร์ จากรัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาเข้างานโดยซื้อบัตรเข้าไป


ปัจจุบันอาการนายรัชดี ดีขึ้น สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้แล้ว แต่ผมจะเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่า เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ หรอก เพราะอะไร ? ผมจะเล่าให้ฟัง

ซัลมัน รัชดี คือใคร ? เขาเกิดปีเดียวกับผม 2490 (1947) ชื่อ อาเหม็ด ซัลมัน รัชดี เป็นครอบครัวชาวแคชเมียร์ รัฐแคชเมียร์ เป็นคนมุสลิม ในเมืองบอมเบย์ ซึ่งปัจจุบันคือเมืองมุมไบ


2504 หลังจากที่เขาอายุ 14 เขาถูกส่งไปอังกฤษ ไปเรียนหนังสือ เรียนโรงเรียนดีมาก โรงเรียนมัธยมชื่อ รักบี้ ซึ่งเป็น Top10 บรรดาไฮโซทั้งหลายเรียน หลังจากนั้นก็จบปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์ด้วยคะแนนเกียรตินิยม จาก คิงส์คอลเลจ ถ้าจำไม่ผิด คิงส์คอลเลจ ก็คือมหาวิทยาลัยลอนดอน

รัชดี อยู่ที่อังกฤษ ได้สัญชาติอังกฤษ แล้วก็ละทิ้งศาสนามุสลิมซึ่งเป็นศาสนาของตัวเองตั้งแต่เกิด ไม่สนใจเลย

เรื่องเกิดขึ้นมา ในช่วงหลังๆ ที่รัชดี เริ่มจบมาเขียนหนังสือ ซัลมัน รัชดี มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เขียนนวนิยายเรื่อง Midnight's Children


นวนิยายนั้นเป็นการตีแผ่ชะตากรรมของประเทศอินเดีย และผู้คน ภายหลังจากที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ งานเขียนนี้ได้รับการยกย่องจากนานาชาติ ได้รับรางวัลวรรณกรรม The Booker Prize ของอังกฤษ

มาปี พ.ศ. 2531 ตอนนั้นรัชดี อายุประมาณ 41 ปี เขาได้เขียนนิยายเรื่องหนึ่ง ชื่อภาษาไทย คือ โองการปีศาจ ชื่อภาษาอังกฤษ คือ Satanic Verses


ซึ่งชาวมุสลิมจำนวนมากในโลกนี้มองว่าข้อเขียนของนายรัชดี เป็นการดูหมิ่นศาสนาและศาสดาของชาวมุสลิม มีการประท้วงอย่างรุนแรงทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากการจลาจลตามสถานที่ต่างๆ หนังสือเล่มนี้ถูกสั่งห้ามนำเข้าเผยแพร่ในอินเดียเป็นประเทศแรก ตามด้วยปากีสถาน รวมทั้งหลายประเทศมุสลิม และแอฟริกาใต้

ซัลมัน รัชดี เขียนหนังสือเล่มนี้ในปี 2531 ต่อมาอีกสองปี 2533 หรือ สามสิบสามปีที่แล้ว ผู้นำจิตวิญญาณทางศาสนาของอิหร่านคนก่อน คือ อายะตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี เป็นผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้ประกาศฟัตวา หรือข้อชี้ขาดด้านศาสนา ก็คือชี้เป็นชี้ตาย เรียกร้องให้ชาวมุสลิมสังหารรัชดี และผู้เกี่ยวข้องกับการพิมพ์นิยายเรื่องดังกล่าว แล้วตั้งรางวัลค่าหัวของซัลมัน รัชดี ถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 1 ร้อยล้านบาท ผลที่ตามมาคือ แม้กระทั่งคนที่แปลหนังสือของซัลมัน รัชดี เป็นภาษาญี่ปุ่น ชื่อ ฮิโตชิ อิการาชิ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาวรรณกรรมอารบิกและเปอร์เชียน ถูกแทงตายในปี 1991 (2534) หนึ่งปีหลังจากที่อายะตุลลอฮ์ โคมัยนี ประกาศฟัตวา ว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับซัลมัน รัชดี ต้องฆ่าให้หมด


นายฮิโตชิ อิการาชิ เสียชีวิตในปี 1991 (2534) หนึ่งปีให้หลังหลังจากที่มีการประกาศฟัตวา ที่มหาวิทยาลัยสึกุบะ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงโตเกียว ซึ่งเขาสอนหนังสืออยู่ จนวันนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้เลย

ต่อมา อีกไม่กี่เดือนหลังจากที่นายฮิโตชิ อิการาชิ ตาย คนแปลหนังสือ The Satanic Verses ที่ประเทศอิตาลี ถูกแทง ส่วนคนที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้เป็นภาษานอร์เวย์ ถูกยิง 3 นัด แต่สองรายหลังนี้รอดชีวิตมาได้

ท่านผู้ชมครับ การเสียชีวิตจากการถูกแทงของนายฮิโตชิ อิการาชิ ผู้แปลหนังสือโองการปีศาจ เล่มนี้ ทำให้นายรัชดี รู้ตัวแล้วว่าเขาอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนัก ประกาศิตฟัตวาของผู้นำอิหร่านในเวลานั้น ส่งผลให้รัชดี ใช้เวลาร่วมสิบปีลงอาศัยอยู่ใต้ดิน เงียบ ย้ายบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนช่วงปี 2541 หลังสิ้นยุคของท่านอายะตุลลอฮ์ โคมัยนี รัฐบาลอิหร่านประกาศว่าจะไม่มีการไล่ล่าสังหารนายรัชดี อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 เมื่อสิบปีที่แล้ว โองการของอิหร่าน ซึ่งบางแห่งมีความสัมพันธ์โยงใยกับรัฐบาล ยังประกาศขึ้นราคาค่าหัวรัชดี อีก 5 แสนดอลลาร์ เป็น 3 ล้าน 5 แสนดอลลาร์ หรือราวๆ 17.6 ล้านบาท

2559 เมื่อประมาณหกปีที่แล้ว สำนักข่าวฟาร์ส ซึ่งเป็นหน่วยงานกึ่งทางการอิหร่าน ตลอดจนหน่วยงานด้านข่าวอื่นๆ ได้ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อเพิ่มค่าหัวของนายซัลมัน รัชดี อีก 6 แสนดอลลาร์ กลายเป็นคิดเป็นเงินไทย 21 ล้านบาท โดยสำนักข่าวฟาร์ส ได้เรียกนายรัชดี ว่า เป็นคนละทิ้งศาสนา ดูหมิ่นพระศาสดา


ที่ร้ายที่สุด ปี 2562 อายะตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดต่อจากโคมัยนี ได้เคยกล่าวคำพูดนี้ออกมา หลังจากที่รัฐบาลบอกว่าจะไม่มีการตามฆ่ารัชดี โดยอิหม่ามคอเมเนอี บอกว่า ฟัตวาของท่านโคมัยนี ไม่สามารถจะเพิกถอนได้แล้ว คือพูดง่ายๆ ว่า ใครก็ตามถ้าเป็นอิสลาม แล้วทนไม่ไหวกับการที่นายรัชดี ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสดา พระอัลเลาะห์ ก็ให้สังหารนายรัชดี ได้ ถึงแม้รัฐบาลจะบอกว่าไม่มีแล้ว ไม่มีคำสั่ง แต่ว่าท่านคอเมเนอี บอกว่าฟัตวายกเลิกไม่ได้ ก็คือว่า ถ้าอยากขึ้นสวรรค์ ก็ฆ่าไปเลย

ตอนหลังนายรัชดี ย้ายประเทศ จากอังกฤษ ไปอยู่อเมริกา และกลายเป็นคนถือสัญชาติอเมริกาแล้ว อยู่นิวยอร์ก หลังจากเหตุการณ์นี้ หนังสือพิมพ์เคย์ฮาน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสื่อกระบอกเสียงของทางการอิหร่าน ได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง พาดหัวว่า Salman Rushdie Caught in Divine Revenge ก็คือว่า นายซัลมัน รัชดี ถูกล้างแค้นแล้ว จากจิตวิญญาณของอิสลาม


ที่สำคัญ มีพูดต่อว่า Trump and Pompeo is the next turn แปลว่าอะไร ? แปลว่าตอนนี้ นายทรัมป์ คือเหยื่อที่ตั้งไว้คนต่อมา และ พอมเพโอ พอมเพโอ คือใคร ? พอมเพโอ คืออดีตผู้อำนวยการ CIA และในขณะเดียวกัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้ง ทรัมป์ และ พอมเพโอ มีส่วนสำคัญอยู่เบื้องหลังการส่งโดรนไปโจมตีท่านนายพลกอเซ็ม สุไลมานี ที่ได้รับเชิญจากประเทศอิรัก เพื่อไปประชุม 3 ฝ่าย ระหว่างอิรัก อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย โดยถูกโดรนล่าสังหาร ทั้งหมดโยงกลับไปที่การสั่งการของทรัมป์ และ พอมเพโอ ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีการชักธงแดงขึ้น บอกว่าตราบใดก็ตามถ้าการล้างแค้นยังไม่จบ ธงแดงจะไม่ลดลงมา


ตอนนี้นักการเมืองในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ หรือแม้กระทั่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตายของกอเซ็ม สุไลมานี ก็คือ นายจอห์น โบลตัน และ ไมค์ พอมเพโอ เริ่มนั่งไม่ติดแล้วสิ ต้องมีบอดีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลังกันเต็มไปหมด โทษฐานสั่งฆ่านายพลกอเซ็ม สุไลมานี ซึ่งท่านเป็นวีรบุรุษของชาวอิหร่าน ฆ่าเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563 ที่สนามบินกรุงแบกแดด ผมเคยเล่าเรื่องนี้โดยละเอียดแล้วตั้งแต่ปี 2563 รายการวันศุกร์ที่ 10 มกราคม หัวข้อ "ทำไมทรัมป์ ถึงถอย ? นี่คือจุดจบหรือการเริ่มต้น" รายการนี้มีคนเข้าไปดูมากกว่า 3 ล้านคน ในยูทูบ มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ยูทูบอีกหลายล้านคน

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ชมครับ ถ้าดูจากกรณีของนายซัลมัน รัชดี ที่ออกหนังสือมา 34 ปี ก็ยังถูกตามฆ่าอยู่แล้ว นายทรัมป์ นายพอมเพโอ และนายจอห์น โบลตัน คงต้องระวังตัวไปตลอดชีวิต เพราะศรัทธาความเชื่อมั่นของการดูถูกศาสดาในศาสนาอิลาม แล้วผู้นำศาสนาสูงสุดของอิหร่านประกาศฟัตวา ทั้งนายรัชดี และคนที่ฆ่านายพลกอเซ็ม สุไลมานี ฟัตวายังไม่จบจนกว่าสองคนนี้จะตาย พวกนี้จะต้องระวังตัวไปสุดชีวิต ตลอดชีวิต ทุกวันนี้ทางการอิหร่านยังไม่เคยคิดจะลดธงต่อการไว้อาลัยของนายพลสุไลมานี แสดงว่าอะไร? แสดงว่าแค้นนี้ยังรอคอยวันในการชำระสะสางอยู่ ท่านผู้ชมว่าน่ากลัวไหม ศรัทธานี่นะ ถ้าเชื่ออะไรแล้ว ลบออกจากความทรงจำไม่ได้

คนที่แทงนายซัลมัน รัชดี อายุแค่ 24 ปีเอง สิ่งที่ซัลมัน รัชดี พูด น่าจะพูดตั้งแต่หมอนี่ยังไม่เกิด แต่เข้าใจว่าคงเป็นคนที่เชื่อมั่นในศาสนาอย่างรุนแรง และเชื่อในคำสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้า พระอัลเลาะห์ เมื่อผู้นำศาสนาสูงสุดของอิหร่านประกาศฟัตวา ก็คือประกาศให้ฆ่าคนที่หมิ่นศาสดาและหมิ่นศาสนาอิสลามแล้ว คนพวกนี้พออ่านเจอ พอทราบเรื่องนี้ ก็จะมีความหมกมุ่น เพราะฉะนั้นแล้ว นายจอห์น โบลตัน หรือนายทรัมป์ หรือ นายพอมเพโอ ก็อาจจะต้องเจอคนหนุ่มชาวมุสลิมในอนาคตข้างหน้าที่ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ แต่รู้ว่านายสามคนนี้เป็นคนที่วางแผนฆ่านายพลกอเซ็ม สุไลมานี ก็อาจจะมีคนที่แทรกซึมเข้าไป และก็ไม่ใช่คนที่ไหน เป็นคนอิสลามที่ไปพำนักพักอาศัยอยู่ที่อเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ เวลาท่านผู้ชมจะทำอะไรก็ตามที่ไปลบล้างความศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องศาสนา ไม่ได้นะ ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูหมิ่นเหยียดหยามพระศาสดา

ผมเชื่อว่าเรื่องของ ซัลมัน รัชดี เป็นบทเรียนที่ผมเชื่อว่านายทรัมป์ ไมค์ พอมเพโอ และนายจอห์น โบลตัน รู้ดีว่าสามคนนี้โดนธงแดงชักและมีการฟัตวา ก็หมายความว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้รับการล้างแค้นอย่างแน่นอน เมื่อใดการล้างแค้นโดยฆ่าคนที่วางแผนฆ่ากอเซ็ม สุไลมานี สำเร็จ เมื่อนั้นธงแดงถึงจะชักลงมา


ถ้ายังไม่สำเร็จ ธงแดงก็จะอยู่เป็นเครื่องเตือนใจคนที่หัวรุนแรง บอกว่าต้องจัดการเรื่องนี้ถึงจะขึ้นสวรรค์ไปเจอพระผู้เป็นเจ้าได้ ท่านผู้ชมครับ ศรัทธา เป็นเรื่องที่ฆ่าได้ หยามไม่ได้ ซัลมัน รัชดี ต่อโยงมาจนถึงทรัมป์ พอมเพโอ และจอห์น โบตัน

ท่านผู้ชมครับ เรื่องมันเป็นเช่นนี้ และผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ทางตะวันตกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักหรอก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องความเชื่อ ซึ่งถ้าไม่เชื่อก็แล้วไป ไม่ว่าอะไรกัน

เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้มันจะเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์พอสมควร ผมจำได้ว่าตอนที่ผมเรียนประวัติศาสตร์ อาจารย์ของผมที่มหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศบอกผมว่า ประวัติศาสตร์มีไว้ให้จดจำเรื่องราวในอดีต แล้วอย่าไปลืมมัน เขาบอกว่าคนที่ไม่เคยจำประวัติศาสตร์ ในที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องย้อนรอยไปทำผิดพลาดเหมือนเดิม อุปมาอุปไมยเหมือนความสัมพันธ์ของคน ผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายหลอก หรือผู้ชายคนหนึ่งโดนผู้หญิงหลอก ต้องจดจำเอาไว้ พอเจออีก ก็จำเอาไว้ว่านี่คือทิศทางที่โดนหลอก ก็ต้องระวังตัว แต่ถ้าโดนผู้ชายหลอกเพราะผู้ชายหล่อ หรือโดนผู้หญิงหลอกเพราะผู้หญิงสวย ความหล่อความสวยมันบดบังสายตาก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

การที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ทำให้ผมรู้ถึงความขมขื่น รู้ถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต เมื่อ 100-200 ปีที่แล้วมา ที่ชาติตะวันตกพากันรุกรานทั่วโลกด้วยเรือปืนเข้าไปยึดครองตั้งแต่พวกสเปน ที่เข้าไปยึดอเมริกาใต้ ชาวอินคา หรือว่าผู้อพยพของอเมริกาที่อพยพมาจากยุโรป อังกฤษ เข่นฆ่าชาวอินเดียนแดง ชาวพื้นเมือง ที่สำคัญที่สุด ผมเป็นคนเอเชีย ถามว่าผมเคารพตะวันตกไหม ? ผมไปเรียนหนังสือที่นั่นมา แต่การที่ผมไปเรียนไม่ใช่ว่าผมจะเห็นด้วยกับเขา เวลาลูกหลานท่านผู้ชมไปเรียนหนังสือ ต้องสอนให้เขาคิดด้วย ไม่ใช่ว่าประวัติศาสตร์หรือข้อเขียนอะไรเขียนมา ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์น่ะ น่ากลัว เพราะวิทยาศาสตร์มันชัดเจน 1+1 ต้องเท่ากับ 2 เรียนวิศวะฯ สูตรต้องตายตัว แต่พอมาประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ มันไม่มีความตายตัวในตัวของมัน มันสามารถแปลได้หลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เหตุที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ในอดีตนั้น ทำให้ผมจำได้แม่น

ผมจำได้แม่นว่าตะวันตกมารุกราน มายึด เฉือนดินแดนประเทศไทยไปอย่างไร ฝรั่งเศสมายึดครองเขมรไปได้อย่างไร อังกฤษยึดครองพม่าไปได้อย่างไร อังกฤษยึดครองอินเดียไปได้อย่างไร ฝรั่งเศสไปยึดครองเวียดนามได้อย่างไร แล้ว 5-6 ชาติ ร่วมมือกัน จับมือกันเพื่อไปปล้นสะดมประเทศจีนได้อย่างไร รวมทั้งคนเอเชียด้วยกัน ซึ่งทำระยำตำบอนกับคนเอชีย ก็คือญี่ปุ่น ที่เป็นคนก่อให้เกิดสงครามเอเชียมหาบูรพาขึ้นมา แล้วก็เข้ามายึดครองประเทศต่างๆ ฆ่าคนตายเป็นเบือ ญี่ปุ่นอย่างเดียวฆ่าคนเป็นแสนๆ คน ที่สำคัญที่สุด จนวันนี้ญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับและขอโทษชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าหมู่ที่เมืองนานกิง ที่เขาเรียกว่า The Nanjing Massacre คือยิงคนจีนตายเป็นแสนๆ คน ท่านผู้ชม ท่านฆ่าคนเป็นแสนๆ คนได้อย่างไร แต่ญี่ปุ่นทำมาแล้ว

ที่น่าเสียดายคือ อเมริกาเข้ามาในนามของสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน แล้วจบสงครามมหาเอเชียบูรพาด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ทำเอาคนญี่ปุ่นตายไป 2-3 แสนคน ที่น่าเจ็บใจคือคนญี่ปุ่นไม่เคยจำเรื่องนี้ ที่คุณไปฆ่าชาวบ้านเขา แล้วอเมริกามาทิ้งระเบิดให้คนตายเป็นแสนๆ คน เพื่อให้คุณยอมแพ้ จนวันนี้ญี่ปุ่นไม่เคยจำเรื่องนี้ จำอยู่เฉยๆ แต่พฤติกรรมของรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งแต่นายอาเบะ จนถึงนายคิชิดะ ก็คือใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งในเอเชีย ด้วยการสนับสนุนของอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่เอาระเบิดปรมาณูไปฆ่าคน พี่น้อง พ่อแม่ ของนายอาเบะ หรือนายคิชิดะ ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้ญี่ปุ่นกลายเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกาไป ทุกอย่าง โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นถูกเขาฆ่าอย่างไร และที่สำคัญที่สุด ญี่ปุ่นทำร้าย ทำลาย ทำความเจ็บปวดให้กับคนเกาหลี คนจีน แต่ญี่ปุ่นไม่เคยขอโทษเขาเลยแม้แต่คำเดียว นี่คือญี่ปุ่น ที่ผมเจ็บใจคือ คนเอเชียด้วยกันหันมาฆ่าคนเอเชียด้วยกัน

ผมมีความรู้สึกว่า มหกรรมอันหนึ่งในหลายๆ ปีที่ผ่านมาถูกชูเป็นธงนำในการต่อสู้ทางการเมือง ทั้งในประเทศไทย และการเมืองระดับนานาชาติ วิกฤตสงครามยูเครน หรือกรณีไต้หวัน มันเป็นวาทกรรมของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย หรือ Democracy หรืออ้างอิงว่าตัวเองเป็นโลกเสรี (Free World) กับ ฝ่ายเผด็จการ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ท่านผู้ชมจะเข้าใจว่าสื่อมวลชนตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น BBC แล้วแตกลูกแตกหลานมาเป็น BBC ไทย CNN สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันโพสต์ พวกสื่อตะวันตกพวกนี้คือเครื่องมือของตะวันตกที่พยายามปั่นกระแส กรอกหูผู้คนด้วยวาทกรรมเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนนักข่าวไทยเอง สื่อไทยใจฝรั่ง ก็นับถือฝรั่งเป็นพ่อ ก็เอาข้อความเหล่านี้มาขยายความแบบไม่ได้ใช้หัวคิดเลย

เผอิญผมไม่ใช่สื่อมวลชนแบบนกแก้วนกขุนทอง ฝรั่งพูดอย่างไร ผมก็พูดอย่างนั้น ท่านผู้ชมทราบดีปูมหลังของผมเป็นนักประวัติศาสตร์ เรียนจบประวัติศาสตร์ ประกอบอาชีพสื่อมวลชนมาร่วมห้าสิบปีแล้ว ในแวดวงสื่อสารมวลชน นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ มันมีคำกล่าวคำหนึ่งของ นายฟิลิป เกรแฮม (Philip Graham) นักข่าวระดับตำนานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เขาบอกว่า Journalism is the first rough draft of history.


แปลเป็นไทยว่า วารสารศาสตร์คือร่างแรกอย่างคร่าวๆ ของประวัติศาสตร์ หรือกล่าวอย่างง่าย นักข่าวต้องมีความเป็นนักประวัติศาสตร์ เพราะว่านักข่าวเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ลำดับต้นๆ แต่ปัญหาคือนักข่าวส่วนใหญ่ไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในยุคที่นักข่าวรับข่าวแบบเรียลไทม์ ระบบดิจิทัล มาทันทีเลย รายงานแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่เคยไปขุดค้นแสวงหาข้อเท็จจริง ที่มาที่ไปสักเท่าไร

ในกรณีข่าวสารข้อมูลระดับโลก หรือการเมืองระดับโลก ทุกวันนี้ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และ นายสี จิ้นผิง ถูกทาสีไปแล้วว่าเป็นฝั่งเผด็จการ ส่วนนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมไปถึงผู้นำในกลุ่มอียู ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ถูกอุปโลกน์ให้ตัวเองเป็นฝั่งประชาธิปไตย เป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตย


ผมจะเอาหน้าปกของหนังสือพิมพ์ The Economist ซึ่งเป็นตัวการสำคัญตัวการหนึ่งในการเชิดชูประชาธิปไตยจอมปลอม ที่ในประเทศตัวเองยังไม่มีประชาธิปไตย ให้ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เยอะแยะ แต่ไม่เคยต่อสู้ The Economist ฉบับ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เอารูปเงาของวลาดิมีร์ ปูติน มา แล้วก็เอารูปรถถังวางไว้ในหัว แล้วถามว่า Where will he stop ? คือพวกนี้ไม่ได้ถามตัวเองเลยว่าทำไม วลาดิมีร์ ปูติน ถึงบุกยูเครน


ถ้าเราไม่เข้าใจที่มาที่ไป ไม่เข้าใจเหตุของมัน เราจะไม่เข้าใจเหตุการณ์วันนี้ ผมพูดมาตั้งนานแล้ว ท่านผู้ชมที่เคยฟังผมจำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกว่า อเมริกาและนาโตยั่วยุรัสเซียโดยใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัสเซีย จะให้ยูเครนนั้นเข้านาโต แล้วจะติดอาวุธให้ยูเครน เพื่อเข้าไปทะลุบุกหลังบ้านของรัสเซีย รัสเซียไม่ยอม รัสเซียเตือนมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ประวัติศาสตร์ตรงนี้ สื่อมวลชนคนไทย เยอะแยะเลยไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้ รู้แต่ว่ารัสเซียบุกยูเครน รัสเซียทำผิด รัสเซียไม่ควรใช้กำลัง แต่ที่ตะวันตก อเมริกา ไปซ่อนตัวอยู่ในยูเครน อังกฤษไปสร้างกองทัพเรืออยู่ในแถวๆ เมืองโอเดสซา แหลมไครเมียตอนนั้น แล้วอเมริกาไปสร้างห้องแล็บอาวุธชีวภาพในยูเครน สื่อมวลชนไทยไม่เคยสนใจเรื่องนี้

The Economist อีกฉบับหนึ่ง 1-7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มันเอารูปไต้หวัน แล้วมีเรดาร์ และเขียนว่า "The most dangerous place on Earth"


เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าสื่อมวลชนทางตะวันตกคือเครื่องมือ เครื่องมือจริงๆ ที่จะผลักดันกระบวนทัศน์ ความเชื่อ ให้คนเห็นชอบไปด้วยกับปรัชญาของตะวันตก

ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราย้อนอดีตกลับไปพิจารณา ไปศึกษาประวัติศาสตร์ โลกในสมัยใหม่ คือในช่วงสิบปี หรือร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ต้องย้อนไปถึงหลายร้อยหลายพันปี คุณจะเห็นได้ชัดว่าประเทศที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นฝั่งประชาธิปไตยในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มือเปื้อนเลือดทั้งสิ้น เพราะว่าทุกประเทศที่โปรโมตประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นอียู ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี เป็นเผด็จการตัวพ่อ เป็นนักล่าอาณานิคม นักก่อสงคราม เป็นนักฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยกันทั้งสิ้น

ผมยกตัวอย่างให้ฟัง หนึ่ง G7 กับสมาชิก 8 ชาติผู้รุกราน ปล้นชิง พยายามแบ่งเค้กแยกจีนออกเป็นเสี่้ยงๆ ผมเอารูปกลุ่มผู้นำ G7 เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำที่เยอรมนี เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา


มีอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา เยอรมนี แคนาดา อิตาลี อียู และนาโต วาระสำคัญที่ G7 พูดกันก็คือ จัดการกับรัสเซีย และจีน เขาประชุมกันในปี 2564 เมืองคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ผมเคยเกริ่นๆ เรื่องนี้ทีหนึ่งแล้ว หลายๆ ท่านคงจำได้ว่า รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในวันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ตอน "G7 สิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์"

ผมเอารูปให้ดูนะครับ รูปแรก (ข้างล่าง) เป็นการยืนเรียงกันของผู้นำ G7 ที่คอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ มีคนเอารูปนี้ไปเปรียบเทียบกับสมัยอดีตที่พวกนี้เข้าไปบุกและยึดครองจีน ไปปล้นจีน (จากซ้าย) อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย อินเดีย เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น พันธมิตร 8 ชาตินี้


พวกที่โปรโมตประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ คือพวกมันคือพวกที่มือเปื้อนเลือด ปากว่าตาขยิบ

121 ปีก่อน ในปี 2443 (ค.ศ. 1900) ในยุคที่จีนปกครองโดยราชวงศ์ชิง ภายใต้การกุมอำนาจของพระนางซูสีไทเฮา พวกนี้รุกเข้าไปในจีน โดยอ้างว่ากบฏนักมวยทำร้ายเข่นฆ่าชาวต่างชาติ รวมถึงมิชชันนารีที่เผยแผ่ศาสนา โดยกองกำลังทหารของ 8 ชาติ 45,000 คน บุกเข้ากรุงปักกิ่ง ปล้นทรัพย์สินของชาวจีนในกรุงปักกิ่ง ทำให้พระนางซูสีไทเฮา ต้องหลบหนีจากปักกิ่งไปเมืองหลวงซีอาน


การปล้นชิง เผาทรัพย์ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก คือการที่ทหารพันธมิตร 8 ชาติ บุกเข้าไปในกรุงปักกิ่ง จะเห็นในรูปชัดเลย ทหารกองกำลังพันธมิตร กำลังประมูลทรัพย์สิน ของมีค่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเคลือบ เครื่องทองเหลือง ผ้าไหม ผ้าตัดเป็นกล่องๆ ที่พวกทหารของประเทศที่อ้างว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตยนั้น ปล้นชิงมา


นอกจากนี้ ยังมีพระราชวังฤดูร้อนแห่งเดิม ในชื่อจีน คือ หยวนหมิงเหวิน ปัจจุบันอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือมหาวิทยาลัยชิงหฺวา ถูกปล้นแล้วเผาซ้ำสอง ครั้งแรกถูกอังกฤษ และฝรั่งเศส ปล้นไปรอบหนึ่งในช่วงสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1860


ท่านผู้ชมครับ ในเวลานั้น ความหรูหราและใหญ่โตของพระราชวังฤดูร้อนหยวนหมิงหยวน ในกรุงปักกิ่งนั้น ว่ากันว่ายอดเยี่ยมกว่าพระราชวังแวร์ซาย ในประเทศฝรั่งเศส หลายเท่านัก เนื่องจากถูกสร้างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1707 สมัยคังซีฮ่องเต้ เรื่อยมาจนถึง หย่งเจิ้งฮ่องเต้ เฉียนหลงฮ่องเต้ ซึ่้งล้วนแล้วแต่เป็นยุคที่ประเทศจีนรุ่งเรืองถึงขีดสุด ถือว่าเป็นมหาอำนาจแห่งโลก เดิมทีที่นี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่า 3.5 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยทรัพย์สินและสถาปัตยกรรมอันล้ำค่ามากมาย เมื่อปล้นชิงทรัพย์สินล้ำค่าไปหมด พันธมิตร 8 ชาติ ก็เผาเลย พระราชวังฤดูร้อนหยวนหมิงหยวน จนปัจจุบันนี้เหลือแต่ซากปรักหักพัง


รัฐบาลจีนรุ่นต่อๆ มา เลือกที่จะไม่บูรณะอาคารใดๆ ในหยวนหมิงหยวน และพยายามใช้ซากโบราณสถานแห่งนี้เป็นเครื่องเล่าประวัติศาสตร์ให้คนในชาติว่าครั้งหนึ่งชนชาติจีนเคยถูกย่ำยีอย่างไรเมื่อบ้านเมืองอ่อนแอ นอกจากนั้นแล้ว ต้นเดือนพฤษภาคม 2564 สื่อจีนยังเผยแพร่ตัดต่อของศิลปินจีน นาม อูเหอ ชีหลิน ที่ล้อเลียนการประชุม G7 ด้วยภาพแต่งเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงจีนถูกประเทศเหล่านี้รุกรานเมื่อร้อยกว่าปีแล้ว ผมเอารูปสองรูปให้ดู รูปแรก ใส่เสื้อนอก คือรูปปัจจุบัน แต่มาโยงกับรูปเก่าสมัยที่เข้าไปปล้นกรุงปักกิ่ง




ท่านผู้ชมครับ ครั้งสุดท้ายที่คนเหล่านี้รวมหัวกันกดขี่จีน คือ ปี 1900 เวลาผ่านไปแล้ว 122 ปี คนเหล่านี้ยังฝันอยู่ ก็คือว่ายังฝันอยู่ว่าจะต้องแยก ทำลายจีนให้เป็นชิ้นเล็กๆ นี่คือเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วที่จีนเขาจดจำฝังใจ ความแค้น ความอัปยศที่เขาเก็บเอาไว้ ถือเป็นหนี้แค้น สิบปี ร้อยปี เขาหยิบยกขึ้นมาล้างแค้นก็ยังไม่สาย แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าประเทศเหล่า G7 ที่อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อ้างเรื่องประชาธิปไตย แต่ลืมอดีตที่เคยทำอะไรกับใครเขาไว้ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาประณามรัสเซียว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยูเครน ด่าจีนว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทิเบต ซินเกียง หรือกดขี่ประชาชนชาวฮ่องกง กดขี่ไต้หวันในการรวมประเทศ แต่พวกมันลืมสิ่งที่ตัวเองทำเลว ทำชั่ว ฆ่าเขาเอาไว้เสียหมด รู้ แต่ไม่ยอมพูด ไม่ยอมรับความจริง หน้าด้านมากๆ พวกนี้

ผมจะชวนมาย้อนดูประวัติศาสตร์แบบย้อนอดีต ไม่ต้องไปไกลถึง 100 ปี หรอก เอาแค่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อ 77 ปีที่ผ่านมา

ผมจะถามว่าชาติไหนที่ก่ออาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุดในประวัติสาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คำตอบคือ เยอรมนี จากผลงานในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว หรือที่เรียกว่า The Holocaust


The Holocaust เป็นฝีมือของพรรคนาซีเยอรมนี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ล้านคน ในช่วงปี 2484-2488 เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญแห่งหนึ่งของโลก เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุด มีการวางแผนสังหารหมู่อย่างเป็นระบบโดยการสนับสนุนของรัฐบาล และมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากชาวยิวที่ตกเป็นเป้าหมายแล้ว ชาวเยอรมันและผู้ให้การสนับสนุนยังดำเนินการฆ่าล้างกลุ่มอื่น รวมทั้งชาวสลาฟ ส่วนใหญ่คือผู้ที่มีสายพันธุ์โปแลนด์ เชลยศึกโซเวียตและพลเมืองโซเวียต ผู้คัดค้านทางการเมือง ศาสนา เช่น คอมมิวนิสต์ คริสตศาสนิกชน ชายรักร่วมเพศ เมื่อรวมผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว นาซีเยอรมนีจะมีผู้เสียชีวิตไป 17 ล้านคน


รองลงมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวแล้ว ก็คือญี่ปุ่น กับจีน คือการสังหารหมู่ที่นานกิง โดยฝีมือกองทัพญี่ปุ่น ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม 2480-2481 (รูป) รูปที่เอาให้ดูเป็นรูปหนังสือพิมพ์ เป็นภาพจากหนังสือพิมพ์โตเกียวนิจิ นิชิ ชิมบุน วันที่ 13 ธันวาคม 2480 หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นรายงานถึงเกมการแข่งขันระหว่างนายทหารญี่ปุ่น 2 คน คือ โคชิอากิ มูไค และ ซูโยชิ โนดะ เพื่อฆ่าชาวนานกิงด้วยดาบให้ได้ 100 คน โดยตอนนั้นหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นพาดหัวข่าวว่า สถิติที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขันเพื่อตัดหัวคน 100 คน มูไค ตัดได้ 106 คน โนดะ ตัดได้ 105 คน ผู้หมวดทั้งสองคนต้องสู้กันจนถึงช่วงต่อเวลา คำว่าสู้กัน คือ สู้กันในการตัดหัวคนจีน


ท่านผู้ชมครับ ผมอยากให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน คิชิดะ สายเหยี่ยว ให้ดูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ หนังสือพิมพ์ของมันเอง เอาทหารญี่ปุ่น 2 คน มาตัดคอคนจีนแข่งกันว่าใครจะตัดคอได้มากกว่ากัน ท่านผู้ชมว่ามันบัดซบไหม

6 สัปดาห์ ที่กองทัพญี่ปุ่นยึดนานกิงเอาไว้ มีการสรุปตัวเลขว่าตายไปแล้ว 3 แสนคน นานกิง มีข้อมูลหลักฐาน หนังสือพิมพ์ บันทึกข้อเขียน บทสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นภาพ เป็นสิ่งของ เป็นซากกระดูกของผู้เสียชีวิต ถูกบรรจุ จัดแสดงไว้ที่หอระลึกการสังหารหมู่ที่นานกิง โดยเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าชมฟรี ท่านผู้ชมไปดูสิครับ ผมไปนานกิง เมื่อเดือนเมษายน 2554 สิบเอ็ดปีที่แล้ว

ตอนนั้นที่ผมไป ผมนั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยงไฮ้ ไป นานกิง ผมแนะนำว่าใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก หรือสนใจเรื่องสงครามโลก ควรจะไปเยือนสักครั้ง ผมอยากให้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง


แล้วเมื่อไปเยือนนานกิงแล้วเห็นว่าคนญี่ปุ่นฆ่าคนจีนอย่างไร ก็ต้องไปเยือนพิพิธภัณฑ์ปรมาณูที่ฮิโรชิมา-นางาซากิ ก็จะเห็นว่าอเมริกาฆ่าคนญี่ปุ่นอย่างไร แล้วคนอเมริกาฆ่าคนญี่ปุ่นอย่างไร คนญี่ปุ่นยุคนี้ อย่างเช่น อาเบะ หรือ คิชิดะ ไม่เคยจดจำเลย วันนี้มีความสุขกับการเป็นสุนัขรับใช้อเมริกา เอามารบกวน ต่อต้านคนที่ไม่เห็นด้วยกับอเมริกา

แล้วเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นานกิงนั้น ท่านผู้ชมรู้ไหม คนญี่ปุ่นไม่ค่อยพูดกัน นอกจากไม่พูดแล้ว ยังหน้าด้าน ตัดทอนเอาเนื้อหาส่วนนี้ออกจากบทเรียนประวัติศาสตร์ของนักเรียน มากกว่านั้น ผู้นำญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นที่นานกิงอีก ส่วนใครก็ตามที่พูดถึงเรื่องนี้ ก็จะถูกคนญี่ปุ่นประณามว่าเป็นคนขายชาติ จนทำให้คนญี่ปุ่นถูกประณามจากประเทศเพื่อนบ้านว่าพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์


นี่ยังมีอีกตัวหนึ่ง อินเดีย การสังหารหมู่ที่จลิยานวาลาบาค (Jallianwala Bagh massacre) หรือบางคนเรียกว่า การสังหารหมู่ที่อมฤตสระ (Amritsar massacre) ฝีมืออังกฤษ ทำกับชาวอินเดียเมื่อ 13 เมษายน 2462 โดยนายพลอังกฤษได้ส่งกำลังกองพลของตัวเองยิงปืนไรเฟิลเข้าใส่พลเมืองชาวอินเดียผู้ปราศจากอาวุธซึ่งออกมารวมตัวเพื่อฉลองเทศกาลไพสาขี เทศกาลสำคัญของศาสนาฮินดูและชาวซิกข์

ท่านผู้ชมครับ เมื่อชาวอินเดียชุมนุมขัดคำสั่งของอังกฤษ นายพลจัตวา และจอมพลเรจินอลด์ ไดเออร์ ฆาตกรสำคัญ สั่งการให้ยิงปืนใส่สวนสาธารณะจลิยานวาลาบาค ในเมืองอมฤตสระ จังหวัดปัญจาบ ทำให้คนตาย 379 คน บาดเจ็บกว่าพันคน เหตุการณ์นี้ทำให้ตกตะลึกกันไปทั้งประเทศ และส่งผลรุนแรงต่อความไว้ใจและเชื่อถือของชาวอินเดียในรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองอินเดียขณะนั้น แล้วก็เป็นเหตุการณ์ที่ผลักดันให้เกิดการดื้อแพ่ง นักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้เป็นจุดผลักดันสำคัญไปสู่จุดจบของการปกครองอินเดียโดยอังกฤษ

ท่านผู้ชมรู้ไหม จนถึงวันนี้รัฐบาลอังกฤษไม่เคยขอโทษอย่างเป็นทางการถึงเหตุการณ์นี้ แค่แถลงว่าสำนึกผิด (Regret) ผมเอารูปนายพลฆาตกรขึ้นให้ดู เป็นคนอังกฤษ ชื่อฆาตกรแห่งอมฤตสระ The Butcher of Amritsar : General Reginald Dyer


ที่ผมเล่าให้ฟังนี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ตัวอย่างอื่นที่ผมจะพูดมีมากมาย คนประเทศไหนบ้างเข้าไปยึดครอง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาเหนือ ? คำตอบ คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส


คำถามว่า คนจากประเทศไหนที่เข้าไปยึดออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และเกือบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอะบอริจิน จนเกือบหมดสิ้น ? อังกฤษ ครับ คำถามว่า ชาติไหนบ้างที่เข้าไปสร้างอาณานิคมในทวีปแอฟริกา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ? คำตอบคือ เบลเยียม อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี โปรตุเกส สเปน อิตาลี พวกอียูทั้งหลาย


นอกจากนี้ ชาติอย่างอังกฤษ กับอเมริกา ยังเป็นตัวหลักในการดำเนินการค้าทาสชาวแอฟริกาในช่วงศตวรรษที่ 18-19 พ่อค้าชาวอังกฤษขนทาสชาวแอฟริกาไปยังยุโรป และอเมริกา 3.1 ล้านคน ค.ศ. 1840 ประเมินว่ามีทาสผิวดำอยู่อเมริกาถึง 4 ล้านคน 13 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร


สามเหลี่ยมการค้าทาส คือทาสจากทวีปแอฟริกา เพื่อแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบจากทวีปอเมริกา สินค้าต่างๆ ที่เป็นผลผลิตจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในทวีปยุโรป ในช่วงศตวรรษที่ 16 และศตวรรษที่ 19 คำถาม ชาติไหนบ้างที่เข้าไปสร้างอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย คาบสมุทรมลายู มาเลเซีย สิงคโปร์ พม่า เวียดนาม กัมพูชา และลาว ? คำตอบคือ อินโดนีเซียโดนเนเธอร์แลนด์ยึดครอง 350 ปี ถูกญี่ปุ่นยึดครองอีก 4 ปี แหลมมลายู และพม่า ถูกอังกฤษยึดครอง เวียดนาม กัมพูชา ลาว ถูกฝรั่งเศสยึดครองหลายช่วงหลายตอน จากนั้นในช่วงสงครามโลกก็มีญี่ปุ่นเข้ามาแทรก อเมริกามายึดครองเวียดนามใต้ช่วงสงครามในเวียดนาม สำหรับฟิลิปปินส์นั้น ตกเป็นอาณานิคมของสเปนตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ถึงปลายศตวรรษที่ 19


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมหยิบยกเอาเรื่องประวัติศาสตร์แบบคร่าวๆ เรื่องลัทธิล่าอาณานิคม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ การก่อสงคราม การค้าทาส การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง การเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของพวกชาติมหาอำนาจตะวันตก อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และพวกญี่ปุ่น แล้วก็มีคำโกหกพกลม ไม่ยอมรับความจริงกับสิ่งที่ตัวเองทำ ที่บรรพบุรุษของตัวเองทำมา ให้ท่านผู้ชมได้ดูเลยว่าในช่วง 400-500 ปีที่ผ่านมา ใครเป็นใคร ใครทำอะไรไว้ หน้าประวัติศาสตร์ยุคใหม่

ทุกวันนี้ ชาติที่ชี้หน้าด่าคนอื่นว่าเป็นเผด็จการ ประณามคนอื่นว่าเป็นพวกอำนาจนิยม ต้องการรุกรานประเทศอื่น ดินแดนอื่น เมื่อย้อนดูแล้วพวกที่ชี้หน้าด่าเขา พวกที่อ้างว่าปกป้องประชาธิปไตย ปกป้องโลกเสรี นั่นล่ะคือคนที่มีวิธีคิด มีพฤติกรรมทางประวัติศาสตร์อันชั่วร้ายมากกว่าเขาเพื่อน

ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนไทย แต่ในที่สุดแล้ว สำคัญกว่านั้นคือ ผมเป็นคนเอเชีย ผมจะไม่ยอมให้คนมารังแกคนเอเชียด้วยกัน ยกเว้นญี่ปุ่น ญี่ปุ่นผมไม่ได้ถือว่าเป็นคนเอเชีย ผมถือว่าเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกา ผมไม่ยอม ในเมื่อผมพูดไปแล้ว หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศจีนมีเยอะ และชัดเจนมากกว่าใครเพื่อน แล้วผมเห็นการเจริญเติบโตของประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา จนกระทั่งประเทศจีนประกาศสัจจะวาจาอย่างอหังการมมังการว่า กูไม่กลัวพวกมึงอีกแล้ว เพราะว่าจีนเมื่อ 120 ปีที่แล้ว กับปีนี้ ไม่เหมือนกัน ตรงนี้ต่างหากที่ท่านผู้ชมเข้าใจว่าผมอวยจีน แต่จริงๆ แล้ว ผมพูดบนพื้นฐานความเจ็บแค้นทางประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งมังค่าทางตะวันตก ทั้งอียู ทั้งอเมริกา ทั้งอังกฤษ ได้ทำร้ายทำลายคนเอเชียด้วยกัน และทำร้ายทำลายโลกทั้งโลกครับ ท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคงทราบดีว่า รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" กับสื่อในเครือผู้จัดการ เราเป็นสื่อแรกเลย และสื่อเดียวในประเทศไทย ที่ออกมาเกาะติด เปิดเผยความไม่ชอบมาพากลในวงการคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่มีการปั่นกระแสจนประชาชนรุ่นใหม่ เยาวชน แม้กระทั่งเด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา จำนวนหลายล้านคน หันมาเล่นมากเหลือเกิน โดยเชื่อว่าคริปโตฯ คือการลงทุนในอนาคต ขนาดนายท็อป จิรายุส เจ้าของบิทคับ (Bitkub) ยังออกโฆษณาว่า "เชื่อมทุกโอกาสสู่โลกแห่งอนาคต"


ผมมีอคติอะไรกับคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือเปล่า ? ไม่มี แต่สิ่งที่ผมตั้งคำถามมากับบิทคับ และคุณท็อป จิรายุส เรื่อยไปจนถึงธนาคารไทยพาณิชย์ และผู้บริหาร ที่ในตอนแรกต้องการใช้เงินถึง 17,000-18,000 ล้านบาท ซื้อกิจการบิทคับ แบบตีปี๊บประโคมข่าว จนดังไปทั้งวงการว่า SCB กำลังจะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นยานแม่ ปรับตัวเข้าสู่โลกเทคโนโลยียุคใหม่ SCB ซื้อบิทคับ เหมือนกับซื้อทางลัดในการเป็นเจ้าของตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ครองส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้ส่วนใหญ่ถึง 90 เปอร์เซ็นต์


ท่านผู้ชมครับ ผมทำข่าวมาตั้งห้าสิบปีแล้ว ผมอายุ 75 ปีนี้ ผมเห็นวัฏจักรการขึ้น-ลงทางเศรษฐกิจ เห็นความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การเกิดขึ้นและดับไปของนวัตกรรมใหม่ๆ มาก็มาก ผมเองยังไม่กล้าฟันธงไปทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ บิทคับ กับ SCB กับกระแสเห่อเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี ผมเห็นว่าเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ ท่านผู้ชมจำคำพูดผมไว้นะ "เป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่" ซึ่งจะไม่พูดก็ไม่ได้ มันผิดจรรยาบรรณของผมเอง

อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่บังเอิญ ก็ไม่รู้ พอผมพูดเรื่องบิทคับได้ไม่กี่สัปดาห์ ก็เกิดการเจ๊งของกระบวนการคริปโทเคอร์เรนซีทั่วโลก อย่างเช่น เหรียญลูน่า (LUNA Coin) ที่คนเจ๊งกันทั่วโลก คนไทยเจ๊งกันไปมาก


ผมเคยประเมินให้ฟังแล้วว่า กรณีความล่มสลายของเหรียญลูน่านั้น คงจะสูบทรัพย์สินคนไทยไปจำนวนหลายหมื่นล้านบาท บางคนสูญเสียเงินที่เก็บออมไว้ทั้งชีวิต บางคนขายบ้าน ขายรถ ขายทรัพย์สินมาซื้อเหรียญดิจิทัลที่ไม่มีอยู่จริง โดยหวังว่ามันจะกำไรหลายเท่าตัว

ล่าสุด เอาอีกแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา กรณีใหญ่ในวงการคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทย ที่มีแพลตฟอร์มใช้ชื่อว่า ซิปเม็กซ์ (ZIPMEX) หรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด


ประกาศระงับการเพิกถอนเงินบาทและคริปโทเคอร์เรนซี เพราะเหตุผลที่เขาให้มาว่า ได้รับความเสียหายจากผลิตภัณฑ์ ซิปอัพพลัส (ZipUp+) ของลูกค้าที่นำไปฝากที่ซิปเม็กซ์ โกลบอล (Zipmex Global) ที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วเอาเงินนั้นไปลงทุนกับ บาเบล ไฟแนนซ์ (Babel Finance) และ เซลเซียส (Celsius) แพลตฟอร์มปล่อยกู้เงินดิจิทัลในต่างประเทศ ซึ่งประสบปัญหา จนไม่สามารถทำธุรกรรมในซี-วอลเลต (Z-Wallet) ได้ เบื้องต้นความเสียหายของลูกค้าคิดเป็นมูลค่าประมาณร่วมๆ สองพันล้านบาท

คริปโตแบงก์ (Crypto Bank) หรือ คริปโตเลนเดอร์ (Crypto Lender) คืออะไร ? บาเบล กับ เซลเซียส ทำตัวเหมือนเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เราเห็นกันอยู่ แต่ไม่ได้รับเงินฝากและเงินกู้ปกติ เงินบาท เงินดอลลาร์ เงินยูโร หรือเงินปอนด์ แต่ให้เป็นการปล่อยเงินกู้คริปโต คนใช้งานจะมากู้และยืมเงินคริปโตได้ โดยไปแลกกับค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย สำหรับผู้ที่กู้ยืมเงินคริปโต พูดง่ายๆ คือ เอาคริปโตจากคนใช้งานๆ หนึ่ง ไปให้กับคนใช้งานอื่นๆ แลกกับค่าธรรมเนียม


ประเด็นคือ ก่อนจะเกิดวิกฤต ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ทั้งในไทยและทั่วโลก ให้ดอกเบี้ยเงินฝากเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ หรืออย่างมาก 1 เปอร์เซ็นต์กว่า แต่พวกธนาคารคริปโต อย่างเซลเซียส หรือ บาเบล ไฟแนนซ์ ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 7-10 เปอร์เซ็นต์ นี่คือเหตุผลที่ทำให้คนเอาเงินไปฝากธนาคารคริปโต ที่ไม่เคยมีใครมาควบคุมหรือคอยดูแล หวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าท้องตลาดหลายเท่าตัว

อย่างไรก็ดี ในกรณีซิปเม็กซ์ คือการฉ้อโกงและฉ้อฉลอย่างร้ายแรง เพราะแพลตฟอร์มดันเอาเงินของลูกค้า ผู้เทรด คือลูกค้าประสงค์จะซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลกับแพลตฟอร์มของซิปเม็กซ์ แต่ดันเอาเงินเขาไปฝากไว้กับธนาคารคริปโตต่างประเทศ เพื่อกินดอกเบี้ย หาส่วนต่างออกมา คือพูดง่ายๆ ว่า เอาเงินเขามา ต้นทุน 0 เอาไปฝาก กินดอกเบี้ย 7-10 เปอร์เซ็นต์

ด้วยเหตุดังกล่าวก็เลยมีผู้เสียหายจากซิปเม็กซ์ รวมตัวแจ้งความฟ้องร้องค่าเสียหายที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) รวบรวมหลักฐานผู้เสียหาย 744 ราย มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท มีส่วนหนึ่งเดินทางไปยื่นดำเนินคดีกับผู้บริหารซิปเม็กซ์ ที่ดีเอสไอ จำนวนผู้เสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ท่านผู้ชมครับ ซิปเม็กซ์ เป็นศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศ รองจากบิทคับ ซึ่งท่านผู้ชมคงเคยเห็นแล้วว่าพวกนี้ชอบจ้างโฆษณาติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง จ้างอินฟลูเอนเซอร์ ดารา อย่างคุณแอน ทองประสม, ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์, ปิงปอง-ธงชัย, ซูซี่-ณัฐวดี ไวกาโล ดาว TikTok เรียกได้ว่าซิปเม็กซ์ทุ่มเงินโฆษณามหาศาล ระดับน้องๆ บิทคับของคุณท็อป-จิรายุส


ทีนี้ พอเกิดเรื่องขึ้นมาแบบนี้ ผู้บริหารซิปเม็กซ์ คือ คุณเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ซิปเม็กซ์ ก็พยายามออกมาชี้แจงเป็นระยะๆ ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการ ร่วมกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยความโปร่งใส และนำสินทรัพย์มาคืนลูกค้า แต่พฤติกรรมของผู้บริหาร คือ คุณเอกลาภ ยิ้มวิไล และทีมงานของเขา


กลับตรงกันข้าม เนื่องจากเวลาออกมาชี้แจงแต่ละครั้ง เป็นการพูดย้ำคำเดิมๆ ไม่สามารถจะตอบคำถามหรือข้อเรียกร้องของผู้เสียหาย แถมยังไม่มีแผนงานที่ชัดเจน และระยะเวลาที่แน่นอน

แล้วในที่สุดก็จับโป๊ะแตก ก.ล.ต. ไม่รู้ว่าซิปเม็กซ์ได้ยื่นพักหนี้ พักการจ่ายหนี้ ท่านผู้ชมตามผมมา

ตอนที่ปัญหายังคลุมเครืออยู่ จู่ๆ วันที่ 28 กรกฎาคม ปลายเดือนที่แล้ว เว็บไซต์ของซิปเม็กซ์ก็ขึ้นประกาศว่า บริษัทฯ ได้ยื่นเรื่องต่อศาลสิงคโปร์ขอพักชำระหนี้สำหรับกิจการในกลุ่มซิปเม็กซ์ รวมทั้งซิปเม็กซ์ในประเทศไทย หรือพูดง่ายๆ ว่า ซิปเม็กซ์สิงคโปร์ขอยื่นศาลสิงคโปร์ให้คุ้มครองปลอดหนี้นั่นเอง ก็คือพูดง่ายๆ ว่า จะไปเรียกหนี้คืนไม่ได้ บัดซบไหมท่านผู้ชม โดยระบุว่า ในวันที่ 22 กรกฎาคม ซิปเม็กซ์สิงคโปร์ได้ให้สำนักงานทนายความยื่นเรื่องต่อศาลสิงคโปร์ กิจการในเครือซิปเม็กซ์นั้นก็มีหลายบริษัท รวมทั้งซิปเม็กซ์ที่้จดทะเบียนในประเทศไทยด้วย จดทะเบียนในอินโดนีเซีย และในออสเตรเลีย


ประเด็นสำคัญดังกล่าว เรื่องนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. กลับไม่รู้เรื่องแต่อย่างใดเลย เพียงรับทราบเมื่อสื่อออกมาเสนอข่าว 28 กรกฎาคม 2565 ทั้งๆ ที่บริษัทซิปเม็กซ์ที่สิงคโปร์ได้ยื่นเรื่องไปตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม ที่ศาลแล้ว ผู้เสียหายคนไทยที่เป็นผู้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก ก็เพิ่งจะรู้ข่าวจากสื่อมวลชน แล้วมิหนำซ้ำ พฤติกรรมของซิปเม็กซ์ประเทศไทยยังมีอะไรที่คลุมเครือ น่าสงสัย คือพูดง่ายๆ ว่า ประกาศ 5 โมงเย็น วันที่ 28 กรกฎาคม ออกมาบอกว่า เจ้าหนี้ที่สนใจจะร่วมฟังการหารือในวันที่ 29 กรกฎาคม ให้แจ้งมา วิธีการลงทะเบียนก็ไม่มีรายละเอียดเพียงพอ บอกเพียงว่าให้ส่งอีเมลไปสิงคโปร์

28 กรกฎาคม คุณแจ้งมา แล้ว 29 คุณบอกคุณจะนัดให้มานั่งฟังกัน มาปรึกษาหารือกัน ใช้เวลาแค่วันเดียวเพื่อแจ้ง เจตนาไม่บริสุทธิ์ นี่คือความไม่โปรงใสและการแก้ปัญหาอย่างจริงใจเพื่อคืนความยุติธรรม แล้วนำทรัพย์สินคืนผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อ

คำจำกัดความ คำว่า "โปร่งใส" คุณเอกลาภ ยิ้มวิไล เน้นอยู่ตลอดเวลา แต่การกระทำของซิปเม็กซ์ในประเทศไทย ไม่ได้มีความโปร่งใส มีแต่ความคลุมเครือ พอ ก.ล.ต. รู้เรื่อง ก็สั่งด่วนไปที่ซิปเม็กซ์ ให้ชี้แจงรายละเอียดออกมา เอกลาภ ก็เลยโพสต์เฟซบุ๊กแจงกรณีดังกล่าว ว่าการยื่นขอพักชำระหนี้เป็นการดำเนินการของซิปเม็กซ์เอเชีย ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของซิปเม็กซ์ ดำเนินการอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ กระบวนการขอชำระหนี้ดังกล่าว ดำเนินการภายใต้กฎหมายประเทศสิงคโปร์ ไม่มีผลกระทบมายังประเทศไทย หรือออสเตรเลีย หรืออินโดนีเซีย

เครือข่ายซิปเม็กซ์ คือใคร ? ถึงโอหังมมังการ ยิ่งใหญ่ฉิบหายเลย อ๋อ ประเด็นที่สำคัญที่สุด ผมจะเปิดเครือข่ายซิปเม็กซ์ ลูกหลานตระกูลใหญ่เพียบเลย ท่านผู้ชมครับ


ซิปเม็กซ์ประเทศไทยนั้น เป็นผู้ได้รับความเสียหายมากที่สุด สำรวจเครือข่ายสัมพันธ์และโครงสร้างผู้ถือหุ้นระหว่างซิปเม็กซ์เอเชีย ที่สิงคโปร์ บริษัทแม่ กับซิปเม็กซ์ประเทศไทย ค้นพบว่าจริงๆ แล้วมันก็คือบริษัทเดียวกันนั่นเอง คือ ซิปเม็กซ์ประเทศไทยถือหุ้นโดยเอกลาภ ยิ้มวิไล สัดส่วน 51 เปอร์เซ็นต์ ซิปเม็กซ์เอเชีย ถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังซิปเม็กซ์สิงคโปร์ และเป็นเพื่อนสนิท แล้วก็ร่วมทำเรื่องซิปเม็กซ์นี้ จนทำให้เกิดปัญหา ก็คือ นายลิม เหว่ย ซีออง มาร์คัส หรือ มาร์คัส ลิม


มาร์คัส ลิม เป็นคีย์แมนคนสำคัญ แล้วก็เป็นพาร์ตเนอร์คนสำคัญของเอกลาภ ยิ้มวิไล ชักชวนมาร่วมธุรกิจ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งซิปเม็กซ์ ถ้าดูให้ดีๆ แล้ว ผมพยายามดูสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัทซิปเม็กซ์ ไทย ซิปเม็กซ์ ไทย กรุ๊ป ซิปเม็กซ์ ไทย ซับซิเดียรี ในบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด คือผมคำนวณย้อนหลังไปมาแล้ว ปรากฏว่าซิปเม็กซ์ เอเชีย ถือหุ้นในซิปเม็กซ์ ประเทศไทย โดยตรง 49 เปอร์เซ็นต์ แล้วถือทางอ้อมผ่านบริษัททั้งสามแห่ง สัดส่วน 49 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้วทำให้ซิปเม็กซ์ เอเชีย ถือหุ้นซิปเม็กซ์ ประเทศไทย 93.23 เปอร์เซ็นต์ เชื่อได้ว่าคุณเอกลาภ ยิ้มวิไล และ มาร์คัส ลิม ก็คือเบื้องหลังของการที่ตั้งซิปเม็กซ์ ที่สิงคโปร์ แล้วกระจายตั้งสาขาในประเทศไทย แล้วใส่บัญชีผู้ถือหุ้น ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่ถือหุ้นจริงๆ แล้วก็คือ ซิปเม็กซ์ สิงคโปร์ และซิปเม็กซ์ ประเทศไทย หรือ คุณเอกลาภ

สรุปแล้ว บริษัท ซิปเม็กซ์ ถือหุ้นโดยซิปเม็กซ์ เอเชีย ถืออยู่ 93.23 เปอร์เซ็นต์ ที่เอเชียนะครับ ที่สิงคโปร์ถือในประเทศไทย 93.23 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคุณเอกลาภ ถือหุ้นอยู่ 6.77 เปอร์เซ็นต์


ทีนี้ หุ้นบุริมสิทธิ์ก็ยังมีในส่วนของบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลสัญชาติไทย คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ ถืออยู่ 35,264 หุ้น พัชรี รักอำนวยกิจ 29,325 หุ้น บริษัท แพลน บี มีเดีย 5 หมื่นกว่าหุ้น บริษัท มาสเตอร์ แอด (maco) ถืออยู่ 150,933 หุ้น กรุงศรี ฟินโนเวต ถืออยู่ 52,000 หุ้น

ท่านผู้ชมครับ พอเราสำรวจลงไปอย่างลึกซึ้งแล้ว พบรายชื่อระดับบิ๊ก รับเป็นที่ปรึกษาออกเหรียญ ซิปเม็กซ์ เอ็มที (ZMT) พอเราเข้าไปตรวจสอบรายละเอียด White Paper การออกเหรียญ หรือ Zipmex Token (ZMT) ออกโดยซิปเม็กซ์ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับการอนุญาตให้การทำธุรกรรมในระหว่างประเทศเอเชียแปซิฟิก อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงาน เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในสิงคโปร์ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ไทย จำนวน 200 ล้านเหรียญ ทยอยปล่อยเงินเหรียญหมุนเวียนออกมา 66 ล้านเหรียญ ในปี 2564 และครบจำนวนในปี 2566 (ปีหน้า)

หัวเรือหลักของการดำเนินการนี้ คือ นายมาร์คัส ลิม ที่สิงคโปร์ และบุคคลสัญชาติไทยอีกสองคน คนหนึ่ง คือ เอกลาภ ยิ้มวิไล บุตรชายของ นายไชยา ยิ้มวิไล และ พราว ลิ่มพงศ์พันธุ์ ซึ่งเป็นลูกสาวของ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้ชดใช้ความเสียหาย ในฐานะที่เป็นกรรมการบอร์ดทีโอที ในการที่จะช่วยเหลือบริษัท เอไอเอส 6 หมื่นกว่าล้านบาท


นายไชยา ยิ้มวิไล นี่ใหญ่มาก ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (ดร.วิษณุ เครืองาม) เป็นที่ปรึกษาทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นอาจารย์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม


ส่วนสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ก็ใหญ่มาก บิดาของ พราว ลิ่มพงศ์พันธุ์ และ ภาคย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ในซิปเม็กซ์ ด้วย คนที่มาช่วยซิปเม็กซ์ เต็มๆ เลยก็คือ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เพราะว่าเคยเป็นทุกอย่าง เป็นทั้งปลัดคลัง เป็นประธานธนาคารกรุงไทย เป็นประธานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ เป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นกรรมการ ก.ล.ต. เป็นกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ใหญ่ฉิบหายเลยท่านผู้ชม ตัวเองประกาศว่ามีทรัพย์สินอยู่หลังจากที่ได้รับแต่งตั้งเป็น ส.ว. 249 ล้าน แต่ตัวเองก็โดนศาลฎีกาพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ตัวเองต้องรับผิดชอบในฐานะกรรมการบอร์ดทีโอที จำนวน 6 หมื่น 6 พันล้านบาท ซึ่งความยิ่งใหญ่ของเขาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปหมด ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง

ส่วนคนที่สาม คือ วิชญะ เครืองาม บุตรชาย วิษณุ เครืองาม นักเรียนเรียนดีมาก เก่ง เจริญรอยตามรอยเท้าพ่อ จบนิติศาสตร์ จุฬาฯ ต่อปริญญาโท-เอก ดีกรีด็อกเตอร์จากเบิร์กลีย์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ คลุกคลีอยู่ในวงการกฎหมาย


ประเด็นที่ผมเล่าให้ฟังมาถึงตอนนี้ เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่ากรณีซิปเม็กซ์ คือการเล่นแร่แปรธาตุหลายกระบวนการ ตั้งแต่สร้างตลาด สร้างกระดานเทรดเงินดิจิทัลขึ้นมา พอลูกค้าเอาเงินมาฝากก็เอาเงินนั้น (ซึ่งตัวเองไม่มีสิทธิ์) เอาไปฝากที่ต่างประเทศ ทำกำไรในแหล่งฝากคริปโตต่างประเทศ กรณีเช่นที่ผมเล่าให้ฟัง บาเบลล์ ไฟแนนซ์ กับ เซลเซียส เน็ตเวิร์ก ซึ่งปัจจุบันสองเจ้านี้มันเจ๊งไปแล้ว เหมือนกับผมเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า ตลาดคริปโตในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบิทคับ ของนายท็อป-จิรายุส หรือ ซิปเม็กซ์ ของนายเอกลาภ ยิ้มวิไล มันก็คือบ่อนการพนันถั่วโปท้ายซอย ได้เงินลูกค้ามา เอาไปฝากไว้ที่บ่อนใหญ่ อย่างเช่น ร้านพนันยักษ์ใหญ่ Radbroke ในอังกฤษ หรือบ่อนการพนันในมาเก๊า ลาสเวกัส แต่บ่อนพนันมันเจ๊ง ทีนี้ก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่สิ

คนที่ขายของที่ปากซอย รับแทงบอลไว้ บ่อนพนันท้ายซอย เจ๊ง ไม่มีเงินมาจ่าย จะทำอย่างไรล่ะ งานนี้มันไม่ใช่งานเฉพาะโต๊ะรับพนันบอลแทงทีละ 100-200 หรือ 1,000-2,000 พวกนี้มันกำเงินของประชาชนที่หลงเชื่อมันเป็นพันๆ ล้าน เพราะเชื่อว่าพวกนี้ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. แล้ว ยังมีบรรดาลูกหลานผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็นถึงผู้บริหารประเทศ หรืออดีตข้าราชการกระทรวงการคลัง อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดัง ตัวเลขที่สูญเสียนั้นเป็นหลักพันล้าน

ท่านผู้ชมครับ ความเสียหายที่เกิดจาก บาเบลล์ ไฟแนนซ์ 73.5 ล้านเหรียญ ความเสียหายจาก เซลเซียส เน็ตเวิร์ก 5 ล้านเหรียญสหรัฐ คูณเป็นเงินไทยแล้ว กลายเป็นความเสียหาย 2 พัน 8 ร้อยล้านบาท

ผมอยากจะฝากถึง ก.ล.ต. คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตอนนี้คนตั้งฉายาว่า ก.ล.ต. คือ "กูลืมตรวจ" ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว กรณีซิปเม็กซ์ ช่วยสอบให้ลึกถึงแก่นเลยได้ไหม ข้อแรก เริ่มจากการลักหลับลูกค้าคนไทย ทั้งที่ซิปเม็กซ์ สิงคโปร์ ดูเหมือนเป็นบริษัทลอดช่อง สิงคโปร์ แต่หัวใจเป็นไทย แม้จะออกแบบผู้ถือหุ้นแตกบริษัทแยกร่างออกเป็น 3-4 ชั้น แต่กลุ่มผู้ถือหุ้นสามัญ บุริมสิทธิ์ โยงไปโยงมามันคือเครือข่ายของซิปเม็กซ์ เอเชีย ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าของซิปเม็กซ์ ไทย โดยคนไทยถือหุ้นใหญ่ทั้งทางตรง-ทางอ้อมอยู่ 90 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าซิปเม็กซ์ เอเชีย มีใครถือหุ้นบ้าง ? เจาะมาเห็นได้ว่ามีตั้งแต่ เอกลาภ ยิ้มวิไล พราว ลิ่มพงศ์พันธุ์ ภาคย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ พัชร ล้อจินดากุล หุ้นบุริมสิทธิ์มีทั้งในส่วนบุคคลธรรมดา บุคคลสัญชาติไทย อย่างเช่น กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ ถือผ่านหลายบริษัท หลายๆ อัน เรียกว่าซิปเม็กซ์ ที่สิงคโปร์นั้นจะทำอะไร ผู้ถือหุ้นไทย หรือซิปเม็กซ์ ไทย ไม่มีทางไม่รู้ รู้อยู่แล้วเพราะว่ามันเป็นคนๆ เดียวกัน แต่จากการโยกสินทรัพย์ลูกค้าไทยออกไปลงทุนจนเจ๊ง ไม่มีคืน กว่า 2 พันล้านบาท ถึงขอให้ศาลสิงคโปร์คุ้มครองการชำระหนี้ ท่านผู้ชมครับ ทำไมคนไทยถึงมารู้ทีหลังล่ะ ? นี่หรือความโปร่งใสที่คุณเอกลาภ ยิ้มวิไล หมั่นพูดตลอดเวลา คุณไม่ได้โปร่งใสเลยแม้แต่นิดเดียว

ซิปเม็กซ์ ไทย ผู้บริหารเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เพราะนี่คือลักษณะหนึ่งของแชร์ลูกโซ่ด้วย เขาบอกว่าเงินที่คุณเอาเข้ามา คนเอาเข้ามาเล่น เขาให้มาเล่นซื้อ-ขายเหรียญในประเทศไทย เขาไม่ได้อนุญาตให้คุณเอาเงินนั้นไปฝากที่ต่างประเทศเพื่อกินส่วนต่าง 7-10 เปอร์เซ็นต์

คำถามที่ผู้ถือหุ้นคนไทยต้องตอบ คือบรรดาเหล่าที่ปรึกษาซิปเม็กซ์ ที่เห็น มีตั้งแต่ คุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดคลัง บอร์ด ก.ล.ต. ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ไชยา ยิ้มวิไล และ วิชญะ เครืองาม บุตรชายวิษณุ เครืองาม ต้องถูกตั้งคำถามถามด้วย


คำถามคือว่า คุณเอาเงินลูกค้าคนไทยไปใส่ไว้ใน ZipUp ไปให้บริษัทในสิงคโปร์ ก็เป็นคนไทยด้วยกันนี่ล่ะ ทำไมลูกค้าคนไทยโดนหนักที่สุด ได้รับการดูแลน้อยที่สุด เผลอๆ จะตกที่นั่งกลายเป็นหนี้สูญ และผมเชื่อว่าหนี้สูญแน่ๆ ท่านผู้ชม เพราะทุกวันนี้ คุณสถิตย์ ลิ่้มพงศ์พันธุ์ และพวกนี้ พยายามเร่ขายซิปเม็กซ์ ประเทศไทย โดยหวังว่าจะขายได้ประมาณ 100 ล้านเหรียญ จ่ายเงินคืนคนที่ลงทุนในซิปเม็กซ์ 2 พันกว่าล้าน ยังมีเศษสตางค์เหลืออยู่ หลายๆ ร้อยล้าน ถึงพันล้านบาท เอามแจกจ่ายลูกหลานตัวเอง เอาไปตั้งต้นทำมาหากินในรูปแบบใหม่ที่คนไทยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีก

ท่านผู้ชมครับ ด้วยชื่อเสียงของบิ๊กเนมที่แบ็กอัพเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณสถิตย์ พ่อของ น.ส.พราว ลิ่มพงศ์พันธุ์ นายภาคย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ดร.ไชยา ยิ้มวิไล พ่อของนายเอกลาภ ยิ้มวิไล รองฯ วิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษากฎหมายของนายวิชญะ เครืองาม ก็เลยมีเสียงพูดร่ำลือกัน ครหากันใน ก.ล.ต. ว่า ซิปเม็กซ์ และบิทคับ มีสิทธิพิเศษ จะทำอะไรก็ทำได้ เพราะว่าถือตั๋วพ่อมา ยื่นเรื่องไปจะได้รับการ Fast Track ตลอดเวลา เรื่องเป็นอย่างไร จริงหรือไม่จริง ก.ล.ต. ต้องไปสอบกันเอง และก็ถือโอกาสสอบไปด้วยนะ ท่านประธาน ก.ล.ต. เลขาฯ ก.ล.ต. ซึ่งผมรู้ว่าท่านเลขาฯ ท่านก็สนิทกับคุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เกรงใจกันมาก สอบไปด้วยนะ อดีตคน ก.ล.ต. คนไหนบ้าง ที่ถูกซื้อตัวไปทำงานที่ซิปเม็กซ์ และบิทคับ คนในวงการคริปโตที่เขาติดตามเรื่องนี้มา เขาบอกว่า ของแบบนี้รู้เขารู้เรา กระดานเทรดเอกชนรู้ แต่ ก.ล.ต. เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

วกกลับมาท่านผู้ชม เรื่องที่เกิดกับลูกค้าผู้เสียหายซิปเม็กซ์ เรียกว่าลูกๆ เล่นกล ทำชาวบ้านเดือดร้อนไปตามๆ กัน คนเขาสงสัยครับท่านผู้ชม ไม่รู้ว่าพ่อๆ จะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับลูกๆ ด้วยหรือเปล่า เพราะไหนจะวิธีโยกทรัพย์สินของลูกค้าโดยที่ License บนใบอนุญาตจริงๆ ที่ได้รับมา ให้ประกอบธุรกิจเป็นเฉพาะศูนย์การซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ไปๆ มาๆ ไหงกลายเป็นบริษัททำธุรกรรม รับฝาก ปล่อยกู้ยืม ไหนจะปฏิบัติการลักหลับขอคุ้มครองการชำระหนี้ที่สิงคโปร์ของซิปเม็กซ์ โดยไม่มีใครรู้มาก่อน ก่อนจะขอศาล เงินสด ทรัพย์สินทั้งหลายที่บริษัทที่นั่นมีเท่าไร เปิดเผยครั้งล่าสุดที่ยื่นต่อศาลคืองวดสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2565 แต่หลังจากนั้นแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงแค่ไหน ผมจะถามดังๆ ถามผ่านท่านผู้ชมว่า คนอย่างนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ที่คร่ำหวอดอยู่กับแวดวงราชการ การตลาด ตลาดเงิน-ตลาดทุน รู้หรือเปล่า ว่ากันว่าลำพังแค่คิดเรื่องเปิดบริษัทใหม่ อย่าให้เอ่ยชื่อเลย ก็สืบกันไม่ยากแล้ว บริษัทนี้ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ เพื่อขอสิทธิลดภาษี มีบัญชีเชื่อมโยงกับซิปเม็กซ์ ทำกันโจ๋งครึ่มขนาดนี้ ถ้าคุณสถิตย์ ไม่ใช่ปลัดคลัง มีคนกล้าจะทำไหม อย่าลืมนะครับ คุณสถิตย์ เป็นข้าราชการระดับท็อปของกระทรวงการคลัง เคยเป็นบอร์ด ก.ล.ต. License ต่างๆ ของการทำธุรกิจคริปโต ก็ออกโดยกระทรวงการคลัง ถ้าคุณตอบว่าไม่รู้ ก็หมดกันเลยนะ วงการนี้หาคนเชื่อถือไม่ได้

แว่วๆ ว่า เพื่อช่วยเหลือบรรดาลูกๆ ฝ่าวิกฤตบริษัท ตอนนี้พ่อๆ นั่งกันไม่ติด มีข่าวว่าคุณสถิตย์ ออกโรงเป็นหัวหมู่เลย Deal maker ด้วยตัวเอง ต่อสาย เดินสายพบปะหาผู้ลงทุนกระเป๋าหนักหลายคน อาศัยคอนเนกชัน เทคโนแครตเก่าๆ ที่พอมีขอกันมา พยายามจะเซ้งกิจการซิปเม็กซ์ ไปต่อ แต่หลายคนส่ายหัวตอบปฏิเสธไป เพราะราคานั้นไม่เบา อยู่ที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,500 ล้านบาท คุณสถิตย์ คงคำนวณมาอย่างดีว่า ขายทั้งที ถ้าเกิดฟลุก มีใครโง่ และก็โง่บัดซบ ยอมจ่ายงานนี้ นอกจากมีเงินใช้หนี้ 2 พันล้าน ให้ลูกค้าแล้ว ยังมีกำไรเหลือให้ลูกๆ เอาไปทำทุนต่อ

ผมต่อสายไปคุยกับคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าได้ข่าวว่ามีการวิ่งเต้นที่ดีเอสไอใช่ไหม โดยผ่านคุณสมศักดิ์ คุณสมศักดิ์ บอกว่า เขาได้รับโทรศัพท์จากคุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เพื่อขอบารมีคุณสมศักดิ์ ให้เขาได้ไปพบอธิบดีดีเอสไอ เพื่อไปชี้แจงข้อเท็จจริง


ท่านผู้ชมครับ คุณสถิตย์ ปฏิเสตลอดเวลา ว่าไม่ได้เกี่ยวกับซิปเม็กซ์ เป็นลูกๆ ทำ แต่พอเรื่องเข้าไปแจ้งความที่ดีเอสไอ ท่านอธิบดี ท่านเจ้าหน้าที่้ รับเรื่องอยู่ แล้วจู่ๆ คุณสมศักดิ์ บอกว่าช่วยพบกับคุณสถิตย์ หน่อย ท่านผู้ชมครับ อธิบดีจะเกรงใจรัฐมนตรีหรือเปล่า ? มันต้องเกรงใจสิ ก็ต้องให้พบ คนอื่นถ้าโดนคดีดีเอสไอ มีใครบ้างมีสิทธิ์ได้พบอธิบดี แล้วเรื่องที่อธิบดีดีเอสไอกำลังเล่นงานอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คุณสถิตย์ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คุณสถิตย์ เสือกเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยขอบารมีคุณสมศักดิ์ เพื่อไปพบอธิบดี เพื่อไปชี้แจง รัฐมนตรีขอมา อธิบดีดีเอสไอก็ต้องฟังสิ เอ้า ช่วยชี้แจงหน่อย คุณสถิตย์ ก็จะมาสไตล์สถิตย์ ว่า ลูกๆ ไม่ผิด ไม่ได้ทำ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ๆ

คำถามคือ ผมถามต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พวกคุณก็เริ่มกลัวแล้วใช่ไหม นี่ขนาดรัฐมนตรีขอนัดหมายให้กับคุณสถิตย์ เข้าพบอธิบดี แสดงว่าสถิตย์ เองก็มีเส้นมีสาย ผมเชื่อว่าโอกาสที่จะฟาวล์อยู่ที่ดีเอสไอนั้นสูงมาก แล้วผมจะเล่าให้ฟัง คดีนี้ไม่ได้ต่างกว่ากรณีบอส อยู่วิทยา เดี๋ยวต่อไปผมจะเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ราคาที่คุณสถิตย์ จะเอาไปขาย 100 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมีใครซื้อ ? ผมดูชื่อผู้ใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเด็กๆ หลายคนที่อยู่ในซิปเม็กซ์ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ผมถามว่า ก.ล.ต. จะกล้าลุยน้ำลุยไฟปกป้องนักลงทุน ทำความจริงให้ปรากฏ ผดุงจริยธรรม ทำให้การทำธุรกิจคริปโตน่าเชื่อถือ อย่างชนิดไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม ได้แค่ไหน


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำกรณีของ บอส อยู่วิทยา ได้ไหม ผมยืนยันครับว่าคดีบอส อยู่วิทยา นั้น โดยโครงสร้าง โดยกรอบแล้ว คล้ายๆ กับบิทคับ กับ ซิปเม็กซ์ คือ บอส อยู่วิทยา ความที่ตระกูลร่ำรวยมาก เรียกว่ามีเงินจ้างผีโม่แป้งได้ ก็เลยมีทั้งตำรวจชั้นผู้ใหญ่ อดีตอัยการ ระดับรองอัยการสูงสุด และสมาชิกสภา สนช. รับเงินรับทองมา บางคนรับมาจากคนที่เต็มใจจ่าย 200 ล้านบาท เอามาจ่ายให้อัยการ 100 อัยการคนนั้นเอาไปให้คนที่ทำเรื่องนี้ 2 ล้านบาท อะไรทำนองนั้น ก็คือว่า บอส ก็หลุดแล้ว จนทุกวันนี้ บอส เหลือคดีอยู่คดีเดียว ก็คือคดีขับรถชนโดยประมาท นอกนั้นก็หมดอายุความหมดแล้ว ขับรถชนโดยประมาท อายุความเหลืออีก 5 ปี ก็หมายความว่าอีก 5 ปี จากนี้ไป 2570 บอส อยู่วิทยา ก็กลับมาที่เมืองไทยได้โดยที่ไม่มีคดีความเลย

ทีนี้มาดูกรณีซิปเม็กซ์ ไม่ได้ต่างกว่าบอส อยู่วิทยา เพราะซิปเม็กซ์ นั้น ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังซิปเม็กซ์ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ ก.ล.ต. เกรงอกเกรงใจทั้งสิ้น แล้ว ก.ล.ต. ไม่ได้ช่วยเฉพาะซิปเม็กซ์นะ ก็ช่วยบิทคับด้วย ช่วยมาตลอด หลายๆ เรื่องที่บิทคับทำผิดกติกา ก.ล.ต. โดนปรับไปตั้งหลายครั้ง โดนแจ้งข้อกล่าวหาไปตั้งหลายครั้ง แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจนว่าให้บิทคับยุติการดำเนินการ ทั้งๆ ที่บิทคับนั้นก็คือกระบวนการโกงเด็ก หลอกเด็ก ให้มาเล่นหุ้นคริปโตที่ใช้ชื่อว่า บิทคอยน์ (bitcoin)


ซิปเม็กซ์ ก็เอาประโยชน์จากตรงนี้ แล้วก็ใช้เส้นสายของผู้ใหญ่ในการที่จะให้ ก.ล.ต. ออกใบอนุญาตให้ เสร็จเรียบร้อยแล้วทำอะไรผิดก็ปิดตาข้างหนึ่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า มีท่านรองเลขาธิการ ก.ล.ต. คนหนึ่ง ชื่อ คุณทิพยสุดา ถาวรามร ท่านลาออกไปแล้ว 2562


ก่อนลาออกท่านเป็นที่ปรึกษากรรมการให้กับบริษัทเอกชนหลายแห่ง เช่น กรรมการอิสระ กรรมการตรวจสอบ บริษัท Clover Power กรรมการอิสระ ประธานกรรมการสรรหาพิจารณาค่าตอบแทน บริษัท Global Consumer หลายอย่าง ในช่วงปี 2557-2562 คุณทิพยสุดา ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.ล.ต. พอลาออก 1 มิถุนายน 2562 ปีถัดมา คือปี 2563 ถึงปัจจุบัน ก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ของนายท็อป-จิรายุส


คุณทิพยสุดา เรียนหนังสือเก่งมาก อายุแค่ 61 ปีนี้ จบปริญญาตรีสาขาคณิตศาสตร์จากฮาร์วาร์ด เก่งมาก ปริญญาโท บริหารธุรกิจ จาก University of Pennsylvania เก่ง เข้าร่วมงาน ก.ล.ต. ตั้งแต่ปี 2536 มีบทบาทในการสร้างนวัตกรรม แผนพัฒนาตลาดทุนไทย เป็นผู้ช่วยเลขาธิการ ปี 2550 ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส 2554 และตำแหน่งสุดท้าย เป็นรองเลขาธิการ ก.ล.ต. 1 ตุลาคม 2557

คุณทิพยสุดา เป็นคีย์สำคัญคนหนึ่งของ ก.ล.ต. และมีลูกน้องอยู่เยอะ คุณทิพยสุดา คลุกคลีในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี ที่ตัวเองมีความชำนาญมาก


เข้าไปช่วยงานสมาคมฟินเทค (FinTech) ของประเทศไทย ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ชักชวนให้มาร่วมงาน นักธุรกิจรุ่นใหม่ในยุคนั้นที่อยู่ในแวดวงคริปโต ก็มีอย่างเช่น จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หลายๆ คน ก็เลยไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจที่มีอดีตมือดีของ ก.ล.ต. จะเข้ามาให้คำแนะนำช่องทางต่างๆ แก่บิทคับ เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบของ ก.ล.ต.

ท่านผู้ชมครับ ความจริงแล้วผู้เล่นกับกรรมการไม่ควรร่วมก๊วนเดียวกัน เพราะนั่นช่วยเพิ่มโอกาสให้กับผู้เล่นรู้ลึก รู้ก่อนล่วงหน้าถึงช่องทางที่จะหลบเลี่ยงหลักเกณฑ์หรือกฎในการควบคุมจาก ก.ล.ต. ได้ นอกจากนั้น ยังมีความเกรงใจแฝงที่เกิดขึ้นในบรรดาทีมงานที่ยังอยู่ใน ก.ล.ต. ของอดีต ทำให้ไม่กล้าดำเนินการหรือเกรงใจเสมอ

หากมีเรื่องชวนสงสัยเกิดขึ้น งานนี้ ก.ล.ต. ก็จะถูกกล่าวหาว่าโดนล้วงลูก หนีไม่พ้น เมื่อเจ้าหน้าที่เกรงใจผู้เล่น กรรมการเกรงใจผู้เล่น จนอาจจะกลายเป็นสปายแฝงอยู่ในองค์กร ย่อมทำให้การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดขึ้น ก็เป็นพวกเดียวกันไง เอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ควบคุมกติกา หรือ Regulator ควรออกมาแสดงความโปร่งใส งานนี้คนที่ได้กับได้มีแต่บิทคับ สร้างสัมพันธ์กับคนแค่คนเดียวก็เหมือนได้คน ก.ล.ต. มาครึ่งโต๊ะ รวมทั้งกำลังรุกคืบเข้าไปช่วยซิปเม็กซ์อีกต่างหาก

ท่านผู้ชมครับ ย้อนกลับไปที่บิทคับนิดหนึ่ง เมื่อบิทคับได้ลูกหม้อ ก.ล.ต. คนระดับอดีตรองเลขาฯ จบฮาร์วาร์ด ทำงานมาเป็นสิบๆ ปี มาทำงานเป็นที่ปรึกษา ก็เลยทำให้จิรายุส รอดจากประกาศิต ก.ล.ต. มาได้ทุกรอบ แถมยังโอหังมมังการ ทะลึ่งโต้แย้ง เถียงกับผู้คุมกฎอย่าง ก.ล.ต. เรียกได้ว่าปราศจากความเกรงกลัวแต่อย่างใด

ท่านผู้ชมครับ เราจะยอมให้ลูกคนรวย ลูกผู้มีอิทธิพล หรือขาใหญ่ในวงการตลาดทุน ลอยนวลไปได้อย่างนี้หรือ ท่านผู้ชมครับ ระหว่างโจรที่ไปปล้นประชาชน ไปปล้น ยกทรัพย์ ทั้งบ้าน ทั้งตู้เย็น ทั้งรถยนต์ เอาเพชรพลอยออกไป เราตั้งทีมงานตามล่า ตำรวจตามล่า จับมาได้ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ปรากฏว่าขโมยข้าวของไปทั้งหมด 15 ล้านบาท กับ บิทคับ และ ซิปเม็กซ์ ที่ทำให้คนเสียหายเป็นพันๆ ล้าน ต่างกันตรงที่ว่าผู้บริหารบิทคับ และ ซิปเม็กซ์ มันใส่เสื้อนอก ผูกเนกไท เรียนจบเมืองนอก แล้วมีผู้หลักผู้ใหญ่คอยหนุนหลัง คอยช่วยเหลือ คอยสนับสนุน เหมือนกรณีบอส อยู่วิทยา ก.ล.ต. ก็ได้แต่แบ๊ะๆๆๆ ตลอดมา

ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ในกรณีซิปเม็กซ์ ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีนักลงทุนที่มาร้องเรียนกับผมหลายคน ลงกันในซิปเม็กซ์ คนหนึ่งลง 2 ล้านบนาท อีกคนลง 30 ล้านบาท ประมาณวันที่ 10 สิงหาคม หลังจากถูกซิปเม็กซ์ระงับการถอนเงินได้หลายสัปดาห์ ทางซิปเม็กซ์ก็พยายามแก้ตัว อธิบายโน่นอธิบายนี่ แล้วจะเอาเงินคืนให้ คนที่ผมรู้จัก 2 คน และใช้บริการซิปเม็กซ์ คนหนึ่งมีเงินค้างอยู่ในซิปเม็กซ์ 2 ล้านบาท อีกคนมีอยู่ 30 ล้านบาท ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเขาคืนเงินคนสองคนนี้อย่างไร ? คืนมาไม่ถึง 5 พันบาท เพราะอะไร ? เพราะมูลค่า ETH (Ethereum) หรือ บิทคอยน์ คับ ตกลงมาอย่างมหาศาล จาก 150 เหรียญสหรัฐ ตกลงมาปัจจุบันเท่ากับ 100 เหรียญสหรัฐ การแก้ปัญหาของซิปเม็กซ์ในวันนี้ คือการแก้ผ้าเอาหน้ารอด เอาเศษเงินมาลงคืนนักลงทุน ขณะที่ความผิดที่ท่านทำนั้นใหญ่หลวงมาก ป่าวประกาศว่าเป็นตลาดซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล แต่จริงๆ แล้วคุณแอบขโมยเงินของนักลงทุนไปฝากคริปโตแบงก์ในต่างประเทศ จนกระทั่งทั้งสองแห่ง คริปโตแบงก์ ล้มละลาย แล้วคุณหาเงินมาคืนลูกค้าไม่ได้

ประเด็นอยู่ตรงไหน ? ประเด็นคือ คนที่ทำงานซิปเม็กซ์ รวมทั้งที่บิทคับ ล้วนแล้วแต่มีเส้นมีสายทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ คือคนที่วิ่งเต้นมากที่สุด วิ่งล็อบบี้คนใน ก.ล.ต. คนในกระทรวงการคลัง คนในรัฐบาล

พูดกันตรงๆ เรื่องซิปเม็กซ์ โดยเนื้อแท้แล้ว เรื่องรางนี้ไม่ต่างกว่าเรื่องของบอส จริงๆ คดีบอส ผ่านไปสิบปีแล้ว ยังไม่สามารถนำตัวนายบอส มาดำเนินคดีได้ เพราะอำนาจความรวยของตระกูลเขา ข้อหาเสพโคเคน หมดอายุความไปอีกแล้ว ก็เหลือเฉพาะขับรถด้วยความประมาท

ท่านผู้ชมครับ มีเฉพาะรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เท่านั้น ที่ขุด จิก เจาะ เอาเรื่องพวกนี้มาพูด กรณีซิปเม็กซ์ แม้จะไม่ใช่เป็นอาชญากรรมเมายา และขับรถชนคนตาย แต่เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง มีผู้เสียหายจำนวนมาก ความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านบาท จากฝีมือของลูกคนรวย ลูกคนมีอิทธิพล แม้กระทั่งคุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีฯ คลัง อดีตประธานสมาคมฟินเทค ก็ระบุชัดเจนว่า ก.ล.ต. ต้องเอาผิดกับซิปเม็กซ์อย่างเร่งด่วน


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรับได้ไหม สังคมไทยมันเป็นสังคม here here แบบนี้จริงๆ ผมฝากถึงคุณเลขาธิการ ก.ล.ต. คุณรื่นวดี สุวรรณมงคล ผมรู้ว่าคุณสนิทกับคุณสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์


จะไม่สนิทได้อย่างไรล่ะ สมัยคุณสถิตย์ เป็นปลัดคลัง คุณก็คงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับเล็กใน ก.ล.ต. รู้จักคุณสถิตย์ ดีต แล้วคุณสถิตย์ อดีตเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมอยากให้ ... และผมฝากถึงอธิบดีดีเอสไอด้วย ตลอดจนฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีคนไปแจ้งความ ว่าคดีนี้เข้าข่ายฉ้อโกงหรือเปล่า ถ้าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน อย่าช้าที่จะตั้งข้อหาฉ้อโกงประชาชน ลูกหลานคนใหญ่โตในนั้นล่ะ ต้องเกี่ยวข้อง คุณพราว ลิ่มพงศ์พันธุ์ ลูกสาวคุณสถิตย์ ตำแหน่งคือ CMO : Chief Marketing Officcer คือเป็นคนที่หาตลาด อุปมาอุปไมยเหมือนหัวหน้าสายของแชร์แม่ชม้อย เดินสายเรียกคนเอาเงินมาฝากแชร์แม่สมอย ฉันใดฉันนั้น ท่านผู้ชมครับ ฉันใดฉันนั้น ก.ล.ต. ฉันใดฉันนั้น ดีเอสไอ แล้วที่ซิปเม็กซ์ทำผิดพลาดอะไร รวมทั้งบิทคับ ทำผิดพลาดอะไร คุณลงมือเสียทีได้ไหม ไม่ใช่ประชุมทีไร คุณก็แอบปกป้องบิทคับ

ท่านผู้ชมครับ นี่คือความอัปยศและอัปลักษณ์ของสังคมไทยที่มีอยู่ทุกวงการ ตอนนี้คืบคลานเข้าไปสู่วงการไฮโซแล้ว ท่านผู้ชมครับ สังคมไทยแบบนี้เราจะปล่อยให้มันลอยนวลอย่างนี้ได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะจบรายการนี้ ผมอยากจะเรียนท่านผู้ชมว่า ช่องยูทูบในช่วงนี้ไปเป็นเวลาสามเดือน จะไม่มีคลิปใหม่ๆ เอามาลงเป็นเวลา 90 วัน เพราะว่าเราถูกยูทูบสั่งห้ามลงคลิปใหม่ เขาลงโทษเราเป็นเวลา 90 วัน หรือ 3 เดือน เนื่องจากเราไปพูดเรื่องวัคซีนที่เป็นการผิดกฎระเบียบนโยบายของเขา ทั้งๆ ที่สิ่งที่ผมพูดนั้นไม่ได้ผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเอาความจริงมาพูด แต่ไม่เป็นไร ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมอยากจะฟังไลฟ์สด เราได้สร้างช่องสำรองขึ้นมาช่องหนึ่ง ผมเรียนให้ทราบตอนต้นแล้ว เป็นชื่อ Sondhitalk แต่เผอิญ Sondhitalk อันนี้มีวงเล็บว่า "ช่องสำรอง" ภาษาไทย ท่านผู้ชมเข้าไปตรงนั้น แล้วกด Follow หรือกด Subscribe กดกระดิ่งเอาไว้ทันทีเลย ท่านผู้ชมก็จะได้ชมเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์หน้าคงจะมีเรื่องสนุกสนาน เพราะอาทิตย์หน้าก็เป็นช่วงที่ผ่านวันที่ 24 ของสิงหาคม ที่จะตัดสินว่าท่านนายกฯ จะอยู่ 8 ปี หรือได้อยู่ต่อ คงจะวุ่นวายพอสมควร แล้วเดิมทีทุกๆ อาทิตย์ผมก็จะพูดกับทีมงานว่า อาทิตย์หน้าไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า คิดมา แต่ปรากฏว่าพอตอนเช้าวันจันทร์ทีไร ประชุมกินข้าวเช้ากันทีไร เรื่องมันเยอะจริงๆ มีเยอะ แล้วผมก็จะมีทีเด็ดหลายๆ เรื่องที่เก็บเอาไว้ แล้วรอคอยชมกันต่อไป เราเจอกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น