xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : คณะโจรปล้นสมบัติเจ้า ภาค 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 23 ก.ย.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

-มรดกบาปทายาทขุนนิรันดรชัย โจรปล้นสมบัติเจ้า
-3ปี คดี Forex 3D มหากาพย์ที่ยังไม่จบง่ายๆ
-ชัยวุฒิ ส.บิทคับ ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ
-คดีก่อสร้างโรงพักทดแทนทำไม "สุเทพ" รอด?
-ถาม "สนธิ" กรณี "บุญทรง" ออกจากคุกำมาร่วมงานศพมารดา

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.156



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 156 [23 ก.ย. 65] : คณะโจรปล้นสมบัติเจ้า ภาค 2

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ท่านผู้ชมครับ อีกอาทิตย์เดียว อาทิตย์หน้า วันศุกร์ ก็จะเป็นรายการที่ครบรอบสามปีที่ออกรายการนี้มาโดยที่ไม่มีการขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่อาทิตย์เดียว

ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะเข้ารายการเรามาคุยกันเรื่องเหรียญที่ระลึก "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" หน่อยแล้วกัน หลังจากที่เราทำพิธีพลีมวลสาร เราบดมวลสารที่สำคัญๆ แล้วก็แปะติดเนื้อโลหะด้านล่าง ซึ่งการแปะติดเนื้อโลหะด้านล่างนั้น ก็เป็นมวลสารที่เราติดด้วยอีพอกซี ไม่หลุดครับ โลหะด้านล่างนี้แปะเอาไว้ ตอนนี้มีเหรียญนำฤกษ์ออกมาแล้ว ผมนำมาให้ดู มวลสารไม่มีทางหลุด จะหลุดได้ต่อเมื่อเอาไปเผา


ท่านผู้ชมอาจจะสงสัยว่ามวลสารมีอะไรบ้าง ก็มี สมเด็จเนื้อผงของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา เกจิอาจารย์ชื่อดังทางภาคกลาง เบญจภาคี 5 ชุด ของผมเอง ผมเอามา 5 ชุด เพื่อบด เพื่อทำเป็นมวลสารให้กับท่านผู้ชม มีพระผงสุพรรณ ของผมเช่นกัน สมเด็จบางขุนพรหม ก็ของผม สมเด็จก้านมะลิ ของผม แล้วก็มีเมล็ดพระพุทธเจ้า 5 องค์ หลวงปู่ทวด พระรอดกรุมหาวัน อันนี้ของผมเช่นกัน และมวลสารสำคัญอื่นๆ ที่ได้มาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายที่นิมนต์ท่านมาเพื่อให้ท่านลงแผ่นจาร ท่านก็ถือโอกาสมอบมาให้


มีคนจองเข้ามาไม่น้อยเลย เยอะมาก ท่านต้องการร่วมทำบุญหรือจองเหรียญ ให้รีบเข้าไปจองได้ในไลน์ (LINE) แล้วเพิ่มเพื่อนคำว่า @tambun แล้วโอนเงินไปที่มูลนธิ ไชย้ง ลิ้่มทองกุล ธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี 008-2-78777-1 แนบสลิปโอนเงินพร้อมพิมพ์ชื่อ-สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ สำหรับจัดส่ง ซึ่งจัดส่งให้ฟรี


ท่านผู้ชมครับ กำหนดการของการไปทำบุญครั้งนี้ออกมาแล้ว เราจะกำหนดการทอดกฐิน โดยใช้เงินต่างๆ ที่ได้มาจากการจองเหรียญนี้ อาทิตย์ที่ 25 กันยายน สิบโมงครึ่ง ผมจะเททองหล่อพระทองคำที่สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 ร่วมกับพระอาจารย์นพดล และประธานฝ่ายสงฆ์ก็คือ พระอาจารย์สุธรรม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ส่วนประธานฝ่ายฆราวาสคือผม

ต่อมา หลังออกพรรษาแล้ว วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม เราจะไปทอดกฐินที่วัดป่าภูแปกฯ จังหวัดเลย อาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม วันเดียวกัน ที่วัดป่าวังศิลา จังหวัดเชียงราย ซึ่งผมมอบให้บุตรชายผมไปเป็นตัวแทนผมไปที่วัดป่าวังศิลา จังหวัดเชียงราย อาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม เราไปทอดกฐินที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ของหลวงพ่อชิน ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านเฟื่อง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็คือสายพระป่า หลวงปู่มั่น นั่นเอง

23 ตุลาคม วันอาทิตย์ เราไปทอดกฐินที่วัดบึง จังหวัดอยุธยา หลวงพ่อเพย 29 ตุลาคม เราไปสกลนคร วัดป่าพุทธนิมิตรสถิตสีมาราม ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จญาณสังวรฯ ได้ทรงอุปถัมภ์เอาไว้ เพื่อบูรณะโบสถ์ดินและเจดีย์ อาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน เราไปที่วัดป่าดอยลับงา จังหวัดกำแพงเพชร แล้วเราก็จะเอารายได้ที่เราได้จากการให้เช่าเหรียญนี้ ทำบุญซ่อมแซมอุโบสถที่ถูกไฟไหม้ ที่วัดชัยชนะสงคราม วัดที่ขรัวพ่อฉิม เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเล่าให้ท่านผู้ชมฟังว่าวันนี้เรามีเรื่องราวอะไรบ้าง ขอเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมที่เป็น fc ผม คงรู้จักและจำ "ฮานะ" ได้นะครับ "ฮานะ" เป็นสุนัขญี่ปุ่นพันธุ์อะกิตะ อยู่กับผมมาประมาณสิบปี ฮานะ เสียชีวิตไปแล้วเพราะเป็นมะเร็ง เดิมทีเป็นมะเร็งที่กระดูกที่ขา ตัดขาไปแล้วข้างหนึ่ง ก็เป็นหมาสามขา หลังจากนั้นมะเร็งก็ได้ลามเข้าไปข้างในจนทั่วตัว ซึ่งทางสัตวแพทย์ดูแล้วอย่างละเอียด ผมเอาไปให้สัตวแพทย์ที่มีชื่อ คือที่โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรฯ ก็บอกว่าอยู่ได้ไม่นาน


ฮานะ เป็นหมาที่รักผมมาก แล้วผมก็รักเขามาก ท่านผู้ชมเชื่อไหม ผมหายไป 2 ปี 11 เดือน กับ 27 วัน เพื่อไปติดคุกอยู่ที่เรือนจำคลองเปรม ไม่ได้เจอฮานะเลยเป็นเวลา 2 ปี 11 เดือน 27 วัน วันที่ผมถูกปล่อยตัวออกมา ผมเดินทางกลับไปที่บ้าน ท่านผู้ชมเชื่อไหม ผมลงจากรถปั๊บ ฮานะเขายืนสักพักหนึ่ง มองหน้าผม เขาได้กลิ่นผม เขาวิ่งกระโดดใส่ตัวผมประเภทที่เรียกว่าทุ่มสุดตัวเลย แล้วก็ร้องครวญครางด้วยความคิดถึง เลียหน้าเลียตาผม ไม่ยอมห่างตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว ก็เหมือนลูกคนหนึ่ง ฮานะเป็นเพศเมีย แล้วฮานะตัวใหญ่ เป็นหมาป่าพันธุ์อะกิตะ ก็เลี้ยงดูมาตลอด บางทีพอกลับมาที่บ้านก็ต้องไปเล่นกับฮานะ เขาก็จะเข้ามา แล้วก็มาคลอเคลียอยู่ตลอดเวลา


ตอนฮานะเจ็บ ไม่สบายหนัก ปวดมาก ร้องครวญครางตลอดเวลา หมอบอกว่าให้ฉีดมอร์ฟีน ผมบอก ไม่เป็นไร ผมเอาน้ำมันกัญชาป้อนให้ฮานะทาน ปรากฏว่าเรื่องก็สงบ ฮานะก็สงบมาก ท่านผู้ชมคงไม่ทราบว่าผมเป็นคนสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิทุกวัน แล้วผมทำน้ำมนต์ของผมเอง ผมก็เอาน้ำมนต์ของผมที่ผมทำเอง ใส่ถ้วยให้ฮานะรับประทาน จากน้ำมันกัญชา และอาจจะเป็นเพราะน้ำมนต์ด้วย ฮานะสงบ ไม่ร้องอีกต่อไป เพียงแต่ว่าได้นอนรอแล้วก็ลืมตา พอผมเข้าไปที่กรง เขาก็จะผงกหัวขึ้นมา แล้วเขาก็เอาลิ้นเลียแผล่บๆ ที่มือผม แล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง สักสองอาทิตย์ ฮานะก็จากไปอย่างสงบ สงบมากครับ สงบจริงๆ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าผมรักหมาตัวนี้มาก แล้วผมก็เอาฮานะมาฝังที่ข้างๆ รั้วบ้านผม ผมปลูกต้นไม้ เอาดอกไม้วาง


แล้วทุกๆ วันในการสวดมนต์ภาวนาสมาธิ พอถึงช่วงแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล ผมก็อุทิศให้ทุกคนที่ผมระลึกถึง และผมอุทิศให้สัตว์เลี้ยงของผม 3 ตัว ตัวแรกคือแมว ที่ชื่อ "มะม่วง" ตัวที่สองคือ "ฮานะ" และตัวที่สาม คือ "ก๊วยเจ๋ง" ซึ่งเป็นสุนัขของลูกชายผม ตอนนี้ก็คิดถึงฮานะ ผมให้ช่างเขาปั้นรูปฮานะ ท่านผู้ชมดู เป็นหมาที่สง่ามาก ตัวใหญ่ Rest in Peace : RIP ฮานะ ท่านผู้ชมที่มีหมาก็คงจะรักหมาเหมือนกับผม ก็เล่าให้ฟังกัน แลกเปลี่ยนความเศร้าโศกกันไป

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้จะมีหลายเรื่อง เยอะมาก ผมจะพูดถึงคุณชัยวุฒิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ก็มาโวยวายใส่ ก.ล.ต. ว่าไม่ดูแลเรื่อง FOREX-3D ซึ่งผมคิดว่าคุณชัยวุฒิปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มเลย แล้วเรื่องราว เบื้องหน้าเบื้องหลังมีอะไร ผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องที่สอง คือเรื่อง 3 ปี คดี FOREX-3D มหากาพย์ ซึ่งยังไม่จบง่ายๆ

เรื่องที่สาม ผมเอาเรื่องราวที่ลึกซึ้งลงไปอีก คือคณะ 2475 ไม่ใช่คณะราษฎร "คณะโจรปล้นสมบัติเจ้า ภาค 2" เผอิญมีภาพของเจ้าพ่อบ่อนคริปโทฯ กับเศรษฐินีที่ดินพระคลังข้างที่ ระหว่าง คุณท๊อป จิรายุส กับ คุณเยาวณี นิรันดร ผมก็เลยได้แรงบันดาลใจต้องขุดคุ้ยกันต่อไป แล้วก็ขุดคุ้ยมาได้อย่างสุดๆ แล้ววันนี้ ท่านผู้ชม เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาว แต่ว่าเรื่องนี้จะเป็นคลิปประวัติศาสตร์ที่ท่านผู้ชมเก็บเอาไว้ดูได้เลย แล้วท่านผู้ชมจะรู้เลยว่าไฮโซบางคนอวดร่ำอวดรวย โดยที่ข้อเท็จจริงคือ ทรัพย์สมบัตินั้นส่วนใหญ่เอามาจากการปล้นที่ดินของเจ้า ซึ่งผมมีหลักฐานให้ดูทุกอย่าง

เรื่องที่สี่ คือเรื่องของศาลฎีกายกฟ้องคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คดีก่อสร้างโรงพักทดแทน ตั้งแต่ปี 2552

เรื่องสุดท้าย เผอิญมีคุณบุญทรง เตริยาภิรมย์ ซึ่งเป็นผู้ต้องขัง ได้รับอนุญาตจากกรมราชทัณฑ์ออกมางานศพของคุณแม่ตัวเองที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเดินทางไป และร่วมงานศพวันที่ 18-19 ก็มีหลายคนที่เห็นข่าวนี้แล้วเปรียบเทียบระหว่าง คุณบุญทรง กับ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งก็เคยออกมาอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อมางานเผาศพของบิดาตัวเอง และตัวผม ซึ่งภรรยาผมเสียชีวิตไป แต่ไม่ได้มีโอกาสได้สิทธิเหมือนกับสองคนนี้ แล้วก็มีเรื่องที่ผมคิดว่าจะต้องพูดต่อกันไป ก็คือว่า เรื่องนี้ความคิด ความรู้สึกผมเป็นอย่างไร ท่านผู้ชมและคนที่คอมเมนต์เข้ามาในเรื่องเหล่านี้ ผมขอบพระคุณมากครับที่เห็นอกเห็นใจผม แต่ฟังความคิดของผมก็แล้วกันว่าผมรู้สึกอย่างไรกับการที่สองคนได้ออกไป แต่ผมไม่ได้ออกไป


ก่อนที่ผมจะพูดถึงเรื่องคุณชัยวุฒิ ผมขอฝากข้อความไปถึงคุณทอม เครือโสภณ หรือ คุณจุลภาส เครือโสภณ ซึ่งคุณทอม กับ ผม มีคดีความกัน ตุลาคมนี้ ผมจะต้องไปขึ้นศาล เพราะผมฟ้องคุณทอมข้อหาหมิ่นประมาท และศาลไต่สวนแล้วคดีมีมูล ตุลาคมนี้ เป็นการไต่สวนโจทก์ คือผม แต่ทำไมผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ? เพราะไม่รู้ว่าคุณทอมเขารับงานใครมาหรือเปล่า แต่เขามาออกคลิปของเขา ในคลิปของเขาพูดจา เขาไม่ได้เอ่ยชื่อผม แต่เขาบอกว่า มีสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่ง หรือค่ายหนึ่ง ออกมาโจมตีบิทคับ (bitkub) คุณท๊อป จิรายุส เพราะว่าความอิจฉาริษยาและจ้องทำลายธุรกิจของบิทคับ เพราะสื่อบางสำนักที่ออกมาโจมตี เรียกค่าคุ้มครองจากท๊อป บิทคับ สองร้อยล้านบาท พอไม่ได้ สื่อนั้นก็มาใส่สีตีไข่ใส่ร้ายท๊อปต่างๆ นานา


ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วคุณทอมไม่ได้เอ่ยชื่อสื่อหรอก แต่ว่าเผอิญรายการที่ผมโจมตีคุณท๊อป บิทคับ นั้น เกิดขึ้นมาก่อนที่คุณทอมจะออกมาไลฟ์สดตัวนี้ แล้วก็มี IO ของบิทคับ ซึ่งเจ้าของ IO นี้เป็นทหารเก่าคนหนึ่ง ชื่อ เสธ.อ. กว้างขวางในวงการสื่อ วงการนักการเมือง วงการธุรกิจ เผอิญว่าลูกชายของ เสธ.อ. ทำงานอยู่กับคุณท๊อป จิรายุส ก็เลยมีการปล่อยข่าว พยายามกู้ภาพลักษณ์อันเหลวแหลกของบิทคับ แล้วทัพ IO ของ เสธ.อ. ก็เอาคลิปที่คุณทอมพูดนี้ ก๊อปปี้ไปแปะตามโซเชียลต่างๆ ที่ลงข่าวบิทคับในทางลบ แม้กระทั่งข่าวที่ ก.ล.ต. ลงโทษผู้บริหารบิทคับ

ท่านผู้ชมครับ คุณทอมคงคิดว่าคุณทอมไม่ได้เอ่ยชื่อใคร คงไม่มีใครเล่นงานคุณทอมได้ แต่คุณทอมลืมนึกไปอย่างหนึ่ง ในคดีหมิ่นประมาท ถึงคุณไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่ถ้าผมนำสืบได้ว่าในบรรดาสื่อทั้งหมดในประเทศไทย มีใครบ้างที่พูดวิพากษ์วิจารณ์บิทคับ ไม่มีครับ มีผมเจ้าเดียว เมื่อมีผมเจ้าเดียว มันก็โยงไปได้ทันทีว่าสิ่งที่คุณทอมพูดนั้นคือผม ผมก็เลยพยายามหาคลิปคุณทอม ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? คุณจุลภาส เครือโสภณ ลบคลิปนั้นไปแล้ว อ้าว ตายล่ะ! ทำไมถึงขี้ขลาดตาขาวอย่างนี้ล่ะ เวลาผมพูดอะไร ผมไม่เคยลบเรื่องของผม ผมคาเอาไว้ เพราะว่าผมพูดความจริง ผมอยากดูคลิปนั้น ทนายความผมก็ตั้งทีมเตรียมดูคลิปนั้นเหมือนกัน เพราะว่าสำนักผม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" แล้วก็หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นสำนักเดียวที่กัดไม่ปล่อยเรื่องบิทคับมาตลอด

คุณทอมครับ คุณลบคลิปทำไม ช่วยผมหน่อยน่ะ ไหนๆ คุณก็พูดไปแล้ว เอาคลิปส่งมาให้ผมหน่อย อย่าลบสิ อย่าทำตัวปากกล้าขาสั่น คุณทอมครับ คุณอย่าอายตัวคุณเอง เมื่อคุณกล้าแล้วคุณต้องเดินหน้า ถ้าคุณแน่จริง คุณเอาคลิปนี้ออกมาอีกที ผมพนันกับคุณได้เลย กับท่านผู้ชมทั้งหลาย ว่าคุณไม่กล้าเอาออกมาหรอก เพราะคุณก็คือ ทอม เครือโสภณ ที่คนเขารู้จักกันดี


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ท่านรัฐมนตรีฯ ดีอี ได้กล่าวถึงเรื่อง FOREX-3D คือพูดง่ายๆ ว่า คุณชัยวุฒิ ในฐานะเจ้ากระทรวงดีอี เป็นห่วงเป็นใยมาก คือบอกว่า FOREX-3D นั้นลงทุนทางช่องทางโซเชียลมีเดีย ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ช่องทางเฟซบุ๊ก ช่องทางระบบคอมพิวเตอร์ แต่คุณชัยวุฒิมาบอกว่า โดยอำนาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลฯ ไม่สามารถไปปิดเว็บไซต์ หรือปิดโซเชียลมีเดียในช่องทางนั้นได้ ต้องรอให้มีการดำเนินการความผิดทางกฎหมาย จึงส่งเรื่องมายังกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อปิดเว็บไซต์นั้น

คุณชัยวุฒิก็ดีนะครับ แต่ท่านพลาดไปนิด อาจจะเป็นเพราะว่าท่านหิวแสงมาก หรือท่านต้องการกลบข่าวว่าท่านเป็นค่ายของบิทคับ ตอนนี้ท่านมีฉายาว่า "ชัยวุฒิ ส. บิทคับ" ท่านมาเล่นงาน ก.ล.ต. ไม่ทำหน้าที่ ปล่อยปละละเลยให้มีการจัดตั้งบริษัทมาลงทุน ทำให้ประชาชนเสียหายนับหมื่นล้าน ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน และนี่คือคำพูดประโยคสุดท้าย ท่านผู้ชมตั้งใจฟังนะครับ คุณชัยวุฒิ บอกว่า "แต่ ก.ล.ต. กลับไปจับผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใส่ใจเรื่องใหญ่" คุณชัยวุฒิ คุณหมายถึงบิทคับ ของคุณท๊อป จิรายุส ซึ่งคุณอยู่เบื้องหลัง ใช่ไหม เรื่องเล็กๆ อย่างนี้ คุณชัยวุฒิครับ เรื่องบิทคับของนายท๊อป ไม่ใช่เรื่องเล็กนะครับ เป็นเรื่องใหญ่ คนที่ชักชวนเด็กมาเล่นบิทคับด้วยเงินสิบบาทก็เล่นได้ คุณว่าคนๆ นี้ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมหรืออย่างไร

นอกจากคุณไม่คิดอย่างนั้นแล้ว คุณยังไปยืนแบ็ก ผมจะเอารูปให้ดู ที่คุณชัยวุฒิยืนทำมือเป็นตราของบิทคับ


และคุณยังทำตัวเป็นประชาสัมพันธ์ให้บิทคับตลอดเวลา เรื่องนี้ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงคุณชัยวุฒิ เดี๋ยวจะหาว่าผมตามจิกตามกัดท่าน แต่เรื่องนี้อดไม่ได้จริงๆ ต้องเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดสั่งสอนกันเสียหน่อย เพราะพอได้ฟังแล้วมันน่าตลกขบขัน เพราะผมไม่เชื่อว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีจะมีสติปัญญาเพียงแค่นี้ จู่ๆ คุณก็หิวแสง ออกมาพูดว่าคดีแชร์ลวงโลก FOREX-3D คุณพูดไปพูดมา เอาดีใส่ตัว โบ้ยไปให้สำนักงาน ก.ล.ต. คือพูดง่ายๆ คุณกำลังบอกว่าดีอีเอสทำดีที่สุดแล้ว แต่ที่ยังมีขบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ เป็นเพราะ ก.ล.ต.ล้วนๆ หวังว่าหลังจากที่คุณพูดไปแล้ว คงจะมีคนไปเตือนสติคุณหน่อยนะว่า ก.ล.ต. เกี่ยวข้องอะไร ประชาชนทั่วไปเขายังรู้เลยว่า ก.ล.ต. ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ FOREX ก.ล.ต. มีอำนาจส่งเสริม พัฒนา กำกับดูแลตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจของการซื้อขาย FOREX ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เพราะว่ามันไม่ใช่


คุณรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาฯ ก.ล.ต. พูดชัดเจนว่า กรณี FX หรือ Foreign Exchange ไม่ถือเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าสมมุติว่าจะทำ FOREX ต้องขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบ ดูใบอนุญาตทางเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นแล้ว แชร์ลูกโซ่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 2527

รื่นวดี สุวรรณมงคล
จริงๆ ถ้าคุณชัยวุฒิจะฟาดจริงๆ คุณชัยวุฒิต้องฟาดตำรวจ ต้องฟาดดีเอสไอ ที่ทำงานล่าช้า แต่ผมเดาว่าที่คุณฟาด ก.ล.ต. เพราะว่า ก.ล.ต. กำลังจะเล่นงานบิทคับ ซึ่งเป็นค่ายมวยที่คุณสังกัดอยู่ ใช่ไหม คุณถึงมีฉายาว่า "ชัยวุฒิ ณ ส. บิทคับ" ถ้าคุณลงมาฟาดตำรวจ ฟาดดีเอสไอ นี่คุณฟาดถูกตัวเลย และอีกประการหนึ่ง คดีความต่างๆ เว็บไซต์ ทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คุณทำไปถึงไหนแล้ว ผมยังจำได้ สมัยคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นรัฐมนตรีดีอี คุณพุทธิพงษ์ดูรายงานตลอดเวลาว่าทำเรื่องนี้ไปแล้ว ยื่นฟ้องศาลไปแล้ว แจ้งไปทางกูเกิล แจ้งไปทางเฟซบุ๊กแล้ว ให้จัดการ แต่ยุคคุณ คุณไม่ได้สนใจอะไรเลยกับเรื่องพวกนี้ คุณสนใจอยู่อย่างเดียวว่า ท๊อป จิรายุส และบิทคับ จะต้องไม่มีใครมาแตะต้อง ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง

สิ่งที่ ก.ล.ต. ชี้แจง ประชาชนเขารู้อยู่แล้ว ผมเอาคอมเมนต์ง่ายๆ แล้วกัน คุณโจ เขาคอมเมนต์มาว่า ก.ล.ต. เกี่ยวอะไรด้วย มันเงินๆ ทองๆ จริง แต่มันอยู่นอกระบบ แล้วก็มีผู้เสียหาย กระบวนการมันเป็นขั้นตอน ส่วนไหนคุณควรเข้าใจนะ มองมุมกลับ ทำไมกระทรวงดิจิทัลฯ มีพลังในการสืบค้น ไม่ทำเรื่องมาที่ ก.ล.ต. ล่ะ เขาจะได้ไปตรวจสอบให้ อย่าลืมว่าจะทำอะไรได้ มันต้องมีเหตุเกิดก่อน ถ้าไม่มี แล้วเข้าไปทื่อๆ นอกจากเขาจะด่าว่ายุ่ง เสือก เผลอๆ จะโดนโจมตีกลับด้วย คุณโจพูดเหมือนผมเลย "เรื่องพวกนี้ตำรวจเกี่ยวข้องโดยตรง และเป็นด่านแรกเลยนะ"

คุณสารพัน ออกความเห็นว่า ก.ล.ต. เขาไม่เกี่ยวอะไรอยู่แล้ว ตั้งแต่ยุคแรกของ FOREX จนถึงวันนี้ ที่ผมไม่เข้าไปเล่น เพราะ ก.ล.ต. เขาไม่รับรองไง

คุณอร ออกความเห็นว่า ก.ล.ต. รับผิดชอบเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนบริษัทเถื่อนที่เปิดไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. ไม่มีสิทธิหรืออำนาจไปจัดการ ก่อนโวยวายให้ประชาชนภายนอกเข้าใจผิด และหน่วยงานเสียหาย รบกวนดูอำนาจขอบเขตการสั่งการควบคุมของ ก.ล.ต. ด้วยนะคะ หรือแม้กระทั่งท่านเองก็ไม่รู้

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นคือ ไม่รู้ว่าคนระดับรัฐมนตรีไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ ที่แน่ๆ เขานินทาคุณชัยวุฒิเบื้องหลังนะ ว่า ที่คุณชัยวุฒิออกมา โหนแสง FOREX-3D เพราะกระทรวงดีอีเอสของคุณโดนด่าเยอะ ปล่อยปละละเลยเว็บ เพจเฟซบุ๊ก ไอจี ลวงประชาชนร่วมลงทุนเกลื่อนกลาด ไม่ทำอะไรเลย จึงถือโอกาสปัดสวะ หาแพะ โยนไปที่ ก.ล.ต. เขาก็ถามต่อว่า ทำไมคุณต้องฟาด ก.ล.ต. ใครติดตามข่าวเรื่องนี้ก็รู็ เพราะว่า ก.ล.ต. เอาจริงเอาจังกับงาน ตรวจสอบ ควบคุม จัดการ กล่าวโทษ จัดระเบียบศูนย์การซื้อขายคริปโทฯ


 โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิทคับ ของนายท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ที่คุณชัยวุฒิหนุนหลังด้วยการมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณกันบ่อยๆ แต่ก็เจอ ก.ล.ต. หวดบิทคับ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ชัยวุฒิด่า ก.ล.ต. ว่ามัวแต่ไปจับผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องใหญ่ๆ ไม่สนใจ มันก็เป็นอยู่ตรงนี้ล่ะ ท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ ที่ผ่านมา บิทคับมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สร้างดีมานด์เทียม หลอกลูกค้า อินไซเดอร์เทรดดิ้ง (Insider Trading) เหรียญคับ (KUB) ของตัวเอง และ ก.ล.ต. ก็กล่าวโทษไปแล้ว สั่งปรับไปแล้ว คนของบิทคับเอง ทำไมคุณชัยวุฒิไม่พูดเรื่องนี้บ้างล่ะ ก.ล.ต. เขาติดตามตรวจสอบ กล่าวโทษ เพราะปกป้องนักลงทุน คุณชัยวุฒิพูดได้อย่างไรว่าเป็นเรื่่องเล็กๆ น้อยๆ คนเขาเลยสงสัยว่าคุณชัยวุฒิรายการนี้เป็นการเอาคืนแบบยืมแสงของคดี FOREX-3D ที่กระแสสังคมติดตามสนใจ คุณชัยวุฒิร้อนรน คิดจะสางแค้นแทนท๊อป จิรายุส หรือเปล่า หรือคุณสวมวิญญาณของ "ชัยวุฒิ ส. บิทคับ" เป็นนักมวยบู๊ ออกตัวแรง กะจะสอนมวย ก.ล.ต. ให้ทำหน้าที่โดยกะน็อกเขา แต่คุณสะดุดเท้าตัวเองแล้วหัวคะมำ หัวฟาดพื้น หัวแตก หมอไม่รับเย็บ

เอาล่ะ เรากลับมาถึงความคืบหน้าของ FOREX-3D ที่สร้างความเสียหายให้กับผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก มูลค่าน่าจะประมาณหมื่นล้านบาท โยงใยไปถึงดาราหลายคนที่ต้องสืบสวนต่อไป แค่เหยื่อที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือผู้ร่วมขบวนการหลอกลวงประชาชน


สัปดาห์ที่แล้วมีกรณีของดาราระดับพระเอกของช่อง 3 "กระทิง-ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์" และ "บอล-กัมมัญญ์ กลมแก้ว" ออกมาเปิดใจผ่านรายการ "โหนกระแส" ของคุณหนุ่ม กรรชัย คุณกระทิงยอมรับว่าลูกข่าย หรือที่เขาเรียกว่า "ดาวน์ไลน์" ของตัวเอง นอกจากบอล กัมมัญญ์ แล้ว ยังมีดาราคนอื่นๆ กระปุก โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ชักชวนให้มาลงทุน แค่แนะนำ เป็นเพียงพอมีใครมาถามว่ากำลังเล่นอะไรอยู่ ที่ทำให้มีเงิน ก็ตอบไปตามความเป็นจริง ทั้งคู่ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย ตกเป็นเหยื่อ FOREX-3D มาประมาณสามปี สาเหตุที่ไม่แจ้งความ เพราะช่วงแรกได้เงินปันผลจริง และไม่รู้เรื่องกฎหมาย เลยถือว่าฟาดเคราะห์ไป ถ้าวันไหนดาวน์ไลน์มาแจ้งความ ก็จะยอมรับสภาพ ผิดก็ว่าไปตามผิด พร้อมจะลาออกจากวงการบันเทิง

ท่านผู้ชมครับ งานนี้ต้องโยงกลับไปที่ดีเอสไอ ผมนี่ผิดหวังกับดีเอสไอมาก หลายๆ เรื่อง ข้อกังขาที่ประชาชนมีต่อดีเอสไอในเรื่อง FOREX-3D เดินช้าเป็นเต่าคลาน คดียังไม่ถึงศาล ท่านผู้ชมครับ ก่อนหน้านี้ดีเอสไอเคยสร้างความกังขาให้ประชาชนมาแล้ว กับการที่ดีเอสไอเพิ่งออกหมายเรียกผู้ต้องหากลุ่มที่สาม หรือกลุ่มที่มี ดีเจแมน พัฒนพล มินทะขิน และ ใบเตย สุธีวัน ร่วมกับแม่ทีมอีก 2 คน รวม 4 คน รับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 15 กันยายน


หลังจากที่คดีนี้เดินหน้ามาสามปีแล้ว ทำงานช้าฉิบหายเลย ถ้าท่านผู้ชมจำได้ 19 สิงหาคม 2565 อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เคยมีคำสั่งให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีผู้ต้องหาเพิ่มเติม อัยการให้ดีเอสไอดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่จะเป็นผู้ร่วมกระทำผิด และอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหาอีก 16 คน รวมทั้ง ดีเจแมน และ ใบเตย ด้วย

ท่านผู้ชมครับ การที่อัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติม แปลว่าต้องมีข้อมูลอะไรบางอย่าง แสดงว่าดีเอสไอไม่ละเอียด ทำงานไม่ถี่ถ้วน หรือปกปิดอะไรไว้หรือเปล่า แถมหลังจากนี้ยังต้องสอบเพิ่มเติมอีก ในวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้ ท่านผู้ชมครับ ความไม่ชอบมาพากลหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ประชาชน หรือผม ต้องนำเรื่องราวไปเชื่อมโยงกับข่าวที่มีคนปล่อยว่า ที่ทำงานล่าช้าเพราะมีคนทำเงินตกห้าสิบล้านบาท ที่ดีเอสไอ ใช่หรือเปล่า ผมไม่รู้ ดีเอสไอก็คงจะออกมาแถลงการณ์ว่าไม่จริงๆๆ แต่พฤติกรรมของดีเอสไอในการทำงานมันพิสูจน์ได้ชัดว่าสร้างข้อกังขาให้กับประชาชนที่ติดตามเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้

นอกจากนั้นแล้ว นายอภิรักษ์ยังเคยปล่อยข่าวออกมาว่า สาเหตุที่โดนจับ เพราะมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปไถเงินนายอภิรักษ์ ที่คอนโดฯ ทุกวัน ไม่ซ้ำหน้า ตามข่าวคือ พอมีเรื่องปั๊บ จะมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอออกไปรีดไถเงินนายอภิรักษ์ เฮ้ย ขอห้าล้าน ขอสิบล้าน แหล่งข่าวใกล้ชิดนายอภิรักษ์ ยืนยันว่า ต้องเตรียมกระเป๋าใบใหญ่ใส่เงินเอาไว้ตลอด จนกระทั่งนายอภิรักษ์ โกฎธิ ทนไม่ไหว ต้องหนีออกไปนอกประเทศ แต่ที่กลับมาเพราะอะไร ? เพราะมีผู้ใหญ่บางคนในดีเอสไอบอกว่าจะเคลียร์คดีให้ ผู้ใหญ่เรียกสองร้อยล้านบาท อภิรักษ์ไม่ยอมจ่าย ก็เลยโดนรวบในที่สุด


นี่ผมไม่รู้นะว่าจริงหรือเท็จ ผมโยนเผือกร้อนให้ท่านอธิบดีดีเอสไอก็แล้วกัน ตลอดจนถึงคุณธนกฤตด้วย ในฐานะที่เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ข่าวเรื่องดีเอสไอรับเงินรับทอง รีดไถเงินนายอภิรักษ์นั้น มันมากเหลือเกินครับ คุณธนกฤต ท่านอธิบดี ท่านอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่ลูกน้องท่าน ผมเชื่อว่าข่าวน่าจะมีมูลพอสมควรนะครับ

ยิ่งเวลาทอดออกไปเรื่อยๆ กระบวนการฟอกเงิน ถ่ายโอนทรัพย์สิน แปลงรูปเปลี่ยนร่าง ยิ่งซับซ้อน ทรัพย์สินที่เสื่อมสภาพได้ก็ยิ่งด้อยค่าลง อย่างเช่น รถยนต์ ก็เลยจะทำให้ประชาชนที่สูญเสียไป โอกาสจะได้เงินคืนมากหน่อย ก็จะลดน้อยลง

ท่านผู้ชมครับ มหากาพย์ FOREX-3D สัปดาห์นี้มีตัวละครระดับนักแสดงอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวละครสำคัญเกิดขึ้น ผมเคยเกริ่นไปแล้วว่า นายอภิรักษ์ มีอดีตภรรยาชื่อ จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์ สีลุน หรือ ภคมน สีลุน ซึ่งติดคุกอยู่ตอนนี้ เป็นจำเลยที่สิบหก ฝ่ายหญิงไปคบกับนักแสดงคนหนึ่ง ชื่อ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง


ผมเคยถามว่า จิ๊กกี๋เข้าคุกไปแล้ว เงินส่วนแบ่ง ทรัพย์สินที่ได้มา ไปตกอยู่ที่ไหน ก็ปรากฏว่ามีคนสงสัย ไม่ได้มีแค่ผม ตอนนี้ก็ปรากฏว่าคุณปราปต์ ปราปต์ปฎล ซึ่งมีภรรยาและลูกอยู่แล้ว แต่ก็คบหากับอดีตภรรยาของอภิรักษ์ มีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับขบวนการ FOREX-3D ผมไม่ทราบว่าได้มีการซุกเงินซุกทองเอาไว้ที่นี่หรือเปล่า ผมไม่รู้ ผมไม่ได้กล่าวหาคุณปราปต์นะครับ รวยแบบเงียบๆ มีการเอาเงินไปซื้อซูเปอร์คาร์ แอสตัน มาร์ติน ราคาเกือบสามสิบล้านบาท


มีรถสปอร์ตหรูหลายคัน มีไว้ในครอบครอง ซึ่งครอบครองโดยคุณปราปต์ เพราะฉะนั้นแล้ว เป็นไปได้ไหม ว่า คุณปราปต์มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่คุณปราปต์ก็ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง ผมก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง แต่เขาไปยึดรถแอสตัน มาร์ติน ร่วมยี่สิบกว่าล้านบาท เขาไปยึดได้ที่บ้านคุณปราปต์ คำถามก็คือว่า ทรัพย์สินที่ซื้อรถ เป็นทรัพย์สินที่คดโกงประชาชนมา แล้วรถทะลึ่งไปอยู่ที่บ้านคุณปราปต์ คุณปราปต์จะว่าอย่างไร เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือล่าสุด เรื่องมหากาพย์ของ FOREX-3D ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินตกหล่นอยู่ที่ดีเอสไอ ทำให้ทำงานช้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายอภิรักษ์โดนจับ เพราะผู้ใหญ่ในดีเอสไอเรียกไปสองร้อยล้าน นายอภิรักษ์ไม่มีให้ ไม่ให้ มันก็ยอมถูกจับไปเลย

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ชื่อมันบอกแล้วว่า มหากาพย์ ยังไม่จบง่ายหรอกครับ แล้วผมจะพยายามขุดคุ้ยต่อเพื่อมาเรียนให้ท่านผู้ชมทราบ แต่ข้อหาเรื่องดีเอสไอรับเงินนั้น มันมาแรงมาก ท่านอธิบดีครับ มาแรงมาก คุณธนกฤตครับ มาแรงมาก ข่าววงในที่ผมรู้จัก ที่เป็นแหล่งข่าวของผม ยืนยันว่าได้มีการทำเงินตกหล่นจริงห้าสิบล้านบาท แต่ไม่รู้ว่าใครรับไป และมีการเรียกสองร้อยล้านจริงครับ


ผมเคยติดค้างท่านผู้ชมว่าจะพูดถึงเรื่องของผู้ที่ได้สมบัติของเจ้าไป แล้วลูกหลาน พวกผู้ยึดอำนาจเจ้าเมื่อปี 2475 มีใครบ้างที่ถือทรัพย์สินมา ผมตั้งใจจะพูดเรื่องนี้มาสองสัปดาห์แล้ว ที่ผมจะพูดเรื่องนี้เพราะเผอิญมันมีรูปๆ หนึ่งของคุณท๊อป จิรายุส ยืนเคียงข้างกับคุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร ผมก็เลยคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องอธิบายความจริงให้ท่านผู้ชมฟังสักนิดหนึ่ง

ความจริงแล้วทั้งคุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร กับ คุณท๊อป จิรายุส ต้องถือว่าเป็นมวยถูกคู่ คุณสมบัติทั้งคู่มีเหมือนกับเป๊ะเลย เดี๋ยวท่านผู้ชมฟังก็แล้วกัน

วันศุกร์นี้เป็นวันที่ฤกษ์ดีก่อนจะครบสามปี ศุกร์หน้าเป็นวาระครบสามปี ขึ้นปีที่สี่ของการดำเนินรายการ "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในวันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 รูปที่คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบิทคับ กับ คุณกิ๊ก คุณเยาวณี นิรันดร ได้ไปเปิดในนามของ 192 Art Museum ซึ่งร่วมกันจัดงานศิลปะชื่อ Profile Pick เพื่อนำเสนอผลงานศิลปะและประมูลงานศิลปะผ่านแพลตฟอร์ม NFT ของบิทคับ ที่ใช้ชื่อว่า Bitkub NFT ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ถึงต้นกันยายน 2565 ที่ผ่านไป


ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้หลายคนที่รู้จักคุณท๊อป จิรายุส และประวัติเป็นอย่างดีแล้วว่าเป็นใคร เคยทำอะไร กำลังทำอะไร และกำลังจะทำอะไร แต่ว่าประชาชนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก หรืออาจจะหลงลืมไปแล้วว่า คุณกิ๊ก หรือ คุณเยาวณี นิรันดร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้วเธอร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐินี อยู่ในแวดวงไฮโซของบ้านเรามาได้อย่างไร ผมจะขอย้อนแบ็กกราวนด์และประวัติของคุณเยาวณีให้ฟังคร่าวๆ สักนิดว่าเป็นใคร

คุณเยาวณี นิรันดร ชื่อเล่นชื่อ กิ๊ก เป็นบุตรสาวคนโตของคุณธรรมนูญ นิรันดร อดีตผู้บริหารธนาคารนครหลวงไทย ในปี พ.ศ. 2554 ตอนหลังธนาคารนครหลวงไทย ได้ควบรวมกับธนคารธนชาต ก่อนที่ในปี 2564 ธนาคารธนชาต จะควบรวมกับธนาคารทหารไทย กลายเป็น ธนาคารไทยธนชาต ในปัจจุบัน


คุณกิ๊ก เยาวณี เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงไฮโซ และเธอก็ไฮโซจริงๆ จนกระทั่งเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว คือในปี 2562 มีเครือญาติของตัวเองในตระกูลนิรันดร ออกมาเปิดเผยว่า ทรัพย์สินจำนวนมากที่คุณกิ๊ก เยาวณี ถือครองอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วเดิมทีไม่ใช่ของวงศ์ตระกูลนิรันดรหรอก แต่เป็นทรัพย์สินที่ "ขุนนิรันดรชัย" หรือ พันตรี เสวก นิรันดร ซึ่งเป็นปู่ของคุณกิ๊ก หนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร 2475 ซึ่งใกล้ชิด ท่านขุนนิรันดรชัย เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทรัพย์สินเหล่านี้ที่ขุนนิรันดรชัยได้มา เป็นการปล้นชิงมาจากราชวงศ์จักรี สถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 7 และ 8 มาอีกที แล้วก็ยักย้ายถ่ายโอนมาให้คนในคณะราษฎร ก่อนที่จะตกทอดมาสู่ลูกหลานอย่างคุณกิ๊ก เยาวณี ซึ่งถือว่าเป็นหลานปู่


เรื่องของขุนนิรันดรชัย ผมเคยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 61 หัวชื่อเรื่องคือ "ขบวนการปล้นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ออกอากาศไปเมื่อสองปีที่แล้ว วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563

ท่านผู้ชมครับ มันมีการแถลงข่าวของ พลโท สรภฎ นิรันดร อดีตรองเจ้ากรมยุทธการทหารบก และทายาทขุนนิรันดรชัย ในวันที่ 20 มีนาคม 2562 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เพื่อที่จะเล่าให้ฟังถึงเรื่องทรัพย์สินต่างๆ ที่พ่อของตัวเอง หรือปู่ของคุณกิ๊ก ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ขุนนิรันดรชัย หรือชื่อเดิม สเหวก นีสัญชัย (เสวก นิรันดร) ยุคสมัยที่ปฏิวัติ 2475 มียศเพียงแค่ร้อยโท ร้อยเอก แต่ก่อนตายได้รับเลื่อนยศเป็น พันตรี เสวก นิรันดร มีที่ดินอยู่ในกรุงเทพมหานครถึง 90 แปลง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ว่ากันว่า ประเมินกันอย่างคร่าวๆ น่าจะราคาขั้นต่ำ 5-6 หมื่นล้านบาท ถ้าประเมินกันวันนี้ต้องมีหลักแสนล้านบาท


ส่วนคุณธรรมนูญ นิรันดร เป็นบุตรชายของท่านขุนนิรันดรชัย เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 ในวัย 88 ปี ตอนที่เสียชีวิตไปนั้น ท่านขุนนิรันดรชัย ซึ่งเป็นบิดาของคุณธรรมนูญ นิรันดร ก็เป็นคนที่ไม่สบาย นอนติดเตียง ทรมานสาหัสสากรรจ์มาเกือบสิบปี ถึงจะสิ้นลมหายใจไป หลายคนก็บอกว่านี่คือเวรกรรมที่ท่านขุนนิรันดรชัยได้ทำไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์

ผมตั้งคำถาม ท่านขุนนิรันดรชัย ยศแค่ร้อยโท หรือร้อยเอก ยศในคณะราษฎร 2475 แต่พอตายไปแล้วมีทรัพย์สินวันนี้ให้ลูกหลานประเมินได้ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท ตอนนี้เขาฟ้องร้องกันอยู่ มิหนำซ้ำยังก่อตั้งธนาคารนครหลวงไทยอีก คำถามคือ ท่านขุนนิรันดรชัยเอาเงินมาจากไหน ? ที่น่าสนใจคือ ทายาทบางคนที่กำลังมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ เคยออกมายอมรับ มีหลักฐานทั้งหมด โดยพูดอย่างนี้ครับ เป็นคำพูดของทายาทของท่านขุนนิรันดรชัย อาจจะเป็นเพราะบาปกรรม เพราะที่ดินพวกนี้คณะราษฎรยึดมาจากพระมหากษัตริย์ ทำให้ครอบครัวต้องโดนสาปแช่ง หลายคนเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ป่วยด้วยโรคต่างๆ นอกจากนั้นแล้ว ตระกูลนี้ก็มีลูกหลานสืบสกุลน้อยมาก แถมยังทะเลาะเบาะแว้งกันอีก

ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ เพราะฉะนั้น ถ้าดูกันจริงๆ แบบจะๆ แล้ว นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่มีการเอาทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มาขายให้กับพวกของตัวเองทั้งหมด

เยาวณี นิรันดร
หลังจากออกรายการไปแล้ว คุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร เป็นที่รู้จักกันดีในวงการไฮโซ สังคมชั้นสูง ได้ออกงานสังคมเป็นประจำ มิหนำซ้ำยังมีความสนิทสนมแนบแน่นอย่างเป็นพิเศษกับ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เลยหายหน้าหายตาไปจากสื่อมวลชน ไม่ปรากฏตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ทราบว่าเพราะอะไร มีคนตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะอับอายเพราะถูกเปิดโปงว่าทรัพย์สินที่ตัวเองและครอบครัวมีนั้น ไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงหรือการทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาของตัวเอง อย่างเช่นตระกูลภิรมย์ภักดี ซึ่งต้นตระกูลนั้นสร้างโรงเบียร์ขึ้นมา แล้วก็ร่ำรวยต่อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แต่ที่จริงแล้วการร่ำรวยขึ้นมาของตระกูลนิรันดร คือการคดโกงสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณกิ๊กอาจจะเขินตรงนั้น ก็เลยไม่กล้าออกสังคมตั้งแต่นั้นมา

จนกระทั่งล่าสุด ผมได้เห็นคุณกิ๊ก เยาวณี ออกสื่อกับคุณท๊อป บิทคับ ผมก็คิดว่ามันเหมาะสมกันมาก เป็นมวยถูกคู่ คนหนึ่งคือนายท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เจ้าของตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในนามบิทคับ


ซึ่งผมเคยให้ฉายาว่าเป็นบ่อนการพนันดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากมีการดึงประชาชน เด็ก และเยาวชน เข้ามาซื้อขายในระบบอย่างโจ๋งครึ่ม ด้วยการโฆษณาว่ามีสิบบาทก็ลงทุนได้ พอตลาดคริปโทฯ ทั่วโลกเจ๊ง ฟองสบู่เจ๊ง จากกรณีเหรียญลูน่า (LUNA) ซิปเม็กซ์ (Zipmex) และเหรียญอื่นๆ ประชาชนกับเยาวไทยที่หวังรวยเร็วก็เจ๊งกันหมด มีแต่คุณท๊อป ที่รวยจากค่าต๋งกับการปั่นเหรียญ ผมเอาโปสเตอร์ให้ดูนะครับ "เริ่มต้นลงทุน Bitcoin ง่ายๆ แค่ 10 บาท สมัครเลย" มีรูปผู้หญิงเป็นนางแบบ


นอกจากนั้นแล้ว คุณท๊อปยังออกเหรียญดิจิทัลเอง ที่เรียกว่า คับคอยน์ (KUB Coin) โดยเสกมาจากอากาศ อ้างว่ามีมูลค่าเริ่มต้นที่ 30 บาท แล้วก็มีการปั่นเหรียญกับบริษัทนู้นบริษัทนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือสถาบันการเงิน อย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ให้ข่าวว่าจะเข้าซื้อกิจการบิทคับในราคามหาศาล ถึง 17,850 ล้านบาท ทำให้ราคาเหรียญถูกปั่นขึ้นไป จาก 30 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ตั้งมาจากอากาศ สูงขึ้นไปจนถึง 580 บาท แต่ท้ายที่สุด ด้วยความไม่โปร่งใส ขาดธรรมาภิบาล และมีปัญหาในการดำเนินกิจการที่ผิดกฎระเบียบของสำนักงาน ก.ล.ต. หลายประการ ทำให้ดีลดังกล่าวถูกทางฝั่งธนาคารไทยพาณิชย์ยกเลิกไป ขณะที่เหรียญ KUB ที่เคยปั่นเอาไว้ถึง 580 บาท ทุกวันนี้เหลือไม่ถึง 50 บาทแล้ว


ส่วนอีกคนหนึ่ง คุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร เศรษฐินีที่ดิน อภิมหาเศรษฐินี ได้รับมรดกตกทอดมาจากรุ่นคุณปู่ เป็นหลานสาวของคุณปู่ ขุนนิรันดรชัย อดีตสมาชิกคณะราษฎร ผู้ใกล้ชิด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งในขณะที่มีอำนาจนั้น ขุนนิรันดรชัย ได้บังอาจเอาที่ดินพระคลังข้างที่ หรือที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาเป็นทรัพย์สินของตระกูลนิรันดรชัย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ปล้นพระมหากษัตริย์มา ในขณะที่ตัวเองร่วมคณะราษฎรปี 2475 เข้ามาหาทางที่จะโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์

อันที่จริงแล้ว เรื่องของขุนนิรันดรชัย ผมเคยนำเสนอมาแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตั้งแต่ปี 2563 ผมบอกว่า คณะราษฎร 2475 แท้ที่จริงคือ คณะโจร มหาโจร ที่อ้างการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่สุดท้ายกลับปล้นเอาที่ดินพระคลังข้างที่ ที่ให้ กลายเป็นทรัพย์สินของตัวเอง นักการเมือง และพวกพ้อง อย่างหน้าด้านๆ จนกระทั่งต้นปี 2564 ปีที่แล้ว อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้รวบรวมหลักฐานที่ผมได้พูดเอาไว้ในรายการส่วนหนึ่ง รวบรวมมาเป็นหลักฐานทั้งหมดบันทึกเอาไว้แล้วในหนังสือชื่อ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475 จากปล้นพระราชทรัพย์ ถึงคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8" หนังสือเล่มนี้พิมพ์มาแล้วสองครั้ง และขายหมดไปแล้ว ขายดีมาก หนังสือประเภทนี้ถึงพิมพ์จำนวนไม่มาก หลายพันเล่ม แต่ขายหมด และพิมพ์ถึงสองครั้ง แสดงว่าขายดีมาก


ความจริงเรื่องราวทั้งหมดก็ควรจะจบลงตั้งแต่ปีที่แล้ว ถ้าไม่มีรูปภาพนายท๊อป จิรายุส มาถ่ายกับคุณเยาวณี นิรันดร ให้ผมต้องกลับมาติดตามผลงานของเรื่องนี้อีก ทำให้ผมต้องระลึกถึงเหตุการณ์ต้นปี 2564 ที่บุตรชายของขุนนิรันดรชัย คือ ท่านพลโท สรภฎ นิรันดร ได้ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ สำนึกผิด ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของขุนนิรันดรชัย ที่ได้ฝากไว้ก่อนเสียชีวิต ต่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ 8 และ ที่ 9


โดยแถลงว่าต้องการนำที่ดินที่ได้ยักยอกเอามาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ถวายคืนให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามความประสงค์ของคุณพ่อ ขุนนิรันดรชัย ซึ่งนอนติดเตียงมา เส้นโลหิตในสมองแตก ก่อนสิ้นชีวิตนึกถึงเวรกรรมที่ตัวเองได้ทำเอาไว้ ก็เลยบอกลูกชาย คือ พลโท สรภฎ ว่าให้เอาทรัพย์สินพวกนี้มาคืน

แต่จนป่านนี้ เวลาล่วงไป 2-3 ปีแล้ว นอกจาก พลโท สรภฎ นิรันดร ที่แสดงความสำนึกผิดของขุนนิรันดรชัย ยังไม่ปรากฏว่าคุณเยาวณี นิรันดร และทายาทคนอื่นๆ จะยอมถวายที่ดินคืนให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

และผมได้ข่าวมาว่า มีคนตระกูลนิรันดรคนหนึ่ง พูดออกมา เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวถามว่าจะคืนทรัพย์สินให้กับพระมหากษัตริย์หรือไม่ คนๆ นี้ อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกันว่าใคร พูดออกมาอย่างหน้าด้านๆ บอกว่า ถ้าเป็นรัชกาลที่ 9 จะคืนให้ ผมไม่พูดต่อนะครับ ท่านผู้ชมไปคิดเอาเองว่าคำต่อไปควรจะเป็นอะไร ผมอยากจะกราบเรียนท่านราชเลขาฯ พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ได้มาฟังรายการนี้นิดหนึ่ง ยืนยันได้ครับ มีการพูดจากคนตระกูลนิรันดรคนหนึ่ง บอกว่า ถ้าเป็นรัชกาลที่ 9 จะคืนให้ แต่คนอื่นไม่คืนให้


ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2565 พลโท สรภฎ นิรันดร ได้กลับมาให้ข้อมูลและบันทึกเทปเพิ่มเติมกับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่บ้านพระอาทิตย์ พลโท สรภฎ ได้นำเอาหลักฐานหลายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังโฉนดที่ดินแต่ละแปลง รวมถึงแผนการในการยึดที่ดินพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์มาเป็นของครอบครัวขุนนิรันดรชัย ท่านผู้ชมครับ ผมมีหลักฐานมาแสดงให้เห็นนะครับ นี่คือโฉนดดั้งเดิม


และนี่คือโฉนดที่ถูกปรับปรุงมาใหม่เพื่อซ่อนเร้นและกลบเกลื่อนโฉนดดั้งเดิม เผอิญมีโฉนดดั้งเดิมอยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว ใครก็ตามที่เอาปรับปรุงใหม่เพื่อซ่อนเร้น อย่าหวังเลย ของจริงอยู่ที่นี่ครับ ที่คุณปล้นไปจากเจ้า แล้วทำตัวเป็นตระกูลอภิมหาเศรษฐีกัน

ท่านผู้ชมครับ การที่ พลโท สรภฎ นิรันดร เป็นฝ่ายที่ต้องการมาให้อาจารย์ปานเทพสัมภาษณ์นั้น นอกจากมีความไว้วางใจในการบันทึกประวัติศาสตร์ของอาจารย์ปานเทพ และค่ายผู้จัดการ ว่าเราทำอย่างตรงไปตรงมา ถูกต้อง ข้อมูลบางอย่างยังไม่ได้เปิดเผยให้ใครได้รับทราบ ท่านก็เอาข้อมูลนี้มาให้ นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว 2564 พลโท สรภฎ นิรันดร ป่วยจนได้รับการผ่าตัดลำไส้ เกรงว่าอายุตอนนี้ 78 ปีแล้ว อาจจะเหลือเวลาน้อยลง พลโท สรภฎ ก็คิดว่าต้องรีบเปิดเผยความจริงที่เหลืออยู่ให้หมด ก่อนที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญจะหายไปกับตัว พลโท สรภฎ เอง

การเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เอามาออกเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สมเจตนารมณ์ของ พลโท สรภฎ ว่า มันจะไม่หายไปหรอกท่านผู้ชม มันจะปรากฏในเฟซบุ๊ก ในยูทูบ ปรากฏหมดทุกอย่าง ท่านผู้ชมสงสัยเมื่อไร เรียกมาดูได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นแล้ว อ้ายหรืออีคนไหนที่ปล้นทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์ไป ขอให้รู้ด้วยว่า ชีวิตคุณไม่มีความสุขหรอกจากนี้ไป


เรามาดูต้นกรรม ต้นตระกูลนิรันดรปล้นที่ดินพระคลังข้างที่ ผมเอารูปขุนนิรันดรชัย กับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 สายทหารบก นั่งแถวที่สองจากซ้าย ให้ดู ท่านผู้ชมครับ ผมขอทบทวนความทรงจำว่า ในช่วงสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ขุนนิรันดรชัย เป็นคณะราษฎรฝ่ายทหารบก เป็นคนสนิทของ พันเอกหลวงพิบูลสงคราม ต่อมา ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย จึงได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์

ท่านผู้ชมครับ ปรากฏว่ามีกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2480 ชื่อ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 มีมาตรา 7 ซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า การโอนย้ายและจำหน่ายทรัพย์สิน จะทำได้โดยพระบรมราชานุมัติ เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อันแปลออกมาได้ว่า มาตรา 7 นี้ก็คือ พวกคุณจะโอนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใครนั้น ทำไม่ได้ กฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2480 แต่กว่าจะประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ล่าช้ามาก คือลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2480 จากมีนาคม-กรกฎาคม สี่เดือนครึ่ง ที่กฎหมายประกาศล่าช้าเช่นนั้นเพราะว่านักการเมือง อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร และข้าราชการ มากถึง 36 คน ได้รุมซื้อที่ดินของพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นที่ดินของพระมหากษัตริย์ ให้กลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวในราคาถูกๆ

ผมขอย้ำนะครับท่านผู้ชม ว่าขุนนิรันดรชัย เวลานั้นทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พระราชอำนาจจึงตกแก่คณะผู้สำเร็จราชการที่นักการเมืองและอดีตผู้ก่อการคณะราษฎรเป็นผู้เลือกขึ้นมา

หลังจากนั้น มีการตั้งกระทู้ถามและอภิปรายอย่างหนักในสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีการปล้นที่ดินอย่างครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2480 และการถูกอภิปรายครั้งนี้ ทำให้ พันเอกพระยาพหลฯ อับอาย ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะว่าตอบคำถามไม่ได้ เพราะคณะผู้ก่อตั้งคณะราษฎรของท่านเองนั่้นล่ะ คือพวกมหาโจรทั้งหลาย ปล้นทรัพย์สินของเจ้ามา แต่สุดท้าย สภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าพระยาพหลฯ ไม่ได้เกี่ยวข้อง ก็เลยเลือกท่านกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

ขุนนิรันดรชัย
ท่านผู้ชมครับ หลายคนที่ถูกอภิปรายในเหตุการณ์ครั้งนั้นยอมคืนที่ดิน แต่ไม่มีใครทราบว่ามีการคืนจริงๆ กี่คน หรือว่าเล่นแร่แปรธาตุอย่างไร เพราะแม้กระทั่งขุนนิรันดรชัยก็ยังสามารถครองที่ดินพระคลังข้างที่ ที่ให้ตกมาเป็นทรัพย์สินของครอบครัวนิรันดรได้มาจนถึงทุกวันนี้ ที่แน่ๆ คือ ขุนนิรันดรชัย ไม่ว่าจะรวยเพียงใด ท่านผู้ชมเชื่อผม หนีกฎแห่งกรรมไม่ได้ ป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ไปหาหมอที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่หาย

2495 ขุนนิรันดรชัย ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ขนาดเดินทางไปอเมริกา ที่เมโยคลินิกที่มีชื่อมากในโลกนี้ ได้รับการผ่าตัด เพราะสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง ปรากฏว่าไม่ได้เป็นโรคนั้น ก็เลยถูกผ่าตัดฟรีไป ก็เลยต้องรักษาโรคด้วยยาต่อมา หลังจากนั้น ขุนนิรันดรชัยก็ไปรักษาตัวที่อังกฤษ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตรวจแล้วลงความเห็นว่า ให้กลับไปรักษาตัวที่ประเทศไทย เพราะร่างกายอ่อนแอมาก

2498 ขุนนิรันดรชัย เส้นโลหิตในสมองข้างขวาแตก ทำให้เป็นอัมพาต ทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น ความดันคงขึ้นแรง สูงมาก เพราะความกดดันในเรื่องของการไปปล้นทรัพย์สินของเจ้ามาเป็นของตัวเอง ทำให้ตัวเองคิดมาก ช่วงนั้น ท่านผู้ชมครับ ผมอยากให้พวกตระกูลนิรันดรได้ฟังข้อความตรงนี้บ้าง ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ตาม ถ้าท่านเป็นลูกหลานของขุนนิรันดรชัย ให้ท่านตั้งใจฟังให้ดีๆ ผมไม่แคร์ว่าท่านจะเป็นอภิมหาเศรษฐีในประเทศไทยแค่ไหน เพราะทรัพย์สินที่คุณร่ำรวยขึ้นมา เป็นทรัพย์สินที่ปล้นสะดมมาจากเจ้า

ขุนนิรันดรชัย - จมพล ป.พิบูลสงคราม
ขุนนิรันดรชัย กล่าวด้วยน้ำตากับ พลโท สรภฎ ซึ่งเวลานั้นอายุเพียง 14 ปี บอกว่า ที่ป่วยเช่นนี้เพราะผิดคำสาบานในการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา เบียดบังพระราชทรัพย์ เอาที่ดินพระคลังข้างที่มาเป็นของตัวเอง อยากขอพระราชทานอภัยโทษและถวายคืนพระราชทรัพย์สิน จนกระทั่งปี 2499 ขุนนิรันดรชัยได้ตายไป

ท่านผู้ชมครับ ท่านเชื่อเรื่องกรรมไหม กรรมตกทอดถึงลูกหลาน

ต่อมา พลโท สรภฎ นิรันดร ได้ประสานงานกับพี่ชายต่างมารดา คือ คุณธรรมนูญ นิรันดร ซึ่งเป็นบิดาของคุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร เป็นบุตรชายที่เป็นผู้จัดการมรดกของขุนนิรันดรชัยว่า ต้องการจะถวายคืนที่ดินพระคลังข้างที่ และทราบว่าคุณธรรมนูญก็ทราบเรื่องนี้ บอกว่าจะจัดการให้ แต่ในปี 2551 คุณธรรมนูญกลับไปให้สัมภาษณ์สื่อว่า ที่ดินฝั่งตรงกันข้ามกับสวนจิตรฯ นั้น เป็นที่ดินที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 8 พลโท สรภฎ เลยตั้งใจจะทวงสัญญาว่าเหตุใดจึงให้สัมภาษณ์แบบนั้น ปรากฏว่ายังไม่ทันได้คุยเรื่องนี้ 2552 อีกปีหนึ่ง คุณธรรมนูญ นิรันดร ได้ล้มป่วยอีก ด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก เหมือนขุนนิรันดรชัย ออกมาอยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลตลอด และเสียชีวิตลงไปในปี 2563 ท่านผู้ชมเชื่อหรือยังว่ากรรมตามทันหมด ตระกูลนิรันดรที่โกงทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มา

2564 พลโท สรภฎ อธิบายไว้ว่า ปัจจุบันบุตรของขุนนิรันดรชัย เหลือ 4 คน ท่านผู้ชมครับ สามคนที่เหลือต้องนั่งรถเข็น และพิการด้วยโรคเดียวกัน คือเส้นเลือดในสมองแตก พลโท สรภฎ ก็เลยต้องออกมาขอพระราชทานอภัยโทษ และประกาศว่าจะคืนที่ดินที่เบียดบังมาจากพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อประกาศไปแล้ว ลูกหลานคนอื่นก็ยังไม่ยอมถวายที่ดินคืน คนที่ไม่ยอมถวายที่ดินคืน คุณน่าไม่อายหรือเปล่า โคตรหน้าด้านเลย อย่าว่าแต่คุณปล้นมาจากเจ้าเลย แค่ปล้น ช่วงชิงมาจากประชาชนธรรมดานี่ก็ร้ายแรงพอแล้ว นี่ปู่ของคุณ ต้นตระกูลของคุณ ยอมรับว่าปล้นมาจากเจ้า แล้วขอให้คืนให้เจ้า บางคนในพวกคุณยังจะพูดอีกว่า ถ้ารัชกาลที่ 9 จะคืนให้ อ้าว! สมัยรัชกาลที่ 9 ยังอยู่ ทำไมพวกคุณถึงไม่คืนล่ะ ? พฤติกรรมคุณไม่ได้ต่างอะไรกับโจรเลยแม้แต่นิดเดียว

2564 ปีที่แล้ว พลโท สรภฎ ต้องผ่าตัดลำไส้ แต่ก็รอดชีวิตมาได้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า วันนี้ลูกหลานยังคงถกเถียง ทะเลาะ หรือฟ้องร้องเรื่องมรดก ฟ้องร้องเรื่องมรดกอะไร ที่คุณฟ้องร้องกันมันทรัพย์สินของเจ้า และไม่มีใครแสดงเจตนาที่จะถวายคืนที่ดิน ยกเว้น พลโท สรภฎ นิรันดร เพียงคนเดียว

แล้วระหว่างขุนนิรันดรชัย กับ จอมพล ป. เขาวางแผนอย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินพระคลังข้างที่ ? พลโท สรภฎ เล่าให้ฟังว่า ขุนนิรันดรชัย และเพื่อนนายทหารเรือคนหนึ่งที่เป็นที่โปรดปรานของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม มาก จอมพล ป. จึงสั่งให้ขุนนิรันดรชัยดำเนินการลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ 3 ประการ ข้อแรก ให้ยึดวังของพระบรมวงศานุวงศ์ให้หมดเลย ข้อที่สอง ทำการตัดเงินปีที่พระบรมวงศานุวงศ์จะได้ ข้อที่สาม พยายามข่มขู่ให้พวกเจ้าทั้งหลายยอมอยู่ภายใต้อำนาจ

วังบูรพา
ในส่วนของการยึดวังและทำลายวังนั้น ได้มอบให้ขุนนิรันดรชัยเป็นผู้รับผิดชอบในการขายวังบูรพา ขุนนิรันดรชัยก็ติดต่อพ่อค้า ที่ซื้อไปก็คือ คุณโอสถ โกศิน ส่วนเพื่อนของขุนนิรันดรชัยอีกคนหนึ่ง คือทหารเรือ ทำการขายวังวินด์เซอร์ วังวินด์เซอร์มีชื่อจริงภาษาไทย คือ วังปทุมวัน วังกลางทุ่ง หรือ วังใหม่ เพราะวังวินด์เซอร์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้เป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยามประเทศ)

วังวินด์เซอร์

เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมาร
ท่านผู้ชมครับ แต่ไม่มีพ่อค้าคนไหนกล้าซื้อ เพราะเกรงพระทัยพระมารดา คือ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งได้ทรงประทับอยู่วังสระปทุม ใกล้ๆ กัน เมื่อเป็นดังนั้น นายทหารเรือคนนั้นได้แนะนำว่าให้ทุบวังวินด์เซอร์ทิ้งไปเลย สร้างเป็นสนามกีฬาให้กับมหาชน และตั้งชื่อสนามกีฬานี้ว่า สนามศุภชลาศัย ซึ่งการทุบวังวินด์เซอร์นี้ ต้องการให้ได้ยินเสียงทุบวังของพระโอรส ให้ไปถึงวังใกล้ๆ ของพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คุณสรภฎ เสนอว่า จริงๆ แล้วสนามกีฬาแห่งนี้ควรจะมีชื่อเป็นชื่อของเจ้าของวัง คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มากกว่า

วังวินด์เซอร์ - สนามศุภชลาศัย
พลโท สรภฎ นิรันดร ได้นำหลักฐาน (นี่คือกระบวนการการยึดพระคลังข้างที่แล้วนะ) เพื่อแสดงว่าขุนนิรันดรชัยทำอย่างไรในการทำที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือที่ดินพระคลังข้างที่ มาครอบครองเป็นของครอบครัวนิรันดร

กรณีศึกษา แปลงที่หนึ่ง โฉนดที่ดินพระสนมเอกรัชกาลที่ 6 ขายคืนให้พระราชวัง ก่อนจะขายต่อให้ขุนนิรันดรชัย ภายในวันเดียวกัน พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) 13 พฤศจิกายน 2438 - 9 มีนาคม 2524 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2478 โฉนดที่ดินเลขที่ 2176 ที่ดินขนาด 1 ไร่


เจ้าของที่ดิน คือ พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) ซึ่งเป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาในเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) กับ ท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรมมนตรี และพระเชษฐภคินี พี่สาวของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา โดยในสารบัญจดทะเบียนโฉนดฉบับดังกล่าวระบุไว้ว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2478 พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) ได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับสำนักพระราชวัง สำนักพระคลังข้างที่ ท่านผู้ชมตั้งใจฟังดีๆ วันที่ 12 พฤศจิกายน ขายให้กับสำนักพระคลังข้างที่ วันเดียวกัน สำนักพระราชวัง โดยสำนักพระคลังข้างที่ กลับได้ขายที่ดินแปลงนี้ต่อให้ขุนนิรันดรชัย และนางนิรันดรชัย ชื่อ จรูญ นิรันดร ผมเอาหลังโฉนดให้ดูจะๆ กันเลยนะท่านผู้ชม


กรณีศึกษาที่ดินแปลงที่สอง โฉนดที่ดินแบ่งแยกจากสำนักพระราชวัง โอนให้ภรรยาของขุนนิรันดรชัย 7 มกราคม 2480 หรือเป็นปี 2479 ที่นับเมษายนเป็นปีใหม่ขณะนั้น โฉนดที่ดินเลขที่ 2177 บางส่วนขนาดพื้นที่ 3 งาน 91.5 ตารางวา หรือ 391.5 ตารางวา แบ่งแยกโฉนดเลขที่ 2306 จากผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิม คือสำนักพระราชวัง สำนักพระคลังข้างที่ โอนให้ภรรยาของขุนนิรันดรชัย ก็คือ นางจรูญ นิรันดร ผมเอาเอกสารให้ดูเลย เห็นกันจะๆ จะได้ไม่ต้องมาถกเถียงกัน


ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอาข้อมูลที่พิรุธถูกจับได้ โอนที่ดินคืนพระคลังอำพราง แล้วโอนกลับมาให้ครอบครัวนิรันดรใหม่ มีข้อน่าสังเกตว่า เวลาต่อมา คือวันที่ 25 มกราคม 2481 หรือปี 2480 ที่นับเมษายนเป็นปีใหม่ขณะนั้น ขุนนิรันดรชัย และนางนิรันดรชัย ได้โอนที่ดินเลขที่ 2176 ที่ดินขนาด 1 ไร่ ให้กระทรวงการคลัง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และในวันเดียวกัน โอนจากกระทรวงการคลัง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่งต่อให้ผู้ชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คือ เด็กชาย ธรรมนูญ นิรันดร ซึ่งเป็นพ่อของคุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร


ต่อมา เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2515 ลูกโตขึ้นมา เป็นนายธรรมนูญ นิรันดร ก็โอนกลับคืนให้กับแม่ของตัวเอง คือคุณหญิงจรูญ เช่นเดียวกับการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน โฉนดเลขที่ 2306 ขนาดพื้นที่ 391 ตารางวา ปรากฏว่า มกราคม 2481 นางจรูญ นิรันดร ได้โอนที่ดินแปลงนี้ให้กับกระทรวงการคลัง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เหมือนเดิม วันเดียวกัน กระทรวงการคลัง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โอนกลับมาให้นางนิรันดรชัย เหมือนเดิม


ผมตั้งข้อสังเกตอย่างนี้ เป็นไปได้ไหมว่า การที่ขุนนิรันดรชัย และนางนิรันดรชัย ส่งคืนที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ ในวันที่ 25 มกราคมนั้น มันเป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อสร้างภาพและหลักฐานเอกสารการส่งที่ดินคืนกลับให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อตอบสนองการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายไต๋ ปาณิกบุตร เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2480 เมื่อสร้างภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบดำเนินการซื้อที่ดินเหล่านั้นกลับคืนให้ครอบครัวนิรันดรอีกครั้งในวันเดียวกัน

ท่านผู้ชมครับ ผมจะขอเปิดหนังสืออ้างมติคณะผู้สำเร็จราชการ ให้พระสนมเอกในรัชกาลที่ 6 แบ่งแยกที่ดิน แบ่งให้ขุนนิรันดรชัย คือยกให้เฉยๆ นอกจากนี้แล้ว ยังมีหนังสือขอแบ่งแยกที่ดินจากพระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระเชษฐภคินีของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา มาเป็นของขุนนิรันดรชัย ตามปรากฏจากสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ เลขที่ 462/2479 ลงวันที่ 24 ธันวาคม มีความว่า

เรื่อง ขอแบ่งแยกที่ดินบนถนนราชวิถี ซึ่งได้รับจากราชเลขานุการในพระองค์ ถึงพระสุจริตสุดา ตามหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณา ลงวันที่ 24 เดือนนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตแบ่งแยกที่ดินตำบลถนนราชวิถี ซึ่งได้รับพระราช แก่ขุนนิรันดรชัย ประมาณ 72 ตารางวา ให้กับนางสาวสนาน เกตุทัต ประมาณ 150 ตารางวา ความทราบถึงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ลงมติอนุญาตแบ่งแยกตามที่ขอไปได้ ลงชื่อ ขุนนิรันดรชัย ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ ลงนามแทน


แล้วผมจะเปิดหนังสืออ้างมติคณะผู้สำเร็จราชการ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ขายที่ดินให้เมียขุนนิรันดรชัย

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2481 เมื่อขุนนิรันดรชัย จากผู้ช่วยราชเลขาฯ ในพระองค์ ขึ้นมาเป็นราชเลขานุการในพระองค์ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2481 ขุนนิรันดรชัยได้กลายเป็นกรรมการที่ปรึกษาจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แล้ว ก็ได้ทำหนังสือจากสำนักราชเลขานุการในพระองค์ เลขที่ 170/2484 ถึง ท้าวสมศักดิ์ หม่อมราชวงศ์ ปุย มาลากุล เพื่อขอให้ขายที่ดินซึ่งได้รับพระราชทาน กับนางจรูญ นิรันดร ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2484 มีความว่า

เรื่อง ขอพระบรมราชานุญาตขายที่ดินซึ่งได้รับจากการพระราชทาน จากราชเลขานุการในพระองค์ ถึง ท้าวสมศักดิ์ หนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณา ลงวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตขายที่ดินที่ได้รับพระราชทานโฉนดเลขที่ 1966 ตำบลวชิรสงคราม เนื้อที่ 110 ตารางวา ให้กับนางจรูญ นิรันดร นั้น ความทราบถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ลงมติอนุญาตให้ท่านขายที่ดินดังกล่าวแก่นางจรูญ นิรันดร ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ชงเอง อนุญาตเอง เซ็นเอง


ประเด็นที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า ขุนนิรันดรชัยเมื่อได้แบ็กจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ ซึ่งเป็นราชเลขานุการในพระองค์แล้ว ก็อ้างลักษณะหนังสือแบบนี้ต่อราชวงศ์ชั้นสูง และบุคคลชั้นสูง เพื่อให้ได้ซื้อที่ดินมาครอบครอง อันเป็นแผนบันได 3 ขั้น ขั้นตอนที่สาม ประการในการลิดรอนพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว เพราะขุนนิรันดรชัยได้ทำโดยพลการ ไม่ได้ขออนุญาตพระเจ้าอยู่หัว ทำด้วยตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ ผมจะเปิดหลักฐานที่ดินจำนองของพระวรชายาในรัชกาลที่ 6 ให้ธนาคารสยามกัมมาจล หรือธนาคารไทยพาณิชย์ยุคปัจจุบัน ให้กลายเป็นทรัพย์สินของขุนนิรันดรชัย นอกจากนี้ เมื่อขุนนิรันดรชัยมาเป็นกรรมการที่ปรึกษาจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แล้ว ก็ยังสามารถใช้อำนาจในฐานะที่เป็นกรรมการธนาคารสยามกัมมาจล ในการให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ดินมาครอบครองได้

ท่านผู้ชมครับ ผมมีข้อสังเกตอย่างนี้ ท่านผู้ชมมีข้อสังเกตเหมือนผมไหมว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน แบงก์สยามกัมมาจล หรือธนาคารไทยพาณิชย์ ในปัจจุบัน ต้องถูกพวกแอบอ้างสถาบันเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำทรัพย์สิน หรือกระทำอะไรที่แปลกๆ กับประเทศชาติอยู่ไม่ขาด เหมือนกรณี SCB ประกาศเข้าซื้อกิจการบิทคับ บ่อนการพนันดิจิทัล จนทำให้คนแห่ไปเล่นเงินดิจิทัล ก่อนที่จะโป๊ะแตก ราคาตกลงมา ทำให้คนขาดทุนกันฉิบหายวายป่วง

เอาล่ะท่านผู้ชม กลับมาเรื่องเก่า โดยขั้นแรก เมื่อมีการตัดเงินปีของพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่ให้มีรายรับ มีแต่รายจ่าย บุคคลชั้นสูงย่อมนำที่ดินเข้ามาจำนองไว้กับแบงก์สยามกัมมาจล เพื่อกู้เงิน ทีนี้อ้อยก็เข้าปากช้างแล้วสิ ขุนนิรันดรชัยก็ใช้วิธีขอไถ่ถอนที่ดินจากบุคคลชั้นสูงที่จำนองเอาไว้ โดยขายให้กับคุณพ่อ เพื่อเอาเงินเหล่านี้นำไปชำระหนี้กับทางธนาคารสยามกัมมาจล รูปแบบนี้เป็นตัวอย่าง รวมไปถึงที่ดินของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ไร่ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 555 ตั้งแต่ปี 2482 ด้วย


การโอนที่ดินเข้ามาครอบครองนั้น จะใช้วิธีโอนมาใส่ชื่อขุนนิรันดรชัยก่อน หลังจากนั้นขุนนิรันดรชัยก็รีบโอนให้กับบุตร คือ คุณธรรมนูญ นิรันดร ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือไม่ก็ให้กับคุณหญิงจรูญ นิรันดร ซึ่งเป็นภรรยาหลวง โดยมีข้อแม้ระบุในโฉนดว่า ถ้าเผื่อโอนให้ลูกเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว ต้องคืนที่ดินนี้ให้กับขุนนิรันดรชัย

กรณีการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ก่อนจะถึงจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของคนชื่อ นายวัน รุยาพร

ประเด็นสุดท้ายที่ พลโท สรภฎ นิรันดร อ้างอิงว่าเป็นคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีของเพื่อนขุนนิรันดรชัย ที่ถูกฟ้อง ชื่อ เรือเอกวัน รุยาพร อดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารเรือ ในปี 2475 ความจริงแล้ว เรือเอกวัน รุยาพร ไม่ได้มีรายชื่อในการบันทึกการตั้งกระทู้และอภิปรายเรื่องการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2480 แต่ว่าในหนังสือพระคลังข้างที่นี้ อาจารย์ปานเทพได้บันทึกเอาไว้ในหนังือ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475ฯ" ว่า มีการบันทึกรายชื่อ เรือเอก วัน รุยาพร เอาไว้ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ แต่วันนั้นยังไม่มีหลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องน่าสนใจที่อาจารย์ปานเทพตั้งข้อสังเกต คือเรื่องเงื่อนไขของเวลา


เงื่อนไขเวลาเป็นอย่างไร ? เรือเอก วัน รุยาพร เข้าไปดำรงตำแหน่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ในสำนักพระราชวัง ตั้งแต่ปี 2478 เป็นเลขานุการสำนักพระราชวัง ต่อมา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2479 ก็ไปดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักพระคลังข้างที่ และเริ่มไปเกี่ยวข้องกับการจัดสรรผลประโยชน์ที่ดินพระคลังข้างที่ ทั้งให้กับคณะราษฎร และให้กับตัวเอง จนกระทั่งมีการอภิปรายในสภาฯ เรื่องการปล้นที่ดินพระคลังข้างที่ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2480

ผลงานอัปยศดังกล่าว แทนที่ร้อยเอก วัน รุยาพร จะถูกลงโทษหรือถูกปลดออก กลับได้รับเลื่อนตำแหน่งจากผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักพระคลังข้างที่ มาเป็น ผู้อำนวยการสำนักพระคลังข้างที่ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2481

เรือเอก วัน รุยาพร เข้ามาเป็นผู้อำนวยการสำนักพระคลังข้างที่ นานเกือบหกปี จนถึงวันที่ 17 ตุลาคม ก็พ้นตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพระคลังข้างที่ มาเป็นรองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง พอวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2488 หนึ่งปีให้หลังหลังจากที่ได้มาเป็นรองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง ร้อยเอก วัน รุยาพร ก็ลาออกจากราชการไปประกอบการค้า ในปีเดียวกันนั้น 5 ธันวาคม 2488 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จนิวัติกรุงเทพฯ เพราะทรงบรรลุนิติภาวะตั้งแต่ 20 กันยายน 2488 แล้ว พอวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ครึ่งปีให้หลัง รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ส่วนนายวัน รุยาพร ก็ถูกฟ้องร้องหลังเปลี่ยนเป็นรัชกาลที่ 9

ต่อมาพอรัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ ปรากฏว่าสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ค้นพบความผิดปกติ โดยหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ฟ้องร้องคดีความแพ่งต่อ เรือเอก วัน รุยาพร อดีตข้าราชการระดับสูงในสำนักงานพระคลังข้างที่ และรองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง พลโท สรภฎ ได้มอบเอกสารซึ่งเป็นคำพิพากษาศาลฎีกา ในวันที่ 18 เมษายน 2516 คดีความแพ่งที่ 784/2516 ซึ่งคดีนี้ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ชนะคดี ชนะคดีแล้วระบุว่าอย่างไร ? ท่านผู้ชมตั้งใจฟังคำพิพากษาให้ดีๆ แล้วจะเห็นชัด


นี่คือคำพิพากษาส่วนหนึ่ง ในปี 2478 เรือเอก วัน รุยาพร ได้ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือขอพระราชทานพระมหากรุณาซื้อที่ดิน โฉนดที่ดิน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลประแจจีน (พญาไท) อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร เขตพระนคร ต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อปลูกบ้านที่อยู่อาศัย ต่อมา หลังจากนั้นแล้ว วันที่ 1 มกราคม 2479 เรือเอก วัน รุยาพร ขณะนั้นเป็นผู้มีตำแหน่งรักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพระคลังข้างที่ และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 2 คณะผู้สำเร็จราชการในพระองค์ ได้มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ขายที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวให้กับเรือเอก วัน ในราคา 4,400 บาท โดยต่อมา วันที่ 18 มกราคม 2479 ได้มีการโอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ใส่ชื่อ เรือเอก วัน รุยาพร


แต่ปรากฏว่าเรือเอก วัน รุยาพร ไม่ชำระเงิน แต่ดันทะลึ่งทำหนังสือรับสภาพหนี้ แล้วขอผ่อนส่งราคาที่ดินไว้กับสำนักงานพระคลังข้างที่ แต่ในที่สุดแล้ว เรือเอก วัน รุยาพร ก็ไม่ได้ชำระราคาที่ดินแปลงพิพาทให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แต่ประการใด

นอกจากนั้นแล้ว พระราชหัตถเลขาพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว ท่านผู้ชม น่าสนใจมาก ไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ พระราชหัตถเลขาแผ่นนั้นจึงเป็นโมฆะ เป็นให้เกิดการฟ้องร้องคดีแพ่งในเวลาต่อมา ในรัชกาลที่ 9 ศาลฎีกาพิพากษาความตอนหนึ่งไว้น่าสนใจหลายช่วง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว พิจารณาได้ความว่า จำเลยที่หนึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขานุการสำนักพระราชวัง และต่อมายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระคลังข้างที่ ปี 2482 ขณะที่ซื้อที่ดินพิพาท จำเลยที่หนึ่งยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 2 ด้วย ตามพฤติกรรมที่เป็นมา เชื่อว่าจำเลยที่หนึ่งย่อมรู้ดีว่าการตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ว่าเป็นไปโดยไม่สุจริต เมื่อปี 2480 จนรัฐบาลสมัยนั้นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาสอบสวน และเรียกที่ดินคืนทั้ง 36 ราย รวมทั้งที่ดินที่พิพาทด้วย

การที่จำเลยที่หนึ่งได้ปลูกสร้างตึกในที่ดินพิพาทในปี 2481 จึงเป็นการกระทำไปทั้งๆ ที่รู้ว่าที่ดินยังไม่ใช่สิทธิ์ของจำเลยโดยสมบูรณ์ ดังนั้น จำเลยที่หนึ่งจะอ้างว่าได้ปลูกสร้างตึกเรือนโรงในที่ดินพิพาทโดยสุจริตได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ผมสรุปได้ว่า สำหรับการครอบครองที่ดินของตระกูลนิรันดร และสมาชิกคณะราษฎรคนอื่นๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัว โดยไม่ได้เป็นประโยชน์สาธารณะนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2475 ลงในราชกิจจานุเบกษาด้วย วันที่ 19 กรกฎาคม 2480 มาตรา 7 ระบุว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะโอนหรือจำหน่ายได้ก็แต่โดยได้รับพระบรมราชานุญาต เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

ทั้งหมดนี้ผมก็เลยเห็นว่า ตระกูลนิรันดร ควรถวายคืนที่ดินให้กับสำนักพระราชวัง ให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะที่ดินที่พวกคุณได้มา ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใดๆ ทั้งสิ้น พวกคุณรวยขนาดนี้ แค่ถวายที่ดินคืนบางส่วน จะได้ไม่ต้องอับอายถึงลูกหลาน หรือต้องผลคำสาปแช่งที่จะมีต่อมาในอีกหลายรุ่น


ท่านผู้ชมครับ หนังสือ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475ฯ" ตอนนี้พิมพ์ครั้งที่ 3 แล้ว ปรับปรุงเพิ่มเติม แล้วเอาเอกสารชิ้นสำคัญที่ผมพูดทั้งหมดนี้ รวมทั้งคำสัมภาษณ์และหลักฐานใหม่ทั้งหมด ถูกบันทึกลงไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั่วลูกชั่วหลาน โดยบันทึกเพิ่มเติมเอาไว้ในหนังสือ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475ฯ" ในการพิมพ์ครั้งที่ 3 หนังสือเล่มนี้จะเปิดตัววันที่ 16 ตุลาคม 2565 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ท่านผู้ชมครับ ประวัติศาสตร์ไม่หายไปไหน ผมอยากจะเรียนให้ทราบถึงลูกหลานพวกคณะราษฎร 2475 ที่ได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบ จากการปล้นสะดมครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสกุลใดก็ตาม หลักฐานนี้จะคงอยู่กับประเทศไทย คงอยู่กับจิตใต้สำนึกของคนไทย

หนังสือเล่ม 3 ของอาจารย์ปานเทพ ถ้าต้องการสั่งจองล่วงหน้า หนากว่าเดิม 576 หน้า สั่งจองล่วงหน้าเพียง 550 บาท ราคาปกติ 690 บาท คนที่จองก่อนวันที่ 30 กันยายน ลดอีกต่อหนึ่ง เหลือเพียง 520 พร้อมรับหนังสือที่มีลายเซ็นอาจารย์ปานเทพ ตั้งแต่ 3 ตุลาคม เป็นต้นไป ผมจะเอาช่องทางการสั่งจองมาขึ้นให้ดูนะครับ มีทั้งเว็บไซต์ มีทั้งแอปพลิเคชัน มีทั้งเฟซบุ๊ก และไลน์


วันนี้เรามาพูดถึงอดีตถึงปัจจุบันของที่ดินเจ้า ที่อยู่ในมือตระกูลนิรันดร ขุนนิรันดรชัยมีภรรยา 4 คน ภรรยาหลวง ชื่อ คุณหญิงจรูญ นิรันดร ขุนนิรันดรชัย กับ คุณหญิงจรูญ มีลูกรวม 8 คน ซึ่งรวมกับภรรยาคนอื่น มีลูกรวม 13 คน ขุนนิรันดรชัย เสียชีวิตปี 2499 คุณหญิงจรูญได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดก ต่อมา ก่อนที่คุณหญิงจรูญเสียชีวิต แต่งตั้งให้นายธรรมนูญ นิรันดร บุตรชาย เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท แต่เหล่าทายาทเห็นว่านายธรรมนูญเก็บมรดกไว้เอง ไม่ได้แบ่งอย่างเป็นธรรม ทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้จัดการแบ่งให้ทายาทที่ พลโท สรภฎ สืบค้นนั้นมีมูลค่าประมาณสี่หมื่นล้านบาท มีอะไรบ้าง ? ที่ดินแขวงสาทรประมาณ 3 ไร่ ที่ตลาดโบ๊เบ๊ ที่สำเพ็ง ที่หัวลำโพง ที่บางลำพู ที่ดินริมทะเลหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่กว่า 3 ไร่ ท่านผู้ชมสังเกตไหม ทั้งหมดนี้เป็นที่ดินที่อยู่ในชื่อขุนนิรันดรชัย ผู้ร่วมคณะราษฎร 2475 ยศแค่ร้อยโท ร้อยเอก จะมีเงินเยอะขนาดนี้มาซื้อพวกนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ปล้นไม่ได้ชิงมาจากเจ้า แค่นี้ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าที่ดินนี้ได้มาโดยไม่ชอบ ทายาทที่ได้รับสิทธิ์ในการดูแลมรดก ก็คือคุณธรรมนูญ นิรันดร อดีตผู้บริหารธนาคารนครหลวงไทย


2562 ตระกูลนิรันดร เหลือทายาททั้งหมด 16 คน มีจัดการทรัพย์สินมรดกในลักษณะกงสี มีคุณธรรมนูญ นิรันดร เป็นผู้จจัดการมรดก ต่อมามี 5 คน พลตรี สรภฎ นิรันดร นายธรรมเรศร์ นิรันดร นางสุจิตรา วิริยวัฒน์ นายภูมิพงศ์ พัฒน์พงศ์พานิช และนางเยาวรัตน์ นิรันดร ได้ยื่นฟ้องนายธรรมนูญ ขณะเดียวกันนี้ คุณธรรมนูญมีภรรยา คือ นางปรานี นิรันดร มีบุตร-ธิดา 3 คน ประกอบด้วย เยาวณี นิรันดร (กิ๊ก) ธรรมรัชต์รันดร (กู่) และนางเยาวรัตน์ นิรันดร (กิ๊บ) จากความขัดแย้งเรื่องปมมรดกที่ดินของตระกูล ทำให้พี่สาวคนโต คือกิ๊ก เยาวณี กับน้องชายคนกลาง ธรรมรัชต์ จับมือร่วมมือกัน ส่วนน้องสาวคนเล็ก กิ๊บ เยาวรัตน์ มาเข้ากับญาติคนอื่นๆ รวมทั้ง พลโท สรภฎ นิรันดร

เยาวณี นิรันดร - ธรรมเรศร์ นิรันดร
2563 คุณกิ๊บ เยาวรัตน์ เคยเข้ามาพบผมที่บ้านพระอาทิตย์ เล่าให้ฟังว่า ปี 2551-2552 มีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้น เนื่องจากนายธรรมนูญ นิรันดร ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก ป่วยหนัก มีอาการเส้นเลือดในสมองแตก ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ตอนแรกอยู่ศิริราช ตอนหลังแม่กับพี่สาวขอย้ายมาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งขณะนั้น ลูกเขย ก็คือสามีของคุณกิ๊ก เยาวณี ชื่อ พลเอกนายแพทย์ วิทยา ช่อวิเชียร เป็นเจ้ากรมการแพทย์ทหารบก ออกจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ก็มาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน มีพยาบาลดูแลตลอด เพราะว่าคุณธรรมนูญไม่สามารถช่วยตัวเองได้เหมือนเดิม มีรถเข็น มีลูกสาวคนโต คือเยาวณี และลูกชายคนกลาง คือ ธรรมรัชต์ อยู่ใกล้ชิดติดตัวตลอดเวลา

2559 กลุ่มทายาทกลับได้รับทราบว่านายธรรมนูญได้นำที่ดินกองมรดกจำนวน 187 ไร่ ที่ตำบลตลาดขวัญ ดอนเมือง ไปขายโดยไม่แบ่งปันให้ทายาท

2560 อีกหนึ่งปีให้หลัง ทายาททราบอีกว่า ธรรมนูญ ได้นำที่ดินกองมรดกที่บางลำพู ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม ไปขายให้บุตรสาวคนโต และบุตรชายคนรองของตน ซึ่งนำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง ทำโรงแรม ซึ่งปัจจุบันคือโรงแรมนาวาลัย อยู่ตรงข้ามบ้านพระอาทิตย์ เป็นเหตุให้ทายาทตระกูลนิรันดรซึ่งมี 13 คน ปัจจุบันมีชีวิตอยู่ 6 คน ได้ฟ้องร้องเพื่อขอแบ่งที่ดินมรดกของตระกูลที่ยังเหลืออยู่จำนวนมากตามสิทธิที่ควรได้ก่อนที่คุณธรรมนูญจะขายที่ดินไปทั้งหมด


คุณกิ๊บ เยาวรัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่พ่อไม่สามารถดูแลตนได้ตั้งแต่ปี 2551-2552 ทำไมปี 2559-2560 พ่อจึงเซ็นโอนที่ขายได้ ก็เลยมีข้อสงสัยว่าพี่สาวกับพี่ชายได้ดำเนินการอะไรหรือเปล่า เรื่องเกี่ยวกับลายเซ็นคุณพ่อ จึงมีการสอบถามทักท้วง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่พี่สาวไม่พอใจ แล้วตัดพี่ตัดน้อง รวมทั้งมีคดีฟ้องร้อง หาว่าคุณกิ๊บ เยาวรัตน์ บุกรุกบ้าน

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ? คุณเยาวรัตน์ยอมรับเหมือนกับคุณอา คือ พลโท สรภฎ นิรันดร ว่า อาจจะเป็นเพราะบาปเพราะกรรม เพราะที่ดินพวกนี้คณะราษฎรยึดมาจากพระมหากษัตริย์ ทำให้ครอบครัวต้องคำสาป

ส่วนคดีไปถึงศาล เจ้าตัวสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นคอนเนกชันของบางคนในตระกูลนิรันดร กับความสนิทสนมกับพลเอกคนหนึ่งมาก คือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา คุณกิ๊บเล่าให้ฟังว่า มีช่วงหนึ่ง ที่บ้าน พี่สาว (คุณกิ๊ก) กับแม่ ทำอาหารส่งปิ่นโตให้ พลเอก อนุพงษ์ เป็นประจำ บ้านพักที่เขาใหญ่มูลค่าสูง ก็นอกจากพี่สาวจะมีความสนิทสนมกับคนในรั้วในวัง ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน อย่างเช่น พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี


ซึ่งเป็นตลกร้ายมาก เพราะท่าน พเอก สุรยุทธ์ ท่านเป็นประธานองคมนตรี แต่ว่าตระกูลนิรันดร คือตระกูลที่ช่วงชิงและปล้นทรัพย์ไปจากเจ้า ผมอยากให้ พลเอก สุรยุทธ์ ท่านบทบทวนบทบาทท่านสักนิด นอกจากนั้น ยังมีเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ยังมีความสนิทสนม มีภาพต่างๆ ให้ดู ให้เห็น สนิทสนมกับพรรคเพื่อไทย หมอมิ้ง นายแพทย์พรมินทร์ เลิศสุริย์เดช หมอเลี้ยบ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คุณภูมิธณรม เวชยชัย เสี่ยเพ้ง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล สนิทสนมกับคุณขรรค์ชัย บุนปาน สื่อเครือมติชน ก็ที่ดินตรงกันข้ามก่อนจะเป็นโรงแรมนี้ ก็เคยให้คุณขรรค์ชัยเช่าเพื่อทำร้านอาหารไป ตอนหลังหมดสัญญาก็เลยเอามาขายต่อ


ดูรูปนะครับ ดูความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ดูภาพ 129 Art Museum คุณสุรยุทธ์ ยืนแถวหน้าเลย คุณอนุพงษ์ยืนหลังสุด ซ้ายสุด ดูรูปจะเห็นได้ชัด คุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ คุณอนุพงษ์ เผ่าจินดา ยืนอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณกิ๊ก เยาวณี 


มีแม้กระทั่งการเล่นน้ำกันบนเรือ ซึ่งมีพี่หนูของผม อนุทิน ชาญวีรกูล อยู่ด้วย 


ภาพนี้เป็นภาพวันเกิดของคุณแม่ของคุณกิ๊ก เยาวณี คุณเยาวณี และ พลเอก อนุพงษ์ ก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ ตัว อวยพรให้กับแม่ของคุณกิ๊ก ความสนิทสนมแบบนี้ไม่ต้องพูดก็น่าจะเข้าใจแล้ว


เมื่อกาลเวลาล่วงไป ที่ดินหรูหลายสิบแปลงใจกลางเมือง จากการยักย้ายถ่ายเทของขุนนิรันดรชัย กลายเป็นมรดกตกทอดของตระกูลนิรันดร โดยที่มีคนนอกตระกูลรับทราบอยู่ไม่มากนัก

ธรรมนูญ นิรันดร ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 บอกว่าปัจจุบันมีที่ดินใจกลางเมืองประมาณ 90 แปลง ส่วนหนึ่งเป็นมรดกตกทอดจากขุนนิรันดรชัย อีกส่วนหนึ่งเป็นของคุณธรรมนูญเอง ถ้าเป็นของที่ตกทอดจากขุนนิรันดรชัย นั่นก็คือ ที่ดินที่ขโมยมาจากเจ้า

นายธรรมนูญพูดกับฐานเศรษฐกิจ ว่า มีข่าวว่าจะขายที่ดินพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ บนถนนวิทยุ ตรงข้ามปาร์คนายเลิศ ปัจจุบันนี้เป็นคอนโดมิเนียม Life ของ Asian Property หรือ AP ว่า เรื่องดังกล่าวอาจจะเข้าใจผิด เพราะไม่เคยมีความคิดจะขายที่ดินแปลงนี้


ที่ดินแปลงสำคัญที่อยู่ตรงข้ามหน้าวังสวนจิตรฯ เดิมรัชกาลที่ 8 พระราชทานพื้นที่ให้ประมาณ 1 ไร่ ต่อมาซื้อเพิ่มเติมอีก 6-7 แปลง ประมาณ 10 ไร่ โดยซื้อประมาณตารางวาละ 4 บาท ขณะนั้น ส่วนบริเวณหน้าวัง ซื้อมาตารางวาละ 250 บาท ขณะนั้น อดีตเป็นสวนผัก ปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินช่วงปี 2551 ตกอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตารางวา เหตุผลเพราะว่าที่ดินสร้างตึกสูงได้ไม่เกิน 4 ชั้น ที่ดินแปลงหนึ่งปัจจุบันคือโรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต


ท่านผู้ชมครับ ในความเป็นจริง ตามหลักฐานข้อมูล ที่ดินผืนนี้อยู่ตรงแยกอุภัยเจษฎุทิศ ตรงจุดตัดถนนราชวิถี กับ ถนนสวรรคโลก เดิมทีเป็นที่ดินผืนใหญ่เลย 61 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา ซึ่งรัชกาลที่ 6 ได้มอบให้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พอหลังปฏิวัติ 2475 คณะราษฎร์ยึดได้เสร็จ จอมพล ป. ก็ดำเนินตามแผนบันได 3 ขั้น ที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว ขั้นที่หนึ่ง ยึดวังของเจ้า ขั้นที่สอง บั่นทอนเงินปีที่เจ้าควรจะได้ ขั้นที่สาม ข่มขู่ให้เจ้ายอมอยู่ภายใต้อำนาจ


เช่นเดียวกับที่ดินผืนใหญ่ขนาด 61 ไร่ แห่งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ได้รับพระราชทานมาจากรัชกาลที่ 6 ก็ถูกดำเนินตามแผน 3 ประการข้างต้น ตอนนั้นก็เลยเอาที่ดินนี้มาเข้าธนาคารสยามกัมมาจล หรือไทยพาณิชย์ ตัดแบ่งออกเป็นแปลงย่อยๆ กระจายไปอยู่กับพรรคพวกของตัวเอง ขุนนิรันดรชัยได้แบ่งมา 2 ไร่ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 555 ตั้งแต่ปี 2482


ท่านผู้ชมบางส่วนยังจำได้หรือเปล่าว่า ที่ดินผืน 2 ไร่ ตรงแยกอุภัยเจษฎุทิศ ตรงจุดตัดถนนราชวิถี กับ ถนนสวรรคโลก ซึ่งทางขุนนิรันดรชัยยักย้ายถ่ายเทมาจากพระวรราชชายา ในรัชกาลที่ 6 ผ่านแบงก์สยามกัมมาจล ก่อนที่จะมาเป็นที่ตั้งโรงเรียนนานาชาติ เคยเป็นที่ตั้งของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ต่อมามีคนตั้งข้อสงสัยว่า ทายาทของขุนนิรันดรชัย คือนายธรรมนูญ รู้ดีว่าที่ดินผืนนี้มีปัญหา ก็เลยเอาไปให้พรรคความหวังใหม่ ของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เอามาทำเป็นที่ทำการพรรคความหวังใหม่อยู่หลายปี เป็นไปได้หรือเปล่า เป็นการสร้างเกราะคุ้มกันตัวเองไม่ให้ใครกล้ามายึดที่ดินคืน (รูปของคุณธรรมนูญ นิรันดร กับ พลเอก ชวลิต และคุณหญิงหลุยส์ พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ และ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง)


จนในเวลาต่อมา หลังเลือกตั้งในปี 2544 พรรคความหวังใหม่ ถูกรวมพรรค กับพรรคไทยรักไทย ที่ทำการพรรคความหวังใหม่ ก็เลยถูกเยาวณี นิรันดร เอามาทำเป็นโรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต จนถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ คุณธรรมนูญยังให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจด้วยว่า ตระกูลนิรันดรยังมีที่ดินบนถนนสาทร บริเวณปากซอยสาทรซอย 6 ข้างๆ โรงแรมเอเวอร์กรีน ลอเรล พื้นที่ 5-6 ไร่ ซื้อมา 8 หมื่นบาท ขณะที่เจ้าของสายการบิน EVA Air และเจ้าของธุรกิจขนส่งเอเวอร์กรีน และเจ้าของโรงแรมอีกหลายแห่งทั่วโลก ขอซื้อตารางวาละ 9 แสนบาท พร้อมเป็นผู้ดำเนินการออกค่าโอน ค่าภาษีด้วย เพื่อจะลงทุนทำโรงแรม 7 ดาว มูลค่า 5,200 ล้านบาท แต่ไม่มีนโยบายขายที่ดิน แต่ก็เสนอร่วมลงทุนแทน ปัจจุบันที่ดินนี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ เทนยุ (Tenyuu)


ขณะเดียวกัน ยังมีที่ดินฝั่งตรงกันข้ามกับสนามบินดอนเมือง พื้นที่ประมาณ 180 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่มีข้อพิพาทกับทายาทคนอื่นๆ ในตระกูลนิรันดร ซื้อมาหลายสิบปีก่อน ตารางวาละ 8 หมื่น ยังมีที่ดินบริเวณเขาใหญ่อีก 400 ไร่ ที่ดินชายหาดหัวหินอีก 3 ไร่ ที่ดินย่านบางลำพู หัวลำโพง มหานาค รวมแล้ว 90 แปลง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

เบื้องหลังการสะสมที่ดินนั้น นายธรรมนูญอ้างว่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการแบ่งแยกความคิดออกเป็น 2 ลักษณะ กลุ่มหนึ่งคิดว่าควรกักตุนพันธบัตรของจีนไว้ เพราะคาดว่าจีนจะชนะสงคราม เลยขายที่ดินทิ้ง เอาเงินมาซื้อพันธบัตร อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าควรซื้อที่ดินเก็บไว้ บิดาตน ขุนนิรันดรชัย เป็นหนึ่งในผู้มีแนวคิดว่าควรซื้อที่ดินสะสมไว้ เพราะที่ดินไม่มีเพิ่ม อนาคตจะกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล


และนี่คือที่มาของบทบาทของขุนนิรันดรชัย จากคนสนิทของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก้าวสู่แวดวงธุรกิจที่ดิน กว้านซื้อที่ทำเลหรูหลายแห่ง จนส่งผลงอกเงยให้เป็นมรดกหลายหมื่นล้าน

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ที่ไหนเรื่องนี้ ? ที่ดินเหล่านี้หลายต่อหลายแปลงในมือทายาทตระกูลนิรันดร ถึงวันนี้กลายเป็นเหมือนที่ดินต้องคำสาป ก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง การฟ้องร้อง นำมาซึ่งความขัดแย้ง ลูกหลานหลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะบาปกรรมที่ที่ดินเหล่านี้คณะราษฎรยึดมาจากพระมหากษัตริย์ ทำให้ครอบครัวต้องคำสาป หลายคนเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ป่วย ในตระกูลมีลูกหลานน้อยมาก ที่มาที่ไปของที่ดินนี้ทุกวันนี้ไม่มีใครพูดถึงกันอีกแล้ว ถ้า พลโท สรภฎ อาจารย์ปานเทพ และผมไม่นำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยในวันนี้ คงไม่มีใครรับรู้รับทราบ คงเลือนหายไปกับกาลเวลา

ท่านผู้ชมครับ ผมได้โฉนดตัวจริงก่อนที่เขาเอาโฉนดเก่าเอามาละลายแล้วสร้างเป็นโฉนดใหม่ เพื่อให้ไม่สามารถสืบหาที่ดินที่ยึดมาจากเจ้า ปล้นมาจากเจ้า โกงมาจากเจ้า หาเจอ แต่เผอิญ พลโท สรภฎ มอบต้นฉบับที่แท้จริงมาให้ดู สามารถจะสืบเสาะได้เลยว่าอันไหนบ้างที่ปล้นมาจากเจ้า โกงมาจากเจ้า แล้วเอามาแปรรูปทำเป็นโฉนดชุดใหม่ออกมา


ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นลูกเจ๊กธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวยอะไรทั้งสิ้น แต่ผมคิดว่าสถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่มีบุญคุณต่อชาติ ต่อประชาชน การคดโกงทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์โดยใช้เหตุการณ์ 2475 ด้อยค่า กำกับ กลั่นแกล้งสถาบันกษัตริย์ ยึดวังต่างๆ คืนมา ลดเงินเบี้ยหวัดที่ควรจะได้ เพื่อบังคับให้เจ้า เชื้อพระวงศ์ เอาที่ดินที่ตัวเองมีอยู่ เอาไปจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์ หรือสยามกัมมาจลสมัยก่อน แล้วตัวเองก็ใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่มาไถ่ที่ดินออกมาให้กลายเป็นของตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ ผมอยากให้ท่าน พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล หรือท่านรองราชเลขาฯ ทั้งหลาย ดูคลิปนี้ให้ดีๆ ความเป็นธรรมยังไม่คืนสู่สังคมได้ ตราบใดถ้ายังมีคนคดโกงและปล้นที่ดินเจ้า ที่สำคัญ เอาที่ดินเจ้ามาพัฒนา ทำความร่ำรวย แล้วก็หน้าด้านบอกว่า ถ้าเป็นรัชกาลที่ 9 จะคืนให้ แต่ในยุคที่รัชกาลที่ 9 อยู่ ก็ไม่ได้คืนอะไรทั้งสิ้น ก็คือเจตนาคดโกง คนพวกนี้ เวรกรรมมีจริง ชีวิตไม่มีความสุขหรอก ถึงแม้จะไปเที่ยวสร้างบารมี คบคนใหญ่คนโต คบนักการเมืองทั้งหลาย เรื่องนี้จริงๆ แล้วผมไม่อยากที่จะพูด ต้องโทษ โทษฐานที่คุณ กับนายท๊อป จิรายุส ถ่ายรูปร่วมกัน ทำให้ผมเอะใจขึ้นมาว่า อะไรกันนี่ มวยถูกคู่นี่ แล้วจังหวะดีที่ผมได้เอกสารจาก พลโท สรภฎ อาจารย์ปานเทพ ผมก็เลยอยากจะพูดเรื่องนี้ให้เป็นคลิปประวัติศาตร์ ใครก็ตามที่ทำงานสำนักพระราชวัง ดูเสียหน่อยเถอะ ผมคิดว่าเรื่องนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวังสมควรจะรับทราบเอาไว้ ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้จริงๆ ที่สำคัญ รับไม่ได้ว่า คนที่ทำตัวเป็นไฮโซ ทำตัวเป็นคนร่ำรวยนั้น ต้นตระกูลเป็นคนที่ปล้นทรัพย์สินมาจากพระเจ้าอยู่หัว สถาบันกษัตริย์ แล้วเอาทรัพย์สินพวกนี้มาแปรรูป แบ่งกันในระหว่างหมู่คณะราษฎร เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ผมพูดไว้แต่ต้นว่า คณะราษฎร คือคณะโจร นั้น เป็นคำพูดที่ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียวครับ


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ได้อ่านคำพิพากษาคดีดำหมายเลข อม.22/2565 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาการ ผบ.ตร. พลตำรวจตรี สัจจะ คชหิรัญ พลตำรวจโท สุริยา แจ้งสุวรรณ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีประมูลโครงการสร้างโรงพักทดแทนจำนวน 396 แห่ง โครงการก่อสร้างอาคารที่พักแฟลตตำรวจ จำนวน 163 หลัง มูลค่าความเสียหายอย่างน้อย 5,722 ล้านบาท คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง คือให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามมาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3 และ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และมาตรา 10 มาตรา 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5 และ 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด


ผมจะไม่ลงรายละเอียดนะท่านผู้ชม ไม่มีประโยชน์ แต่เอาเป็นว่าศาลฎีกาฯ ท่านยกฟ้องทุกคน เหตุผล ท่านอ้างว่ามาตรา 157 ที่คุณสุเทพโดนนั้น คุณสุเทพได้เปลี่ยนแปลงระเบียบขั้นตอนการจัดจ้างเป็นการปฏิบัติไปตามระเบียบของราชการ ตามที่หัวหน้าหน่วยราชการเสนอมา ซึ่งมีระเบียบราชการที่สามารถทำได้ ก็เลยทำให้คุณสุเทพไม่ผิดตามมาตรา 157

ส่วนจำเลยที่ 2 คือ พลตำรวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ ก็เช่นกัน ใช้ดุลพินิจทางระเบียบราชการในการกำหนดรูปแบบวิธีจัดจ้าง ไม่จำเป็นต้องเสนอให้นายกฯ นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

พลตำรวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ
จำเลยที่ 3 และ 4 ศาลบอกว่า การกระทำของจำเลยยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

ส่วน 5 และ 6 ก็บอกว่า ในเมื่อ 3 และ 4 ไม่ผิด 5 และ 6 ก็ต้องไม่ผิดตาม

คุณสุเทพก็มีความสุข คุณสุเทพบอกว่าเหมือนตกอยู่ในนรกมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับ ผมดีใจกับคุณสุเทพนะครับ ไม่ได้อิจฉาริษยาอะไรเขาเลย เพราะว่าถ้าเขาติดจริง โอกาสที่เขาจะได้รับการปล่อยตัวเร็วๆ นี้คงไม่มี ถ้าเขาผิดในกรณีทุจริตต่อหน้าที่ ผมว่าโทษต้องมีสิบปีขึ้นไป แล้วโทษในการทุจริตต่อหน้าที่มันก็คล้ายๆ โทษของคุณบุญทรง เตริยาภิรมย์ หรือบรรดาผู้ที่ฉ้อโกงรัฐบาล ทุจริต ก็โดนจำคุกอย่างยาว แล้วโอกาสที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษก็ต้องจำคุกก่อนอย่างน้อยแปดปี ผมดีใจแทนคุณสุเทพครับ อายุก็มากแล้ว คุณอายุอ่อนกว่าผมแค่สองปีเอง คุณเกิดปี 2492 ผมเกิดปี 2490 ด้วยความสัตย์จริง คุณสุเทพ ถึงผมจะไม่ชอบคุณ แต่ผมก็โล่งอก เพราะผมคิดว่าผมอายุขนาดนั้น ผมไม่อยากให้คุณไปตายในคุก มันไม่ใช่แค่ 1-2 ปี หรือ 3 ปี อย่างเช่นกรณี กปปส. มันเป็นคดีการเมือง โอกาสที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษก็มีสูงมาก แต่ถ้าคดีของคุณ ถ้าติด 157 แล้ว เท่ากับปิดประตูไปเลย

เอาเป็นว่าดีใจด้วยจริงๆ เพราะคุณกับผมก็อยู่ในแวดวงนี้มานาน ผมอยู่ในแวดวงของสื่อมวลชน คุณอยู่ในแวดวงทางการเมือง ผมยังจำได้ว่าคุณออกมาประท้วง เป็นตัวแทนของประชาชน แล้วสร้าง กปปส. ขึ้นมา เหตุผลก็เพราะว่าพรรคพวกคุณในพรรคประชาธิปัตย์พยายามยุยงส่งเสริมให้ผมเป็นผู้นำมวลชนออกมาต่อต้านการนิรโทษกรรมสุดซอยในรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ แต่ผมไม่ตกไปอยู่ในหลุมพรางกับดักที่ให้พวกคุณหลอกใช้ผม แล้วให้ผมติดคุกติดตะราง ซึ่งคดีหลายคดีตอนนี้ก็ยังมีอยู่ประมาณหนึ่งคดีที่อยู่ในศาล เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเห็นใจคุณ เพราะคุณไม่มีทางเลือกตอนนั้น

แต่ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ท่านผู้ชม และคุณสุเทพครับ โครงการนี้มีความเสียหาย 5,722 ล้านบาท จากการสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง สร้างแฟลตตำรวจจำนวน 163 หลัง แต่ไม่เสร็จ ประเด็นที่คุณสุเทพ กับ พลตำรวจเอก ปทีป พ้นมลทิน คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คือมีการเปลี่ยนวิธีประมูลโดยไม่เสนอคณะรัฐมนตรี แต่ ป.ป.ช. กลับไม่ได้ฟ้องคุณสุเทพ กับ พลตำรวจเอก ปทีป ว่าพัวพันเกี่ยวกับการฮั้วประมูลหรือไม่ ซึ่ง ป.ป.ช. บอกว่าหลักฐานโยงไม่ถึง


คดีนี้ ป.ป.ช. เป็นผู้ฟ้องเอง เพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง แต่ระหว่างคดีจะมาถึงศาลนั้น ใน ป.ป.ช. (ท่านผู้ชมจำตรงนี้นะครับ ประโยคที่ผมจะพูดต่อไป) มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร โดยเฉพาะหลังปี 2557 หลังจากที่มีการยึดอำนาจมา เปลี่ยนแปลงคนดูคดีนี้จากชุดของท่านปานเทพ กล้าณณงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. และหัวหน้าสอบสวน คือ อาจารย์วิชา มหาคุณ มาเป็นชุดของ พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ

ท่านผู้ชม และคุณสุเทพครับ เรื่องนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ อย่างนี้ ถึงคุณจะพ้นมลทินไปแล้วก็ตาม เพราะประเทศชาติและภาษีประชาชนเสียหายไป 5 พันกว่าล้าน มูลค่าเมื่อสิบปีที่แล้ว จะไม่มีใครผิด หรือไม่มีใครโกงเลย เป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องจะเป็นอย่างไร จะเดินต่อไปอย่างไร ผมเห็นว่าท่านผู้ชมคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดนะครับ เรื่องนี้ เผอิญมีตัวอย่าง วันนี้มีอยู่เยอะเลย ไปดูได้เลยตามโรงพักต่างๆ ยังมีการก่อสร้างที่ค้างกันอยู่ สภาพเสื่อมโทรมลงไปมาก ก็คือว่าคำถามของประชาชนถามว่า แล้วใครคือตัวการล่ะ ? ถ้าอย่างนั้นใครเป็นตัวการกันแน่ ก็คุณสุเทพไม่ผิดแล้ว ศาลฎีกาฯ ท่านบอกแล้ว พลตำรวจเอก ปทีป ก็ไม่ผิด เพราะศาลฎีกาฯ บอกแล้ว จำเลยที่ 3, 4, 5 และ 6 ก็ไม่ผิด อ้าว แล้วของที่มันฉิบหายอยู่หมาที่ไหนรับผิดชอบล่ะ ผมคิดว่าคำตอบนี้ไม่ได้อยู่ที่ผม คำตอบนี้อยู่ที่ ป.ป.ช. ผมไม่รู้ ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน ผมไม่อยากจะพูด ผมคิดว่าเรื่องนี้ ป.ป.ช. ลึกๆ น่าจะรู้ดีที่สุดว่าทำอะไรลงไปบ้างกับคดีนี้ แต่สุดท้ายผมก็ดีใจกับคุณสุเทพด้วย และผมได้ข่าวว่า คุณสุเทพบอกว่าจะล้างมือทางการเมือง ผมอยากจะเชื่อเหมือนกันนะ แต่เผอิญคุณสุเทพเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว เลยทำให้เชื่อไม่ได้ แต่ถ้าดีที่สุด คุณก็อายุมากแล้ว คุณไม่ได้มีหน้าที่แล้ว แต่ผมมีหน้าที่ต้องให้ความรู้ประชาชน ผมจะทำไปจนตาย แต่ถ้าคุณยังจะเล่นการเมืองไปจนตาย คุณก็อย่ามาประดิษฐ์ประดอยคำพูดที่สวยหรูว่าคุณจะไม่เล่นการเมือง เพราะคุณเคยพูดคำพูดนี้มาแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ความน่าเชื่อถือของคุณที่ประชาชนมีอยู่ ผมเสียใจที่จะบอกว่าตกต่ำลงมากๆ ครับ


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เผอิญมีเรื่องเกี่ยวกับผม 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือเรื่องสุนัขที่ผมรักที่สุด ชื่อ ฮานะ อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อเร็วๆ นี้มีภาพคุณบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลชุดคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาจากเรือนจำเพื่อไปทำพิธีฝังศพมารดา ก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาว่า ทำได้หรือ ซึ่งท่านวุฒิชัย เจนวิริยะกุล ผบ.เรือนจำ ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เนื่องจากมารดาคุณบุญทรงเสียชีวิต ภูมิลำเนาอยู่เชียงใหม่ บุญทรงจึงทำคำร้องส่งไปที่ตน ขอเดินทางไปร่วมงานศพมารดา มีระยะเวลาตั้งแต่ 18-19 กันยายน แล้วก็มีการชี้แจงว่า คุณบุญทรงเมื่อไปถึงก็ไปพักที่เรือนจำจังหวัดลำพูน 19 กันยายน เจ้าหน้าที่ก็เบิกตัวเพื่อออกไปร่วมงานศพ เสร็จงานก็ส่งกลับเข้าเรือนจำลำพูน หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมาที่เรือนจำคลองเปรม


กรมราชทัณฑ์ก็ออกมาชี้แจงว่าทำได้ ถูกต้องตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ 2560 และระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการลาของนักโทษเด็ดขาด 2561 กรมราชทัณฑ์ระบุว่า นักโทษจะได้ออกมา ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่้ยม มีคุณสมบัติตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เรือนจำกลางคลองเปรมได้มีอำนาจในการอนุญาตให้บุญทรงลากิจตามร้องขอ แล้วก็พูดชัดเจนว่า ผู้ต้องขังทุกรายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์จะมีสิทธิได้รับการพิจารณา ไม่เฉพาะแต่นายบุญทรงเท่านั้น และจะให้สิทธิเฉพาะการลาไปร่วมพิธีฌาปนกิจผู้ตาย เฉพาะที่เป็นบิดา มารดา สามี ภรรยา และบุตร ของนักโทษเด็ดขาดเท่านั้น


เรื่องสิทธิการออกมานั้น ก็เหมือนกับเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ที่คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (เต้น) ผู้ต้องขังคดีบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นที่พักของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ณัฐวุฒิได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน เพิ่งส่งเข้าควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 26 มิถุนายน 2563 ผ่านไปไม่กี่เดือน พอวันที่ 18 กรกฎาคม ก็ออกมาร่วมงานศพ


มีคนถามผมมาว่า กรณีของผม ไม่สามารถขออนุญาตออกจากเรือนจำมาร่วมงานศพภรรยา คือ อาจารย์จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล เมื่อหกปีที่แล้ว คือต้นเดือนตุลาคม 2559 ผมขอขอบคุณแฟนๆ รายการ จริงๆ ผมอยากจะพูดหลายอย่าง แต่ว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านผู้ชม ผมไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น

ภรรยาผมเสียชีวิตวันที่ 3 ตุลาคม 2559 อาจจะเป็นเพราะว่ากรมราชทัณฑ์เพิ่งมาแก้ระเบียบนี้ทีหลัง กำหนดเงื่อนไขว่า ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม มีความประพฤติดี ไม่เป็นผู้กระทำผิดวินัยในเรือนจำ มีความอุตสาหะ bla bla bla ...

ช่างมันเถอะท่านผู้ชม ที่ผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด เพื่อให้ FC ของผมหลายคนซึ่งไม่สบายใจและไม่พอใจว่าทำไมทีผมถึงถูกกีดกัน ท่านผู้ชมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผม หรือว่าเห็นใจผม ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมไม่อยากจะรื้อฟื้นขึ้นมา ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับผม ทุกวันนี้จิตใจผมก็ยังคิดถึงอาจารย์ปุ๊ อาจารย์จันทน์ทิพย์ ตลอดเวลา


และขณะเดียวกันก็ทำบุญวันเกิดอาจารย์จันทน์ทิพย์ ต้นเดือนตุลาคมนี้ ก็ครบกำหนดวันเสียชีวิตของอาจารย์จันทน์ทิพย์ น่าจะเป็นปีที่ 5 หรือปีที่ 6 แล้ว ก็ไปทำบุยเหมือนเดิม พิธีกรรมเรื่องออกมาหรือไม่ออกมานั้น ผมเฉยๆ เพราะว่าไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ เดี๋ยวจะกระโดดโลดเต้นกันใหญ่ เดี๋ยวคนโน้นก็จะแถลงแก้ตัว คนนี้จะแถลงแก้ตัว เอาเป็นว่ายุคนั้นเป็นยุคของอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนหนึ่ง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตอนนั้น คือ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่ติดใจอะไรทั้งสิ้นเลย ช่างมันเถอะท่านผู้ชมครับ กราบขอบพระคุณมากและกราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ไปงานศพ รู้ว่าผมออกมาไม่ได้ ก็เลยทุ่มเทกันไปเป็นร่วมหมื่นคนที่วัดมกุฏฯ จนวัดมกุฏฯ แทบแตก กราบขอบพระคุณในที่นี้สำหรับคนที่ไปงานศพอาจารย์จันทน์ทิพย์ ขอบพระคุณจากใจของผมอย่างสูง

สัปดาห์หน้า วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 เป็นวาระครบรอบสามปี ขึ้นปีที่สี่ของรายการ "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง" หรือ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ซึ่งผมจะมาเปิดความในใจ พูดทุกอย่างจากใจ และเบื้องหน้าเบื้องหลังหลายๆ ประการว่ากว่าจะเป็นรายการแต่ละตอนๆ ผมและทีมงานต้องทำงานกันอย่างไร ผ่านอะไรมาบ้าง มีหลายเรื่องเป็นความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ เพราะพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศชาติ สังคม และถือเป็นการให้ความรู้ ให้ปัญญา กับประชาชนอย่างได้ผลที่สุด ซึ่งผมเองก็มีประเด็นอยากจะถามกับท่านผู้ชมหลายๆ ประการเหมือนกัน รอฟังวันศุกร์หน้าพร้อมๆ กันนะครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น