xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : "ลุงตู่" ไปต่อ การเมืองทั้งกระดานจะเป็นอย่างไร ?"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 7 ต.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็นเรื่อง อนาคตการเมืองไทย เมื่อ "ลุงตู่" ได้ไปต่อ วิเคราะห์การเมืองแบบครบทุกมิติ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถอยู่ต่อจนถึงปี 2568 การเมืองหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น 
-"ดรามา กับ ความจริง" เงินกู้ กยศ. ควรต้องเสียดอกเบี้ย -ค่าปรับหรือไม่
-"กับดักเงินดอลลาร์" เกมล้มโต๊ะ เปลี่ยนเจ้ามืออุตสาหกรรมการเงินโลก
-สงครามในยูเครน และ รัสเซีย หลังปูตินลงนามผนวก 4 แคว้น เรียบร้อย สัญญาณสงคราม และอาจมีการใช้มินินิวเคลียร์ เพื่อปกป้อง 4 แคว้นดังกล่าว

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผูเฒ่าเล่าเรื่อง Ep.158



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 158 [7 ต.ค. 65] : "ลุงตู่" ไปต่อ การเมืองทั้งกระดานจะเป็นอย่างไร ?"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2565 7 ตุลาคมนี้ มีเหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่างที่เราจำเป็นต้องระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผมเอง เพราะว่า 7 ตุลาคมนี้ เป็นการครบรอบ 14 ปี ของ 7 ตุลาฯ ที่รำลึกถึงการเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ไปชุมนุมกันที่หน้ารัฐสภา โดนอาวุธปืน แก๊สน้ำตาของตำรวจยิงจนได้รับบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก


ทั้งหมดนี้เรามีการทำบุญกันทุกปี ยกเว้นเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของโควิด เราก็ไม่ได้มีการทำ จนกระทั่งมาถึงปีนี้ ผมเองก็บอกว่าอย่าเพิ่งเลย รอเหตุการณ์ไปถึงปีหน้าดีกว่า ถ้าปีหน้าเหตุการณ์การระบาดโควิดลดน้อยลงไปมาก จนกลายเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้ว เราค่อยมาคิดถึงการทำบุญ แต่ว่าบรรดาพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตไปใน 7 ตุลาคม และหลังจาก 7 ตุลาคม ก็ยังมีเสียชีวิตเพิ่มเติมอีก อย่างเช่น คุณตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง และคุณเติมศักดิ์ จารุปราณ เสียชีวิตไปเมื่อ 5 กันยายน


ทั้งหมดนี้ผมได้สวดมนต์ ทำสมาธิภาวนา และผมได้แผ่เมตตาให้ทุกๆ คน ผมได้ท่องชื่อหมดทุกคนเลยที่เสียชีวิต ผมทำให้ตั้งแต่วันที่ 4-5-6 แล้ว และวันที่ 7 เช้านี้ก็ได้ทำไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้ผมก็เจ็บช้ำน้ำใจ ท่านผู้ชม พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายที่มีญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไป ก็เจ็บช้ำน้ำใจเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ เราไม่ควรจะลืม 7 ตุลาคม เพราะวา 7 ตุลาคม เป็นวันที่พิสูจน์ชัดเจนถึงอำนาจรัฐที่มีความโหดเหี้ยมอำมหิต แล้วยุคนั้นก็เป็นยุคของพรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับสถาบันกษัตริย์ ออกมาสนับสนุนให้เกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ มีการสั่งให้ตำรวจยิงประชาชน ซึ่งไม่มีอาวุธเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งวันนี้เราก็ได้ทำบุญไปเรียบร้อยหมดแล้ว ท่านผู้ชมครับ อย่าลืม 7 ตุลาคม เป็นอันขาด ผมจะไม่มีวันลืม ผมจะระลึกถึงพ่อแม่พี่น้อง ประชาชนที่เสียชีวิตไป และผมอุทิศส่วนกุศลให้จากการปฏิบัติธรรมของผมทุกๆ วัน ไม่ใช่เพิ่งทำตอนนี้ ทำทุกวัน ผมเรียนให้ท่านผู้ชมทราบมานานแล้วว่าผมเป็นคนที่ตื่นเช้ามาก ตื่นตีสี่ แต่ผมนอนเร็วมาก ผมนอนสามทุ่ม ตีห้าผมมาถึงที่ทำงาน ผมใช้เวลาสองชั่วโมง สวดมนต์ ผมสวดพระปริตร 14 บท แล้วผมสวดคาถาชินบัญชร ผมสวดพาหุงฯ แล้วผมก็นั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง ทุกวัน ไม่มีเว้นเลยแม้แต่วันเดียว จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แล้วเวลาอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตา ผมก็อุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้กับพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม เช่นกัน ทุกๆ วัน ไม่มีขาด มีแต่เพิ่ม เพิ่มตรงไหน ? เพิ่มตรงที่ไปๆ มาๆ คนที่เรารู้จักก็เสียชีวิต อย่างเช่น พี่ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง หรือว่าคุณเติมศักดิ์ จารุปราณ มีแม้กระทั่งสามีของผู้จัดการฝ่ายบุคคลของผม คุณบุญชัย ซึ่งภรรยาของเขา คือคุณเปิ้ล เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลมานานแล้ว เมื่อเสียชีวิตผมก็รวมเข้าไปในนี้ด้วย อุทิศส่วนกุศลให้ และอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่เสียชีวิตไป


ท่านผู้ชมครับ เดือนตุลาคม เดือนนี้ ผมจะเอาเงินทำบุญไปร่วมทอดกฐินที่วัดต่างๆ โดยวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม ผมจะไปที่วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน จังหวัดเลย วันที่ 16 ตุลาคม เช่นกัน ที่วัดป่าวังศิลา จังหวัดเชียงราย บุตรชายผมจะเป็นตัวแทนพวกเราไปทำบุญทอดกฐิน อาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม ที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ของพระอาจารย์ชิน และจะมีการหล่อเกศพระพุทธรูป เป็นเกศทองคำ อาทิตย์ที่ 23 วัดบึง จังหวัดอยุธยา เสาร์ที่ 29 ตุลาคม วัดป่าพุทธนิมิตสถิตสีมาราม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นวัดอยู่ในการอุปถัมภ์ขององค์สมเด็จญาณฯ อดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้ว อาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน คือวัดป่าดอยลับงา จังหวัดกำแพงเพชร


สำหรับท่านผู้ชมที่ยังต้องการจะร่วมทำบุญ ก็มีสองช่องทาง คือ โอนเงินโดยตรงเข้ามาที่ มูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล หรือท่านต้องการจะร่วมทำบุญและจองเหรียญ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ เหรียญละ 2 พันบาท ท่านเข้าไปจองได้ในไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อนคำว่า @tambun โดยโอนเงินเข้าไปที่มูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล ธนาคารกสิกรไทย หมายเลขบัญชี 008-2-78777-1 แล้วก็ส่งชื่อ-ที่อยู่ อะไรทุกอย่างมาให้


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามีรายการหลายรายการที่จะออกมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง สิ่งแรกที่ผมจะพูดก็คือว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเรียบร้อยแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถจะอยู่ต่อได้จนถึงปี 2568 ผมก็ได้เอาภาพรวม วิเคราะห์ทางการเมืองแบบครบทุกมิติ ให้ท่านผู้ชมได้ฟัง ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่เคยมีใครวิเคราะห์แบบนี้มาก่อน

เรื่องที่สอง คือเรื่องของ "ดรามา กับ ความจริง" ในเรื่องเงินกู้ กยศ. ที่ต่อสู้กันเรื่องฝั่งหนึ่งบอกว่าต้องไม่เสียดอกเบี้ย ไม่เสียค่าปรับ แต่ต้องใช้หนี้คืน แต่อีกฝั่งหนึ่งบอกว่า ต้องเสียดอกเบี้ย ต้องเสียค่าปรับ เพราะเดี๋ยวจะเป็นการเสียวินัยทางการเงิน ลองมาฟังเหตุผลต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายว่า แล้วก็ลองมาฟังว่าผมมองเรื่องนี้อย่างไร

เรื่องที่สาม สงครามในยูเครน และ รัสเซีย งวดเข้ามาทุกทีแล้ว ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้มาประมาณ 1-2 อาทิตย์แล้ว งวดนี้ วลาดิมีร์ ปูติน เดินหน้าลงนามเรียบร้อยแล้ว ผนวก 4 แคว้น สัญญาณสงคราม และอาจจะมีการใช้นิวเคลียร์ระดับเล็กๆ ที่เขาเรียกว่า มินินิวเคลียร์ (Mini Nuclear) เพื่อต่อสู้ เพื่อปราบปรามกลุ่มทหารนาโต (NATO) ทหารรับจ้าง ที่อเมริกาให้ยูเครนไปจ้างทหารรับจ้างเข้ามารบ

ส่วนเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ผมได้รับปากท่านผู้ชมเอาไว้แล้วอาทิตย์ที่แล้ว ว่าผมจะพูดเรื่อง "กับดักเงินดอลลาร์" ซึ่งผมเรียกเกมนี้ว่า เป็นเกมล้มโต๊ะ เปลี่ยนเจ้ามืออุตสาหกรรมการเงินโลก


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ต้องพูดถึง "ลุงตู่" เสียหน่อยแล้ว เพราะว่าในช่วงที่ ลุงตู่ จะได้อยู่ต่อหรือไม่ได้อยู่ต่อนั้น ผมไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องนี้เลย แต่ผมมีเหตุผลของการที่ไม่วิพากษ์วิจารณ์ เหตุผลส่วนตัวของผมก็คือว่า ผมไม่เคยใส่ใจเลยกับคำพิพาษาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อในศาลรัฐธรรมนูญ แต่ผมคิดว่าทุกวันนี้การตีความทางกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะว่าผมไปยึดหลักของท่านรองฯ วิษณุ เครืองาม มากจนเกินไป ว่าท่านเป็นคนที่ตีความทางกฎหมายตามใจชอบของท่าน อะไรที่เป็นประโยชน์กับท่านหรือรัฐบาล ท่านก็ตีความไปด้านนั้น

อีกประการหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในอดีตก็มีการพิพากษา การวินิจฉัยที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา แต่ขณะเดียวกัน ก็มีหลายคดีที่พิพากษาไม่ตรงไปตรงมาเช่นกัน

การพิจารณาว่า ลุงตู่ จะอยู่ครบ 8 ปี หรือไม่ครบ 8 ปีนั้น มันเป็นเรื่องของการตีความแท้ๆ ทางฝ่ายที่ต่อต้าน ลุงตู่ ก็บอกว่าทำไมถึงไม่พิจารณาถึงพระบรมราชโองการแต่งตั้งลุงตู่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 คุณปฏิเสธตรงนั้นไปได้อย่างไร ส่วนคำชี้แจงของเสียงส่วนใหญ่ของศาลรัฐธรรมนูญ ก็บอกว่า ต้องนับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป


เอาเป็นว่าประเด็นของศาลรัฐธรรมนูญนั้น กลับเป็นประเด็นที่ผมเฉยๆ เพราะผมเชื่อว่ามันออกมาได้ทุกรูปแบบ จะออกมาในรูปแบบว่าครบ 8 ปีแล้ว ก็ได้ หรือจะออกมาในรูปแบบ ขอให้นับตั้งแต่ปี 60 ไป ก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน เพราะว่านักกฎหมายในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายไทย อย่าว่าแต่กฎหมายไทยเลย ประเทศที่เจริญแล้ว หรือประเทศอย่างเช่นทางตะวันตก ก็ตีความกันประเภทที่เละเทะไปหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านจะไปบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญงวดนี้ตีความผิด ศาลรัฐธรรมนูญงวดนี้ตีความถูก ผมคิดว่าไร้สาระ เอาเป็นว่า เกมกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว และให้ลุงตู่อยู่ต่อได้จนถึงปี 68

คำถามที่เราต้องมาดูว่า แล้วจากนี้ไป ลุงตู่ จะไปอย่างไรต่อ ตรงนี้ต่างหากที่ผมคิดว่าเราควรที่จะมาพูดคุยกัน

โดยหลักการแล้ว ในขณะนี้ทุกคนก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นลุงตู่อยู่ต่อ ก่อนจะปี 68 พอยุบสภาแล้วลุงตู่รักษาการ ก็จบแล้ว แต่ว่ามีประเด็นหลายประเด็นที่เราไม่ได้เอามาพิจารณา อย่างเช่น มีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องของกฎหมายเลือกตั้ง ว่าการหาร 100 หรือ หาร 500 นั้น ผิดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า นัยอยู่ตรงนี้ว่า ถ้าสมมุติว่าผิดรัฐธรรมนูญ ก็หมายความว่า กฎหมายเลือกตั้งก็ต้องล้มไปหมด ต้องมาร่างกฎหมายเลือกตั้งกันใหม่ กระบวนการร่างกฎหมายเลือกตั้งนั้นกี่เดือน ผมไม่รู้ คนมีอำนาจก็สามารถจะลากการร่างกฎหมายให้มันยาวขึ้น หรือว่า 6 เดือน ถ้า 6 เดือน ก็หมายความว่าเมษายน กฎหมายเลือกตั้งน่าจะจบ เป็นที่ตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว และก็ไม่มีการที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญอะไรอีก ทุกฝ่ายพอใจ ก็น่าจะมีการเลือกตั้งต่อ

ถ้ามีการเลือกตั้งต่อ ลุงตู่ ก็รักษาการต่อได้อีก 90 วัน ก็หมายความว่า เทอมของลุงตู่ก็จะจบหลังจากที่มีการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ แต่! ก่อนที่จะถึงวันนั้น มันก็จะมีดรามาหลายๆ อย่างที่จะเกิดขึ้น อย่างเช่นล่าสุดก็เกิดเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นายวีระกร คำประกอบ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ บอกว่าพรรคพลังประชารัฐจะส่งรายชื่อ 3 คน ก็มี ลุงป้อม ลุงตู่ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แป๊ะ อีกคนหนึ่งเข้ามาเป็นตัวเสียบ ก็พลอยทำให้ลูกหาบของลุงตู่ อย่างเช่น เสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น


ออกมากระโดดโลดเต้น โวยวายว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกันในที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร จะมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เอาเป็นว่า ถ้าตัดสินใจกันภายในพรรคพลังประชารัฐ ผมคิดว่าเรี่ยวแรงของเสี่ยเฮ้ง ซึ่งเป็น ส.ส. บ้านนอกคนหนึ่ง แต่มาจับพลัดจับผลูได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพราะว่าเชียร์ลุงตู่หนักนั้น ก็คงจะมีบารมีไม่มากพอที่จะคุม ส.ส. พรรคพลังประชารัฐได้หมด ก็คงจะสู้สายของลุงป้อมไม่ได้

คำถามก็มีต่อว่า ถ้าสมมุติว่าเขาเสนอ 3 ชื่อขึ้นมาแล้ว ลุงตู่ จะเอาหรือเปล่า เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ท่านเป็นคนที่ค่อนข้างจะถือเนื้อถือตัว คือถ้าจะเสนอชื่อ ก็ต้องเสนอท่านคนเดียว ไปเอาคนอื่นมารวมด้วย ท่านไม่เล่นด้วย ถ้ากรณีเป็นเช่นนั้น นั่นคือกรณีที่หนึ่ง แล้วลุงตู่จะให้ใครเสนอชื่อล่ะ ? ถ้าอย่างนั้นการเสนอชื่อก็อาจจะตกไปที่คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค


ซึ่งผมคิดว่าคุณพีระพันธุ์ ก็น่าที่จะได้รับเฟเวอร์จากลุงตู่ เพราะว่าล่าสุดเห็นบอกว่าที่จะมีการปรับ ครม. และมีเสียงหลุดออกมาว่า คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งหนุนลุงตู่เต็มตัว ก็อาจจะได้มีโอกาสเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีสักคนหนึ่งเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ ผมกำลังพยายามจะชี้ให้ท่านผู้ชมเห็นว่าการเมืองจากเดือนนี้ 6-7 เดือนนี้ จะเข้มข้นมาก อะไรๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ หลายคนก็บอกว่าทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับลุงตู่ ลุงตู่ พอหรือยัง หมายความว่า ถ้ายุบสภาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกาศไม่ต้องใส่ชื่อผมเข้าไปเป็นผู้สมัครนายกฯ ผมจะลงบันไดแล้ว แต่ข่าววงในก็บอกว่า ลุงตู่ยังอยากสู้ต่อ คือพูดง่ายๆ ว่าจะอยู่จนถึงปี 68 พออยู่ถึงปี 68 ครบแล้วก็ลงไปตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่คำถามว่า การจะอยู่ต่อถึงปี 68 นั้น จะทำอย่างไร จะให้ใครเป็นคนเสนอชื่อลุงตู่ แล้วจะเสนอชื่อ ลุงตู่ เพียงคนเดียว ตามที่ลุงตู่ต้องการ แล้วพรรคที่เสนอชื่อ ไม่ว่าจะเป็นพรรคของเสกสกล (แรมโบ้) หรือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หรือพรรคหมอวรงค์ นั้น คำถามมีอยู่ว่า มีเสียงมากพอหรือเปล่าที่จะทำให้ลุงตู่จะสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือว่ามีเสียงมากพอแค่ไหน แม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเท่าที่สังเกตดู (นี่คือความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ท่านผู้ชม ผิดพลาดกันอย่างไรค่อยว่ากันอีกที) ผมคิดว่างวดนี้พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มาแรงตามที่ราคาคุยๆ เอาไว้ พรรคที่มาแรงที่สุดในขณะนี้กลับเป็นพรรคภูมิใจไทย


ในแวดวงโต๊ะกาแฟที่คุยกัน ผมเป็นคนทำนายทายทักมาตั้งแต่ต้นแล้ว ภายในหมู่พวกเรากันเองว่าพรรคภูมิใจไทยน่าจะมี ส.ส. เกินร้อย แต่ว่าพอพูดเรื่องนี้กับท่านหัวหน้าพรรค อนุทิน ชาญวีรกูล ท่านก็เขินๆ อายๆ บอกว่า ผมไม่หวังหรอก แค่รักษาตำแหน่งเก่า 60-70 ผมก็พอใจแล้ว แต่ในที่สุดแล้ว งานวันเกิดของคุณเนวิน ชิดชอบ ที่บุรีรัมย์ ที่ผ่านมานี้ มันก็พิสูจน์ชัดเจนว่าคำทำนายทายทักของผมก็ไม่ผิด เพราะว่าคุณเนวิน บอกว่า น่าจะได้สักประมาณ 120


ทีนี้ ถ้าพรรคภูมิใจไทยเกิดมาเป็นพรรคอันดับสองในการเลือกตั้ง อันดับหนึ่งก็คงจะเป็นเพื่อไทย แต่ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยก็คงจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ด้วยสิ่งแวดล้อมและเหตุผลที่สำคัญหลายๆ ประการ ซึ่งผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาอธิบายให้ฟังได้ ก็น่าจะตกไปที่พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราก็อาจจะได้เห็นนายกรัฐมนตรีมาจากภาคเอกชน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล ถ้าสมมุติว่าเป็นไปได้ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมคิดว่าไม่เสียหายอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าอย่างน้อยที่สุด คุณอนุทิน ก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญชำนาญการ ซึ่งผมรู้จักเขามาตั้งแต่เขายังเด็กๆ อยู่ ก็เหมือนกับน้องชายคนหนึ่ง แต่ว่าเผอิญเป็นคนซึ่งลัลล้าง่าย และเป็นลูกคนรวย ฉะนั้นการลงไปคลุกดินคลุกฝุ่นต่างๆ ก็อาจจะไม่เหมือนกับนักการเมืองหลายๆ ท่าน แต่ก็อย่างว่าล่ะ ท่านผู้ชมครับ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้ อนุทิน ก็น่าจะเป็นได้ เพราะอนุทินก็มีความสามารถหลายๆ อย่างที่พิสูจน์ได้เห็นชัดว่าเขาก็เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มีอะไรหลายอย่างที่เขาทำ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พรรคภูมิใจไทยคงจะไม่อยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าจะเป็นพรรคที่มีวินัยมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลาย ไม่มีพรรคไหนสู้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าข้างหลังอนุทิน ชาญวีรกูล ยังมีคนที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบ อยู่ ซึ่ง เนวิน ชิดชอบ ก็คือนักยุทธศาสตร์ นักยุทธการที่วางแผนทุกอย่าง สติปัญญาของคุณเนวิน เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มองได้ก้าวไกล คุณเนวินก็ประกาศชัดเจนว่าอยากจะสนับสนุนให้ลูกศิษย์ ก็คือคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เรียกว่า "ลูกศิษย์" เพราะว่าคุณอนุทิน เรียกคุณเนวิน ว่าเป็น "ครูใหญ่" คุณเนวินพูดชัดเจนว่าอยากให้คุณอนุทินขึ้นมาเป็นนายกฯ เสียที ก็คือเด็กปั้น ให้เป็นนายกฯ เสียที


ท่านผู้ชมครับ การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ผมไม่ค่อยอยากจะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองมากเท่าไรนัก เพราะผมรู้ว่ามันมีสิ่งแวดล้อมหลายๆ ประการ และเหตุผลอะไรบางเหตุผลที่มันเกิดขึ้น โดยที่บางทีเรานึกไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นได้ เพราะเมืองไทยนั้นเป็นเมืองแห่งศูนย์รวมข่าวลือ เป็นศูนย์รวมของทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดทุกๆ อย่าง วันนี้ฆ่ากันจะตาย ด่ากันไป ด่าโคตรพ่อโคตรแม่กัน แต่พอพรุ่งนี้ผลประโยชน์มันลงตัวปั๊บ ก็มากอดกัน จูบปากกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ถ้าให้ผมทำนายทายทักว่าอนาคตข้างหน้า คนรุ่นใหม่ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็อยากจะฟันธงว่าคนแรกก็คือ อนุทิน ชาญวีรกูล คนที่สอง ซึ่งไม่เคยมีใครคิด แต่ผมจะเปิดเผยชื่อเป็นครั้งแรก อีกคนหนึ่งคือ วราวุธ ศิลปอาชา (ท็อป)


คุณท็อป อายุยังน้อย ความรู้ความสามารถสูง และเป็นคนที่สามารถเข้าไปสัมผัส ตีนติดดิน และขณะเดียวกัน ตัวเองก็การศึกษาสูง พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษได้ดี ความคิดก็ดีมาก

อีกคนที่ผมคิดว่าน่าที่จะเป็นนายกฯ ได้ นอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว ก็คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือ แป๊ะ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ? เพราะเมืองไทย จริงๆ แล้วคนที่จะเป็นนายกฯ ได้ ต้องเป็น "สามบวกหนึ่ง" สาม ก็คือ หนึ่ง ต้องเข้าใจระบบราชการ สอง ต้องเข้าใจระบบธุรกิจ สาม ต้องเข้าใจระบบการเมือง และสี่ สำคัญที่สุดก็คือ ต้องเป็นคนที่ไม่ได้แสดงอาการ หรือออกแบบที่ตัวเองต่อต้านสถาบันกษัตริย์ คือพูดง่ายๆ ว่า ต้องพร้อมที่จะสนับสนุนและปกป้องสถาบันกษัตริย์ เพราะฉะนั้น เพื่อไทยก็จะมีแค่ หนึ่ง สอง สาม ขาดข้อที่สี่ ส่วนคุณอนุทิน มีครบทั้งหนึ่ง สอง สาม สี่ คุณวราวุธ ก็หนึ่ง สอง สาม สี่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ก็มีครบ หนึ่ง สอง สาม สี่


ทีนี้ก็ต้องว่ากันล่ะ เพราะว่ามันมีประเด็นสำคัญอีกหลายประเด็นที่ผมคิดว่าจำเป็นต้องพูดกันไว้ก่อนล่วงหน้าในขณะนี้ ไม่พูดไม่ได้

เอาล่ะ สมมุติว่า พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากเก้าอี้ แล้วก็ไม่สมัครรับเลือกตั้งต่อ หรือว่าไม่ได้รับการเสนอชื่อแล้ว พอเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย รักษาการจบ แล้วก็ลงจากเก้าอี้ไป คำถามมีอยู่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะอยู่ต่อหรือเปล่า ? พล.อ.ประวิตร จะอยู่ต่อหรือเปล่า ? ถ้าเป็นอย่างที่บอกว่ามาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกัน คือไม่มีใครอยู่ต่อ คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ใครก็ตามที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป จะเป็นคนที่ 3 ป. คือ ประวิตร ประยุทธ์ อนุพงษ์ ไว้ใจได้หรือเปล่าที่จะมาระวังหลังคนสามคนนี้


เพราะเมื่อคนสามคนนี้ลงจากอำนาจเมื่อไรปั๊บ ผมเชื่อว่าต้องมีคนขุดคุ้ยแล้วก็หาเรื่องหาราวคนสามคนนี้ไม่หยุดไม่หย่อนเลย เพราะว่าแปดปีที่มีอำนาจมา เป็นแปดปีที่ได้สร้างวีรกรรมหลายอย่างที่เรารู้ และเราไม่รู้ และเป็นที่น่าสงสัยว่าจะมีใครเข้ามาเช็กบิลหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนายกฯ คนต่อไป ใครบ้างที่สามารถจะระวังหลังให้กับคนสามคนนี้ได้ ผมเรียนท่านผู้ชมแล้วว่า ทุกอย่างมันอนิจจัง เมื่อขึ้นอยู่สูงสุด ก็ต้องตกลงมาเช่นกัน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

ที่แน่ๆ คืออย่างน้อยที่สุด การที่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาครั้งนี้ก็เป็นข้อดี เพราะว่าการประชุมเอเปค ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลก ก็สามารถจะดำเนินการต่อไปได้ ในลักษณะที่ค่อนข้างจะสงบ เงียบ เรียบร้อย ขาดเพียงแต่ว่า การประชุมเอเปคครั้งนี้ ที่ผมได้ข่าวมาค่อนข้างแน่นอน ก็คือว่า วลาดิมีร์ ปูติน จะมาประเทศไทย ประชุมเอเปค และ สี จิ้นผิง ก็จะมาประเทศไทยเช่นกัน แต่ โจ ไบเดน ไม่มา เนื่องจากว่าติดงานแต่งงานของหลานสาวที่ทำเนียบขาว ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก คือ โจ ไบเดน ไม่อยากมาเอง ตรงนี้ล่ะ ก็เลยทำให้คุณดอน ปรมัตถ์วินัย พี่ดอน เฮ้าเลี่ยนของผม ก็เกิดอาการทันทีเลย เพราะพี่ดอนหวังว่าจะมีไบเดนมา และจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศไทย


จริงๆ แล้ว ไบเดนจะมาหรือไม่มา ไม่ได้เป็นหน้าเป็นตาอะไรกับประเทศไทยหรอก ปัญหาก็คือว่า ใครมาก็ตาม เราต้อนรับหมด ใครไม่มาเราก็ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่า คุณดอน ผมไม่อยากให้คุณดอนออกอาการมากจนเกินไป เพราะว่าคุณมีชื่อมีเสียงมากในการเป็นหมาชิวาว่าของอเมริกา พอไบเดนไม่มา คุณก็โวยวาย คุณบอกเดี๋ยวจะไปขอร้องให้เขามา คุณทำไม่สำเร็จหรอก คุณดอน คุณอยู่นิ่งๆ แล้วหาทางที่จะประสานงานให้กับจีน และรัสเซียเข้ามา และในขณะเดียวกัน ให้กับประเทศไทยได้ประโยชน์จากการประชุมเอเปคครั้งนี้อย่างมากที่สุด ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องที่สำคัญ

เพราะฉะนั้น พอตัดเอเปคทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว พอหลังจากเดือนพฤศจิกายนผ่านไปเรียบร้อยแล้ว มันก็ต้องเป็นเรื่องของการเมืองภายในประเทศที่จะต้องเข้มข้นอย่างมาก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะมีการร่างกฎหมายเลือกตั้งกันใหม่อีกหรือเปล่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ออกมาว่า หาร 500 และหาร 100 นั้นขัดรัฐธรรมนูญ หรือศาลบอกว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ สุดแล้วแต่ เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวชี้กำหนดเกมก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องเกี่ยวกับ หาร 100 หรือหาร 500 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือเปล่า ซึ่งน่าจะออกมาไม่เดือนตุลาคมนี้ ก็ต้องเป็นเดือนพฤศจิกายน เพราะฉะนั้น พอหมดอันนี้แล้ว คำถามก็มีต่ออีก แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะเล่นต่อหรือเปล่า ? วงภายในที่ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ แน่นอนที่สุด ก็อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เล่นต่อจนถึงวินาทีสุดท้าย 2568 ก็พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามีการเลือกตั้ง ยุบสภาใหม่แล้วเขาเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ อีกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเป็นได้ไม่เกินสองปี พอถึงตอนนั้นแล้วก็ค่อยว่ากันใหม่อีกที นี่คือการเมืองเมืองไทย ซึ่งไม่มีเสถียรภาพเลยแม้แต่นิดเดียว ผมคิดว่าวิธีสวยที่สุด สำหรับผม พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะพอแล้ว ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้ามีการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรที่จะลงรับเลือกตั้งอีกเลย แล้วใครเสนอชื่อ ก็ไม่ควรจะรับ ผมคิดว่าท่านอยู่มาครบ เมื่อถึงปีหน้าท่านอยู่ครบเก้าปีแล้ว ผมคิดว่าคนที่เป็นนายกฯ เก้าปี ไม่มีแล้วในประเทศไทย เพราะขนาด พล.อ.เปรม ยังมีอายุของการเป็นนายกรัฐมนตรีได้น้อยกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผมคิดว่าถ้าท่านลง ณ เวลานั้น แล้วลงตามระบบที่มันบีบมาให้จำเป็นจะต้องลง แล้วถ้าสมมุติว่าท่านไม่พอใจที่ไม่มีใครสามารถจะเสนอชื่อได้ ให้ท่านเป็นนายกฯ เพียงคนเดียว หรือเสนอแล้ว พรรคที่เสนอเล็กเกินไป ไม่สามารถที่จะมีบทบาทอะไรได้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพิจารณาตัวเอง แล้วก็ลงจากเวที ซึ่งการลงจากเวทีนั้น จะไม่เสียหายอะไรทั้งสิ้น ค่อนข้างจะสง่าผ่าเผย เพราะว่ามันพิสูจน์ชัดว่าท่านอยู่ได้ถึงปี 2568 แต่ท่านก็ไม่เอาแล้ว


แต่ถ้าท่านยังดิ้นรนเพื่อให้คนเสนอชื่อท่านไป แล้วส่งลูกหาบ อย่างเช่น เสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น หรือใครก็ตาม ออกมาโวยวาย เพื่อให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะไม่มีวันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เพียงคนเดียวอีกต่อไป ผมเชื่ออย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์

และนี่คือการเมืองที่ผมทำนายทายทักเอาไว้ล่วงหน้า ท่านผู้ชมครับ สังเกตว่าผมไม่ได้สนใจว่าการอยู่ต่อ 8 ปี หรือการครบกำหนด 8 ปี หรือการอยู่ต่อถึงปี 68 สำคัญหรือไม่สำคัญอะไร แต่ว่าเมื่อเกมวางหมากเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าอยู่ได้ไม่เกินปี 2568 ก็คือ ตีให้ตายอย่างไร พอครบ 2568 พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าได้เป็นนายกฯ ก็ต้องลงไปตอนนั้น คำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ลงตอนนั้น ปี 68 หรือว่าลงตอนนี้ หลังจากมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ อะไรเป็นบทบาทที่สง่างามที่สุดสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างน้อยที่สุด ข้อดีของ พล.อ.ประวิตร ดีหรือไม่ดี ผมไม่ทราบ แต่ผมรู้ว่ายี่สิบกว่าวันที่ท่านรักษาการนายกรัฐมนตรี ท่านก็ทำงานไม่เลวนัก ท่านเป็นคนทำงานเร็ว ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆ ท่านจะโลเลพอสมควร ไม่เด็ดขาดเหมือนสมัยก่อน แต่ท่านก็ถึงลูกถึงคนเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าวันนี้มันพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ถ้าไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ประเทศชาติไปต่อได้ แต่จะไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน ผมไม่รู้ เพราะว่าผมไม่เคยคิดว่าประเทศไทยถ้าขาด พล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะล่มสลาย ไม่ใช่ ผมกลับคิดว่า ถ้าประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่มีความหลากหลาย มีความเข้าใจบริบทของสังคมไทย มีความเข้าใจทางการเมือง มีความเข้าใจในวงการธุรกิจ และมีความเข้าใจในวงการระบบราชการ และมีความจริงใจและตั้งใจที่จะต่อสู้และปกป้อง รักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ ผมคิดว่าใครก็ตามที่มีเงื่อนไขสี่ข้อที่ผมว่านี้ เป็นนายกรัฐมนตรีได้หมด เป็นได้ แม้กระทั่งคนอย่างเช่น คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์


แต่เผอิญพรรคของท่าน ผมไม่รู้ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่เอาเป็นว่า ท่านผู้ชมครับ และคนที่เป็นติ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ครับ ผมคิดว่าเราปล่อยวางกันสักนิดหนึ่ง เราอย่าไปยึดติดกับตัวบุคคลเลย ประเทศไทยไปได้แน่นอนครับ เพียงแต่ว่า ขอให้ทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน และขอให้เกิดความสามัคคีจริงๆ ทุกวันนี้ประเทศไทยยังไม่มีความสามัคคี ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังอยากจะกลับบ้านอย่างเท่ๆ ตอนนี้แลนด์สไลด์เริ่มเบาลงไปแล้ว สงสัยว่ามันจะไม่ใช่แลนด์สไลด์อย่างที่คุณทักษิณพูด


เพราะว่าหลังการเลือกตั้งแล้ว อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ มีการตีไพ่ฝากกันเยอะแยะไปหมด หลายๆ คนที่อยู่พรรคเพื่อไทย เมื่้อเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เข้ามา ก็ไม่ได้แปลว่าจะอยู่พรรคเพื่อไทยต่อไป เพราะการเมืองมันเป็นเช่นนี้แล

เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าการวิเคราะห์ของผมนั้น เป็นการวิเคราะห์มุมกว้าง แต่ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ จะเห็นว่าผมไม่มีอคติอะไร และผมคิดว่าทั้งหมดนี้เอาประเทศไทยเป็นตัวตั้ง อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า คุณประยุทธ์ก็มีประโยชน์ในช่วงต้นๆ ที่เข้ามา แต่ช่วงหลังๆ คุณประยุทธ์เองก็เริ่มมีปัญหา เพราะว่าท่านเชิดชูระบบราชการนำหน้าประเทศไทย ก็เลยทำให้หลายๆ อย่างในประเทศไทยติดขัดไปหมด มันไม่คล่องตัวและไม่เดินหน้าต่อไปเหมือนหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก็แก้ไขได้ไม่ทันท่วงทีเหมือนกับภาคเอกชน สมมุติคนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการแล้วมาเป็นผู้นำประเทศ การแก้ไขก็จะรวดเร็ว ทันใจ หลายๆ อย่างที่หลายๆ คนเสนอความคิดขึ้นมานั้น ก็เป็นความคิดที่ดี แต่เนื่องจากว่าคนที่เสนอแต่ละคนนั้น เท่าที่ดู ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่เก่ง คนที่คิดเป็น คนที่รู้ช่องทาง และคนที่หาทางออกให้ประเทศได้นั้น จะเป็นคนที่ไม่มีโอกาสในการที่จะเข้ามารับใช้ประเทศชาติ แต่สำหรับคนที่มุ่งจะแสวงหาอำนาจอย่างเดียว ก็กลับกลายเป็นคนที่สามารถที่จะเข้ามารับใช้ประเทศชาติได้ แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ถูกอำนาจบดบังสายตา เล่นพวกเล่นพ้องมาตลอด คำถามคือ ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวังวนตรงนี้ได้หรือเปล่า ? ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดเป็น และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยึดติดกับความหลงใหลตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าถึงเวลานี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะคิดถึงชาติบ้านเมือง อย่าไปคิดว่าประเทศไทยไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ แล้วประเทศไทยจะอยู่ไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนั้น คิดผิดนะครับ

อีกประการหนึ่ง ในขณะนี้ ผมก็ดูทิศทางหลายๆ ทิศทาง ผมคิดว่าน่าที่จะมีการประนีประนอมกันในเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง หลายๆ อย่างที่ผมคิดว่าน่าที่จะต้องเดินหน้าต่อไป แล้วก็หาทางที่จะทำให้ทุกๆ ฝ่ายเข้าใจว่าต้องร่วมมือกันเพื่ออนาคตของประเทศไทย แต่ไม่ใช่เพื่อเสริมบารมี หรือเสริมอีโก้ของคนใดคนหนึ่งเท่านั้นเอง


ท่านผู้ชมครับ เมื่อกลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา มันมีเรื่องที่ถกเถียงกัน โต้เถียงกัน มีความขัดแย้งกันในสภา มีอยู่สองเรื่องสำคัญ เรื่องแรกคือ กัญชา ซึ่งก็ถูกบังคับให้ถอนร่าง พ.ร.บ.กัญชา ออกมา แล้วก็มีการโวยวายกันว่ามีการเตะตัดขาทางการเมือง แล้วคนเตะตัดขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ที่กำลังสูญเสียคะแนนเสียงจากคนที่นิยมกัญชา ตลอดไปจนถึงพรรคพลังประชารัฐเองบางส่วนก็ไม่เอาด้วย แต่อีกเรื่องหนึ่งนั้น คือเรื่องของ กยศ. มีดรามาเกิดขึ้นมาก คือเงินกู้ กยศ. ที่ปลอดดอกเบี้ย

กยศ. เดิมทีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ 218 ต่อ 109 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือเรียกสั้นๆ ว่า พ.ร.บ. กยศ. มาตรา 17 แก้ไขมาตรา 44 ของพระราชบัญญัติฉบับเดิม ก็คือพูดง่ายๆ ว่า การแก้ไขครั้งนี้มีคนที่เสนอมาว่าให้คิดดอกเบี้ยแค่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งที่ประชุมสภาฯ ลงมติไม่เห็นด้วย ทีนี้มีคนสงวนความเห็นไว้หกกลุ่ม สองกลุ่มอยู่ในพรรคประชาชาติ ขอถอนออกไป ทำให้เหลือสี่กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มของนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส. พรรคเพื่อไทย ลพบุรี เสนอให้ชำระคืนเฉพาะเงินต้น ไม่มีดอกเบี้ย จะจ่ายทั้งจำนวนหรือผ่อนชำระก็ได้ กลุ่มที่สองคือกลุ่มของนายประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ชำระคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยคิด 1 เปอร์เซ็นต์ หรือร้อยละ 1 บาทต่อปี

สาม กลุ่มของนายจุมพล นิติธรางกูร กฤษฎีกา และนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุน กยศ. เสนอให้เก็บดอกเบี้ย 2 เปอร์เซ็นต์ เก็บเบี้ยปรับล่าช้า 1 เปอร์เซ็นต์ คือทำตัวเหมือนธนาคารเป๊ะเลย ก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะนายจุมพล เป็นตัวแทนจากกฤษฎีกา และนายชัยณรงค์ เป็นผู้จัดการกองทุน กยศ. กลุ่มที่สี่เป็นกลุ่มของนายณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอให้เก็บดอกเบี้ย 1 เปอร์เซ็นต์ และเก็บเบี้ยปรับล่าช้าด้วย 1 เปอร์เซ็นต์

วันนั้นก็ถกเถียงกันหนัก คือลงมติออกมา ในที่สุด เสียเวลาเป็นชั่วโมง เสียเวลาไปครึ่งวัน ก็มีมติออกมา ก็คือข้อเสนอกลุ่มนายอุบลศักดิ์ กลุ่มที่หนึ่ง ชนะ เท่ากับว่าผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้อีกต่อไป แต่กฎหมายฉบับนี้ยังไม่จบ เพราะยังต้องผ่านการกลั่นกรองของสมาชิกวุฒิสภาอีก 250 คน ถ้าวุฒิสภาเห็นด้วยก็จบ แต่ถ้าระบุให้แก้ไข ก็ต้องส่งกลับไปที่สภาฯ ซึ่งอาจจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการสองฝ่ายเข้ามาว่ากันไป


ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นคือ หลังจากมีมติออกมา มีทั้งกลุ่มคนที่เห็นด้วย และคนที่ไม่เห็นด้วย เข้าใจว่าหลายท่านห่วงใยปัญหาของ กยศ. ในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีบางคนเรียนจบมาแล้วเบี้ยวหนี้ ไม่จ่ายเงิน มีเรื่องมีราวขึ้นศาล บางคนถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดก็มี ถ้าเอาจากคนกู้ไม่ได้ ก็ไปเอาจากคนที่ค้ำประกัน

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ตามข้อมูล กยศ. บอกว่าลูกหนี้ กยศ. มีทั้งหมด 6.2 ล้านราย ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ทั้งอาชีวะ มหาวิทยาลัย หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นฐานเสียงคนรุ่นใหม่ แบ่งเป็น ภาคอีสานมากที่สุด 2 ล้านราย เป็นเงินกู้ 2 แสนล้านบาท ภาคเหนือ รองลงไป 1.1 ล้านราย คิดเป็นเงินกู้ 1.2 ล้านบาท ภาคใต้ 9.9 แสนราย คิดเป็นเงินกู้ 1.1 แสนล้านบาท กรุงเทพฯ และปริมณฑล 8.6 แสนราย คิดเป็นเงินกู้ 1.2 ล้านบาท ภาคกลาง 6.2 แสนราย คิดเป็นเงินกู้ 6.6 หมื่นล้านบาท ภาคตะวันออก 4.2 แสนราย คิดเป็นเงินกู้ 4.6 หมื่นล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ ผลการลงมติครั้งนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า บรรดานักการเมือง พรรคการเมืองส่วนใหญ่สนับสนุนร่างกฎหมาย กยศ. เกือบทั้งหมด เพราะว่าทุกคนประเมินว่าลูกหนี้ กยศ. ทั้งที่เคยกู้ และผ่อนอยู่ขณะนี้ กำลังใช้บริการเงินกู้หลายล้านคน ซึ่งในทางการเมือง การได้ใจคนส่วนใหญ่กลุ่มนี้ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ย่อมส่งผลต่อคะแนนเสียงอย่างมีนัยสำคัญ

ท่านผู้ชมครับ ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกเลย เพราะสภาฯ ผ่านร่างกฎหมาย ทางพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือว่าเป็นพรรคที่แอกทีฟที่สุดในการเตรียมเลือกตั้งสมัยหน้า ออกมาแถลงขอบคุณ และคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ระบุจุดยืนชัดเจนว่า การแก้กฎหมายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาปลอดดอกเบี้ย คุณอนุทิน บอกว่าให้มองจากมุมมองของประชาชน อย่าไปมองจากมุมมองของผู้กู้ คุณอนุทิน บอกว่า ผมเคยลงพื้นที่ พบว่ามีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องหลุดไปจากระบบการศึกษา เพราะความยากจน บางครอบครัวพี่ต้องเสียสละให้น้องเรียน เพื่อที่พี่จะมีเวลาไปหาเงินมาจุนเจือครอบครัว คุณอนุทินบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ที่ถูกต้องคือประชาชนควรมีโอกาสได้รับการศึกษาให้มากที่สุด ความรู้ติดตัวมันไม่สูญเสีย ไม่บุบสลาย มันเป็นโอกาสทำให้คนได้ก้าวหน้า เป็นทรัพยากรของชาติ ประชาชนยิ่งความรู้มาก ย่อมเป็นทรัพยากรที่ดีเยี่ยมของชาติ หลายประเทศให้ความร่วมมือเรื่องนี้

คุณภราดร ปริศนานันทกุล พรรคภูมิใจไทย ส.ส. อ่างทอง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า พรรคภูมิใจไทยยืนยันจุดยืน 4 ข้อ หนึ่ง คนเป็นหนี้ต้องใช้หนี้ สอง ดอกเบี้ยต้องเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ สาม ต้องไม่คิดเบี้ยปรับ สี่ ต้องไม่มีผู้ค้ำประกัน โดยผู้กู้เป็นผู้ค้ำประกันด้วยตัวเอง


ท่านผู้ชมครับ คุณภราดร บอกว่ากองทุน กยศ. มีมูลค่า 3-4 แสนล้านบาท ถ้าผู้บริหาร กยศ. บริหารจัดการได้ดี จะทำให้กองทุนฯ ยืนหยัดต่อไปได้ และเชื่อว่าผู้กู้ไม่มีใครตั้งใจจะเบี้ยวหนี้ พร้อมชำระตามกำหนดเวลา เรื่องนี้คุณภราดร บอกว่า พรรคภูมิใจไทยเสนอเรื่อง กยศ. ตั้งแต่ปี 2557 แล้วก็เดินหน้าต่อ คือต้องไม่มีผู้ค้ำประกัน เหลืออีกสองเรื่องคือ ไม่มีดอกเบี้ย และไม่มีเบี้ยปรับ

ทีนี้ พอออกมาในรูปแบบนี้ก็เลยเกิดดรามาขึ้นมาทันทีเลย เพราะว่าการไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเบี้ยปรับ การยกเลิกการเก็บดอกเบี้ย นิด้าโพลเคยทำมา 55.18 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า เห็นด้วยมาก เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ผู้กู้ยืมเงินจาก กยศ. เป็นการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ขณะที่บางส่วนระบุว่า เป็นการช่วยลดภาระสำหรับผู้ที่ตกงานหรือว่างงาน 18.22 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย มีที่ไม่เห็นด้วยอยู่ 17.61 เปอร์เซ็นต์ และไม่ค่อยเห็นด้วยอีก 8.99 เปอร์เซ็นต์ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าไม่ควรจะมีดอกเบี้ยและไม่มีค่าปรับ


ทีนี้ การยกเลิกคิดเบี้ยปรับผิดนัดชำระหนี้ของผู้กู้ยืม พบว่า 42.76 เปอร์เซ็นต์ เกือบครึ่งหนึ่งตามนิด้าโพล ระบุว่า เห็นด้วยมาก เพราะเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ที่กู้ยืมเงินจาก กยศ. เป็นการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่กำลังว่างงาน มีรายได้ไม่เพียงพอจะจ่าย 23 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าไม่เห็นด้วย 19.06 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าค่อนข้างเห็นด้วย เพราะเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย สรุปง่ายๆ ว่า ผู้ที่ค่อนข้างเห็นด้วย 19.06 เปอร์เซ็นต์ กับผู้ที่เห็นด้วยมาก 42.76 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 61 เปอร์เซ็นต์กว่า เห็นด้วยว่าไม่ควรจะเสียค่าปรับและดอกเบี้ย

ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกหนี้ คือหนี้ อย่างไรก็ต้องจ่าย เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องของการที่ยกเลิกหนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเลย แต่ถ้าไม่คิดดอกเบี้ยและไม่เสียค่าปรับ ทุกคนเห็นด้วย

ทีนี้พอมาถึงขณะนี้แล้ว เราก็ต้องมาดูว่าจุดยืนของพรรคการเมืองแบ่งออกเป็นสองฟากจริงๆ เท่าที่เช็กผลการลงมติพบว่าในวันนั้น ส.ส. ที่ลงมติเห็นด้วยส่วนใหญ่จะเป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย แต่ไม่ใช่ตั้งพรรค เพราะมีไม่น้อยที่ไม่ลงคะแนนเสียง พรรคภูมิใจไทยแทบจะทั้งพรรค พรรคประชาชาติไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจไทย ก็มี แต่แปลกอย่างหนึ่งคือ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กลับไม่ลงคะแนนเสียงเลย


ที่มีลงมติไม่เห็นด้วยกับที่ให้ยกเลิกเบี้ยปรับและดอกเบี้ย มีพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์

สำหรับปฏิกิริยาที่ออกมา มองดูฝ่ายที่เห็นด้วยอย่างพรรคภูมิใจไทย ชี้ให้เห็นว่า เงินกู้ยืม กยศ. นั้น จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 28 มีนาคม 2538 ยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 26 เกือบ 27 ปี กยศ. เป็นกองทุนขนาด 3-5 แสนล้านบาท มีรายได้ 3 ทาง คือ หนึ่ง กำไรจากการฝากธนาคารประมาณ 600-800 ล้านบาท สอง กำไรจากเบี้ยปรับ สาม ดอกเบี้ย คือถ้ามองอย่างนี้ กำไรจากการฝากธนาคาร ปีละ 600-800 ล้านบาท น่าจะเป็นค่าใช้จ่าย เอามาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร กยศ. ได้ โดยที่ไม่มีเบี้ยปรับและดอกเบี้ยก็ยังอยู่ได้ รายได้ดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ 5-6 พันล้านบาท เป็นรายได้หลักเลย

จุดที่ผมอยากจะชี้ให้เห็น ที่เป็นปัญหา ก็คือ กยศ. มีรายได้หลักจากผู้ที่ไม่ค่อยมีทรัพยากรเป็นฐานทุน เพราะผู้ที่ไปกู้ กยศ. ไม่ใช่คนร่ำรวย เป็นคนจน แต่อยู่ในระบบที่มันบิดเบี้ยว คือพูดง่ายๆ ว่า คุณสมบัติผู้กู้ยืม กยศ. ต้องมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 360,000 บาทต่อปี หรือ 30,000 บาทต่อเดือน หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ศึกษาในสาขาวิชาที่มีความต้องการหลักของประเทศ


ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้ว กยศ. ควรตัดคำว่า "ก" ออก ให้เหลือเฉพาะ "ยศ." คือ กองทุนเงินให้ยืมเพื่อการศึกษา เสียด้วยซ้ำ กยศ. เป็นกองทุนที่มีความมั่นคงสูง มีวิธีการนำเงินทุนไปลงทุนอยู่แล้ว อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ สามารถจะมีรายได้โดยไม่ต้องไปเก็บดอกเบี้ยและเบี้ยปรับจากผู้ยากจน จริงๆ แล้ว กยศ. ไม่ควรจะเก็บค่าปรับหรือดอกเบี้ยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะ กยศ. เอาเงินไปลงทุนด้านอื่นได้ แล้วก็มีผลตอบแทนที่ดี ลำพังแค่ดอกเบี้ยอย่างเดียว ปีละตั้ง 600-800 ล้านบาท เอาเฉพาะแค่ดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเดียว แล้วยิ่งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมันขึ้นด้วย รายได้ กยศ. ก็จะต้องเพิ่มพูน เพราะฉะนั้น กยศ. ไปคิดเบี้ยปรับและไปคิดดอกเบี้ยทำไม

ที่ผ่านมา ทุกพรรคการเมืองเสนอเรื่องการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การเรียนฟรี ทีนี้พอหลังจากกฎหมายนี้ผ่านสภาฯ พรรคภูมิใจไทยก็เลยผลักดันนโยบาย ใช้ชื่อนโยบายว่า "พักหนี้ประชาชน" พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่ง 3 ปีนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากโควิด


จากฝ่ายที่เห็นด้วย มาดูฝ่ายคัดค้าน ต่อต้าน พรรคที่ออกดรามามากที่สุดเลยก็คือพรรคประชาธิปัตย์ คุณชวนเอง ประธานสภาฯ ท่านบอกว่า ต่อไปถ้าไม่มีรายได้ไว้บริหารเลย และไม่คิดเงินค่าปรับดอกเบี้ย การไม่คิดทำให้คนที่ผิดนัดไม่ต้องเสียค่าปรับ แทนที่จะจ่ายตามกำหนดเวลา จะยืดเยื้อ จะไม่จ่าย เงินเข้ามาหมุนไม่ทัน ซึ่งอันนี้ไม่ใช่เลยครับท่านผู้ชม คุณชวนเข้าใจอะไรผิดเยอะมากเลย กยศ. มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก 600-800 ล้านบาทต่อปี ตีง่ายๆ ว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือน ก็ประมาณเดือนละ 60-70 ล้านบาท สามารถจะบริหารงาน กยศ. ได้ นี่ยังไม่นับการที่ กยศ. สามารถจะเอาเงินที่มีอยู่ ไปลงทุนทางด้านอื่น เหมือนกับกองทุน กบข. เช่นกัน เมื่อลงทุนไปแล้ว ลงทุนอย่างระมัดระวัง ต้องมีกำไรแน่นอน เมื่อมีกำไรแน่นอนแล้ว มันเอามาทดแทนค่าดอกเบี้ยและค่าเงินปรับ

พวกเราต้องไม่ลืมนะ ท่านผู้ชม คนที่กู้เงิน กยศ. คือคนจน คนจนไม่ได้มีเงินเดือนประจำ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกหาเช้ากินค่ำ ลูกอยากเรียนหนังสือ พ่อแม่ไม่มีเงิน ก็ไปติดต่อกู้ กยศ. มา ตรงนี้เราลืมไม่ได้ และผมไม่อยากให้คุณชวน หลีกภัย ลืมด้วย ในเรื่องตรงนี้ เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ในกรอบตลอดเวลา กรอบประเภทโบราณๆ มิหนำซ้ำ คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งเป็นสายตรงคุณชวน


ก็บอกว่าในที่ประชุมพรรควิตกว่า หากถือเอาความถูกใจอย่างเดียว แต่ลืมไปว่า กยศ. คือกองทุนหมุนเวียน จึงจำเป็นต้องมีเงินหมุนเวียนเพื่อให้เด็กกู้ยืมได้ต่อไป

คุณสาทิตย์พูดเท่เลย ถ้ายกเลิกดอกเบี้ยไปแล้ว กองทุนนี้จะไม่เป็นกองทุนหมุนเวียน ซึ่งจะเป็นปัญหามาก จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ คือต้องให้กองทุน กยศ. เป็นกองทุนหมุนเวียนต่อไป ส่วนจะเก็บอัตราดอกเบี้ยจำนวนเท่าใด สามารถพูดคุยกันได้ ถ้ากองทุน กยศ. จะไม่ได้เป็นกองทุนหมุนเวียนอีกต่อไป จะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เพราะจะกระทบถึงงบประมาณ


ยังมีคุณรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาลจากพรรคประชาธิปัตย์ ยังพูดต่อว่า แต่ละปีจะมีสภาพคล่องที่ได้รับจากการชำระหนี้เงินกู้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เป็นอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับประมาณ 6 พันล้านบาท รายได้ 4 หมื่นล้าน อัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ 6 พันล้านบาท เท่ากับว่าประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ มีค่าใช้จ่ายการจัดการกองทุนประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี เมื่อไม่มีดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ รายได้รับส่วนนี้จะหายไป คุณรัชดาครับ ไม่จริงครับ ทำไมคุณรัชดาไม่ถามว่า ค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการกองทุนฯ ปีละ 2 พันล้านบาท บริหารจัดการให้มันประหยัดกว่านี้ได้ไหม ให้มันตกที่ไม่เกิน 1 พันล้านบาท ทำได้ไหม ผมคิดว่ากองทุน กยศ. และหน่วยงานที่ทำงาน กยศ. อยู่ จำเป็นจะต้องถูกการตรวจสอบ เพราะคุณมีหน้าที่ที่จะต้องปล่อยเงินกู้ให้กับคนที่กู้เงินไปเรียนหนังสือ ให้คนจนเอาเงินไปเรียนหนังสือ และพวกคุณใช้เงินในการบริหารจัดการกองทุนฯ ปีละตั้ง 2 พันล้านบาท เดือนละเกือบ 2 ร้อยล้านบาท ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะต้องตั้งข้อสงสัยว่าทำไมกองทุน กยศ. ถึงบริหารจัดการด้วยเงินที่แพงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ก็คงไม่พูดอย่างนี้


คุณราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าบางพรรคพยายามสวมรอย พยายามชูโครงการ กยศ. เสมือนว่าเป็นพรรคที่คิดและทำ คือกำลังด่าว่า กระทบกระเทียบพรรคภูมิใจไทย แล้วก็เหน็บต่อ อวยต่อว่า โครงการนี้เกิดขึ้นสมัยคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างคนเก่ง คนดี มีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อประเทศในวันข้างหน้าและประสบความสำเร็จ ประชาชนยังจำได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยตกใจที่พรรคอื่นกำลังมาสวมรอยทำต่อ ประชาชนทราบดี คุณราเมศครับ ขออนุญาตนะครับ อย่าโกรธผม ถ้าคุณพูด พูดให้จบสิครับ พรรคประชาธิปัตย์คือพรรคที่เปิดประตูให้ฝรั่้งสมัยยุคคุณชวน เป็นนายกฯ คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามา และพรรคประชาธิปัตย์เป็นคนที่สร้าง ปรส. ให้ฝรั่งเข้ามาปล้นคนไทย คุณราเมศ ถ้าคุณพูดผลงานพรรคประชาธิปัตย์ คุณต้องพูดเรื่องนี้ด้วยสิ

ตอนนั้นประเทศไทยเจ๊งพินาศฉิบหายวายป่วง แล้วโตขึ้นมา เกิดขึ้นมาช้า ก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์ โดยคุณชวน เป็นนายกรัฐมนตรี คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนตั้ง ปรส.


แล้วอัญเชิญบรรดาพวกกองทุนอีแร้งทั้งหลายของอเมริกามาดูดทรัพย์สมบัติของคนไทยในราคาที่ถูก เสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกกฎหมายกีดกัน ไม่ให้คนไทยมาประมูลหนี้คืน ให้ฝรั่งประมูลหนี้ได้ในมูลค่า 50 เปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์ ของมูลหนี้ทั้งหมด แล้วฝรั่งก็เอามูลหนี้ที่จ่ายเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เอามาคิดคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ นี่คือฝีมือพรรคประชาธิปัตย์ ทำไมคุณราเมศไม่พูดเรื่องนี้บ้างล่ะ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ถ้าจะดรามาทั้งที ผมก็ดรามาเพิ่มเติมให้ก็ได้ อย่ามาเอาความดีใส่ตัวเอง เอาความชั่วใส่คนอื่น

ท่านผู้ชมครับ การที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดเบี้ยปรับ จะทำให้ กยศ. ไม่มีรายได้ไว้บริหาร อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ กยศ. ใช้เงินขนาด 2 พันล้านต่อปี ในการบริหาร ถึงขนาดนั้นเลยหรือ ถึงขนาดต้องแสวงหารายได้จากเบี้ยปรับ-ดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณเป็นอย่างนี้ คุณก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับคนที่ให้กู้เงิน ไม่ต่าง แต่ กยศ. ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยคนจนให้ได้เรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ควรจะคิดดอกเบี้ยและไม่ควรจะมีเบี้ยปรับ แต่หนี้ต้องจ่ายคืนหมดทุกอย่าง การเรียกเก็บดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับในสภาวะปกติ เศรษฐกิจไทยพอไปได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่ผ่านมาบ้านเราเผชิญโควิด-19 มาสามปี เป็นการทั้งโลก เด็กที่เรียนไม่จบในช่วงนั้นติดหล่มกับปัญหานี้ยาวนาน ขณะที่เบี้ยปรับและดอกเบี้ยมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่เราไปกระทืบเขาซ้ำอีกหรืออย่างไร

ที่สำคัญตอนนี้ กยศ. เป็นเพียงปัญหายอดภูเขาน้ำแข็ง ยังมีหนี้สินอีกมากมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน อะไรบ้างล่ะ ? หนี้สินเกษตรกร หนี้สินผลกระทบโควิด-19 ต้องกลายเป็นคนตกงาน ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย ดอกเบี้่ยที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันกับเรื่องหนี้ กยศ. ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์อย่ามาดรามา เรียกคะแนนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ เพราะตามหลักแล้ว เป็นหนี้ก็ต้องจ่ายเหมือนเดิม เขาไม่ได้หมายความว่าจะยกหนี้ให้ ต้องจ่ายให้เหมือนเดิม จะจ่ายมาก จ่ายน้อย เอาเท่าที่พอจ่ายไหว เพราะผู้กู้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เป็นคนหาเช้ากินค่ำ เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่คิดจะหารายได้จากดอกเบี้ย จากเบี้ยปรับ คิดแบบพรรคประชาธิปัตย์นี่คิดแบบไม่ต่างจากธนาคาร พวกสินเชื่อ พวกเงินกู้ พยายามโขกดอกเบี้ย ไปรีดเลือดกับปู กับทางการศึกษากับเยาวชน กับเด็กจบใหม่จริงๆ หรือ


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ทุกๆ ปีประเทศไทยมีเด็กจบใหม่เท่าไร พรรคประชาธิปัตย์รู้ไหม ? เป็นลูกหลานเราทั้งนั้น เรียนจบการศึกษาระดับต่างๆ เข้ามาทำงานตลาดแรงงานเฉลี่ยปีละ 5 แสนคน ในช่วงสามปีที่โควิดอยู่ ยอดขึ้นเป็น 1.5 ล้านคน ที่ผ่านมา ยากลำบากมากในการทำงาน หางานด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่

ท่านผู้ชมครับ พี่น้องประชาชนที่กู้หนี้ กยศ. ครับ ตอนนี้ท่านรู้แล้วใช่ไหมว่า เงินหนี้ กยศ. ถึงจะเป็นพรรคการเมืองที่แสวงหาเสียงจากประชาชน แต่จุดยืนของพรรคการเมืองที่แสวงหาเสียงจากประชาชน ก็เป็นจุดยืนที่บรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนที่กู้เงิน กยศ. โดยไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดเบี้ยปรับ แต่พรรคประชาธิปัตย์บอก ไม่ได้ ต้องคิด ไม่คิดไม่ได้ ไม่คิดแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาบริหารกองทุนฯ ฟังดูก็ดี ตอนนี้ท่านผู้ชมรู้แล้วใช่ไหมว่า ใครบ้างที่ไม่เห็นด้วย ที่ต้องการจะกระทืบท่านผู้ชมด้วยดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กู้ กยศ. นั่นคือพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ต้องบอกต่อนะครับ ท่านผู้ชม ว่าท่านควรจะตัดสินใจอย่างไรบ้างในอนาคตข้างหน้า



ท่านผู้ชมครับ เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา มีรายงานธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าการระบาดโควิด-19 กระทบต่อตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กจบใหม่ จำนวนคนจบใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้น เฉพาะไตรมาสที่สอง ปีที่แล้ว มีจำนวนถึง 2.9 แสนคน โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา แม้ปัจจุบันการว่างงานโดยรวมจะทุเลาลงบ้าง แต่ยังสูงอยู่

การว่างงานเด็กจบใหม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุกภูมิภาค กลุ่มบัณฑิตที่จบที่ภาคเหนือ อีสาน และ ใต้ ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน และว่างงาน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 80 เปอร์เซ็นต์ 73 เปอร์เซ็นต์ และ 67 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2019 เป็นช่วงก่อนโควิด ท่านผู้ชมครับ พรรคประชาธิปัตย์ครับ พรรคภูมิใจไทยครับ นักการเมืองทั้งหลายครับ ฟังข้อมูลผมสักนิด

ในต่างประเทศเขามีการทำวิจัยขึ้นมา ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของอเมริกา เขาเคยมีการตีพิมพ์ผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเด็กจบใหม่ที่ตกงานในช่วงเศรษฐกิจที่ตกต่ำไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า งานวิจัยชื่อ "Recession Graduates : The Long-Lasting Effects of an Unlucky Draw" หรือแปลเป็นไทย คือ เรียนจบในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ผลกระทบที่ยาวนานของคนโชคร้าย


เขาระบุว่า คนที่เริ่มทำงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างเช่น หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตล่าสุด คือ โควิด-19 ซึ่งกินระยะเวลายาวนานเกือบสามปี จะส่งผลกระทบต่อคนที่ตกงานในช่วงนั้นอย่างน้อย 10-15 ปี นอกจากนั้นแล้ว ยังส่งผลกระทบในเรื่องสถานภาพทางสังคม สุขภาพ และอัตราการเสียชีวิต

พูดง่ายๆ ว่า ผู้ที่เรียนจบออกมาในช่วงเศรษฐกิจแย่นั้น นอกจากจะกระทบเรื่่องการหางานทำ เรื่องรายได้ ความก้าวหน้าในอาชีพแล้ว ยังส่งผลกระทบเกี่ยวกับค่าเฉลี่ยของสุขภาพที่แย่กว่าคนที่เรียนจบในช่วงเศรษฐกิจดี ยังมีอัตราการตายที่สูงกว่าปกติ

ท่านผู้ชมครับ ผมจะถามว่าภาครัฐ หรือผู้ออกกฎหมาย ต้องมองเรื่องนี้ให้ออกไม่ใช่หรือ อย่าทำตัวเป็นข้าราชการ หรือเป็นพรรคข้าราชการเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เอามาตรการปกติมาบังคับใช้ในช่วงไม่ปกติ แล้วยืนกระต่ายขาเดียว คืออ้างว่าการไม่คิดดอกเบี้ย กยศ. เป็นการบ่มเพาะนิสัย หรือสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้กับลูกหนี้

ผมถามกลับหน่อยว่า โครงการประชานิยมของพวกคุณ ที่เห็นได้ชัดคือการประกันราคารายได้เกษตรกร คุณใช้เงินมหาศาลเลย 3-4 ปี ไม่ต่ำกว่าปีละ 3-4 แสนล้านบาท จริงๆ แล้วไม่ใช่นโยบายการซื้อเสียงล่วงหน้าหรืออย่างไร ที่คุณทำ หรือการเพาะบ่มนิสัย พฤติกรรมที่ไม่ดี ให้กับประชาชนชาวเกษตรกรหรืออย่างไร

สรุป ท่านผู้ชมครับ ประเด็นเรื่องหนี้ กยศ. ภาระหนี้ผูกพันที่เกิดจากการศึกษาและการว่างงานของเด็กจบใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการเกิดช่องว่างของทักษะการทำงาน คือหากเด็กจบใหม่เหล่านี้ว่างงานติดต่อกันยาวนานถึง 2-3 ปี จะทำให้พวกเขาเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ยากมากขึ้น เหมือนกับเด็กที่จบแล้วตกงานมา 3 ปี แล้วเข้าตลาดแรงงานได้ในปีที่สี่ เงินเดือนก็จะได้น้อยกว่าเด็กที่ทำงาน ทั้งๆ ที่เพิ่งจบมาเหมือนกัน

ประกอบกับกลุ่มเด็กจบใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานอีก 5 แสนคนในแต่ละปี ทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตยิ่งน่ากังวลมากขึ้น เรื่องนี้ทางภาครัฐ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ต้องมองให้ทะลุนะครับ รวมทั้งกระโดดลงมาแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เอามาชนะคะคานกันทางการเมืองให้ตัวเองดูเท่ ว่าเสียวินัยทางการเงินถ้าไม่คิดดอกเบี้ย ถ้าไม่มีค่าปรับ ทำให้ตัวเองดูเท่ คุณต้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม แก้เพื่ออนาคตลูกหลาน เพื่อประเทศชาติ ทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อให้คุณได้คะแนนเสียง ให้เขาชมคุณว่าคุณนี่เท่จริงๆ ที่บอกให้ทุกคนต้องมีวินัยทางการเงิน งานที่พวกคุณทำหลายงาน โคตรจะไม่มีวินัยทางการเงินเลย ผมขี้เกียจจะพูด และนี่คือความคิดเห็นของผมในเรื่อง กยศ. ครับ ใครที่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจนที่ไม่มีเงินเรียน แล้วต้องกู้เงินเรียน แล้วฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ต้องคิดดอกเบี้ย และไม่คิดค่าปรับ คิดแต่เงินต้น แต่ต้องใช้คืนหนี้ กับอีกฝ่ายหนึ่ง ดรามาบอกว่าต้องคิดดอกเบี้ย คิดค่าปรับ ไม่อย่างนั้นแล้ววินัยทางการเงินจะเสียหายหมด ฝ่ายหลังนี่คือพรรคประชาธิปัตย์ ท่านผู้ชมที่กู้เงิน กยศ. พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าพรรคไหนบ้างที่ยืนข้างประชาชน ท่านผู้ชมครับ ผมมีความเห็นของผมเพียงแค่นี้เอง



หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีประเด็นเศรษฐกิจน่าสนใจในหมู่นักธุรกิจ นายแบงก์ คนนำเข้า-ส่งออก ภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งคนที่เตรียมตัวไปเที่ยวต่างประเทศ พูดกันหนาหูมาก คือ ประเด็นของค่าเงินบาท

ข้อมูลทั้งหมดที่ผมเอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนั้น ผมเอามาจากหลายแหล่ง รวมทั้งการค้นคว้าของผมเองด้วย เอามาจากเพจเฟซบุ๊กของคุณทนงแฟนคลับ เอามาจากข้อความที่เฟซบุ๊ก ดร.อาร์ม หรือ ดร.อัครเวช โชตินฤมล รวมทั้งเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม และการศึกษาของผมด้วยตัวเอง ก็ต้องเรียนเล่าให้ฟังก่อนว่า ข้อมูลต่างๆ ที่ผมเอามาเล่าให้ฟังนี้ ผมเอามาจากไหน


28 กันยายน 2565 เงินบาทแตะระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ ท่านผู้ชมครับ ไม่เคยมีระดับนี้เกิดขึ้นในรอบสิบหกปีสองเดือน นับตั้งแต่วัน 26 กรกฎาคม 2549

การอ่อนค่าของเงินบาทมีผลมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า เฟด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินสกุลต่างๆ อ่อนค่าลงตามไปด้วย ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ค่าเงินบาทอ่อนยวบลงอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างแรง คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือเรียกชื่อย่อว่า กนง. ได้มีมติเอกฉันท์ให้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาเพียง 0.25 เปอร์เซ็นต์ จาก 0.75 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้กลายเป็น 1 เปอร์เซ็นต์แล้ว โดยให้มีผลทันที

ช่วงก่อนประกาศผลการประชุม ค่าเงินบาทแตะอยู่ที่ 38.15 บาทต่อดอลลาร์ แล้วก็ไหลต่อเนื่องลงมาที่ 38.43 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงใกล้ปิดตลาด

21 กันยายน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.75 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ผลทำให้ดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดปรับมาอยู่ที่ 3-3.25 เปอร์เซ็นต์ สูงมากท่านผู้ชม สูงที่สุดตั้งแต่สิบสี่ปีที่แล้ว ดอกเบี้ยสูงมาก


นอกจากนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด มีท่าทีแข็งกร้าว นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ถึงกับบอกว่า จะดันดอกเบี้ยนโยบายต่อไปถึงระดับ 4.75-5 เปอร์เซ็นต์ ในปีหน้า (2566) ถึงแม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 4.4 เปอร์เซ็นต์ อาจจะทำให้การเจริญเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 0.2 ในปีหน้า ทั้งหมดที่เฟดต้องการทำ คือ กดเงินเฟ้อให้ลงอยู่ในระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ ตามแผนในปี 2568 ทำไมต้องกดเงินเฟ้อ ? เพราะว่าถ้ากดไม่ได้ เงินดอลลาร์จะเสื่อมค่ามาก ทุกวันนี้เงินดอลลาร์ ตรงกันข้ามกับความแข็งของเงินดอลลาร์มีอยู่ แต่ซื้อของไม่ได้ เพราะเงินดอลลาร์มันเสื่อมค่ามาก


ไม่ต้องสงสัยหรอกครับท่านผู้ชม ด้วยทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ของอเมริกา ส่งผลทำให้เศรษฐกิจที่ผูกพันอยู่กับเศรษฐกิจอเมริกาและค่าเงินดอลลาร์อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจไทย เงินบาท ถึงแม้ว่าตอนนี้เงินบาทจะเด้งกลับมาที่ 37 บาทกว่าๆ แล้ว แต่ยังมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงในระยะยาว เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ยืนยันด้วยการขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ คือประธานเฟดยืนยันชัดเจนอย่างแข็งกร้าว ไม่ใช่พูดธรรมดานะ แข็งกร้าว ว่าเขาจะขึ้นดอกเบี้ยไปจนกระทั่งเงินเฟ้อมันลด ทีนี้การขึ้นดอกเบี้ยแบบนี้ มันจะต้องสูงถึง 4 กว่าๆ เปอร์เซ็นต์ อาจจะถึง 5 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ ซึ่งน่าตกใจมาก

เศรษฐกิจญี่ปุ่น เงินเยน เศรษฐกิจอังกฤษ เงินปอนด์ มีเศรษฐกิจที่เปราะบาง ค่าเงินที่อ่อนยวบยาบ อ่อนเป็นประวัติการณ์ตามๆ กันไปหมด ผมเอาข่าวบางข่าวให้ท่านผู้ชมดูนะครับ ค่าเงินเยนอ่อนที่สุดในรอบยี่สิบสี่ปี


วันพุธที่ 28 กันยายน ค่าเงินเยนกลับมาอ่อนค่าเหมือนเดิม หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงการเงินเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน แค่ 7 วันที่แทรกแซง เงินเยนก็กลับมาอ่อนเหมือนเดิม แทรกแซงไม่ได้ จะไปสู้เจ้ามือได้อย่างไร ก็เจ้ามือคือเฟด มันคุมเรื่องดอลลาร์ไว้ มันนึกจะพิมพ์ออกมันก็พิมพ์ออกมา มันนึกจะเรียกกลับโดยออกพันธบัตรเพื่อดูดเงินกลับ มันก็ทำ เพราะฉะนั้นแล้ว ค่าเงิน ขนาดญี่ปุ่นยังทำอะไรไม่ได้เลย ยังเจ็บตัวเลย แล้วประเทศไทยที่คิดจะไปสู้ ขึ้นดอกเบี้ยแข่งกับอเมริกา เลิกคิดไปได้เลย

ท่านผู้ชม เรามาดูข้อมูลหน่อย 22 กันยายน 2565 ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงเงินเยนในรอบยี่สิบสี่ปี เพราะว่าค่าเงินเยนมันอ่อนมาก ก็เลยทำให้ค่าเงินเยน ตอนนั้นอยู่ระดับ 145.37 เยนต่อดอลลาร์ ผลการแทรกแซงของค่าเงินเยน ทำให้เงินเยนแข็งมาอยู่ที่ระดับ 141.71 เยนต่อดอลลาร์ แทรกแซงเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ยังคงระดับดอกเบี้ยนโยบาย คือญี่ปุ่นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ -0.1 เปอร์เซ็นต์ สวนทางกับธนาคารกลางอเมริกาซึ่งปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75 ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้่ยระหว่างญี่ปุ่น-อเมริกา อยู่ที่ 3.35 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลง เพราะว่าคนก็ส่งดอลลาร์กลับไปที่อเมริกา เพื่อไปกินดอกเบี้ยที่สูงกว่า


นักลงทุนคาดการณ์ว่าการเข้าแทรกแซงในครั้งนี้ ญี่ปุ่นใช้เงินถึง 3 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 788,298 ล้านบาท ครั้งนี้ญี่ปุ่นต้องถือว่าทุ่มสุดตัว หวังฟื้นฟูค่าเงินเยนให้อ่อนค่าน้อยลง แต่ผ่านไปไม่กี่วัน หลังญี่ปุ่นแทรกแซงค่าเงินเยนวันที่ 28 กันยายน เงินเยนกลับมาอ่อน กลับไปเหมือนเดิม คือ 144.37 เยนต่อดอลลาร์ ท่านผู้ชมครับ สู้ไม่ได้ เหมือนกับสมัยก่อนที่ค่าเงินบาทตก ก็เพราะนายจอร์จ โซรอส มาทุบค่าเงินบาท แล้วผู้ว่าฯ แบงก์ชาติสมัยนั้น คือคุณเริงชัย มะระกานนท์ ท่านเกิดฟิตขึ้นมา ท่านเอาเงินทุนสำรองดอลลาร์ของเราไปสู้กับมัน ผลปรากฏว่าเราเจ๊ง นี่คือบทเรียนที่ทุกคนจำได้ติดตา

จอร์จ โซรอส
ข้ามทะเลไปที่ฝั่งอังกฤษบ้าง เงินปอนด์อ่อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบสามสิบเจ็ดปี 26 กันยายน ค่าเงินสกุลปอนด์ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐมนตรีฯ คลังอังกฤษคนใหม่ ชื่อนายควาซี กวาร์เต็ง ประกาศลดภาษีครั้งใหญ่ในรอบห้าสิบปี ตามนโยบายหาเสียงของผู้นำอังกฤษที่ชื่อ ลิซ ทรัสส์ นักวิเคราะห์เขาดูว่าสาเหตุของค่าเงินที่ลดลงครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาล Conservatives อนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ วางแผนจะใช้เงินหลายพันล้านปอนด์ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคและธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูง ทำให้วิกฤตค่าครองชีพสาหัสมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เหล่านักลงทุนวิตกต่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลของกรุงลอนดอน อังกฤษมีแผนที่จะลดภาษีในเวลาเดียวกัน รัฐบาลจะจำกัดเพดานราคาค่าไฟและก๊าซธรรมชาติสำหรับครัวเรือนและธุรกิจเพื่อช่วยพยุงราคาที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากสงครามยูเครน

ายควาซี กวาร์เต็ง
ท่านผู้ชมครับ เงินเฟ้ออังกฤษขึ้นมาที่เท่าไร ? 9.9 เปอร์เซ็นต์ ผมว่าไม่เกินสิ้นปีนี้น่าจะ 10 หรือ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ น่าตกใจมาก นี่คือความพินาศฉิบหายของประเทศอังกฤษจริงๆ และประเทศที่เงินเฟ้อสูงขนาดนั้น

รัฐมนตรีคลังอังกฤษยังยอมรับว่าอังกฤษต้องกู้เงินอีกประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านปอนด์ เพื่อจะเอามาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนมา เพราะว่าอังกฤษถังแตกแล้ว


นโยบายของรัฐมนตรีคลังถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของรัฐบาล ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะกลาง นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่ามาตรการการลดภาษีของรัฐบาลอังกฤษจะไม่ได้ผล เนื่องจากประชาชนชาวอังกฤษจะต้องนำเงินไปจ่ายค่าพลังงานที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนการจดจำนองและการกู้ยืมที่สูงขึ้น

มีนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อหลายท่านคาดการณ์ว่าค่าเงินปอนด์ที่ร่วงลงอาจจะบังคับให้รัฐบาลอังกฤษต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า คือพูดง่ายๆ ว่า เขาบอกว่าดอกเบี้ยอังกฤษปีหน้าจะเป็นประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ สูงมาก ท่านผู้ชมครับ


ท่านผู้ชมครับ มาที่ไทยนิดหนึ่ง เงินบาทอ่อนค่า แบงก์ชาติควรแทรกแซงอีกไหม ? ท่านผู้ชมครับ เมื่อเฟด ธนาคารกลางอเมริกาตะบี้ตะบันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็ย่อมทำให้นโยบายเงินดอลลาร์ของอเมริกาแข็งค่าขึ้น เงินสกุลต่างๆ รวมทั้งเงินบาท ก็อ่อนค่าลงเป็นธรรมดา ผมเอง ส่วนตัวคาดการณ์ว่าเงินบาทน่าจะถึง 40 บาท ถ้าไม่สิ้นปีนี้ ก็ต้นปีหน้า ไตรมาสแรกของปีหน้า

พอเกิดสถานการณ์แบบนี้ มีการเรียกร้องคนบางกลุ่มให้รัฐบาลยันค่าเงินบาทไว้ที่ 35 บาท ไม่ให้สูงกว่านั้น ก็ได้รับเสียงคัดค้านจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญวงการธนาคาร นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ ว่า การเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเวลานี้อาจจะซ้ำรอยวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 หรือที่เราเรียกกันว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง ที่เรารู้จักกันดี

ผมมองแอกชันของ พล.อ.ประวิตร ในแง่ดี คือท่านต้องการจะบรรเทาความเดือดร้อนผู้ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทจริงๆ และเมื่อเอาเข้าจริงๆ ท่านก็ไม่ได้สั่งให้มีการแทรกแซงเงินบาทให้แข็งขึ้นมาอยู่ที่ 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เอาจริงๆ ทำไม่ได้ด้วย แล้วก็ไม่ควรทำ

ท่านผู้ชมครับ ประวัติศาสตร์มันสอนอะไรเราบ้าง ? วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้สอนเราแล้วว่า ในสภาวะเช่นนี้เราไม่ควรไปฝืน แต่แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คงต้องไปบริหารจัดการกันเองในแต่ละจุด ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ต้นทุนในการนำเข้าวัตถุดิบต่างๆ รวมไปจนถึงปัญหาหนี้ต่างประเทศที่ต้องแก้ปัญหาไปทีละจุดๆ

ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสม จะปรับหรือไม่ปรับ จะปรับเมื่อไร จะปรับเท่าใด รวมทั้งค่าเงินบาทควรอยู่เท่าใดนั้น ผมว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนกำหนด ที่สำคัญก็คือว่า ไม่ควรนำทุนสำรองเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างเด็ดขาด

ท่านผู้ชมครับ ค่าเงินบาทอ่อนลง แม้จะทำให้การนำเข้าพลังงานสูงขึ้น แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการบังคับกลายๆ ให้คนในประเทศต้องประหยัดมากขึ้น ทุกวันนี้เหมือนกับว่าราคาพลังงานที่สูงขึ้น คนไทยไม่สนใจเลย ใช้เงินใช้ทองกันเยอะ คนในประเทศต้องประหยัดกันมากขึ้น ประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงอยู่แล้วที่จะต้องเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา รวมทั้งเร่งหาทางแก้ไขปัญหาโครงสร้างด้านพลังงานที่ยังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้อย่างเร่งด่วนที่สุดครับ


ตอนนี้เรามาพูดกันเรื่องของเงินดอลลาร์บ้าง ผมเคยเล่าให้ฟังว่าเงินดอลลาร์เป็นแบงก์กงเต็กไปแล้ว พอเงินดอลลาร์ตอนนี้แข็งขึ้นเรื่อยๆ เทียบเงินบาท หรือเงินหลายๆ สกุลทั่วโลก ก็มีพวกที่ผมเรียกว่าเกรียนคีย์บอร์ด เข้าใจได้น้อยนิด แต่ชอบออกความเห็น ก็มาเขียนข้อความกระแนะกระแหนผม ประมาณว่า ไหนบอกว่าดอลลาร์จะเป็นแบงก์กงเต็ก ทำไมแข็งเอาๆ อย่างนี้ดอลลาร์สหรัฐจะกลายเป็นแบงก์กงเต็กไหมครับ 5555 ผมซื้อดอลลาร์ไว้ตอน 31 บาท ตอนนี้ 38 บาทแล้ว ไหนลุงบอกว่าดอลลาร์จะเป็นแบงก์กงเต็กไง พวกนี้เป็นพวกด้อยปัญญา สายตาสั้น มองไกลสุดแค่หัวแม่เท้าตัวเอง ผมไม่ถือสาหรือถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมขอเบิกเนตรและชี้ทางสว่างให้แล้วกันว่าขณะนี้อะไรกำลังเกิดขึ้น และอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

พวกนี้ประเภทก้มมองก็เห็นแค่หัวแม่เท้า แต่ผมมองไกลออกไปข้างหน้า ผมเล่าให้ฟังหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือว่า อเมริกาใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธ ทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ทำให้ตัวเองได้เปรียบทุกชาติบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผูกเงินดอลลาร์เข้ากับการซื้อขายน้ำมัน ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมพูดถึงเรื่อง เปโตรดอลลาร์ ผูกเงินดอลลาร์เข้ากับระบบ SWIFT การโอนเงินข้ามพรมแดน


ใช้เงินดอลลาร์ในการจัดการทางกฎหมายกับผู้คนและองค์กรทั่วโลก อ้างกฎหมายต่างๆ เช่น การฟอกเงิน การต่อต้านการก่อการร้าย การละเมิดการแซงก์ชัน โดยใช้เขตอำนาจรัฐนอกดินแดน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Long-arm jurisdiction เข้ามาประกอบ เพื่อจัดการกับบุคคลและองค์กรต่างๆ


ท่านผู้ชมจำได้ไหม ในการจับกุม นางเมิ่ง หว่าน โจว CFO ของหัวเว่ย หรือในการจับกุมนายเฟรเดอริก เปียรุชชี ผู้บริหารบริษัทอัลสตอม ของฝรั่งเศส เพื่อข่มขู่ขายกิจการให้บริษัทอเมริกัน คือ GE ซึ่งนายเปียรุชชี ออกมาแล้วตอนหลังเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ THE AMERICAN TRAP หรือ หลุมพรางกับดักอเมริกา


ท่านผู้ชมครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น การเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจและการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ คือการสถาปนาตัวเองเป็นเจ้ามือโลกที่พิมพ์เงินดอลลาร์ได้ตามใจชอบ โดยไม่ต้องมีอะไรมาหนุนหลัง ไม่ต้องมีทองคำ มีแค่แท่นพิมพ์อันเดียว และมีนิสัยอันธพาล ใช้แสนยานุภาพไปข่มขู่คน ผมเคยเปิดเผยไว้ในรายการนี้หลายครั้งแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม ตอนที่ 129 ที่เรียกว่า "จุดจบ เปโตรดอลลาร์" แล้ววันศุกร์ที่ 15 เมษายน ตอนที่ 133 ผมพูดเรื่อง "อวสานดอลลาร์อเมริกา"

ดร.อาร์ม หรือ ดร.อัครเวช โชตินฤมล ได้อธิบายเรื่องบทบาทดอลลาร์ในโลกนี้ได้อย่างดีพอสมควร ผมขออนุญาตเอาแนวความคิด ดร.อาร์ม มาอธิบายให้ฟัง


ดร.อาร์ม บอกว่า ถ้าจะเปรียบสหรัฐฯ ก็เหมือนกับเจ้าของบ่อนกาสิโน ตัวเองเป็นเจ้ามือ ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเหมือนชิปในบ่อนกาสิโน ที่เจ้ามือและเจ้าของบ่อนจะผลิตออกมาเท่าไรก็ได้ เพราะชิปก็แค่ไปปั๊มออกมา แล้วเอาเงินพื้นฐานที่ตัวเองมีอยู่ ไปแลกเป็นชิปมา แต่ทุกประเทศบนโลกนี้เวลาเดินเข้าบ่อน ต้องเอาเงินตัวเอง ไม่ว่าสกุลไหน มาแลกชิป ผ่านมาหลายสิบปี ทุกประเทศในโลกนี้จะกลายเป็นผู้เล่น ก็คือว่าทำการค้า หรือทำธุรกรรมทางการเงินบนโลกนี้ได้ ต้องเอาเงินมาแลกชิป คือเงินดอลลาร์เสียก่อน วิธีการแลกชิปก็คือ ประกอบธุรกิจค้าขาย ผลิตสินค้าออกมาให้ได้กำไร เพื่อเอาเงินดอลลาร์เข้าประเทศ และเอาเงินดอลลาร์นั้นไปฝากที่อเมริกา ซื้อพันธบัตรระยะยาว สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี


ข้อที่สอง กู้เงินจากองค์กรโลกบาล อย่างเช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือธนาคารโลก (World Bank) โดยใช้ดอลลาร์

นอกจากนั้นแล้ว ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของคุณ จะถูกวัดด้วยปริมาณเงินหมุนเวียนเป็นสกุลดอลลาร์ที่คุณมีในแต่ละปี และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่คุณสะสมอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเก็บเป็นเงินดอลลาร์เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกลางอเมริกา หรือ เฟด ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน พิมพ์เงินดอลลาร์ กำหนดการหมุนเวียนของเงินดอลลาร์ จึงมีสถานภาพเหมือนกับเป็นพระผู้เป็นเจ้า (God) ท่านผู้ชมหลายท่านอาจจะไม่ได้สังเกตว่าด้านหลังธนบัตรดอลลาร์ทุกใบ ทุกชนิด จะเขียนเอาไว้ว่า "IN GOD WE TRUST" เราเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า คืออเมริกาตั้งตัวเป็นพระผู้เป็นเจ้าในเรื่องของเงินดอลลาร์


วันนี้พระผู้เป็นเจ้าอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ประกาศออกมาแล้วว่า จะขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจอเมริกาให้จงได้ คือไม่สนใจโลกล่ะ จะบังคับให้ทุกคนมาใช้ดอลลาร์ แต่ตอนนี้ดอลลาร์กำลังเสื่อมค่า ก็ต้องกู้เศรษฐกิจ กู้สถานภาพดอลลาร์ ก็จะขึ้นดอกเบี้ยลูกเดียว คนอื่น เงินสกุลอื่น ที่ผูกกับดอลลาร์ จะฉิบหายอย่างไรก็แล้วแต่ นี่คืออเมริกา มิตรแท้ที่ชอบอ้างอยู่เรื่อยว่า เป็นมิตรกับประเทศไทยมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว นี่ไม่ใช่มิตรหรอกท่านผู้ชม แต่นี่คือ โจรในคราบมิตร

ถามว่าเศรษฐกิจอเมริกากำลังมีปัญหา กำลังเผชิญวิกฤตอะไร ทำไมต้องเข้ามากอบกู้ ? แล้วเราลองฟังประธานเฟด อย่างนายเจอโรม พาวเวล


21 กันยายน 2565 เมื่อประมาณเกือบเดือนที่ผ่านมา ออกมาพูดเสียงกร้าว ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ต้องตีความเลย เขาบอกว่า จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปเรื่อยๆ จนถึงระดับ 4.5-5 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปีหน้า ท่านผู้ชม เมื่อปีที่แล้วดอกเบี้ยเฟดแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ ผ่านมาหนึ่งปี ขึ้นถึง 5 เปอร์เซ็นต์ 2566 มันบอกว่าจะขึ้นถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาไม่สนใจว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่ม หรืออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะหดตัวลงเท่าไร

ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์โลกในรอบสามปีที่ผ่านมา แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างไร สองประเด็นสำคัญที่ท่านผู้ชมต้องไม่ลืม หนึ่ง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สอง สงครามในยูเครน

ท่านผู้ชมครับ ที่ผ่านมาหลายสิบปี อเมริกาใช้งานค่าเงินดอลลาร์เป็นอาวุธ และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ แบบสบายใจเฉิบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินดอลลาร์เพื่อผ่อนคลายการเงิน หรือที่เขาเรียกว่า QE คือตัวเองต้องการใช้เงิน แต่เงินไม่มี ก็เลยพิมพ์ออกมา ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Quantitative Easing ถอนออกมาตลอด พิมพ์ออกมา เอาไปสัก 1 ล้านล้านดอลลาร์ เอาไปแจก แล้วผู้ประกอบการในอเมริกา ธนาคาร แหล่งการเงิน ก็เอาเงินราคาถูกนี้ส่งออกมาตามประเทศต่างๆ ที่ใช้เงินดอลลาร์ เอาเงินที่ตัวเองต้นทุนต่ำมาก เกือบจะไม่มีต้นทุนเลย เอามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เอามาซื้อหุ้น เอามาทำโน่นทำนี่ เพราะตัวเองไม่มีต้นทุนนี่ แล้วพอตัวเองมีปัญหาขึ้นมา ก็เลยเริ่มใช้นโยบายที่เรียกว่า เข้มงวดทางการเงิน เมื่อกี้ผ่อนคลายทางการเงิน คือ QE ตอนนี้มาเข้มงวดทางการเงิน เรียกว่า QT คือ Quantitative Tightening (บีบรัด)


ก็คือเมื่อเห็นว่าเงินดอลลาร์ในระบบมันมากเกินไป เงินดอลลาร์เริ่มเฝือ เงินดอลลาร์เริ่มเสื่อมค่าลง อเมริกาออกพันธบัตรสหรัฐฯ ให้ดอกเบี้ยสูง ดูดเงินทั่วโลกเลย ถ้าต้องการมาก ให้ดอกเบี้ยมาก ต้องการดูดเงินกลับไม่มาก ก็ให้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ตอนนี้ให้ดอกเบี้ยสูงเพื่อดูดเงินกลับมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่ต้องสนใจ อเมริกาเขาออกพันธบัตรมา จะเป็นหนี้เท่าไรก็ไม่สน เพราะถึงเวลา จริงๆ แล้วก็พิมพ์แบงก์ขึ้นมาใหม่อีกทีหนึ่ง เอามาใช้หนี้ ถ้าหลังชนกำแพงก็ต้องทำอย่างนี้ต่อ

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วไม่ใช่หรือว่า อเมริกาเป็นประเทศที่มีหนี้มากมายมหาศาลที่สุดในโลกนี้ ตอนนี้ ล่าสุดสูงถึง 31 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยเกือบ 2 พันล้านล้านบาท อเมริกาแม้จะเป็นหนี้มากมาย แต่อเมริกาไม่ได้กังวล เพราะสิ่งที่อเมริกากังวลมากที่สุด คือปัญหาการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์ หรือเงินเฟ้อ นั่นเอง

ประเด็นสำคัญคือ พอภาวะการแพร่ระบาดโควิดมันเกือบสามปี แล้วยังมาเกิดสงครามยูเครนซ้ำอีก ฝั่งจีนฉลาด หยุด ชะลอการผลิต ไม่ยอมเปิดประเทศง่ายๆ อ้างนโยบาย Zero COVID แต่จริงๆ แล้วจีนไม่ต้องการให้ภาวะเงินเฟ้อ หรือเชื้อโรคเงินเฟ้อของอเมริกามาระบาดในประเทศจีน

ส่วนรัสเซีย ถูกแซงก์ชัน บอยคอตจากเงินดอลลาร์ และระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินข้ามประเทศ ใช้ระบบ SWIFT ระบบบัตรเครดิตต่างๆ VISA, Master Card ทำให้รัสเซียต้องไปค้าขายด้วยเงินสกุลรูเบิล และเงินสกุลท้องถิ่นอื่นๆ เช่น การค้าขายกับอินเดียด้วยเงินรูปี ค้าขายกับจีนด้วยเงินหยวน


ประเด็นอยู่ที่ไหน ? จุดนี้เอง ประกอบกับการที่ตลอดระยะเวลามีการแพร่ระบาดโควิด-19 ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นยุคของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือนายโจ ไบเดน ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน คือพิมพ์แบงก์ออกมาเลย เต็มที่ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงินออกมาเต็มไปหมด แจกเงินประชาชนจำนวนหลายล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ประเด็นก็คือ คนสหรัฐฯ มีเงิน แต่หาของไม่ได้ อันนี้คือปัญหาที่ผมเล่าให้ฟังแล้วว่าเป็นเรื่องวิกฤตห่วงโซ่อุปทาน ในวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ตอนที่ 106 "สนธิเตือน เตรียมรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ"


ทั้งนี้ การที่คุณมีดอลลาร์อยู่เต็มมือ แต่หาซื้อของไม่ได้ ท่านเกรียนคีย์บอร์ดครับ นั่นคือค่าเงินดอลลาร์มันเสื่อมลงแล้วครับท่าน ท่านพอจะฉลาดขึ้นมาอีกสักนิดหนึ่งไหม ท่านอย่ามองแต่หัวแม่เท้าของท่านอย่างเดียว

ตอนนี้มันเริ่มเกิดการก่อสร้างบ่อนอันใหม่ขึ้นมาแล้ว บ่อนนี้เรียกว่า BRICS คือกลุ่มการรวมตัวของบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และ แอฟริกาใต้ แล้วก็จะมีคนเข้ามา join กลุ่ม BRICS อีกเยอะ เพราะกลุ่ม BRICS จับมือและประกาศว่า ต้องการเปลี่ยนระบบโลกใหม่ พร้อมเตรียมสร้างเงินสกุลกลาง หรือใช้เงินสกุลอื่นขึ้นมาแทนที่ดอลลาร์ จุดนี้ล่ะที่นำไปสู่เกมแตกหักที่ผมเรียกว่า เกมล้มโต๊ะเปลี่ยนเจ้ามือ


พูดง่ายๆ ท่านผู้ชมครับ พวก BRICS บอกว่า ไม่เอาแล้วบ่อนอเมริกา เข้าไปต้องแลกชิปเป็นเงินดอลลาร์ แล้วถูกเอาเปรียบ ถูกรังแก ถูกคิดค่าต๋ง หักค่าหัวคิวตลอด ต่อไปนี้จะเป็นเจ้ามือเอง แล้วสร้างชิปขึ้นมาใหม่ ไม่ใช้แล้วชิปเก่าที่เรียกว่าดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ มีการชวนคู่หูเก่าอย่างซาอุดีอาระเบียมา ให้ยกเลิกการผูกขาดเปโตรดอลลาร์ในการซื้อขายน้ำมัน เพิ่มทางเลือกในการใช้เงินหยวน เงินรูเบิล ส่วนอินเดียก็หันไปค้าน้ำมันกับรัสเซีย ใช้เงินสกุลของตัวเอง คือรูปี อเมริกาเห็นรูปเกมอย่างนี้ ต้องรู้ดีแล้วว่านี่คือ เกมล้มโต๊ะเปลี่ยนเจ้ามือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ตัวเองต้องรักษา และเกาะกุมเอาไว้ คือ ต้องรักษาเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์ เพราะถ้าขืนปล่อยให้เวลาทอดออกไป แผนตั้งบ่อนใหม่ สร้างชิปใหม่ของ BRICS เสร็จสิ้น ค่าเงินดอลลาร์ตกลงเรื่อยๆ ก็จะไม่ทันการณ์ เพราะคนจะเปลี่ยนใจเข้าไปเล่นบ่อนใหม่แทน ธนาคารกลางอเมริกา คือ เฟด ก็เลยต้องดำเนินการปฏิบัติการกอบกู้ค่าเงินดอลลาร์ อ้างคำอธิบายให้ประชาคมโลกรับทราบว่า นี่้คือปฏิบัติการจัดการเงินเฟ้อให้อยู่หมัด

ปฏิบัติการนี้แท้ที่จริงคือการยับยั้งการเสื่อมค่าของดอลลาร์ อย่างที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว เมื่อมีการผ่อนคลายทางการเงินด้วยการออก QE เขาก็ต้องการที่จะเข้มงวดทางการเงิน คือ QT

QE คือ Quantitative Easing ผ่อนคลาย QT คือ Quantitative Tightening บีบรัด ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เฟดขึ้นดอกเบี้ย ดูดเงินดอลลาร์กลับเข้าคลังธนาคารกลางอเมริกา ซึ่งจะนำไปสู่การลดปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบลง ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ ในโลก


ประเด็นที่ทุกคนสงสัยคือ ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงขนาดนี้ เศรษฐกิจอเมริกาจะเป็นอย่างไร ? แน่นอน ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอเมริกาก็คือ Deep Recession หรือการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างหนัก เนื่องจากดอกเบี้ยสูงมาก อเมริกาเคยมีดอกเบี้ยนโยบาย 0 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยธนาคารลูกค้าชั้นดี 1 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1.5 เปอร์เซ็นต์ จู่ๆ มาเจอ 5 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนต่างๆ จะลดลง เศรษฐกิจจะหดตัว คนจะตกงาน ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะซบเซา อุตสาหกรรม เทคโนโลยี และสตาร์อัพ ต่างจะมีคนลงทุนน้อยลง

ท่านผู้ชมครับ ขนาด CEO กูเกิล ร่อนจดหมายถึงพนักงานเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 สองเดือนที่แล้ว ว่าบริษัทจะลดการจ้างงานลงไปจนถึงปีหน้า (2566) เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจ


ท่านผู้ชมครับ ที่ผมกลัว และน่าจับตาดู คือว่า Recession มันอาจกลายเป็น Depression คือว่าภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของอเมริกาหรือไม่ อเมริกาเคยมี Depression ครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 1932 หรือ 2475 ที่เศรษฐกิจอเมริกาล่มสลายหมด ถ้าเกิดอันนี้ขึ้น ไม่ใช่เฉพาะอเมริกาแล้ว กระทบทั่วโลกหมดเลย ท่านผู้ชมสังเกตหรือเปล่าว่า เศรษฐกิจต่างๆ ในโลกนี้ที่ผูกพันกับอเมริกา ผูกพันกับค่าดอลลาร์ พึ่งพาระบบโลกานุวัตรที่นำโดยกลุ่มระเบียบเก่า คือ อเมริกา และโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นชาติในอียู ทั้งยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศไทยนั้น เจ็บตัวกันระนาวจากการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย เพื่อกอบกู้สภาวะการเสื่อมถอยของเงินดอลลาร์ เพื่อเปิดสงครามรักษาสถานภาพเงินดอลลาร์ กับกลุ่มระเบียบโลกใหม่ นำโดยประเทศในกลุ่ม BRICS รวมทั้งการร่วมมือของกลุ่มเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งกำลังหาทางที่จะหาเงินสกุลอื่นขึ้นมาเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นเงินหยวน เงินรูเบิล เงินรูปี เงินดิจิทัล หรือระบบการชำระเงินแบบใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ท่านผู้ชมครับ ผมมีความเห็นว่า ประเทศไทยต้องระวังตัว จริงๆ แล้วภาวะการณ์แบบนี้คือภาวะการณ์ของการพยายามใช้เงินให้น้อยลง ในขณะนี้เราต้องส่งเสริมให้คนเข้ามาเหยียบแผ่นดินบ้านเราเยอะๆ มาเที่ยวเมืองไทยเยอะๆ ลดขั้นตอนการเข้า อาจจะต้องมีการใช้แอปพลิเคชันสำหรับคนที่เข้ามาแล้วต้องการจะ Visa on Arrival โดยเร็ว ไม่ต้องเข้าแถว กดลงไปเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถผ่านเข้ามาได้เลย ในขณะเดียวกัน เราต้องยุติในการออกไปใช้เงินต่างประเทศ ท่านผู้ชมครับ ผมเสนอว่า (ผมคงโดนด่าเช็ดเลย แต่ผมไม่แคร์) เดี๋ยวนี้ใครจะออกไปนอกประเทศ ผมเสนอว่า ในภาวะการณ์ดอลลาร์แข็งแบบนี้ เราต้องมี "ค่าจากแผ่นดิน" เขามีแต่ "ค่าเหยียบแผ่นดิน" ของผมจะคิด "ค่าจากแผ่นดิน" คือถ้าคุณจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะเปิดแล้วนี่ ไต้หวันจะเปิดประเทศแล้ว ทุกคนกระดี๊กระด๊าหมด ไปกันเถอะ ไปออนเซ็นกัน ไปโตเกียว ไปฮาโกเนะ พวกนี้คือคนที่ออกไป ก็ต้องเอาเงินไทยไปแลกเป็นดอลลาร์ หรือไปแลกเป็นเยน ผมเสนอว่า ต้องมี "ค่าจากแผ่นดิน" หัวละ 1 พัน เอาไปเลย หรือหัวละ 2 พันบาท คุณจะไปเที่ยวใช่ไหม ได้ คุณจ่าย "ค่าจากแผ่นดิน" 2 พันบาท เงินก้อนนี้จะเอามาช่วยประเทศไทยได้เยอะมาก อย่างน้อยก็มีการชะลอ คนก็จะบอก ออกไปเที่ยวที เสียตั้ง 2 พันบาท ค่าจากแผ่นดิน อย่าเลย ไม่ไปดีกว่า หาเวลาโอกาสไปเที่ยวเขาใหญ่ หาโอกาสอากาศหนาวๆ ไปเที่ยวแม่ริม เขาก็มีออนเซ็นอยู่หลายแห่ง

สอง ให้ประหยัดน้ำมันให้มากๆ เพราะอย่างไรก็ตาม ถึงเราจะใช้เงินดอลลาร์ซื้อน้ำมัน ถ้าดอลลาร์ 38 บาท กับเมื่อปีที่แล้วดอลลาร์ยัง 31 บาท ต่างกันตั้ง 7 บาท เราต้องสูญเสียเงินไปเยอะ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลไทย ต้องมีอิสระเสรีภาพในการเลือกซื้อน้ำมันราคาถูก ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องไม่เดินตามก้นอเมริกา รัสเซียขายน้ำมันให้เราถูกกว่า อิหร่านขายน้ำมันให้เราถูกกว่า ถูกกว่าบาร์เรลละ 10-20 เปอร์เซ็นต์ นั่นล่ะคือการประหยัดเงินของเรา ถ้าเรามัวแต่โง่และงี่เง่า และคิดตามคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ว่าต้องเอาใจอเมริกาไว้ก่อน แต่ประเทศไทยใช้น้ำมันแพง เพราะว่าเงินดอลลาร์มันแข็ง ก็เลยทำให้แพงฉิบหายเลยงานนี้ แพงเรือหายเลย ท่านผู้ชม

ทำไมเราจะต้องไปเดินตามก้นอเมริกา แล้วก็เจ็บตัว ขาขึ้นก็เจ็บตัว ขาล่องก็เจ็บตัว ยืนอยู่เฉยๆ ก็เจ็บตัว ข้าวของต่างๆ ของ import ต่างๆ เลิกซื้อได้แล้ว เก็บเงินเก็บทองเอาไว้ วันนี้ของชิ้นหนึ่ง กระเป๋าใบหนึ่ง ราคาประมาณแสนสอง ลำพังซื้อกระเป๋าใบละแสนสองก็ต้องถูกก่นด่าแล้ว แต่แสนสองนั่นมันเศษเงินดอลลาร์ พอเงินดอลลาร์แข็ง เงินไทยอ่อน จากแสนสอง กลายเป็นแสนสาม แสนสี่

ซูเปอร์คาร์ สิบกว่าล้าน ยี่สิบล้าน เลิกซื้อได้แล้ว ถึงเวลาที่เราต้องประหยัดทั้งระบบ ไม่ใช่ประหยัดเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง ทั้งระบบ ปรับโครงสร้างพลังงงาน คือถ้าเราลดต้นทุนทางพลังงานได้ด้วยการซื้อน้ำมันราคาถูกเข้ามา แล้วขณะเดียวกัน ปรับโครงสร้างพลังงาน เราจะไม่เดือดร้อน

ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วดอลลาร์แข็งครั้งนี้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประหยัดทั้งประเทศ ไม่มีอะไรเสียหายกับการประหยัดเงิน เงินมันไม่ได้หนีไปไหน มันยังอยู่กับเรา ฝากเป็นข้อคิดเอาไว้

วันพุธที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีหลายสัปดาห์ ช่วงหลายสัปดาห์ ที่มีข่าวจากสำนักข่าวตะวันตกเผยแพร่ว่ากองกำลังรัสเซียต้องถอยร่นครั้งใหญ่ และเหลือพื้นที่ยึดครองน้อยลงก็ตาม ขณะที่นายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ออกมาตีปี๊บ


คุยว่าเคียฟชิงดินแดนเพิ่มได้หลายสิบเมือง อีกทั้งได้รับข่าวดีจากอเมริกาว่าจะจัดส่งความช่วยเหลือด้านความมั่นคงล็อตใหม่ มูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงเครื่องยิงจรวดแบบหลายกล้อง แต่วันพุธที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ก็เดินหน้าลงนามรับรองการผนวก 4 แคว้น ที่มีขนาด 18 เปอร์เซ็นต์ ของดินแดนทั้งหมดของยูเครน ขนาดพื้นที่ประมาณประเทศโปรตุเกส เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย


ซึ่งสำนักข่าวทาสส์ สำนักข่าวทางการของรัสเซีย ระบุว่า เป็นกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายสุดท้าย หลังจากสภาสูงและสภาล่างรัสเซียให้การรับรองแผนการผนวกไปแล้วก่อนหน้านี้

ท่านผู้ชมครับ รัสเซียได้ยกระดับสงครามที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 หรือ 7 เดือน เข้าเดือนที่แปด ด้วยการผลักดันการผนวกดินแดนในยูเครน ระดมกำลังคนเพิ่มอีก 3 แสนคน และยังเตือนว่า อาจจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่เขาเรียกว่า มินินิวเคลียร์ ปกป้องดินแดนของตัวเอง

เวลานี้การประจันหน้ากันระหว่างฝ่ายระเบียบโลกเก่า ซึ่งมีอเมริกาเป็นหัวหอก ตามมาด้วยกลุ่มอียู และกลุ่มนาโต


กับฝ่ายจัดระเบียบโลกใหม่หลายขั้ว กำลังถึงทางแยกแล้วตัดสินใจว่าพวกเขาจะยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งหรือเปล่า ท่านผู้ชมครับ เขาจะยกระดับสงครามทางทหารที่จะตัดสินว่า มันจะเป็นแค่สงครามจากยูเครน จะขยายเข้าไปในยุโรปหรือเปล่า โดยอเมริกาจะชักใยนาโต ซึ่งทุกวันนี้ก็ส่งทหารรับจ้างไปผสมกับทหารยูเครน

อาทิตย์หน้าผมจะพูดเรื่องขบวนการทหารรับจ้างให้ท่านผู้ชมได้ฟัง ซึ่งผมมีข้อมูลที่ดีมาก

ขอบเขตการรบที่คงที่ มีจุดที่ฝ่ายนาโตทุ่มทหารช่วงแรกตั้งหมื่นคน ในสมรภูมิเมืองไลมาน (LYMAN) ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองร้าง ชายแดนสาธารณรัฐลูฮานสก์ รัสเซียที่ขยายใหม่ที่ชาวบ้านได้อพยพออกจากเมืองไปหมดแล้ว ไม่มีใครอาศัยอยู่ เหลือทหารคอสแซค นักรบท้องถิ่นลูฮานสก์ รักษาเมืองราว 5 ร้อยคน รบกันไปรบกันมาประมาณสองเดือน แต่ไม่ค่อยเป็นข่าว จนกำลังฝ่ายนาโตสูญเสียกำลังไปแล้วประมาณ 3 พันนาย คงเหลือกำลังประมาณ 7 พันนาย ต่อสู้กับทหารคอสแซค และลูฮานสก์ ซึ่งมีแค่ 5 ร้อยคน


ท่านผู้ชมครับ ผมขออนุญาตอธิบายเรื่องภาวะสงครามที่ผมสังเกตมา ประกอบกับเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ของการเล่นหมากล้อม โกะ หรือยุทธวิธีของซุนวู ท่านผู้ชมจะได้ยินข่าวตลอดเวลาว่า ทหารยูเครนบุกเข้าไปยึดเมืองโน้นเมืองนี้แล้ว ท่านผู้ชมครับ ในการสงครามนั้น การยึดเมืองก็คือการยึดสิ่งปรักหักพัง ยึดเมืองร้างที่ไม่มีคนอยู่ ฝ่ายรัสเซียนั้น ที่ถอยออกมาหลายๆ ครั้ง ที่ถอยก็เพราะว่ารัสเซียต้องการจะปกป้องชีวิตทหารตัวเอง เพราะว่าเมืองนั้นมันคือสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อพร้อมก็กลับไปยึดคืนได้ทุกเมื่อ แต่เนื่องจากยูเครนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยึดเมืองโน้นเมืองนี้มา แล้วเมืองส่วนใหญ่ที่ยูเครนยึดนั้น เป็นซากปรักหักพังหมด




รัสเซียได้เข้าไปมองเมือง BAKHMUT ซึ่งอยู่ติดกับเมือง LYMAN แล้วรัสเซียเข้าไปยึดเมืองนี้เพราะมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์การรบมากกว่าเมือง LYMAN เนื่องจากว่าเมือง BAKHMUT เป็นเนินสูง ตั้งปืนใหญ่ยิงไปลงเป้าหมายที่ต่ำเชิงรุกได้ คือ คารามาทอส เมืองใหญ่ที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัททหารรับจ้างกลาโหมอเมริกา ชื่อ Academy PCM BLACKWATER ซึ่งอาทิตย์หน้าผมจะพูดให้ฟัง


ตอนนี้เราต้องศึกษาวิธีการของปูติน นิดหนึ่ง ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวรัสเซีย และ ยูเครน มาตลอด ท่านผู้ชมจะเห็นว่า เวลาวลาดิมีร์ ปูติน ทำอะไร จะมีขั้นตอน เป็นขั้นตอนไป ต้องทำอันนี้ก่อนนะ อันนี้มา เมื่อได้รับความชอบธรรมก็จะขยับต่อไปเรื่อยๆ คือรัสเซียจะพยายามอยู่ในกรอบกฎหมายที่รัสเซียคิดว่าถูกต้อง เหมือนกับยึดไครเมีย แล้วก็ให้สภาดูมาร์ของรัสเซียรับรองว่าไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยที่ประชาชนทำประชามติว่าต้องการจะร่วมกับรัสเซีย เหมือนกับสี่แคว้นนี้ ที่รัสเซียยึดมา แล้วประชาชนก็ลงประชามติกันเรียบร้อยหมดแล้ว เมื่อลงแล้ว วลาดิมีร์ ปูติน ก็ลงชื่อผ่านทั้งสองสภา ผ่านสภาสูง สภาล่างแล้วก็ลงชื่อ เท่ากับว่า กรอบกฎหมายทั้งหมดถูกต้องหมดแล้ว ตอนนี้ท่านผู้ชมจับตาดูให้ดีๆ ผมคิดว่าไม่เกินอาทิตย์หนึ่ง หรือไม่เกิน 15 ตุลาคม จะมีการตอบโต้อย่างรุนแรงที่กองทัพนาโตที่แอบแฝงมาในรูปแบบของทหารรับจ้าง และทหารยูเครนที่เหลือ จะต้องพ่ายยับอย่างแสนสาหัส


เพราะตอนนี้กองทัพรัสเซียเคลื่อนกำลังอาวุธหนักจำนวนมากทางรถไฟเข้ามาที่ดินแดนใหม่ในสี่พื้นที่ที่ยึดมา มีขีปนาวุธที่ชื่อ "อิสคานเดอร์-เอ็ม" ฉายา "สไนเปอร์ขีปนาวุธ" เคลื่อนเข้ามาด้วยจำนวนมาก ตั้งอยู่ที่แคว้น Kherson ที่เพิ่งผนวกดินแดน และแคว้น Kherson นี้ ที่เซเลนสกี บอกว่ากำลังจะเข้ายึดคืน ผมว่าคงจะมีคนตายกันเยอะแยะไปหมดเลยคราวนี้


อาวุธชนิดนี้ที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ก็คือ อิสคานเดอร์-เอ็ม จะพบเฉพาะในฐานทัพเขตแดนรัสเซีย แถวเมืองเบลโกรอต ติดแคว้นคาร์คีฟ นี่มันโผล่มาไกลถึงดินแดนที่เพิ่งผนวกรวมใหม่ หมายความว่าอะไร ? หมายความว่ากองทัพรัสเซียกำลังจัดตั้งฐานทัพถาวรใน 4 ดินแดนเหล่านี้ ซึ่งรัสเซียไม่เคยมีฐานทัพถาวรอยู่เลย ท่านผู้ชมครับ รัสเซียตอนที่บุกยูเครนนั้น รัสเซียใช้คำว่า "ปฏิบัติการทหารพิเศษ" โดยอ้างว่าเพื่อที่จะไปปลดปล่อยชนชาวรัสเซีย ชาวสลาฟที่พูดภาษารัสเซีย ใน 4 แคว้นนี้ ที่โดนเซเลนสกี และกลุ่มนีโอนาซี หนุนหลังโดยนาโต ฆ่าจนเลือดนองแผ่นดินเมื่อปี 2014 ตายไปแล้ว 14,000 คน สหประชาชาติ อียู ไม่เคยพูดในเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ที่ไปฆ่าคนชนชาวสลาฟเชื้อสายรัสเซียตายถึง 14,000 คน

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อรัสเซียไม่เคยมีฐานทัพถาวร ตอนนี้เป็นดินแดนของรัสเซียแล้ว จึงเป็นที่มาของการเคลื่้อนย้ายอาวุธหนัก ใหม่เอี่ยม มหาศาลขนานใหญ่ มาฐานทัพถาวรแห่งนี้ อาวุธหนักหมดเลย ใหม่เอี่ยม ที่คนไม่เคยรู้ แล้วคนก็มโนว่ารัสเซียอาวุธหมดแล้ว ไม่มีอาวุธ ไม่ใช่ เขายังไม่ได้เอาของจริงออกมา เขาเอามารองรับกองพลหลัก และกำลังสำรองที่ระดมเพิ่ม อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าทำไมเขาต้องเอาคนเข้ามาอีก 3 แสนคน เพราะเอามาเสริม เอามาหมุนเวียนกับกองกำลังเก่า ให้ได้พักบ้าง เขามีตั้ง 4 แคว้นที่ยึดเข้ามา เขามีพื้นที่ที่ต้องระวังรักษามากมาย และทั้งหมดนี้ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการรบจะต้องยืดเยื้อแน่ ในฤดูหนาว ซึ่งกองทัพรัสเซียถนัด

แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่า กองทัพรัสเซียได้โยกย้ายทหารที่ชำนาญการรบในฤดูหนาวมาจากไหน ? ไซบีเรีย ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ไซบีเรีย เป็นดินแดนที่หนาวที่สุดในโลกนี้ ทหารที่ประจำอยู่ไซบีเรีย คือคนที่เคยชินกับอากาศหนาวอย่างสุดๆ เพราะฉะนั้นพวกนี้พอย้ายเข้ามาอยู่ที่ 4 แคว้นนี้ อากาศก็ยังหนาวอยู่ สำหรับพวกเราโคตรหนาวเลย แต่สำหรับทหารไซบีเรีย มันเหมือนฤดูใบไม้ผลิสำหรับเขา เขาก็จะเอาเข้ามา แล้วท่านผู้ชมคอยดูเขาจะโจมตี 4 แคว้นต่อมา คือ โอเดสซา มิโคลาเยฟ ดมีโปรเปตรอฟสก์ และ คาร์คีฟ คาร์คีฟนี่ล่ะจะโดนถล่มจนพังทลายหมด คอยดูสิครับ


ส่วนพื้นที่ดินแดนอีก 4 ดินแดนเดิม จะกลายเป็นที่ตั้งฐานทัพถาวร และสนามบินทางทหาร เขาจึงมีคำสั่งให้ทหารคอสแซค 5 ร้อยนาย ออกจากเมืองไลมาน เอาเมืองร้างๆ ที่ปรักหักพัง ให้ตัวตลกเซเลนสกี ไปคุยโวโอ้อวดตีปี๊บ แล้วเขาก็เริ่มส่งทหารรัสเซียชุดใหม่เข้าไปประจำแนวหน้าแทน เป็นการสลับกำลัง และเป็นครั้งแรกที่ใช้ทหารรัสเซียเข้าไปประจำการ

ท่านผู้ชมครับ กลิ่นไม่ค่อยดีๆ และอันตรายสำหรับทหารฝ่ายนาโตราวๆ 7 พันคน ที่อยู่ในเมืองนี้ เพราะผมเชื่อว่ารัสเซียจะพยายามใช้ทดสอบมินินิวเคลียร์ แต่ยังไม่รู้ว่าเมืองใดจะเจอแจ็กพ็อต จากการทดลองว่าถ้ายิงใส่เมืองร้าง มีทหารนาโตอยู่จำนวนมาก จะสามารถทำลายทหารได้กี่เปอร์เซ็นต์ รอดสักเท่าไร ผมเชื่อว่าตอนนี้ทางนาโต และตะวันตก กำลังหวั่นเกรงเรื่องนี้อย่างมากๆ แต่ข้าวสารเป็นข้าวสุกไปแล้ว อุตส่าห์บุกเข้ามาอย่างนี้แล้ว จะถอยก็เสียชื่อ แล้วเซเลนสกี ไม่เคยเห็นชีวิตของทหารมีความหมายสำหรับเขาเลย

มินินิวเคลียร์ คืออะไร ? มินินิวเคลียร์ จะสร้างคลื่นที่เขาเรียกว่า EMP คลื่นที่กระแทกแรงสูง อวัยวะภายในของสิ่งมีชีวิตจะแหลกหมด คุณอยู่ในอาคารที่มั่นคง หรืออยู่ในบังเกอร์ ก็ได้รับผลกระทบ แต่ไม่มีสารกัมมันตภาพรังสี ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ยังไม่เคยใช้ในสงครามจริงมาก่อน แม้แต่ในซีเรีย รัสเซียอาจจะใช้ทหารนาโตและยูเครนทดลองอาวุธนี้เป็นครั้งแรก


ความรุนแรงจะมีประมาณมือมืดคู่อริ นักรบฮิซบอลลาห์ ก่อวินาศกรรมระเบิดท่าเรือเมืองเบรุต เลบานอน เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่ราพณาสูร เสียชีวิต 190 นาย บาดเจ็บ 6,500 นาย

ท่านผู้ชมครับ ผมมีทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและตำนานเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง ท่านผู้ชมจำเหตุการณ์ 9/11 หรือ 11 กันยายน 2544 ที่เครื่องบินบินถล่มตึกเวิลด์เทรด เกาะแมนฮัตตัน อันลือลั่นโลก ท่านผู้ชมรู้ข้อเท็จจริงไหมว่า พอวิศวกรเข้าไปรื้อซากออกมาหมด ขุดลงใต้ดิน ปรากฏว่าค้นพบร่องรอยมือมืดที่คนทั่วโลกรู้ว่าใคร วางระเบิดฐานรากตึกเวิลด์เทรด จำนวน 3 จุด ฝังอยู่ในหินแกรนิต ลึกลงไป 50 เมตร แรงระเบิด 150 กิโลตัน ทำให้เกิดระเบิดที่เขาเรียกว่า เทอร์โมนิวเคลียร์


ที่น่าสนใจครับ นี่คือข้อมูลข่าวสารที่ได้จากเพจ World Today วันเกิดเหตุ พนักงานชาวยิวในตึกทุกคนได้รับคำแจ้งล่วงหน้าให้ลางานพร้อมกัน ทั้งหมดจึงรอดชีวิต ในเวลาไล่เลี่ยกัน เครื่องบินก่อวินาศกรรม พุ่งชนตึกด้านบน ก็ในเมื่อฐานรากมันพังหมดแล้ว พอชนตึกด้านบนปั๊บ ทุกอย่าง ทั้งแท่ง ก็เลยพังลงมาหมด คนยังเข้าใจผิดว่าตึกเวิลด์เทรดพังเพราะว่าเกิดจากเครื่องบินพุ่งชน ท่านผู้ชม ตึกมันสูงปรี๊ด เครื่องบินชนด้านบน ถ้าฐานรากมันยังแข็งแรงอยู่ มันก็พังเฉพาะส่วนบน นี่มันลงมาทั้งหมดเลย ครืน! แล้วกลายเป็นวิศวกรค้นพบว่าได้มีการฝังระเบิดอยู่ที่ฐานราก 3 จุด เพราะเมื่อวิศวกรขุดฐานตึกหินแกรนิต ก็เลยรู้ว่ามีการใช้มินินิวเคลียร์ทำลายฐานตึกเพื่อตบตาชาวโลก


ท่านผู้ชมครับ นี่คือเกร็ดอันหนึ่ง ไม่ต้องมาถามผม นี่คือข้อมูลที่พิสูจน์ออกมาเรียบร้อยหมดแล้ว และน่าสังเกตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น CNN ไม่ว่าจะเป็น BBC สื่อต่างประเทศ สื่อตะวันตก ไม่เคยมีใครกล้ารายงานเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

ท่านผู้ชมครับ ผมคาดว่าตั้งแต่นี้ต่อไป กองทัพรัสเซียตั้งฐานทัพถาวรเสร็จ ทหารหลักเข้ามาเรียบร้อย สำรองจากแผ่นดินแม่มารวมพร้อมกัน วางแผนการฝึกร่วมกับทหารท้องถิ่นแต่ละดินแดน เราจะเริ่มเห็นอาวุธร้ายแรงแปลกๆ และยุทธวิธีสงครามของจริง แบบที่กองทัพรัสเซียเคยลุยกบฏเชชเนีย และประเทศจอร์เจีย จนราบคาบมาแล้ว


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ที่ผ่านมาทหารราบสังกัดกองทัพรัสเซียจริงๆ ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย ปล่อยให้ทหารท้องถิ่นหยั่งเชิงลุยล่วงหน้ามาเจ็ดเดือนเท่านั้นเอง

ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมสังเกตสุนทรพจน์ที่วลาดิมีร์ ปูติน พูดครั้งหลังสุด หลังจากที่ลงชื่อไปแล้ว วลาดิมีร์ ปูติน พูดชัดเจนว่า จากนี้ไปแล้ว 4 แคว้นที่เข้ามาร่วมกับรัสเซีย จะเป็น 4 แคว้นที่มีเสถียรภาพ หมายว่าอย่างไร ? นี่คือคำพูดที่สุภาพ คำพูดที่ไม่สุภาพ แถวบ้านผม พวกนักเลงพูดกัน มึงคอยดู เดี๋ยวกูจะกวางให้หมดเลย ไอ้ที่ซ่าๆ นัก แต่วลาดิมีร์ ปูติน บอกว่า เมื่อ 4 แคว้นเป็นของรัสเซียแล้ว ผมให้คำมั่นสัญญาว่า 4 แคว้นนี้จะมีเถียรภาพ ก็คือพุดง่ายๆ พูดตามภาษานักเลงก็คือว่า ตัวตลกเซเลนสกี และทหารรับจ้าง ของยูเครน ที่บุกเขัามาแล้วบอกยึดโน่นได้ ยึดนี่้ จะต้องเจอของจริง


รัสเซียกำลังตั้งฐานทัพถาวรในดินแดนใหม่ ก็เลยขนอาวุธร้ายแรงมาตลอดเวลา เพื่อประจำการในดินแดนที่ผนวกใหม่ น่ากลัวมากถ้าเขาจะต้องการทดสอบมินินิวเคลียร์กับทหารนาโต หรือยูเครน เพื่อประเมินศักยภาพในการทำลายล้างว่า อาวุธเช่นนี้ ชนิดนี้ เป็นอย่างไร และที่รู้อยู่ คือหน่วยข่าวกรองของยูเครน และอเมริกา กำลังประสาทเสีย ว่ารัสเซียน่าจะทดลองแน่ แล้วใครจะเป็นเหยื่อที่ถูกทดลอง ถ้าไม่ใช่ทหารยูเครน ทหารนาโต และทหารรับจ้างที่บุกเข้ามา อ้างว่ายึดที่คืนได้เยอะแยะแล้ว

ท่านผู้ชมครับ นี่คือสถานการณ์ล่าสุด หวังว่าท่านผู้ชมคงไม่พลาด ติดตามต่อไป อาทิตย์หน้าผมจะพูดเรื่องของทหารรับจ้าง BLACKWATER ธุรกิจทหารรับจ้าง หรือผมเรียกว่า สัตว์สงครามในยุคโลกานุวัตร วันนี้เพียงแค่นี้ก่อน อาทิตย์หน้า วันที่ 10 คือวันออกพรรษา 16 ก็จะเริ่มการทอดกฐินครั้งแรก และก็ต่ไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น