วันที่ 21 ต.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่ได้เล่าในวันนี้มีหลายประเด็น ได้แก่
-เบื้องลึกสาเหตุของโศกนาฏกรรมหนองบัวลำภู แรงจูงใจ“ตำรวจคลั่ง” ตัดสินใจ เอาความคับแค้นไปลงกับเด็กเล็กผู้บริสุทธิ์
-ดราม่า โน้ส อุดม ในเดี่ยว 13 “พี่ศรี” ร้องทุกเรื่องจนเจอมือดี “ลุงศักดิ์” บุกประเคนหมัด-แข้ง งานนี้ไม่ถูกต้องแต่ถูกใจกองเชียร์
-“แอ๊ด คาราบาว” กับวลี “มึงรู้ไหมกูเป็นใคร?” และแง่คิดสำหรับผู้ที่จะไปทะเลาะกับคนถืออำนาจรัฐ
-ถามกันตรงๆ ถึงกลุ่มคนที่ค้านควบรวมทรู-ดีแทค โดยอ้างประชาชนเสียผลประโยชน์ จริงๆแล้ว มีอะไรแอบแฝง? เตรียมแฉ “มาเฟียตระกูล ส.” กับเครือข่าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร?
-ถอดรหัสวาทะ “สี จิ้นผิง” ทำนายอนาคตจีน ประชุม “สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20”
-สงครามยูเครนเฟสใหม่ ยุทธภูมินรกฤดูหนาว เมื่อปูตินประกาศกฎอัยการศึก 4 แคว้นยูเครน รัสเซียเร่งอพยพประชาชนจาก “เคียร์ซอน” เคลียร์พลเรือนเตรียมสู้รบกับทัพเคียฟ
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.160
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 160 [21 ต.ค. 65] : "ดรามา โน้ส อุดม - พี่ศรี - ลุงศักดิ์ สัญญาณการเมืองแตกแยกรุนแรง"
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมและทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้เดินทางไปทำบุญทอดกฐินที่วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน จังหวัดเลย ถวายเงินไปให้กับหลวงปู่เฉลิม เป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท ในวันเดียวกันนั้น วัดป่าวังศิลา ของพระอาจารย์สมชาติ สายพระป่าเช่นกัน ก็ได้มีการทอดกฐิน โดยที่ผมส่งลูกชายไปเป็นตัวแทน เป็นประธาน ได้ถวายเงินกฐินเป็นจำนวน 5,000,000 บาท แต่ว่ามีญาติโยมสมทบทุนลงไป ก็เลยได้มา 8 ล้านกว่าบาท และตอนที่ผมจะไปวัดป่าภูแปก ผมได้แวะอุดรธานี แวะไปที่วัดป่าบ้านตาด เพราะที่วัดป่าบ้านตาด ขณะนั้นกำลังมีกฐินอยู่ วันเสาร์ที่ 15 ผมก็ถวายเงินที่เราระดมมาจากการขายเหรียญเพื่อเอามาทำบุญ ให้กับวัดป่าบ้านตาด 1,000,000 บาท
มีอีกวัดหนึ่งชื่อ วัดป่าไชยชุมพล จังหวัดเพชรบูรณ์ ของพระอาจารย์จิรวัฒน์ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ชอบ ฐานสโม แล้วท่านสนิทสนมกับพวกเรามาก ก็ถวายไป 1,000,000 บาท
อาทิตย์ที่ 23 นี้ วันมะรืน ผมและทีมงานจะไปทำบุญทอดกฐินที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง วัดของพระอาจารย์ชิน ก็เป็นสายพระป่าเหมือนกัน
สำหรับท่านผู้ชมที่ต้องการร่วมทำบุญและจองเหรียญ เหรียญละ 2,000 บาท ให้เข้าไปจองได้ในไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อนคำว่า @tambun โอนเงินเข้าไปที่มูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล ธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี 008-2-78777-1 แล้วแนบสลิปโอนเงินพร้อมพิมพ์ชื่อ-สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ สำหรับจัดส่ง
วันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ จะมีพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ เมื่้อเสร็จพิธีแล้วเราจะเริ่มดำเนินการส่งเหรียญให้กับผู้สั่งจอง ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีหลายๆ เรื่องที่น่าสนใจทุกเรื่อง เรื่องแรก จากการที่เราเอาเงินไปเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตที่จังหวัดหนองบัวลำภูนั้น ผมได้ส่งทีมเจาะข่าวลึก เราไปเจาะลึกเรื่องยาเสพติดที่หนองบัวลำภู ไปหาเบื้องหลัง ส.ต.อ.ปัญญา คลั่งไล่ฆ่าเด็ก น่าสนใจมาก เดี๋ยวท่านผู้ชมลองฟังดู
เรื่องที่สอง ไม่พูดไม่ได้ คือเรื่องของคุณโน้ส อุดม แซะนายกฯ ใน "เดี่ยว 13" แล้วพี่ศรีไปแจ้งความ ร้องเรียน โดนลุงศักดิ์ต่อยเอา ลุงศักดิ์นี่ก็ชอบใช้ความรุนแรง แล้วก็ไลฟ์สดรับบริจาค
เรื่องต่อมา คือเรื่องวลีที่เป็นอมตะ ที่คนใช้กันหลายคน คือ "มึงรู้ไหมกูเป็นใคร" นั่นคือวลีของพี่แอ๊ด คาราบาว ที่มีเรื่องกับผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี เดี๋ยวมาดูกันว่าผมมีความเห็นอย่างไร
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่ผมเคยพูดมาแล้ว แต่เผอิญกำลังเข้ม งวดเข้ามา ท่านผู้ชม ถามกันตรงๆ ครับ คนที่มาค้าน "ทรู" ควบรวม "ดีแทค" อ้างประชาชนเสียประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วกำลังหนุนให้ใครผูกขาดอยู่ ?
เรื่องที่ห้า จากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 สี จิ้นผิง ได้รับเลือกเป็นผู้นำวาระสาม และได้ทำนายอนาคตของประเทศจีน ผมได้ถอดรหัสวาทะของ สี จิ้นผิง มาว่าคำพูดแต่ละคำพูดหมายความว่าอย่างไร
เรื่องสุดท้าย สงครามยูเครนเฟสใหม่ ยุทธภูมินรกฤดูหนาว และผมเอาเบื้องหลังจริงๆ ของการประกาศกฎอัยการศึก 4 แคว้นยูเครนที่รัสเซียยึดครองมา ว่ารัสเซียตอนนี้เร่งอพยพประชาชนจากเคอร์ซอน เคลียร์พลเรือนเพื่อเตรียมสู้อย่างแตกหักกับกองทัพเคียฟ ที่มีทหารนาโตซ่อนตัวอยู่ในกองทัพนี้
ท่านผู้ชมครับ จะขอเรียนท่านผู้ชมในเรื่องของเงินบริจาคของพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ผมระดมผ่านเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และ มูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากโศกนาฏกรรมที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ จังหวัดหนองบัวลำภู เราได้เงินมาทั้งสิ้น 25,754,959 บาท เราใช้เวลาระดมเงินบริจาค 11 วัน เราเปิดรับเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ถึงวันที่ 17 ตุลาคม เงินทั้งหมดเราได้มาจากใครบ้าง ? มาจากแฟนรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และประชาชน เป็นเงินทั้งหมด 12,754,959 บาท เราได้รับจากองค์กร และรายบุคคลร่วมบริจาค เป็นเงิน 13,000,000 บาท ซึ่งขออนุญาตเอ่ยชื่อนะครับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด 2,000,000 บาท บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในนามมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ 2,000,000 บาท คุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง 1,000,000 บาท บริษัท ช. การช่าง และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 1,000,000 บาท คุณประชัย-คุณอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ 1,000,000 บาท บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) 1,000,000 บาท คุณอนุศักดิ์ อินทรภูวศักดิ์ 1,000,000 บาท มูลนิธิ เสริมกล้า 1 ล้านบาท คุณบุษกร จันศิริ 1,000,000 บาท ครอบครัวลิ้มทองกุล 500,000 บาท พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และครอบครัว 500,000 บาท บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 500,000 บาท คุณกฤษณ์-กรณ์ ณรงค์เดช 500,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 25,754,959 บาท
ท่านผู้ชมครับ เงินทั้งก้อนนี้มาจากประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม แฟนรายการบุคคลธรรมดา ในเวลา 2-3 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดรับบริจาค มียอดเงินเข้ามา 2,000,000 บาท จากผู้บริจาค 2 ราย ไม่ประสงค์จะออกนาม บริจาครายละ 1,000,000 บาท ภายหลังสืบทราบว่า 1,000,000 บาท มาจากคุณบุษกร จันศิริ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกปลาทูน่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ท่านผู้ชมครับ ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่พวกเราทำในวันนี้คือรูปแบบของประชาชนเพื่อประชาชนที่แท้จริง และเมื่อวันอังคารที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมได้มอบหมายให้คุณสุวิชชา เพียราษฎร์ ซึ่งเป็นประธานมูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล และคุณธีร์ธวัช สังวรเวชภัณฑ์ รองประธานมูลนิธิฯ รวมทั้งทีมงาน เป็นตัวแทนผมนำเงินทั้งหมดไปที่ อบต.อุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อมอบให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ การไปของเราในครั้งนี้ เน้นมอบเงินให้ถึงตัวประชาชน โดยไม่มีพิธีรีตอง ไม่ได้เชิญผู้ว่าฯ มา ไม่ได้เชิญผู้การจังหวัดมา ไม่มีการกล่าวเปิดงาน ไปถึง เล่าถึงเหตุผลที่เราระดมเงินครั้งนี้ แล้วท่านประธานมูลนิธิฯ คุณสุวิชชา เพียราษฎร์ ท่านลงไปจากเวที เอาแคชเชียร์เช็คมอบให้กับผู้เสียหาย ท่านประธานฯ เป็นคนน่ารัก ไม่ถือตัว ให้ผู้รับนั่งที่เก้าอี้ แล้วท่านเดินไปมอบให้ทีละคนๆ ไม่ต้องขึ้นมาบนเวที มาคุกเข่ากราบขอบคุณ
ท่านประธานฯ คุณสุวิชชา เพียราษฎร์ เล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านยังคงอยู่ในอากาารเศร้าสลดจากการสูญเสีย ยกตัวอย่าง ยายกับแม่ของน้ององศา-น้องภูผา เด็กชายฝาแฝดที่เสียชีวิตไปทั้งคู่ ยายกับแม่ยังคงทำใจไม่ได้ ซึ่งผมเห็นใจ สามีของคุณสุภาพร หรือ ครูพร ครูที่ท้องแปดเดือน วันนี้ยังคงนอนกอดพวกขวดนม เสื้อผ้า ที่เตรียมไว้ให้น้องซีวิค ที่ลูกชายไม่มีโอกาสได้ใช้ รวมไปถึงครอบครัวผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ ที่ยังอยู่ในอาการซึมเศร้า
ท่านผู้ชมครับ พวกเราได้ดำเนินการจัดสรรเงินบริจาค ดังนี้ ครอบครัวผู้เสียชีวิต จำนวน 34 ครอบครัว ครอบครัวละ 610,000 บาท รวมเป็นเงิน 20,940,000 บาท ผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัส จำนวน 7 ราย รายละ 610,000 บาท รวม 4,270,000 บาท ที่มอบให้เท่ากับผู้เสียชีวิตนั้นก็เพราะว่าผู้ที่บาดเจ็บสาหัส ต้องใช้เงินในการเยียวยาร่างกายและจิตใจ อาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ ส่วนผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย ให้รายละ 100,000 บาท รวม 300,000 บาท
มีน้องแอมมี่ ซึ่งรอดชีวิตมาจากการที่นอนคลุมโปง ได้ 200,000 บาท มอบให้เป็นของขวัญและกำลังใจ คนอื่นๆ อาจจะมองข้ามน้องไปที่น้องไม่ได้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แม้จะไม่บาดเจ็บทางร่างกาย แต่เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ต้องเยียวยา
เราได้มอบให้ กองสวัสดิการสังคม อบต.อุทัยสวรรค์ จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 20,000 บาท และเผอิญมีครูอยู่ 7 ท่าน ครู 2 ท่าน เสียชีวิตจากการถูกฆ่าและได้รับเงินเยียวยาไปเรียบร้อย เผอิญมีครูอีก 5 ท่าน รอดชีวิตมา เพราะวิ่งไปแจ้งความ เราก็เลยตัดสินใจมอบให้ครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ อีก 5 ท่าน เพื่อปลอบขวัญ
เผอิญเงินที่มันเหลืออยู่จากการมอบทั้งหมด เราไม่ได้เตรียมให้ครูทั้ง 5 ท่าน เราก็เหลือเงินอยู่ประมาณ 46,000 บาท ผมก็เลยควักเงินส่วนตัวเติมเข้าไปให้ สรุปแล้วครู 5 ท่านที่ได้เงินเยียวยา มีคุณสุภาภรณ์ ตาราษี คุณจรัสศรี เพชรนอก คุณปานไพลิน ชมภูราช คุณสาธิตา บุญโสม คุณนันทิชา พันธ์ชุม ผมเอาเงินส่วนตัว 500,000 บาท ให้กับครู 5 ท่าน คนละ 100,000 บาท เพราะเขาก็เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่เราและเจ้าหน้าที่ผู้รวบรวมรายชื่อลืมไป ก็ถือว่าทุกคน เรียบร้อยแล้ว เรื่องการทำบุญและหนองบัวลำภู จบหมด เงินมา 11 วัน ปิดบัญชี ลงพื้นที่ได้ทันทีโดยท่านประธานมูลนิธิฯ คุณสุวิชชา เพียราษฎร์ ตามที่ผมได้รายงานไปแล้ว เอาเงินไปแจก ตกค้างอยู่ 5 คน คือครู เงินเหลือ 40,000 ผมควักให้อีก 460,000 บาท กลายเป็นได้ไปคนละ 100,000 บาท ไม่มีใครที่ไม่ได้
ผมมีเรื่องที่จะขอสารภาพกับท่านผู้ชม ท่านผู้ชมให้อภัยผมด้วย ผมทราบว่าท่านผู้ชมเยอะเลยที่ส่งเงินบริจาคมา ระบุชัดเจนว่าไม่อยากให้เอาเงินของท่านไปมอบให้กับครอบครัวของตำรวจที่เสียชีวิต แต่ผมได้เอาเงินส่วนตัวของผม ไม่ใช่เงินที่พ่อแม่พี่น้องบริจาคมานะครับ ให้กับแม่ของภรรยาผู้ก่อเหตุ กับพ่อของลูกเลี้ยงของผู้ก่อเหตุ คนละ 100,000 บาท ท่านผู้ชม แฟนรายการ กำชับมามากมายว่าอย่าเอาเงินบริจาคไปให้ครอบครัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งผมก็ได้ทำตามเจตนารมณ์นั้น แต่ส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าทั้งสองคนไม่รู้เรื่องด้วย ถือว่าเป็นสูญเสียเหมือนกัน ผมก็เลยตัดสินใจควักเงินส่วนตัวมอบให้
ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นได้ และได้รับความสะดวกจาก ดร.วุฒิพงษ์ ศิริสถิต นายก อบจ. หนองบัวลำภู นายวุฒิพงษ์ ใจยศ นายอำเภอนากลาง นายดนัยโชค บุญโสมนาย นายก อบต. และเจ้าหน้าที่ อบต. ทุกท่าน ที่ช่วยดำเนินการติดต่อประสานงาน ที่สำคัญ ผมและมูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล รวมทั้งทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละร่วมบริจาคเงิน ตั้งใจมาร่วมบุญร่วมทานกับเรามาในที่นี้ ขออานิสงส์บุญและทานนี้จงส่งผลให้ท่านผู้ชมที่บริจาคมาจงมีความสุข ความเจริญ อยู่รอดปลอดภัย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ อุบัติภัย ทั้งหลายทั้งมวล และมีชีวิตที่เป็นสิริมงคลตลอดไปครับ สาธุ สาธุ สาธุ
ต่อจากเรื่องเอาเงินบริจาคไปให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต ผมมีเรื่องที่จะคุยให้ท่านผู้ชมฟัง ผมเคยให้คำมั่นสัญญากับท่านผู้ชมว่า ประการแรก ผมจะรวบรวมพลังพี่น้องให้ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาและบรรเทาความทุกข์ยากของผู้ที่ประสบเหตุให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงวันนี้ผมได้ดำเนินการให้เรียบร้อยแล้ว ด้วยความเมตตาและจิตอันเป็นกุศลของพี่น้องมากมายมหาศาล จนได้รับเงินบริจาคมากมายในระยะเวลาอันสั้น แต่ผมก็ยังสัญญากับท่านผู้ชมว่า ผมจะพยายามสุดความสามารถ เจาะลึกเรื่องนี้ให้ถึงแก่น ให้รู้ถึงสาเหตุและที่มาที่ไปของโศกนาฏกรรมครั้งนี้
ท่านผู้ชมครับ ผมกับทีมงานพยายามใช้เครือข่ายทุกทางในการเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุเรื่องนี้อย่างละเอียด ซึ่งวันนี้ผมจะมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังว่า ปัญหายาเสพติดในจังหวัดหนองบัวลำภู ที่เชื่อมโยงกับ สิบตำรวจเอกคลั่งคนนี้ มันเป็นอย่างไร
หนองบัวลำภู แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู อำเภอโนนสัง อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอสุวรรณคูหา อำเภอนาวัง (ซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของจุดเกิดเหตุ) และ อำเภอนากลาง
สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ตามข้อมูล ป.ป.ส. ภาคอีสาน ล่าสุด ระบุว่า มีการค้าและแพร่ระบาดไม่ต่างจากจังหวัดอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรายย่อย ปริมาณการค้าไม่มาก ไม่เกิน 2,000 เม็ด หรือ 1 มัด ผู้ค้าส่วนใหญ่จะได้รับยาบ้ามาจากพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะทางด้านอุดรธานี หนองคาย และ ขอนแก่น
วิธีการซื้อขายทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะติดต่อซื้อขายกันผ่านไลน์ (LINE) ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โอนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารทางมือถือ ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีชื่อในการค้าและแพร่ระบาดยาบ้าค่อนข้างหนัก มี อำเภอเมืองหนองบัวลำภู อำเภอศรีบุญเรือง และ อำเภอนากลาง ราคายาบ้าเฉลี่ยแล้วต่ำกว่าแต่ก่อนมาก ตกประมาณเม็ดละ 30-50 บาท เมื่อก่อนราคาเฉลี่ย 50-100 บาท หรือแถวละ 10 เม็ด ราคา 400-1,000 บาท หรือถุงละ 200 เม็ด ราคา 5,000-8,000 บาท
ท่านผู้ชมครับ จากการค้นคว้าข้อมูลของทีมงานเรา ถ้าแยกเป็นรายอำเภอจะพบว่า อำเภอเมืองหนองบัวลำภู มีหมู่บ้าน/ชุมชนที่ไม่มีปัญหายาเสพติด 100 หมู่บ้าน/ชุมชน อีก 54 หมู่บ้าน/ชุมชน มีปัญหายาเสพติด ทั้งคนเสพและค้า ถ้าคิดเป็นสัดส่วนแล้ว 1 ใน 3 ของหมู่บ้านในอำเภอทั้งหมดที่มีปัญหายาเสพติด
อำเภอศรีบุญเรือง มีทั้งหมด 158 หมู่บ้าน ไม่มีปัญหายาเสพติด 106 หมู่บ้าน มีปัญหายาเสพติด 52 หมู่บ้าน/ชุมชน คือประมาณ 1 ใน 3 ของอำเภอศรีบุญเรือง ที่มีปัญหายาเสพติด
อำเภอนากลาง (ที่เกิดเหตุ) จำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 127 หมู่บ้าน มีหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีปัญหายาเสพติดทั้งหมด 31 หมู่บ้าน คิดแล้วประมาณ 1 ใน 4 ของหมู่บ้านทั้งหมดในอำเภอ ที่มีปัญหายาเสพติด
อำเภอโนนสัง หมู่บ้านทั้งหมด 107 หมู่บ้าน มีหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีปัญหายาเสพติด 11 หมู่บ้าน/ชุมชน ประมาณ 1 ใน 10 อำเภอสุวรรณคูหา จำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 91 หมู่บ้าน/ชุมชน มีหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีปัญหายาเสพติด 27 หมู่บ้าน/ชุมชน เป็นสัดส่วน 1 ใน 3
อำเภอนาวัง มีหมู่บ้านทั้งหมด 51 หมู่บ้าน ในจำนวนนี้มีหมู่บ้านที่มีปัญหาการแพร่ระบาดยาไอซ์ ยาบ้า ถึง 25 หมู่บ้าน/ชุมชน ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านทั้งหมด
ส่วนในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภู จำนวนชุมชนทั้งหมด 33 ชุมชน มี 6 หมู่บ้านที่มีความชัดเจนว่าคนในหมู่บ้าน/ชุมชนติดยาบ้า ยาไอซ์ และมีผู้ค้าค่อนข้างมาก
ท่านผู้ชมครับ ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดส่วนใหญ่ คือ ยาบ้า ในพื้นที่ตำบลอุทัยสวรรค์ เยาวชน และวัยทำงาน หรือแม้กระทั่งกลุ่มคนที่มีครอบครัว มีลูกมีผัวแล้ว มีเมียมีผัวแล้ว เข้าถึงยาบ้าได้ง่าย หายาได้ไม่ยาก และราคาถูก แหล่งที่มา มาจาก 2 กลุ่ม กลุ่มแรก มาจากพวกคนขับรถบรรทุกขนหิน ขนกรวด หินคลุก ของโรงโม่หิน ตั้งอยู่ในเขตตำบลอุทัยสวรรค์ บ้านโนนสวาท หมู่ 2 อำเภอนากลาง รถบรรทุกพวกนี้จะเป็นซับคอนแทร็กต์ของโรงโม่อีกที ขนหินไปส่งลูกค้าตามจังหวัดต่างๆ วิ่งเข้าวิ่งออกทุกวัน กลุ่มพวกนี้เสพยาบ้าอยู่แล้ว ก็จะนำติดตัวมาขายคนงานในโรงโม่ บางส่วนจะปล่อยให้วัยรุ่นหรือคนในตำบลนากลาง ไปขายหารายได้ต่อ หรือรับจ้างแบบหักเปอร์เซ็นต์
กรณีแบบนี้ผมเชื่อว่าเจ้าของโรงโม่หินไม่เกี่ยว เพราะไม่ได้เป็นนายจ้าง ไม่สามารถไปตรวจสอบหรือเข้าไปยุ่งได้ กลับเป็นลูกจ้างของผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รู้ดี แต่ไม่ได้ดำเนินการอะไรที่เป็นการจับกุมหรือปราบปราม ทั้งๆ ที่รู้ว่ารถบรรทุกพวกนี้ขนยาบ้า เสพยาบ้า เวลาผ่านเข้ามาไม่ได้ตั้งด่าน จับค้นตัว ค้นรถ ไม่ได้ทำเลย ส่วนคนที่ทำงานในโรงโม่หินมีจำนวนมาก คนที่เข้าไปทำงาน ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในตำบลอุทัยสวรรค์ กระจายไปหลายๆ ตำบลของอำเภอนากลาง ต้องถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ แม้แต่ทหารเกณฑ์ที่ปลดประจำการแล้ว กลับมาหมู่บ้าน ก็หันมาค้ายาบ้าด้วย เพราะมีติดมาจากข้างในค่ายทหาร เฉพาะหมู่บ้านท่าอุทัย หมู่ 1 ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อดีตตำรวจคลั่งก่อเหตุสังหารหมู่ มีคนติดคุกจากคดียาบ้าประมาณ 5 คน เพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุก 2 คน อีก 3 หรือ 4 คน ถูกนำไปบำบัด
กลุ่มที่สอง มาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เอง ส่วนใหญ่จะเป็นชั้นประทวน เป็นพวกสายสืบ ยศไม่สูง ระดับนายสิบ และนายดาบตำรวจ ตำรวจเอายาบ้ามาให้เด็กวัยรุ่นและคนในหมู่บ้านไปขายต่อให้อีกที ที่ต้องใช้เด็กเดินยาบ้า เพราะว่าเมื่อเด็กถูกจับ ความที่เป็นเยาวชน จะได้รับโทษไม่หนักเท่ากับผู้ใหญ่ค้ายาบ้า โทษทางคดีเด็กก็คือเข้าไปฟื้นฟูบำบัดในสถานพินิจฯ เพียงไม่กี่วันเด็กพวกนี้ก็กลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เดินยาให้ตำรวจเหมือนเดิม การเข้า-ออกสถานพินิจฯ หรือถูกจับ กลายเป็นเรื่องธรรมดา ท่านผู้ชมครับ ผมพูดไว้แล้วนะครับว่าตำรวจเกี่ยวข้องแน่นอน ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้
กลุ่มที่เสพยาบ้าในหมู่บ้าน มีทั้งที่เป็นเยาวชน และคนทำงาน หากเทียบสัดส่วนประชากรทั้งหมด 100 คน จะมีคนที่เสพยาบ้าไม่น้อยกว่า 8 คน โดยเฉพาะคนทำงานโรงโม่ เกือบทั้งหมดจะเสพยาบ้า วัยรุ่นก็มีมาก สาเหตุเพราะว่ายาบ้าถูกมาก เม็ดละ 30 บาท บางครั้งก็ขาย 3 เม็ด 100 หรือ 4 เม็ด 100 บาท ว่ากันว่าครอบครัวไหนที่มีลูกมีหลานแล้วไม่ติดยาบ้า ต้องถือว่าโชคดีเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1
ท่านผู้ชมครับ ปัญหายาบ้าระบาดในหมู่บ้านภายในตำบลอุทัยสวรรค์ ในพื้นที่อำเภอนากลาง เกิดขึ้นมานานแล้ว ร่วมยี่สิบปี เป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขให้เบาบางลงได้ เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งเป็นผู้เสพและค้าเอง เราตรวจสอบกับชาวบ้านแล้ว ชาวบ้านบอกว่า ถ้าหน่วยงานรัฐต้องการให้การแพร่ระบาดเบาบางลง หรือลดน้อยลง มาตรการต้องเด็ดขาด กำหนดโทษให้เด็ดขาด จะได้เข็ดหลาบ ไม่กล้าทำ ที่สำคัญต้องจัดการกับคนของรัฐ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการหาประโยชน์จากยาบ้า เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปว่า ถ้าลูกหลานใครที่ถูกจับเสพยาบ้า มีของกลาง จะมากหรือน้อย ต้องเตรียมเงินหลักหมื่น หรือหลักหลายมื่น ไว้เลย เอาไว้แลกกับการไม่ต้องถูกลงบันทึกประจำวัน ไม่ต้องถูกจับ หรือดำเนินคดี
ท่านผู้ชมครับ ทีมงานผมค้นพบว่าทุกวันนี้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน ในตำบล เอือมระอากับเด็กวัยรุ่น หรือกลุ่มเด็กที่ติดยาเป็นอย่างมาก นิสัยก้าวร้าว พูดจาไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ว่ากล่าวสั่งสอนอะไรไม่ได้ ถูกด่ากลับ ชาวบ้านบอกว่าถ้าแก้ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดไม่ได้ ต่อไปก็จะมีคดีทำร้ายร่างกาย คดีฆ่ากันตาย บ่อยขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ความรุนแรง ไม่มีหมู่บ้านไหนไม่มีขี้ยา หรือคนที่ติดยาเสพติด คือยาบ้า
ตำรวจ คือตัวแปรตัวหนึ่งที่ส่งเสริมให้สังคมท้องถิ่นเละเทะทุกวันนี้ อาศัยอำนาจหน้าที่ของตัวเองหากินกับประชาชน นอกจากจะเอายาบ้ามาปล่อยให้ขี้ยาตามหมู่บ้านขายแล้ว แม้แต่พวกการพนัน วงไพ่ วงไฮโลตามงานศพ ก็ไม่เคยเข้าไปจับกุม เจอวงพนันที่ไหนก็ขอเข้าไปเล่น ขอเงินเขาครั้งละพัน สองพัน ไม่เว้นแม้กระทั่งโต๊ะสนุ้กเกอร์ บ่อนไก่ชนก็ถูกเรียกเก็บเงินแลกกับการไม่ถูกจับ
ท่านผู้ชมครับ สำหรับแรงจูงใจของอดีตตำรวจที่ก่อเหตุ คนในชุมชนที่ใกล้ชิดบอกว่า เกิดจากการที่ตำรวจคนนี้ สิบตำรวจเอกคลั่ง ผิดหวังจากการเข้าไปขอใบรับรองความประพฤติจาก อบต. ไม่ได้ เพื่อจะนำไปประกอบขอลดหย่อนผ่อนโทษในการพิจารณาคดีของศาล ก็เลยมีความรู้สึกเคียดแค้น ตอกย้ำความรู้สึกน้อยอกน้อยใจของตัวเองที่ถูกคนรอบข้างปฏิเสธ ไม่ให้ความช่วยเหลือ ด้านผู้บังคับบัญชา และเพื่อนตำรวจ แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เขารับราชการตำรวจต่อไป เพราะว่ามีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ไม่เคารพผู้บังคับบัญชา ซึ่งของกลางยาบ้าแค่ 1 เม็ด ที่ถูกจับ ต้องถือว่าน้อยนิดมาก ตำรวจช่วยเหลือกันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ทุกคนต้องการกำจัดเขาออกไป เรื่องเลยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กรรมเลยไปตกอยู่กับเด็ก
ท่านผู้ชมครับ แม่จริงๆ ของอดีตตำรวจนายนี้ ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี มีเงิน มีรายได้จากการปล่อยเงินกู้ยืมให้เพื่อนบ้าน ลูกหนี้รายไหนไม่ส่งเงินต้น ส่งดอก ได้ตามสัญญา จะถูกยึดที่ดิน ที่สวน หลังจากเขาถูกให้ออกจากราชการ จึงมีแม่คนนี้คอยซัปพอร์ตเรื่องเงินทองค่าใช้จ่าย มีพี่ชายคนหนึ่ง อยู่กรุงเทพฯ ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ผมไม่ได้เอาเงินส่วนตัวของผมให้แม่คนนี้นะครับ แต่ผมให้แม่ของผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงก็คือเมียของสิบตำรวจเอกคลั่งคนนี้ และลูกซึ่งเกิดจากพ่ออีกคนหนึ่ง ผมให้ไปทางนี้
ท่านผู้ชมครับ ผมคิดว่ารัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ น่าจะเอาหนองบัวลำภูเป็นโมเดลในการปราบปรามยาเสพติด เหตุเกิดที่หนองบัวลำภู ทำไมรัฐบาล หรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ประกาศเป็นนโยบาย ระดม ขอให้ทำให้หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดสีขาว ไม่มียาบ้า ไม่มียาเสพติด เพราะว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่าประชาชนที่เบื่อหน่ายเรื่องนี้ ยินดีให้ความร่วมมือ แล้วพวกตำรวจชั้นประทวนต่างๆ ที่เดินสายยาบ้า ผมเชื่อว่าผู้กำกับโรงพัก หรือหัวหน้าหน่วย ต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร หรือว่าผู้กำกับโรงพักก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ? ผมไม่รู้ แต่ถ้าหลักๆ แล้ว ประทวนเป็นคนเดินเรื่องนี้ พวกประทวนพวกนี้ต้องให้ออกจากราชการ หรือย้ายออกไปเลย ให้กระเด็น หรือย้ายออกไปแล้วจะไปสร้างปัญหาที่ใหม่ ก็ให้พัก ออกจากราชการ รอการสอบสวน เอาชุดใหม่เข้าไปเลย ถือโอกาสทำให้หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดสีขาวให้ได้ เพราะทุกอำเภอ ทุกหมู่บ้าน มีคนเสพติดยาเสพติด ตำรวจไม่ใช่ไม่รู้ แต่ตำรวจรู้เห็นเป็นใจ เพราะตำรวจร่วมค้ากับเขาด้วย น่ากลัวไหมท่านผู้ชม และนี่คือข้อมูลที่ผมไปหามาตามที่ผมรับปาก ให้คำมั่นสัญญากับท่านผู้ชมว่าผมจะเอาข้อมูลเชิงลึกมาเล่าให้ฟัง
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าไม่ดำเนินการจัดการอะไรต่อไปสักอย่าง หนองบัวลำภู จะกลายเป็นจังหวัดยาเสพติด และที่สำคัญ ที่ร้ายที่สุดคือ ตำรวจเอง นั่นล่ะคือตัวการแพร่กระจาย หลับตาข้างนึงแล้วเอาผลประโยชน์จากการขายยาเสพติดให้กับเด็กวัยรุ่น ใช้เด็กวัยรุ่นเป็นคนขายยา เพราะอายุไม่ถึง เมื่อถูกจับก็จะถูกส่งเข้าสถานพินิจฯ พวกนี้เขาคิดรอบด้านแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องลงดาบกัน และผมเชื่อว่าผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 งานนี้ผู้การจังหวัดหนองบัวลำภูต้องรับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบไม่ได้ ท่านเป็นผู้การจังหวัดหนองบัวลำภู ท่านรู้อยู่แล้วว่าจังหวัดหนองบัวลำภูมีกี่โรงพัก ถ้าท่านไม่มีข้อมูลข่าวสารพอว่าโรงพักไหนเข้ามาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ท่านไม่ควรมานั่งเป็นผู้การจังหวัดหนองบัวลำภู ผมเสนอว่า ถ้าย้ายท่านได้ ย้ายท่านออกไปเลยดีกว่า ท่านไม่เหมาะสมจะมานั่งที่นี่หรอก เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จริงๆ
ท่านผู้บัญชาการภาค 4 ครับ ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ ได้โปรดพิจารณาบทบาทหน้าที่ของผู้การจังหวัดหนองบัวลำภู ไล่ลงไปจนถึงผู้กำกับโรงพัก ที่มีตำรวจชั้นประทวนเป็นคนเดินสายยาบ้า ก็ในเมื่อตำรวจเป็นคนทำเองอย่างนี้ แล้วจะให้ประชาชนอยู่ได้อย่างไร ท่านผู้ชมเห็นด้วยไหมครับ
อาทิตย์นี้มันมีเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่อง ที่เป็นไวรัลในสังคมไทย และเป็นไวรัลในสังคมโซเชียลมีเดีย เรื่องแรกก็คือเรื่องของ น้าแอ๊ด คาราบาว ที่ใช้วลีว่า "มึงรู้ไหมกูเป็นใคร" เรื่องที่สองเป็นเรื่องดรามาของ โน้ส อุดม แต้พานิช ในรายการ "เดี่ยว 13" แต่ผมจะพูดถึงเรื่องของโน้สก่อน เพราะโน้ส ท่าทางจะร้อนแรงมาก เนื่องจากว่ามีการออกแม่ไม้มวยไทยใส่พี่ศรีของผม แล้วพี่ศรีก็ใช้ยุทธวิธีของมวยหย่งชุนปิดป้อง
"เดี่ยว 13" โน้ส อุดม แต้พานิช เขาพูดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ตั้ง 5 เดือนที่แล้ว แต่ไม่มีใครพูดถึงเลย ไม่มีใครอ้างอิงถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว มาโด่งดังเอาช่วงที่ Netflix เอา "เดี่ยว 13" ขึ้นใน Netflix ก็เลยกลายเป็นประเด็นดรามาขึ้นมา เพราะว่ามุกหลายมุกที่โน้สพาดพิงทันทีถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนฟังอีกฟากหนึ่งที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลายคนบอกว่าเคยชอบฟังโน้ส เก็บซีดีไว้หมด ก็จะทิ้งซีดีลงถังขยะ อีกฝั่งหนึ่งก็ฮา เพราะว่าโดนใจ
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่เราจะเข้าไปถึงรายละเอียดเรื่องอื่น ต้องอธิบายให้ฟังเสียก่อน โน้ส อุดม คือนักการตลาดตัวยง โน้ส อุดม จะไม่พูดอะไรเลยถ้าไม่มีการเตรียมงานมาก่อน และที่สำคัญ การเตรียมงานของเขา เขาเตรียมว่าอะไรบ้างที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
โน้ส อุดม มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการที่เอาปัญหาในสังคมที่ประชาชนทุกคนมีอารมณ์ร่วมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล หรือฝ่ายที่อยู่ร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ อาหารการกินที่แพง ระบบราชการที่อืดอาด หรือว่าการกลั่นแกล้งประชาชน ทำนองนี้ "เดี่ยวไมโครโฟน" ของโน้ส จึงได้รับความนิยมมาตั้งแต่ตอนที่ 1 มาเรื่อยๆ ก็เพราะว่าโน้ส อุดม ทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้ว
โน้ส อุดม สมัยก่อนจะพูดถึงเรื่องปัญหาสังคม ปัญหาชีวิตประจำวันของคนเมืองที่ต้องเจอ พอจู่ๆ โน้ส อุดม เริ่มมาพูดในเรื่องการเมือง มันก็เลยทำให้เกิดมีปัญหาขึ้นมา
ผมเอาตัวอย่างบางตัวอย่างให้ดูก็แล้วกันว่า โน้ส อุดม ได้เข้ามาแตะทางการเมือง และเผอิญก็อาจจะเป็นหลักการตลาด โน้ส อุดม มองเห็นว่าช่วงนี้ประชาชนเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เลยเอา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวละครเอก ก็เลยได้ใจคนซึ่งไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ แต่แน่นอนที่สุด หลายคนเข้าไปฟัง ตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว ก็หวังว่าจะได้ฟังในเรื่องของปัญหาสังคม ซึ่งจริงๆ แล้วก็อาจจะเป็นความผิดของรัฐบาล แต่เนื่องจากว่าปัญหาสังคม ปัญหาที่มันเจอกันในทุกฝ่าย ไม่ว่าจะสีอะไร ฟากไหน ซ้ายหรือขวา กลาง หรือหน้า หรือหลัง ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาด้วยตัวเอง ก็เลยทำให้เกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมา
แต่พอ โน้ส อุดม มาแตะเรื่องการเมือง ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ โน้ส บอกว่าประเทศเราตอนนี้เหมือนขับเครื่องบินโดยใช้ Security Guard หรือ รปภ. เป็นคนขับ พอคนถามว่าจะไปไหน ก็โดนตวาด ก็คือพูดง่ายๆ ว่า นี่คือตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ และกลุ่มทหารที่ยึดอำนาจมา Security Guard หรือ รปภ. ส่วนตวาดก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านจะมีนิสัยอย่างหนึ่ง เวลาท่านโกรธอะไรขึ้นมา ท่านก็จะตวาดออกมา นี่เป็นคำพูดของโน้สนะ "เฮ้ย! มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์การเดินทาง 20 ปี การที่เราต้องบินไปไหน โดยที่ไม่รู้ว่าลงที่ไหน อย่าบอกเลยว่ายุทธศาสตร์ 20 ปี ยุทธศาสตร์ของท่านแค่ 20 นาที กูก็ว่านานไปแล้ว" มันก็เลยโดนใจคนที่เกลียด พล.อ.ประยุทธ์ มาก โคตรโดนใจเลย
หลายๆ อย่าง สโลแกนต่างๆ ที่โน้สนำเสนอประโยคเด็ด วลีเสียดสี เช่น "สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ ยืนยันเรื่องความโปร่งใส แต่ไม่ให้ตรวจสอบ พร้อมชนทุกปัญหาด้วยสติปัญญาที่มี แปดหมื่นสี่คือจำนวนเซลล์สมอง จุดแข็งคือหัว จุดอ่อนคือสิ่งที่อยู่ในนั้น ฉลาดพูด ตอนไม่พูดฉลาดกว่า" คือเอาเรื่องเก่าๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกล้อเลียนมา เอามาร้อยเรียงกัน ก็เลยทำให้คนที่เกลียด พล.อ.ประยุทธ์ มีความสุขในทางอารมณ์
โน้ส พูดต่อบางประโยค "แก้ปัญหาชาติด้วยการแต่งเพลง แก้ปัญหาตัวเองด้วยการทำเป็นโมโห อาสามากู้ชาติ แต่ไม่ได้กู้แค่ชาติเดียว กู้มาหลายชาติแล้ว ชาติล่าสุดก็คือกู้ญี่ปุ่น ส่งมอบมรดกหนี้ให้กับลูกหลาน เพราะมันผ่อนไม่จบที่รุ่นเรา ตอนนี้เป็นหนี้สิบกว่าล้านล้าน มาร่วมแรงร่วมใจผ่อนไปด้วยกัน"
ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง พอเรื่องราวเกิดเป็นดรามา เป็นไวรัลขึ้นมาจาก Netflix คนที่พูดจาออกมาแล้วได้รับคำชมเชยพอสมควร ก็คือ "ลุงป้อม" ลุงป้อมบอกชัดเจนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลุงป้อมบอกว่า ติดตามคุณโน้สมาตลอด ชื่นชมในความสามารถ ส่วนเรื่องการวิจารณ์รัฐบาล เขาก็พูดมาทุกการแสดงเดี่ยว ในความเห็นส่วนตัว เขาพูดเพื่อความบันเทิง คนดูก็มีวิจารณญาณในการฟังอยู่แล้ว ไม่ควรนำมาเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โต ผมคิดว่าลุงป้อมพูดดีมาก ต้องคารวะลุงป้อม
แต่เผอิญมันไม่ได้จบเพียงแค่นี้ เพราะว่าการดรามา ก็ต้องมีแสง เมื่อมีการมีแสง ก็ต้องมีคนกระโจนเข้าหาแสงร่วมวงศ์ไพบูลย์ คนที่ต้องการแสงคนหนึ่งก็คือ "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "โน้ต เดี่ยว-13 ให้ท้ายม็อบก้าวล่วงหรืออย่างไร ? พูดเอามัน เอาฮา ไร้เหตุผล และให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน..เดี๋ยวเจอกัน..!!" โพสต์นี้ของพี่ศรีมีทั้งคนที่เข้ามากดหัวใจให้ กดโกรธ เรียกว่า FC ลุงตู่ ปะทะ FC โน้ส ซัดกันไม่ยั้ง รวมทั้งคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวดัง ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวของพี่ศรีผ่านเพจ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ของตัวเอง พร้อมระบุแคปชันเป็นเชิงตั้งคำถามที่พี่ศรีกล่าวหาโน้ส อุดม ว่า ถ้าผิด ผิดตรงไหน ?
ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่รักลุงตู่ก็มีโพสต์ข้อความว่า "ซีดีโน้ต อุดม ที่ผมสะสมมาไว้หลายสิบแผ่นได้ลงถังขยะเป็นที่เรียบร้อยวันนี้ #เลิกสนับสนุนโน้ตอุดม" ส่วนเพจ "ลุงตู่ตูน" ซึ่งสนับสนุนรัฐบาล ก็ตั้งฉายา โน้ส ว่า "ตลกชังชาติ"
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีป๋าเทพ เทพ โพธิ์งาม ขอเกาะขบวนเดี่ยว 13 กับเขาด้วย โดยป๋าเทพก็ใส่โน้ส อุดม เป็นชุดเลย ไม่หยุดยั้ง อย่างเช่น "มึงพลาดกูจะบอกให้ มึงไม่เห็นหรอว่าเขาทำอะไร เยอะแยะซะหมด ประโยชน์ของมึงทำให้มึงลืมตัว มึงสูงกว่ากูเยอะ แต่การพูดมึงต่ำกว่ากูอีกเหรอ คำว่า รปภ. มึงไม่สมควร เขาผิดอะไรมากมาย มึงถึงไปขนาดนั้น กูเคยชอบมึงนะ แต่มาพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง กูไม่ใช่จะรักประยุทธ์ แต่มึงพูดไม่ถูก ต้องดูว่ามันจริงหรือเปล่า" ปรากฏว่าพอป๋าเทพพูด ฝ่ายที่เชียร์ป๋าเทพ เชียร์ลุงตู่ ก็ขยันเข้ามาสั่งขนมเปี๊ยะของป๋าเทพ ขายดิบขายดี เพราะคนเห็นด้วยกับป๋าเทพก็ถูกใจ แห่กันมาอุดหนุน เรียกว่าได้แสงไปอีกทางหนึ่ง ส่วนโน้ส อุดม ก็ได้แสง ป๋าเทพก็เกาะโหนกระแสขอขายขนมเปี๊ยะไปด้วย
ท่านผู้ชมครับ "เดี่ยวไมโครโฟน" ในภาษาอังกฤษที่เขามีอยู่ในเมืองนอก เขามีมานานแล้ว เรียกว่า Stand up Comedy คือการยืนคนเดียว สร้างเสียงหัวเราะผ่านการเล่าเรื่องต่างๆ ในแง่มุมของการล้อเลียน มีมานานแล้ว ผมยกตัวอย่าง ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Dave Chappelle และอีกคนหนึ่งคือ Russell Peters คนอินเดีย แต่เกิดที่แคนาดา
Dave Chappelle เป็นตลกชาวอเมริกันผิวสี เล่นมุกสองแง่สองง่าม ล้อเลียนกลุ่ม LGBT อย่างรุนแรงจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตในอเมริกา หรือ Russell Peters ตลกชาวแคนาดาเชื้อสายอินเดีย ล้อเลียนสำเนียงภาษา ประเพณี วิถีชีวิตคนอินเดีย ล้อแม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ล่าสุดล้อเลียนเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทย ชื่อ กรุงเทพ - Bangkok จะว่าแรงก็แรง จะว่าไม่แรงก็ไม่แรง แล้วแต่มุมมองของคน
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมทั้งสองฝ่าย การล้อเลียนเรื่องการเมืองเป็นเรื่องปกติ ควรจะยอมรับกันได้ว่าเป็นประเด็นที่ทุกคนสามารถพูดถึง วิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียนได้ แม้กระทั่งในเครือข่ายของผู้จัดการเอง การ์ตูน บัญชา คามิน ก็แรงไม่แพ้กัน แต่ก็มีแฟนคลับมากมาย ประเด็นคือ คนที่เชียร์ลุงตู่ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ โน้ส อุดม พูดนั้น เป็นการขายความบันเทิง โน้ส อุดม เล่นกับกระแส เอาใจคนดู พูดในสิ่งที่คนชอบ คนสนุก การที่วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ แล้วคนเฮกัน แสดงว่าคนคิดเหมือนกับ โน้ส อุดม
แต่พอเป็นกระแสขึ้นมา โน้ส ประสบความสำเร็จ คือที่เป็นกระแสมาเป็นตอนที่ Netflix เอาขึ้นมาออกอากาศ ก่อนหน้านั้นไม่เป็นกระแสเลยแม้แต่นิดเดียว พอคนแห่เข้าไปดูรายการผ่านทาง Netflix พวก IO ลุงตู่ที่ทำงานไม่เป็น ก็งับเหยื่อเลย หลงกลไปช่วยเขา ไปช่วยโปรโมตให้เขาอีก จนกระทั่งรายการ "เดี่ยว 13" กลายเป็นอันดับหนึ่งของ Netflix
ความจริงแล้ว ในทางกลับกันผมมีสิ่งที่จะเตือนคุณโน้ส อุดม เหมือนกัน คือที่ผ่านมาการแสดงเดี่ยวของคุณได้รับความนิยม สนุกสนาน ขบขัน สร้างชื่อจากการล้อเลียนปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการศึกษาที่ล้าสมัย ปัญหาระเบียบราชการต่างๆ ที่มันล่าช้า คนทุกคนชอบใจหมด ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ฝั่งไหน ฟากไหน เพราะเจอเหมือนกันหมด ปัญหารถติด ปัญหาน้ำท่วม หรือการไปเชงเม้งต่างจังหวัด แบบนี้คนที่มีหัวอกเดียวกันก็เลยมีอารมณ์ร่วม ไม่รู้สึกว่ามีอะไรควรจะต่อต้าน
แต่พอคุณโน้ส เริ่มก้าวมาแตะทางการเมือง เหมือนกับการเปิดกล่อง ที่เขาเรียกว่า Pandora Box มีปัญหาการเมือง ปัญหาคนสองฝั่ง หรือหลายฝั่ง ครอบครัวเดียวกันอาจจะคิดไม่ตรงกัน ไม่เหมือนปัญหาสังคมที่คนคิดตรงกัน ก็เลยทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ในทางหนึ่งอาจจะพูดได้ว่า โน้ส อุดม ได้สร้างความแตกแยกในสังคมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าเอาอกเอาใจตลาด เพราะตลาดในกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนใหญ่เป็นตลาดที่ไม่เอาลุงตู่แล้ว เบื่อหน่ายกับลุงตู่ เอือมระอากับวิธีการของลุงตู่ แต่พอ โน้ส อุดม สัมผัสเรื่องนี้ขึ้นมา คนก็เฮกัน จริงๆ แล้วมันเป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่ไม่เหมาะสม ถ้ากลับไปเน้นเรื่องครอบครัว เรื่องสังคม ปัญหาชีวิตความเดือดร้อนของประชาชน จะมีคนเห็นด้วยเยอะ ทุกคนอาจจะมีอารมณ์ร่วม แต่ตอนนี้พอมาปัญหาการเมือง ประสบความสำเร็จ ได้เรตติ้ง "เดี่ยว 13" สูงก็จริง แต่คุณโน้สครับ คุณกำลังสร้างความขัดแย้ง ที่ตอนหลังพัฒนากลายเป็นการชกต่อยกันไป
ทีนี้ มาถึงพี่ศรีของผมบ้าง ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมเคยพูดถึงเรื่อง "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา และผมเชื่อว่าเรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องหลายๆ เรื่องที่ผมพูดแล้วท่านผู้ชมจะเห็นด้วยกับผมพอสมควร คือผมเตือนพี่ศรีว่า ช่วงหลังๆ พี่ศรีร้องไปหมดทุกเรื่อง สำคัญหรือไม่สำคัญ ก็ร้อง จริงๆ แล้วเรื่องของโน้ส อุดม พี่ศรีไม่ควรร้องเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่ามุมมองมิติของการชมรายการแบบนี้ คือชมเพื่อความบันเทิง แล้วการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลมันมีมาทุกยุคทุกสมัย ปัดโธ่! พี่ศรี ไปดูตลกคาเฟ่สิ เขาล้อเลียนกันขนาดไหน ล้อแรงกว่าที่โน้ส อุดม ล้อเลียนเยอะ ก็ไม่เคยมีใครไปดำเนินคดีกับตลกคาเฟ่ แต่ที่พี่ศรีตัดสินใจดำเนินคดีกับโน้ส อุดม ก็เพราะว่ารายการนี้มันขึ้น Netflix อันดับหนึ่ง ถ้าพี่ศรีร้องเรียน พี่ศรีรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนเข้ามาสวนทางพี่ศรี ซึ่งจริงๆ ลึกๆ พี่ศรีอาจจะต้องการแบบนั้นก็ได้ แต่ผมเคยเตือนพี่ศรีแล้วว่า ผมรู้ว่าหลายๆ งานพี่ศรีทำก็ประสบความสำเร็จ แต่พี่ศรีควรจะเลือกงานบ้าง ไม่ใช่เพราะว่าร้องเรียน โน้ส อุดม ในเรื่องนี้ เพราะโน้ส อุดม ออก Netflix แล้ว กลายเป็นว่าพี่ศรีเกาะขากางเกงของโน้ส อุดม ขึ้นมาเพื่อรับแสง อันนี้คือสิ่งที่ผมกังวล
คุณูปการของ ศรีสุวรรณ จรรยา มี ไม่ใช่ไม่มี เป็นเพียงแต่ว่า อย่างที่เราพูด ให้ดูซ้ายดูขวาดูหน้าดูหลังให้ดีๆ ว่าเรื่องนี้ควรหรือไม่ควร เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น เรื่องนี้เป็นเรื่องของกิจกรรมบันเทิง แล้วเรื่องนี้ปล่อยไปคนก็เฮฮาไป ก็แค่นั้นเอง เพราะสิ่งที่โน้ส อุดม พูดนั้น มันเป็นความจริงทุกประการ เพียงแต่ว่าคนที่รักลุงตู่เขารับไม่ได้ ผมดูผมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากๆ เลย จริงๆ แล้วถ้าพี่ศรีจะแจ้ง ต้องแจ้งผม เพราะหลายๆ ประเด็นที่โน้ส อุดม พูดนั้น ผมเป็นคนพูดมานานแล้ว อย่างเช่นว่า ท่านนายกฯ ท่านต้องการให้สังคมไทยเป็นสังคมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่สามารถจะไปตรวจสอบทรัพย์สมบัติของท่านนายกฯ ได้ เพราะท่านได้รับข้อยกเว้น
ยุทธศาสตร์ 20 ปี ผมก็เป็นคนในกลุ่มแรกๆ ที่มองไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่า 20 ปีอะไรกัน ประเทศไทยนี่แค่ปีเดียวก็เปลี่ยนแปลงกันจะตายอยู่แล้ว ไม่มีทางไปถึง 20 ปี
IO รัฐบาลก็ต้องทำงานหนัก เพราะว่ารับเงินรับทองเขามาแล้วนี่ ผมอยากให้พี่ศรีชั่งน้ำหนักนิดหนึ่งจากนี้ไป ไม่ควรที่จะท้อ แต่ควรที่จะใช้สตินิดในการร้องเรียนเรื่องบางเรื่อง เรื่องบางเรื่องมันไม่เป็นเรื่องเลย ไปร้องทำไม เพื่ออะไร แล้วคนก็จะดูว่าพี่ศรีตลกอีกแล้ว แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นจนได้ คือวันอังคารที่ 18 ตุลาคม พี่ศรีโดนเลียะพะ บุกชก เตะ ต่อย ขณะกำลังเข้าไปร้องกรณี "เดี่ยว 13" ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คนที่เอาแม่ไม้มวยไทยเข้ามาลงไม้ลงมือกับพี่ศรี ชื่อ คุณวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล ชื่อเล่นชื่อ ศักดิ์ คนๆ นี้เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง เดี๋ยวผมจะเอาประวัติมาเล่าให้ฟัง
พี่ศรีกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ เดินเข้ามา ชก ต่อย เตะ ตามคลิปที่ท่านผู้ชมคงจะเห็นกันมาเยอะแล้ว พี่ศรีก็เคยเป็นนักมวยเก่า ก็ถอยออกมา คนที่สังเกตและชอบดูหนัง ก็เห็นว่าทีท่าการปิดของพี่ศรีนั้น มันเหมือนมวยหย่งชุนของยิปมัน ท่านผู้ชมเคยดูหนังเรื่อง "ยิปมัน" ไหม ดูแล้วดูคลิปวิดีโอที่พี่ศรียกศอกกัน ยกเตะตัด นั่นคือลักษณะลีลาของมวยหย่งชุน
ตำรวจก็เข้ามาล็อกตัวคุณวีรวิชญ์ ไปสอบสวน ซึ่งวีรวิชญ์ ก็ให้การว่าไม่พอใจที่นายศรีสุวรรณ มักจะยื่นเรื่องร้องเรียนไปทั่ว
ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง แต่เตือนเพราะความหวังดี หลังจากนี้แล้วพี่ศรีอาจจะทำงานยาก จะไปไหนมาไหนอาจจะต้องระวังตัวดีๆ หรือต้องมีคนคุ้มกัน เพราะอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ซึ่งเกิดแน่ๆ และคดีทำร้ายร่างกาย โทษปรับแค่หนึ่งหมื่นบาท
ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกฎหมายกันนิดหนึ่ง มาตรา 372 ผู้ใดทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะ หรือสาธารณสถาน จากเดิมโทษปรับอยู่ที่ไม่เกิน 500 บาท แต่ได้มีการแก้ไขใหม่ เพิ่มโทษเป็นปรับไม่เกิน 5,000 บาท ขณะที่มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตัวอย่างเช่น การตบตีกัน โทษจากเดิมคือ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ก็มีการแก้ไขใหม่ ให้เพิ่มโทษปรับเป็นไม่เกิน 10,000 บาท
ทั้งนี้ หากมีการถ่ายคลิปวิดีโอและนำไปเผยแพร่ ทั้งการไลฟ์สดบนเฟซบุ๊ก หรือเผยแพร่ลงที่ใดก็ตาม จะมีโทษเพิ่มด้วย เนื่องจากเข้าข่ายผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 16 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท
ท่านผู้ชมครับ ถ้าจะพูดถึงการใช้ความรุนแรงแล้ว ที่ผมต่อต้านและท่านผู้ชมหลายๆ ท่านก็บอกว่า แม้กระทั่งฝ่ายทนายอานนท์ ทนายของม็อบสามนิ้ว ก็ออกมาบอกว่าไม่ควรใช้ความรุนแรง ผมอยากให้ทั้งสองฝ่ายสงบสติอารมณ์นิด มาฟังผมนิดหนึ่ง
คนที่ถูกกระทำและใช้ความรุนแรงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีอยู่คนเดียว คือผม สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ถูกยิงเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 ด้วยอาวุธสงคราม 200 นัด เผาขน หน้าวัดใหม่อมตรส ข้างๆ แบงก์ชาติ โดยที่กล้องวงจรปิดเสียหมดทุกแห่ง แล้วก็มีการออกหมายจับคนที่ร่วมในขบวนการยิงผม 3-4 ผม แต่จับไม่ได้เพราะเป็นทหาร ซ่อนตัวอยู่ในค่ายทหาร จนกระทั่ง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ซึ่งเป็นคนทำคดีนี้ สืบสาวราวเรื่องได้ว่ากำลังจะมีหมายจับว่ามีผู้คนๆ หนึ่ง บงการเหตุการณ์นี้ ยศพันเอก อยู่ศูนย์สงครามพิเศษ กำลังจะยื่นเรื่องเพื่อขอออกหมายจับ ปรากฏว่ารัฐบาลชุดนั้นรู้ทัน ก็เลยให้ทางการเมืองย้าย พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ออกจากหัวหน้าพนักงานสอบสวน แล้วมาให้ตำแหน่งทางการเมือง คือ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หมายจับตรงนั้นก็เลยหายไป
ท่านผู้ชมทั้งสองฝ่ายครับ ผมถูกกระทำหนัก แต่วันนี้ผมเฉย ผมถูกกระทำหนัก เพราะว่าคนที่ฆ่าผม หรือต้องการจะฆ่าผม วันนั้น ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ย้อนหลังอีกทีก็ได้ ก่อนหน้าวันที่ 17 เมษายน มีฝ่ายเสื้อแดงขนรถแก๊สออกมาที่ดินแดง สามเหลี่ยมดินแดง เพื่อจะมาระเบิดรถแก๊ส ปรากฏว่าทหารเข้าไปจับกุมได้หมด แล้วสลายพวกเสื้อแดงออก ก็เลยมีความเชื่อว่าตอนนี้เสื้อแดงหมดไปแล้ว เหลือแต่เสื้อเหลือง ต้องฆ่าแกนนำเสื้อเหลือง คือ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นคือที่มาของการจัดทีมมายิงผม กล้องวงจรปิดที่มันดับกันทั้งหมด พร้อมกัน เวลาเดียวกัน มันเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งแวดล้อมที่เชื่อได้ว่า งานนี้เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้กระทั่งปลอกกระสุน M16 ที่หลุดไป เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้ว ก็มาจากคลังแสงของกองทัพบก
ท่านผู้ชมครับ การใช้ความรุนแรง ไม่ควร แล้วถ้าพูดถึงคนที่เจ็บตัวจริงๆ ก็คือผม ถูกยิงกระสุนเข้าหัวตรงนี้ กี่ปีแล้ว 13 ปีแล้ว ยังจับใครไม่ได้เลย จนกระทั่งคนที่ถูกหมายจับคนหนึ่งเป็นมะเร็งตายไปแล้ว
ท่านผู้ชมครับ คุณศักดิ์ คือชื่อเล่นของคุณวีรวิชญ์ อายุ 62 ปี เรามาดูประวัติของเขาเสียหน่อยดีไหม
คุณศักดิ์ อ้างว่าตัวเองเป็นอดีตคนเสื้อแดง รักประชาธิปไตย เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" หรือม็อบสามนิ้ว คุณศักดิ์ ทำร้ายศรีสุวรรณ แล้ว ไลฟ์สดใช้ชื่อว่า "ศักดินาเสื้อแดง" มีคนเข้ามาชม 15,000 คน มีคนเข้าชมทุกคลิปรวมแล้ว 3 ล้านครั้ง ผ่านไปไม่ถึงวัน 19 ตุลาคม มีคนใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งแชร์ภาพคุณวีรวิชญ์ กำลังไลฟ์สด มีข้อความว่า ขอบคุณทุกกำลังใจ ยอดบริจาค 6,589,841.12 บาท ปิดรับบริจาคแล้ว นอกจากนั้นแล้ว ยังบอกว่า "ทุกคนนน ลุงฝากแจ้งว่าให้หยุดโอนได้แล้ววว ตอนนี้ปิดรับบริจาคแล้ว ที่น้ำตาซึมคือลุงบอกว่า ไม่ได้เอาไปใช้ในคดีที่ต่อยศรีสุวรรณ ถ้าติดคุกก็ติดไป แต่ว่าจะเอาไปช่วยเหลือเด็กๆ เยาวชนที่โดน 112 อยู่ในคุกตอนนี้อ่ะมึง ฟังในไลฟ์ตะกี้จะร้องไห้เลยนะ ลุงโคตรสุดจริงๆ ขอบคุณนะคะ"
แต่พอข่าวลงไปไม่ถึงวัน ลุงศักดิ์รีบออกมาโวยวาย บอกว่า "เงินบริจาคใคร 6 ล้าน ใครเป็นคนพูด หลายเพจคุณเอามาจากไหน คุณอย่าใช้ระบบราชการแบบการนำของประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบละเมอ อย่าเพ้อ มึงบ้าหรือเปล่า 6 ล้าน ไอ้ส้นตี_ มึงเปิดบัญชีกับกูหรือเปล่า ถ้าไม่ได้มึงต้องให้กู 6 ล้านนะ ไอ้ ... นรก เพจสัน .. กูไม่ได้หาแดกแบบนี้ พี่น้องกูไม่ได้ให้กูถึงขนาดนั้น ถ้าเบ็ดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเปิดเผยแน่ ทำไมต้องอยากดูยอดเงินด้วย"
วันเดียวกัน 19 ตุลาคม ตำรวจกองปราบได้บุกจับลุงศักดิ์ ที่ลานจอดรถอาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ แขวงคลองตัน เนื่องจากเป็นคดีความกับคุณศรีสุวรรณ แล้วก็มีของเก่าที่ค้างอยู่ ก็คือมีหมายจับข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น พยายามบุกชกนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้ แล้วลุงศักดิ์ได้ประกันตัวออกไปด้วยเงิน 40,000 บาท
ที่สำคัญ คุณวีรวิชญ์ ให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจหลังจากการทำร้ายนายศรีสุวรรณ ว่า ตั้งใจจะมาตบเพื่อสั่งสอน เพื่อจะบอกว่าคนเห็นต่างก็มี อย่าเลียจนเกินไป คำว่าประชาธิปไตย ทุกคนต้องยอมรับความเห็นต่าง หลายปีมานี้นายนี่เป็นนักร้องดังกว่านักร้องแร็ป ผมตั้งใจแบบนั้นจริงๆ ก็คือว่า ตั้งใจจะไปตบกะโหลก ตั้งใจจะไปชก ที่น่าเสียใจก็คือว่า กลุ่มที่เชียร์คุณศักดิ์ หรือว่ากลุ่มที่เป็นพวกม็อบสามนิ้ว หรือพวกที่ไม่ชอบประยุทธ์ กลับพูดในทำนองสะใจที่พี่ศรีโดนทำร้าย อันนี้ผิด ผิดมากๆ กลุ่มพวกคุณเป็นกลุ่มที่รักประชาธิปไตย กลุ่มพวกคุณพูดตลอดเวลาว่าชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เหมือนกลุ่มที่ผมเคยชุมนุม ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่นี่คุณไม่สงบเลย คุณเชื่อในเรื่องนั้น การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่วิธีการแสดงออกของคุณก็คือคุณก็นิยมการใช้ความรุนแรง คุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกทหาร หรือพวกตำรวจบางคนที่ใช้ความรุนแรง
เมื่อผมเช็กประวัติของคุณวีรวิชญ์ คุณวีรวิชญ์ เคยก่อเหตุเรื่องแบบนี้มาแล้ว เคยบุกเข้าไปภายในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ จะไปทำร้ายร่างกายคุณเสกสกล อัตถาวงศ์ แต่ถูก รปภ.ห้ามเอาไว้
ท่านผู้ชมครับ เรื่องทำร้ายร่างกายแรมโบ้ เสกสกล นั้น ก็มีการแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว ผมมาเช็กข้อมูลของคุณวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ศักดิ์ อดีตผู้ชุมนุมเสื้อแดง ในช่วงม็อบราษฎรกระแสสูง ระหว่างปี 2562-2564 เจ้าตัว คือคุณศักดิ์ เข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 21 ตุลาคม ถูกจับกุม อัยการส่งฟ้องศาล ศาลยกฟ้อง บอกว่าคุณวีรวิชญ์ ชุมนุมโดยสงบ ไม่มีอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพ ถูกรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ คุณศักดิ์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เหตุที่เข้าชุมนุมกับกลุ่มราษฎร เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จัดการโควิด-19 ล้มเหลว ทำให้เศรษฐกิจพัง เสียหาย ธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าของตัวเองต้องล้มละลาย เสียหายไปกว่า 30 ล้านบาท ไอ้ผมไม่ค่อยเชื่อคำพูดใครง่ายๆ อาชีพผม ผมเลยเช็กข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ไม่กี่วันมานี้เอง ผมไม่เจอว่าคุณวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกเสื้อผ้า แต่เคยเป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 1 แห่ง สถานะปัจจุบันล้มละลายไปแล้ว ชื่อบริษัท เดอะ วีอาร์. อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด เดิมชื่อ บริษัท สมุยเวิลด์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 2 กันยายน 2548 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สถานะปัจจุบันของบริษัทนี้ "ล้มละลาย" ศาลพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 คุณวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล เป็นกรรมการรายเดียว
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าคุณวีรวิชญ์ เป็นคนเกเร ส่อออกแนวอันธพาล คือคุณจะไม่พอใจใครก็ตามเพราะความคิดเห็นต่างกว่าคนอื่น ก็ในเมื่อคุณบอกว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา ร้องไปหมดทุกเรื่อง คุณรำคาญ ถ้าอย่างนั้นคำถามมีอยู่ว่า พวกม็อบสามนิ้วสมัยที่ยังเฟื่องฟูในปี 2562-2564 เดินขบวนทุกเรื่อง ล่วงล้ำ ละลาบละล้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพทุกอย่าง มีการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ คุณศักดิ์ ไม่เคยมีความรู้สึกเรื่องแบบนี้บ้างเลยหรือ แต่เพียงเพราะว่า ศรีสุวรรณ จรรยา ร้องเรียนนายโน้ส อุดม กรณีที่ออกรายการแล้วล่วงละเมิดนายกฯ ซึ่งจริงๆ แล้วคดีนี้ไม่มีประเด็นเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเชื่อว่าร้องไปอย่างไร ตำรวจก็เอาผิดโน้ส อุดม ไม่ได้
คำถามมีอยู่ว่า แล้วคุณศักดิ์ เกิดบ้าคลั่งอะไรขึ้นมา นี่ถ้าคุณศักดิ์ มีปืนอยู่ในมือ คุณศักดิ์ ไม่เอาปืนยิงพี่ศรีสุวรรณ จรรยา ของผมจนม้วยมรณาไปเลยหรือ หลายคนก็ออกมาเตือนว่าเรื่องการใช้ความรุนแรงไม่ควรอยู่ในพจนานุกรมในชีวิตของมนุษย์ของพวกเรา ไม่ควร แล้วถ้าคุณศักดิ์ รักประชาธิปไตย ยอมรับในความเห็นต่างกัน ในเมื่อคุณศรี เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการเดี่ยวไมโครโฟนของคุณโน้ส เพราะเขาอ้างว่าเป็นความเท็จ ก็ต้องถือว่าเขาเห็นต่างใช่ไหม แล้วคุณไปทำร้ายร่างกายเขาได้อย่างไร
อีกประการหนึ่ง อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ พี่ศรีเองก็น้อยๆ หน่อย ร้องมันทุกเรื่องเหมือนกัน คนเขารำคาญจะตายอยู่แล้วพี่ศรี ผมถึงบอกว่าเลือกเรื่องที่มันมีน้ำหนัก แต่ผมเชื่อว่าพี่ศรีร้องเรื่อง โน้ส อุดม แต้พานิช เพราะว่ามันออก Netflix พูดตรงๆ พี่ศรีอย่าโกรธผม พี่ศรีอยากเกาะกระแส จะได้แสงตรงนี้ไปด้วย คุณศักดิ์ก็อยากได้แสง ป๋าเทพ โพธิ์งาม ก็อยากได้แสง สรุปง่ายๆ งานนี้ทั้งงานก็คือคนบ้าแสงกันทั้งนั้น ความเห็นของผมก็มีอยู่เพียงแค่นี้ล่ะท่านผู้ชมครับ
ท่านผู้ชมครับ เรื่องของพี่แอ๊ด ผมมีความตั้งใจจะพูดในมิติเดียวเท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ไม่ได้มีอะไรที่จะวุ่นวายมากมาย ความจริงผมรู้จักพี่แอ๊ดดี ตั้งแต่สมัยพี่แอ๊ดยังไม่ร่ำรวยเป็นหมื่นๆ ล้าน สมัยก่อนพี่แอ๊ดเคยแวะมาหาผมที่บ้านพระอาทิตย์ เรื่องของเรื่องก็คือ ท่านผู้ชมคงรับรู้เรื่องนี้แล้ว ในวันเกิดของกำนันพุก นายปิยพจน์ เกียรติชูสกุล กำนันตำบลบางเลน ประธานชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอสองพี่น้อง ซึ่งเป็นอำเภอที่มีประชากรอยู่น้อยที่สุด ก็คือชื่ออำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
พี่แอ๊ด ยืนยง โอภากุล กำลังขึ้นเวที พอทราบว่ามีผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีมาร่วมงานด้วย ก็สั่งนักดนตรีหยุด ระเบิดอารมณ์พาดพิงถึงผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี ระบุว่าโดนสั่งไม่ให้คาราบาวเล่นคอนเสิร์ตที่สุพรรณฯ แล้วพี่แอ๊ด ก็ใช้คำถามที่สุดคลาสสิกเลย ซึ่งน้องวันเฉลิม อยู่บำรุง ก็เคยใช้ หลายๆ คนก็เคยใช้ ก็คือ "มึงรู้ไหมกูเป็นใคร" พี่แอ๊ด บอกว่า "มึงเป็นผู้ว่าฯ มึงคิดว่ามีอำนาจเหรอ ขึ้นมาเคลียร์กันหน่อยดิ๊ อยู่เปล่า ไม่ต้องเล่น ขึ้นมาเคลียร์กันหน่อยดิ๊ มึงรู้ไหมกูเป็นใคร กูเกิดที่นี่ กูตายที่นี่ แล้วมึงเป็นใครไม่ให้กูเล่นที่สุพรรณฯ คนกาญจน์ยังให้กูไปเล่นเลย ไอ้สัตว์ ส้นตีน คิดเหรอมึงแค่เอาตัวรอด แล้วไม่คิดเหรอคนสุพรรณฯ จะเป็นยังไง เขาไม่ได้ดูคาราบาว มึงคิดว่ามึงเป็นผู้ว่าฯ มึงมีอำนาจเหรอ กูไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ แต่กูคือแอ๊ด คาราบาว กูไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น แต่กูพูดความจริง กูนำเสนอความจริง กูทำเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ ไม่ได้เป็นข้าราชการแบบพวกมึงที่เลียกระโปกให้ได้ตำแหน่งแล้วรักษาตำแหน่ง เลียกระโปกไปเรื่อยๆ รักษาตำแหน่ง ไอ้สัตว์ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน กูเล่นไม่ได้แล้วโว้ย โมโห"
ผมก็เอาเรื่องของพี่แอ๊ด ซึ่งเบรกแตก คงจะมีอะไรที่คับแค้นใจมากระบายออกมา ก็เป็นที่รู้กันว่า ในที่สุดแล้ว กระทรวงมหาดไทย ใครจะมาลบเหลี่ยมลูบคมแบบนี้ก็คงไม่ได้ ก็ปรากฏว่าจะมียื่นเรื่องฟ้องร้องกันแล้ว คราวนี้ ประเภทที่เรียกว่าถึงไหนถึงกัน ไม่ยอมถอย พี่แอ๊ดก็รู้ว่าตัวเองนั้นพลาดไปแล้ว ก็เลยออกมาพูดด้วยอารมณ์ โน่นนี่นั่น แต่รู้สึกเรื่องนี้จะไม่จบ
ทำไมผมเอาเรื่องนี้มาพูด ? ผมอยากจะเตือนพี่แอ๊ดนิดหนึ่ง พี่แอ๊ดครับ ถ้าจะเชื่อรุ่นพี่อย่างคุณ อย่างผม ขอให้ฟังให้ดีๆ อย่าครับ พี่แอ๊ด อย่าไปทะเลาะกับอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย อย่าไปทะเลาะกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว ทะเลาะอย่างไรก็ไม่ชนะ จริงๆ แล้วผมก็เข้าใจความรู้สึกของพี่แอ๊ดนะ แล้วผมก็คิดว่าส่วนที่พี่แอ๊ดพูดบางส่วนก็น่าจะมีความจริง เรื่องอะไรนั้น ผมไม่อยากไปเท้าความ เอาอย่างนี้ดีกว่า แต่จริงๆ แล้วพี่แอ๊ดไปฟาดฟันเขาบนเวทีแบบนี้ ถึงกับพูดถึงไข่สองใบ เลียกระโปก หรือว่าเรื่องส้นตีน อย่างนี้ก็ดูจะแรงไปหน่อย ท่านผู้ว่าฯ ท่านคงไม่ยอมหรอก เพราะท่านผู้ว่าฯ ท่านก็อ้างว่าท่านเป็นคนสุพรรณฯ เหมือนกัน
ผมก็มีอดีตผู้ว่าฯ สุพรรณคนหนึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ผม เพราะฉะนั้นแล้ว ผมรู้ว่าคนสุพรรณฯ ใจถึง เป็นไงเป็นกัน ทีนี้เกิดเจอคนใจถึงคนหนึ่ง คือ แอ๊ด คาราบาว และผู้ว่าฯ สุพรรณคนนี้ ก็ไม่ยอมคนเหมือนกัน คนสุพรรณฯ ไม่ยอมคน คนจริง แต่ผมคิดว่าบทนี้่ เล่นบทนักเลง ถ้านั่งคุยกัน กินเหล้ากัน เอาพวงมาลัยไปขอโทษท่านผู้ว่าฯ สุพรรณ ก็น่าจะจบสิ้นได้ แต่ประเด็นที่ผมต้องการจะเน้น ไม่ใช่กับพี่แอ๊ดคนเดียว กับทุกๆ คน พี่แอ๊ดวันนี้มีเงินหมื่นกว่าล้าน พูดถึงทรัพย์สินที่ถือหุ้นอยู่ในคาราบาวแดง หรืออะไรต่ออะไร ก็ไม่ใช่เงินน้อยนะ ถือว่าร่ำรวย ถือว่าเป็นศิลปินแห่งชาติที่มีความสามารถและสามารถจะทำมาหากินได้อย่างสูง แต่พี่แอ๊ดรู้หรือเปล่าว่า คนที่มีเงินมากกว่าพี่แอ๊ด เป็นแสนล้าน เขายังไม่กล้าเล่นกับอำนาจรัฐ อำนาจรัฐมันโคตรใหญ่ อำมหิต โหดเหี้ยม ทุกอย่างบอกว่าว่ากันไปตามกติกา เพราะเขาเป็นคนคุมกติกา เขาเป็นคนชี้เองว่ากติกานี้ พี่แอ๊ด หรือใครก็ตาม แหกกฎ เขาเล่นงานได้ทันทีเลย
คือข้าราชการ ผมไม่ได้ว่าท่านผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี ข้าราชการส่วนใหญ่รับเงิน นอกจากรับเงินแล้ว เราให้เงินมัน เรายังต้องเป็นหนี้บุญคุณพวกมันอีก เพราะฉะนั้น พลาดอย่างแรงเลยพี่แอ๊ด อย่าไปทะเลาะกับมัน ไอ้คนที่ถืออำนาจรัฐ พี่แอ๊ดพร้อมหรือเปล่าที่จะไปชนกับอำนาจรัฐ เหมือนอย่างผมไปชน แล้วผมโดนลูกปืนไป 200 นัด วันนี้พี่แอ๊ดรวยแล้ว พี่แอ๊ดคงไม่กล้าล่ะ แต่ผมจะบอกพี่แอ๊ดว่า ผมนี่ ตลอดชีวิตของผมสู้กับอำนาจรัฐมาตลอด ทุกเรื่อง ท่านผู้ชมครับ พี่แอ๊ดครับ แล้วผมก็แพ้เขาทุกเรื่องเหมือนกัน เพียงแต่เลือดนักสู้ของผมมันเข้มข้น การมาทำรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ก็คือเลือดนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ แต่ผมรู้ว่าเมื่อไรก็ตามผมชนกับอำนาจรัฐ ผมแพ้มันแน่นอนครับ
ท่านผู้ชมครับ พี่แอ๊ดครับ จากรุ่นพี่ที่เคยเคารพกัน ที่คุณเคยมาเยี่ยม ฝากข้อคิดเอาไว้ เรื่องนี้ต้องจบด้วยลูกนักเลง พี่แอ๊ด อย่าไปถือว่าเสียศักดิ์ศรี หาคนกลางประสานงาน กินเหล้ากันตอนเย็น ขอโทษท่านผู้ว่าฯ ตรงไปตรงมา ผมคิดว่าผู้ว่าฯ คนนี้น่าจะนักเลงพอ ถ้าไม่นักเลงพอ คงไม่ใช่คนสุพรรณฯ หรอก ถ้ามันไม่นักเลงพอก็ช่างมัน เป็นไงเป็นกัน พี่แอ๊ด แต่ผมเชื่อว่าเขานักเลงพอที่จะให้อภัยพี่แอ๊ดได้ เท่านั้นเองล่ะครับที่ผมอยากจะฝากให้คิด
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมเคยพูดมาแล้ว 2-3 ครั้ง มันเป็นเรื่องของวงการธุรกิจโทรคมนาคม คือการควบรวมกันระหว่างค่ายทรู (true) กับ ดีแทค (DTAC) เบอร์ 2 กับเบอร์ 3 คือถ้าแยกกันเป็นสามก๊กเหมือนเดิม ทั้งสองค่ายก็จะเดินตามหลังเบอร์ 1 คือ เอไอเอส (AIS) อยู่หลายช่วงตัว แต่ถ้าตัดสินใจรวมกิจการกัน ก็สามารถมีกำลังทัดเทียมกับเอไอเอส แล้วก็สามารถจะแข่งขันกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ เหมือนเป็นเอกชนสองเจ้าแข่งกัน โดยมีรัฐวิสาหกิจโทรคมนาคมของรัฐ คือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT : National Telecom) คอยคุมเชิงอยู่หนึ่งเจ้า ส่วน กสทช. หรือที่เรียกว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ คอยกำกับดูแลในภาพใหญ่ ก็เกิดมีแนวความคิดแบบเดิมๆ โดยถ้าไม่ดูข้อเท็จจริง บอกว่า ถ้าเอกชนเหลือน้อยลงจะทำให้เกิดการผูกขาดของผู้ขายน้อยราย หรือจริงๆ แล้วคิดแบบนี้คือการมองโลกในบริบทเก่า ซึ่งผมผิดหวังมากกับ กสทช. แล้วผมผิดหวังมากกับหลายๆ คนที่มาประท้วงเรื่องนี้
เหมือนกับผมผิดหวังกับนักวิชาการบางคนซึ่งเชื่อมั่นในลัทธิคาร์ล มาร์กซ์ และเอาลัทธิคาร์ล มาคส์ มาใช้ในยุคที่เทคโนโลยีผันเปลี่ยนแปรไป ซึ่งผมจะเอาเรื่องมาพูดให้ฟังทีหลัง คือการมองโลกในบริบทเก่าๆ หรือกำลังมองความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันเพื่อเชื่อมถึงอนาคต จริงๆ แล้วเทคโนโลยีมันจะเปลี่ยนแปลงบทบาทของโทรคมนาคมใน 10-20 ปีข้างหน้า
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ผมเคยอธิบายให้ละเอียดแล้ว ผมบอกว่า ผมต้องชี้แจงให้ท่านผู้ชมและท่านกรรมการ กสทช. ให้รู้สักนิดหนึ่งว่า ในขณะนี้ภูมิศาสตร์ของโทรคมนาคมมันกำลังก้าวสู่บริบทใหม่แล้ว ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างรวดเร็วของโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้จำเป็นต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรวมตัวของ ทรู กับ ดีแทค นั้นมันมีความสำคัญและนัยตรงไหน ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะชี้ชะตาต่อธุรกิจโทรคมนาคมของไทยก็ว่าได้ มันอาจจะไม่ใช่งานง่ายๆ ของ กสทช. เพราะว่าแต่ละคนที่ท่านเข้ามานั้น ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี ความรู้ทางด้านโทรคมนาคม ท่านมีไม่มากพอที่จะเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง
การรวมตัวครั้งนี้มีทั้งคนที่ยื่นหนังสือคัดค้านการควบรวมกิจการ ถกเถียงกันในแง่กฎหมาย ตีความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คัดค้าน ชอบตั้งนะโมตัสสะในเรื่องของการแข่งขัน หรือเป็นการผูกขาดกันแน่ เพราะฉะนั้น โจทยก์ของ กสทช. ต้องตีโจทย์ให้แตก นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว จะต้องเข้าใจป่าทั้งป่า ต้องเข้าใจธุรกิจโทรคมนาคมอย่างถ่องแท้ ต้องเข้าใจว่าภูมิศาสตร์ของธุรกิจโทรคมนาคมนั้นกำลังเปลี่ยนไปอยู่แล้ว เปลี่ยนไปจริงๆ ท่านผู้ชม
ขณะนี้คณะกรรมการ กสทช. ได้มองข้ามไปจนถึงยุค 6G หรือเทคโนโลยีติดต่อสื่อสารไร้สาย ยุคที่ 6 ที่สำคัญ ท่านกรรมการ กสทช. ต้องมีวิสัยทัศน์ต่อธุรกิจโทรคมนาคมของไทย ไม่ใช่แค่ปัจจุบัน จะเชื่อมต่อยุทธศาสตร์แห่งชาติอย่างไร
ท่านผู้ชมครับ เรามาพูดถึงการแข่งขัน หรือการผูกขาด ทำไมต้องควบรวม ข้อแรก การควบรวมนั้นทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง พร้อมสำหรับการแข่งขัน เมื่อ ทรู กับ ดีแทค จับมือกัน เงินลงทุนก็ย่อมมากขึ้น แต่เม็ดเงินเหล่านี้ที่จะลงทุน ไม่รวมค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่อีกหลายหมื่นล้าน ทรู มีแผนที่จะลงโครงข่าย 5G เพิ่มขึ้น 2563-2565 กว่า 4-6 หมื่นล้านบาท ดีแทค ลงประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง ทั้ง ทรู และ ดีแทค มีต้นทุนสูงจากการที่เพิ่งประมูลคลื่นกันมา เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก จาก 3G ไปเป็น 4G เป็น 5G ลงทุนไปแล้ว ยังไม่มีผลตอบแทนจนคุ้ม แล้วนี่ 6G กำลังจะมาอีกแล้ว ผู้นำ 6G ในโลกนี้ คือประเทศจีน อเมริกาเองยังต้องลดตัวลงมาขอความร่วมมือกับจีนในเรื่อง 6G เพราะว่าสู้จีนไม่ได้
ถ้าไม่ควบรวม อนาคตชัดเจนเลย จะเหลือแค่เอไอเอสเจ้าเดียว
การไม่ควบรวม คือการส่งเสริมให้เอไอเอส มีโอกาสผูกขาดแต่เจ้าเดียว การไม่ควบรวมจะทำให้ ทรู กับ ดีแทค อ่อนแอไปเรื่อยๆ เอไอเอส ก็จะแข็งแรงไปเรื่อยๆ ถึงจุดๆ หนึ่ง เอไอเอส จะเป็นเจ้าตลาด และผูกขาดอยู่เพียงเจ้าเดียวแน่นอน
และอีกประการหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ ท่านกรรมการ กสทช. ครับ ถึงแม้จะควบรวม ดีแทค กับ ทรู ได้สำเร็จ แต่ในแง่ศักยภาพ ต้องยอมรับความจริงว่าช่องว่างระหว่างผู้นำการตลาดยังคงเป็น เอไอเอส อยู่ จู่ๆ จะมาไล่ตามกันทันง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเราลงมาดูตัวเลขนิด ตลาด เอไอเอส วันนี้ก่อนควบรวมกิจการ เอไเอเอส ถือส่วนแบ่งตลาดอยู่ 41 เปอร์เซ็นต์ ทรู ถืออยู่ 26.9 เปอร์เซ็นต์ ดีแทค 18.4 เปอร์เซ็นต์ NT (National Telecom) ของรัฐบาล ถืออยู่ 13.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าควบรวมแล้ว เอไอเอส ถืออยู่ 41.4 เปอร์เซ็นต์ ดีแทค กับ ทรู ถือรวม 45.8 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าเอไอเอส ส่วน NT ยังเหมือนเดิม
ท่านผู้ชมครับ ท่านกรรมการ กสทช. ครับ อย่าไปตกใจกับการที่เมื่อควบรวมแล้ว ดีแทค กับ ทรู จะใหญ่กว่าเอไอเอส ถึงใหญ่กว่าก็ไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ แล้วเมื่อเราจะพิจารณาเรื่องการควบรวมนั้น เราต้องลงสู่ส่วนลึก ตลาดเอไอเอส วันนี้ ความแข็งแกร่งในด้านการปฏิบัติการเป็น Single Command เอไอเอส เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำกว่า มีสภาพคล่องที่ดีกว่า ถ้าควบรวมแล้ว ดีแทค กับ ทรู ต้องใช้เวลาหล่อหลอม เมื่อควบรวมแล้ว วัฒนธรรมองค์กรไม่เหมือนกัน ใช้เวลาหล่อหลอม การปฏิบัติการจะเดินหน้าเต็มสูบได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 2 ปี ซึ่ง ณ ถึงวันนั้นแล้ว เอไอเอส ก็จะก้าวล้ำหน้า ทรู กับ ดีแทค ต่อไป เพราะฉะนั้นแล้ว เป็นความได้เปรียบด้านความพร้อมในเรื่องต้นทุนการดำเนินการของผู้นำตลาดที่พร้อมจะโกอินเตอร์ ผมหมายถึงเอไอเอส ขณะที่ ทรู และ ดีแทค ต้องแบกภาระในการปรับสองวัฒนธรรมองค์กรเข้ามาร่วมกัน ต้องขจัดส่วนเกินออกก่อน ตำแหน่งนี้ เมื่อรวมแล้ว คนที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะต้องลดจำนวนคนลงไป ต้องบูรณาการแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี การแข่งขันเช่นนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาซึ่งกันและกัน ทั้งผู้นำ และผู้ตาม
จริงๆ การควบรวมแล้วเอไอเอสรู้ ว่าตัวเองมีเวลาแค่สองปีกว่า ดีแทค กับ ทรู จะรวมองค์กร รวมวัฒนธรรมองค์กร จัดระเบียบเรียบร้อย ลดต้นทุน เอไอเอส ในเวลาสองปีที่ ทรู กับ ดีแทค กำลังควบรวมกัน ต้องพัฒนาตัวเองอย่างแรงเพื่อเดินหน้าแซงไปเลย จากที่ Market Share 41 เปอร์เซ็นต์ แพ้การควบรวมอยู่ 4.4 เปอร์เซ็นต์ ผมเชื่อว่าในสองปี เอไอเอส ก็จะเป็นผู้นำ
เพราะฉะนั้นแล้ว การควบรวมที่แท้จริงวันนี้ ระหว่าง ดีแทค กับ ทรู และมี เอไอเอส กับ NT นี่ก็คือการแข่งขันที่แท้จริง และการแข่งขันงวดนี้จะเป็นการแข่งขันอย่างรุนแรงมาก เพราะส่วนแบ่งการตลาดมันอยู่ที่สี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ใกล้ๆ กัน เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ได้ประโยชน์คือใคร การแข่งขันแบบนี้ ? ผู้บริโภคครับ และคนที่คัดค้านการควบรวม ให้เข้าใจตรงนี้หน่อย กรุณาเปิดกะโหลกและเข้าใจด้วยนะครับ การควบรวมจะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ผู้ได้ประโยชน์ก็คือผู้บริโภค ไม่มีการผูกขาดหรอก แข่งขันกันมากกว่าเดิมอีก
ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีการควบรวม อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ เอไอเอส จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดีแทค ซึ่งเล็กอยู่แล้ว ก็จะอ่อนแรงลงมา และในที่สุดแล้วจะเหลือโอเปอเรเตอร์แค่รายเดียว โอเปอเรเตอร์รายใหม่เข้ามาก็สู้ไม่ไหว เพราะการลงทุนมันสูงเหลือเกิน
ท่านผู้ชมครับ นี่คือข้อเท็จจริง ตรรกะทางธุรกิจของเรื่องแบบเข้าใจง่ายๆ ผมได้เคยอธิบายไปแล้ว ถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้น ก็คงจะพอเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายเพื่อทำผลการศึกษาให้ซับซ้อน
ท่านผู้ชมครับ ก่อนหน้านี้ กสทช. ได้ว่าจ้างบริษัท SCF Associates LTD ที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศ ให้เสนอรายงานการรวมธุรกิจ ระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ใช้เป็นข้อมูลพิจารณา กำหนดส่งทุกวันที่ 14 ของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ท่านผู้ชมตามผมมา ตั้งใจฟังดีๆ นะครับ
กสทช. มีมติเห็นชอบการจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศในวงเงิน 10 ล้านบาท ตั้งแต่ 27 เมษายน 2565 ทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ในวงเงิน 6 ล้านกว่าบาท ใช้เวลาเกือบ 4 เดือน
SCF ที่ปรึกษาอิสระ ส่งรายงานครั้งที่หนึ่งไปแล้วเมื่อ 15 กันยายน ปีนี้ ครั้งที่สอง 15 ตุลาคม ปีนี้ ปรากฏว่ามีมือดีปล่อยเอกสารรายงานครั้งที่สอง ที่เป็นข้อมูลลับทางราชการ หลุดออกมาสู่สาธารณะ รายงานครั้งสุดท้ายจะส่งก็คือ 15 พฤศจิกายน ปีนี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา 17 ตุลาคม 2565 คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ด่วน เอกสารหลุด รายงานการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการ กสทช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา SCF งบประมาณ 10 ล้าน อ้างเหตุผล 5 ข้อ ว่า หนึ่ง พื้นที่คนจน พื้นที่ห่างไกล ที่ๆ ไม่สร้างผลกำไรจะไม่มีโครงข่ายหรือบริการใหม่ๆ เข้าไปถึง ซึ่งแปลว่าคนจน คนชายขอบ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดนละเมิดสิทธิการเข้าถึงบริการคลื่นความถี่ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ สอง ในขณะที่กลุ่มรายได้สูง กลุ่มชุมชนเมืองที่ได้กำไรสูงสุด ให้สองค่ายที่เหลือในตลาดจะได้รับบริการในระบบ 5G อย่างเต็มประสิทธิภาพ กลุ่มคนรายได้ปานกลาง คนจนเมือง ต้องจ่ายค่าบริการที่สูงเกินความจำเป็นกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
สาม การควบรวมที่เหลือสองค่ายจะไม่เกิดการแข่งขัน และกลายเป็นระบบร่วมมือกัน หรือฮั้วกัน ในที่สุด ทั้งนี้ เพื่อลดต้นทุนในโครงข่ายสำหรับการให้บริการใหม่ๆ และลดการแข่งขันกันเอง สี่ การเข้าสู่ระบบสองค่ายจะทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศล้าหลัง ตามหลังประเทศฟิลิปปินส์ และ ห้า ใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปี ถึงจะพลิกฟื้นระบบตลาดของค่ายนี้กลับมาเป็นตลาดที่แข่งขัน ที่เกิดคู่แข่งขันหน้าใหม่ในตลาด
ท่านผู้ชมครับ โปสเตอร์คุณสารี เอาขึ้นให้ดู "ไม่ลดทางเลือก ไม่เสียเงินเพิ่ม คนจนใช้บริการได้ กสทช. มีหน้าที่รักษาประโยชน์สูงสุด ปชช. #หยุดผูกขาดมือถือ" ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณสารี เอาข้อมูลอะไรมาว่า การควบรวมแล้วจะมีการผูกขาดระบบมือถืออีก
ในวงการธุรกิจ ถ้าคุณสารี ไปคุยกับนักธุรกิจ หรือไปคุยกับอาจารย์ที่สอนในทางธุรกิจ แล้วเขาวิเคราะห์ตัวเลขให้ดูดีๆ แล้ว เขาจะเห็นชัดเลยว่า การควบรวมให้เหลือสองเจ้านั้น จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จะไม่ได้ฮั้วกันเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแต่ละเจ้าต้องการ Market Share มากขึ้น
ท่านผู้ชมครับ เมื่อนำสิ่งที่คุณสารี อ้างผลการศึกษาของ SCF จำนวน 5 ข้อ มาลงรายละเอียดแล้ว เราจะพบข้อเท็จจริงอย่างนี้
ข้อที่หนึ่ง เอกสารหลุดออกมา บอกว่าพื้นที่คนจน พื้นที่ห่างไกล จะไม่สร้างผลกำไร ไม่มีโครงข่ายหรือบริการใหม่ๆ เข้าไปถึง แปลว่าคนจน คนชายขอบ จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ข้อเท็จจริง พื้นที่ห่างไกลไม่มีกำไร ไม่มีโครงข่ายเข้าถึง ก็เพราะว่าเอกชนเจ้าเล็ก 2 เจ้า ทั้งทรู และ ดีแทค ต่างคนยิ่งทำยิ่งขาดทุน แต่ถ้าควบรวมแล้วต้นทุนลด ก็สามารถวางโครงข่ายในพื้นที่ห่างไกลได้ บีบให้เจ้ายักษ์ใหญ่ที่สุดต้องขยายเครือข่ายตาม
ท่านผู้ชมครับ เราทิ้งเรื่องโทรคมนาคม มาดูกิจการธนาคาร ธนาคารเองตอนนี้ต้องการลดต้นทุน ไม่ว่าเจ้าไหนก็ตาม ตามหลักการแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะกำหนดว่าการเปิดสาขานั้นก็จะให้เปิดสาขาได้ ถ้าคนที่เปิดสาขาในพื้นที่ที่เจริญ ต้องไปเปิดสาขาในพื้นที่ที่ไม่เจริญ ซึ่งการเปิดสาขาในพื้นที่ที่ไม่เจริญนั้น ธนาคารต้องขาดทุน เพราะฉะนั้นแล้ว ปรากฏการณ์ช่วงหลังก็ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์หลายเจ้าก็ถอยออกไปจากตรงนี้ ไม่ยอมไปเปิดสาขาในที่ที่มันทุนกันดาร หรือไม่สามารถจะทำกำไรได้ มันก็เลยเป็นเหตุให้ธนาคารของรัฐ แม้แต่ธนาคารรัฐ อย่างเช่น ธนาคารกรุงไทย คุณสารี ครับ ธนาคารกรุงไทย ยังไม่ยอมไปเปิดสาขาเลยในพื้นที่ทุรกันดาร ทำให้ประชาชนไม่ได้สิทธิในการใช้บริการทางธนาคาร จะเห็นได้ชัดเจนเลยงานนี้ เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัด
โรงเรียนเช่นกัน กระทรวงศึกษาธิการของรัฐ ยังบอกเลยว่าโรงเรียนเล็กๆ มีนักเรียนเรียนน้อย ไม่คุ้ม ให้ยุบลงไป แล้วมารวมกัน ให้เด็กเดินทางไปอีกที่หนึ่ง สักนิดหน่อย เพื่อให้ต้นทุนของการบริหารงานโรงเรียนมันคุ้มค่า กระทรวงศึกษาฯ ยังมีแนวความคิดแบบนี้
ข้อที่สอง เอกสารที่หลุด ที่อ้างว่าเป็นผลศึกษา ระบุว่า ในขณะที่กลุ่มรายได้สูง กลุ่มชุมชนเมืองที่จะสร้างกำไรสูงสุด กลุ่มรายได้ปานกลาง คนจนเมือง ต้องจ่ายค่าบริการที่สูงเกินความจำเป็นกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ข้อเท็จจริงของธุรกิจ วันนี้เราไม่มานั่งพูดอย่างไร้เดียงสา เราพูดตามข้อเท็จจริง เพราะว่าการทำธุรกิจนั้น การแก้ปัญหา ถ้าเรารู้ข้อเท็จจริง และเรายอมรับข้อเท็จจริง เราแก้ไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเรายังมโน เดินในทุ่งลาเวนเดอร์ ไม่ได้นะ ทางโน้นเขาจะสูญเสียสิทธินะ คนนี้จะเอาเปรียบไปนะ เราฉิบหายลูกเดียว เพราะเราไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงในการแก้ไข ข้อเท็จจริงทางธุรกิจในเรื่องนี้ก็คือว่า กลุ่มรายได้ปานกลางและคนจนจะได้ประโยชน์ เมื่อการควบรวมทำให้ต้นทุน 5G ลดลง และยิ่งมีการแข่งขันอย่างดุเดือดในการเพิ่มฐานลูกค้าของเจ้าใหญ่ทั้งสองเจ้า เทคโนโลยี 5G สามารถเข้าถึงทุกคนได้ ทุกคนใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ในราคาที่จับต้องได้ ยิ่งมี 6G ในอนาคต เทคโนโลยีที่ต่ำกว่า 5G จะทำให้ผู้ด้อยโอกาสที่ใช้อยู่ยิ่งเสียเปรียบ
ข้อที่สาม เอกสารที่หลุดมา ที่อ้างว่าเป็นผลการศึกษา ว่า การควบรวมที่มีเหลือสองค่าย หรือ duopoly จะไม่เกิดการแข่งขัน และกลายเป็นระบบร่วมมือกัน หรือฮั้วกันในที่สุด ส่วนข้อเท็จจริงทางธุรกิจ ผมไม่ได้พูดด้วยอารมณ์นะ ไม่ได้พูดเพราะโลกสวย ต้องการให้ทุกคนได้รับความเท่าเทียมกันทั้งหมด นั่นคือโลกสวย ข้อเท็จจริงทางธุรกิจ สองเจ้าที่แข่งขันกันในขนาดใกล้เคียงกันในธุรกิจระดับผู้ใช้ที่เป็นมหาชน จะทำให้มีการแข่งขันด้านราคาอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน ถ้า ดีแทค กับ ทรู ไม่ได้ควบรวม แล้วเล็กลงไปทุกวันๆ เอไอเอส ใหญ่ขึ้นๆ ทุกวัน ก็จะมีเอไอเอสอยู่เพียงเจ้าเดียว กลับมีการฮั้วกัน โดยอาศัยผลกำไรสูงสุดของเจ้าใหญ่ในการตั้งราคาเริ่มต้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือธุรกิจน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันทุกเจ้ายึดราคา ปตท. เป็นราคาเริ่มต้น ไม่มีใครขายต่ำกว่า ปตท. ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ นั่นเพื่อกำไรสูงสุดของแต่ละบริษัท ซึ่งชัดเจนว่าธุรกิจน้ำมันมีการฮั้วกัน จากการมีเจ้าใหญ่เพียงเจ้าเดียว และมีเจ้าเล็กหลายเจ้า
คุณสารี น่าจะไปสู้ในเรื่อง ปตท. นะครับ ปตท. นี่ร้ายแรงกว่าเรื่องนี้มาก
ข้อที่สี่ เอกสารที่หลุด อ้างว่าเป็นผลศึกษา ระบุว่า การเข้าสู่ระบบสองค่ายจะทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศล้าหลัง แต่ข้อเท็จจริงทางธุรกิจ การมีเจ้าใหญ่อยู่เจ้าเดียวที่ครอบครองตลาด ซึ่งมีขนาดและต้นทุนที่ต่างกับเจ้าเล็กอีกสองเจ้าอย่างชัดเจน จะยิ่งทำให้มีการผูกขาดโดยเอกชน ซึ่งต่างจากการผูกขาดโดยการเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มตัว ที่ทำราคาเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค
ข้อที่ห้า บอกว่าจะต้องไม่ใช้เวลาน้อยกว่าสิบปี ถึงจะพลิกฟื้นระบบตลาดสองค่ายนี้ กลับมาเป็นตลาดที่มีการแข่งขัน หรือเกิดคู่แข่งขันหน้าใหม่ในตลาด ท่านผู้ชมครับ คุณสารีครับ ท่านกรรมการ กสทช. ครับ ข้อเท็จจริงทางธุรกิจ ธุรกิจโทรคมนาคมจะโดนผูกขาดโดยเจ้าใหญ่เจ้าเดียวตลอดกาล เฉกเช่นวันนี้ที่ธุรกิจพลังงานจะถูกผูกขาดโดย ปตท. เจ้าใหญ่เจ้าเดียว ยิ่งขยายปีกต่อเนื่องไปผูกขาดธุรกิจอื่นๆ เป็นลูกโซ่ไป
ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่ผมพูดมานี้ ที่ย้อนแย้งตรรกะของ กสทช. และเครือข่าย NGO อย่างคุณสารี อ๋องสมหวัง คือท่าทีการคัดค้านการควบรวมของเอไอเอส ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเบอร์สอง และเบอร์สาม คือ ทรู และ ดีแทค ควบรวมกัน คนที่เสียประโยชน์คือ เอไอเอส หาใช่ประชาชนไม่ เพราะว่าจะมีคู่แข่งที่มีศักยภาพใกล้เคียงกันมาก หายใจรดต้นคอ ซึ่งลึกๆ แล้ว เบื้องหลังแล้ว ผู้บริหารเอไอเอส ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเขากำลังมีความสุขกับการกระทืบคู่แข่งที่เล็กกว่า เขาถือส่วนแบ่งตลาดอยู่ 41 เปอร์เซ็นต์ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกไม่เกิน 2-3 ปี เขาจะถือเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ทรู กับ ดีแทค ก็จะลดน้อยลงๆ
ผมถามว่า ถ้าควบรวมแล้วมีการแข่งขันที่ดุเดือด ผมถามทุกท่านว่า ประชาชนเสียประโยชน์ตรงไหน ใครกันแน่ที่เสียประโยชน์ ? ประชาชนไม่เสียประโยชน์เลย แต่คนที่เคยผูกขาดอยู่คนเดียวจากการที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงที่สุด กลับกลายเป็นคนที่เสียประโยชน์
SCF Associates ที่ปรึกษาต่างประเทศ กับคำถามที่ กสทช. และ NGO อย่างคุณสารี ไม่กล้าตอบ อีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า อังคารที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา เว็บไซต์ MGROnline เปิดเผยออกมา นั่นคือประเด็นบริษัท SCF Associates ซึ่ง กสทช. ใช้เงินจำนวนหลายล้านจ้างมา ต่อมาอ้างว่ามีเอกสารหลุด ซึ่งบรรดา NGO และฝ่ายค้านที่รวบรวมนั้น นำมาอ้างอิงเป็นทอดๆ ปรากฏอย่างนี้ครับ
หนึ่ง เดิมทีมีการตั้งบริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาอิสระตามประกาศการรวมธุรกิจ ส่วน กสทช. ได้ตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาอิสระเพิ่มเติม เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบการรวมธุรกิจ อีกทั้งยังมีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบการพิจารณาตัดสินใจอย่างครบถ้วน แต่ในปีนี้ กสทช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาอิสระต่างประเทศ คือ SCF เพิ่มเติม กำหนดระยะเวลาศึกษา ให้ผลศึกษา กสทช. ทั้งๆ ที่ระยะเวลาการพิจารณาการรายงานการรวมธุรกิจของ ทรู และ ดีแทค นั้น ได้ล่วงเลยเวลามานานแล้ว
ท่านผู้ชมครับ ระเบียบของกระทรวงการคลัง ระบุว่า กสทช. ต้องจ้างที่ปรึกษาที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษา กระทรวงการคลัง แต่ที่ปรึกษารายนี้ทะลึ่ง มีสำนักงานจดทะเบียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และเมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อไหม นี่คือตลกร้าย คุณสารี อ๋องสมหวัง และท่านกรรมการ กสทช. ตอบคำถามนี้หน่อยสิ ข้อมูลพบว่ามีพนักงานแค่ 1 คน
แม้ในหัวข้อนี้สภาองค์กรผู้บริโภค คุณสารี พอได้ทราบข่าว คุณสารี ออกมาแถลงแก้ตัวแทน SCF และแก้ตัวแทน กสทช. ว่าสภาได้ตรวจสอบประวัติที่มาของบริษัท SCF ซึ่งได้รับการว่าจ้างโดย กสทช. พบว่าบริษัทนี้บริหารงานโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงด้านกิจการโทรคมนาคมระดับโลก ซึ่งได้รวบรวมทีมนักวิชาการที่มีชื่อเสียงอีก 3 ท่าน มาร่วมทำรายงาน และรายงานดังกล่าวสะท้อนความจริงที่ผลกระทบต่อประเทศและสังคม หาก กสทช. อนุมัติให้มีการควบรวม
ผู้บริหารโครงการนี้ คือ ดร.ไซมอน ฟอร์จ (Simon Charles Forge) เป็นนักวิชาการด้านโทรคมนาคมที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นอดีตผู้อำนวยการแผนกไอที ของบริษัท ฮัทชินสัน
ท่านผู้ชมครับ ประเด็นครับ คุณสารีครับ กสทช. ครับ นี่ถามหมู ตอบหมานี่หว่า เขากำลังถามว่าที่ปรึกษาอิสระต่างประเทศ คือบริษัท SCF ซึ่งผมไม่รู้ว่าโปรเฟสเซอร์คนนี้ กับพวก จะเก่งเทวดาลอยลงมาจากฟ้าหรือมาจากไหน ผมไม่ได้ถาม ผมกำลังถามว่า กสทช. จ้าง ใช้เงินหลวงจ้าง ใช้เงินภาษีคนไทยจ้าง มันถูกต้องตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างการบริหารพัสดุ ปี 2560 หรือเปล่า
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีคำถามอื่นๆ ตามมาอีก คือจ้างบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศคราวนี้ หนึ่ง กสทช. ล็อกสเปกการจ้างหรือเปล่า สอง TOR เขียนว่าอย่างไร สาม บริษัทเหล่านี้ที่ได้รับสัมปทานมา มีสินทรัพย์เท่าไร แต่ประมูลรับงานมูลค่าหลายล้านบาท ซึ่งคนที่เคยประมูลจะรู้ว่านี่คือเรื่องที่ผิดปกติ
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมกล้าฟันธงและกล้าพูดอย่างชัดเจนว่าพวกที่คัดค้านนั้น เป็นพวกที่มีวาระซ่อนเร้นทั้งสิ้น ผมกล้าฟันธงอย่างนี้ จะเอามาออกเวทีดีเบตกันที่ไหน คุณสารีครับ พวกผมพร้อม แต่คุณตอบคำถาม คือบริษัท SCF ผมถามหมู ตอบหมูสิ คุณอย่าตอบหมา คุณสารี เป็น NGO ผมเรียกว่า NGO คุณตระกูล ส. กับเครือข่าย ตั้งมูลนิธิโน้น มูลนิธินี้ เชื่อมโยงกับองค์กรอิสระ องค์กรมหาชน ชมรมโน้น ชมรมนี้ แพทย์ชนบท สปสช. สสส. องค์กรโน้นองค์กรนี้ ที่เขาเรียกกันว่า มาเฟียตระกูล ส. คุณเผอิญไม่รู้ว่าไปเป็นมาเฟียตระกูล ส. ได้อย่างไร ถนัดนัก มาเฟียตระกูล ส. ในการจัดซื้อจัดจ้างบริหารพัสดุภาครัฐแบบพิเศษ นอกจากนี้ ยังถนัดการรุมกระทืบคนอื่น แบ่งงานกันทำ แบ่งบทกันเล่น อุ้มชูช่วยเหลือพวกเดียวกันเอง แต่สร้างกระแสให้คนอื่นเขาเป็นเหยื่อโดนรุมขย้ำ
คุณสารี กับเครือข่ายครับ ผมชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ผมทำข่าวมา 50 ปี คลุกคลีในวงการมาเฟียบู๊ลิ้มมาชั่วชีวิต อย่าดูถูกสติปัญญาผม ไม่ใช่ผมรู้ไม่ทันพวกคุณ แหล่งข่าวผมก็มีไม่น้อย แต่ผมขี้เกียจพูด ขี้เกียจฉีกหน้ากากพวกคุณให้ประชาชนทั่วไปเขาเห็นว่าพวกคุณกำลังคิด กำลังทำ และกำลังเล่นอะไรอยู่
อย่างเช่น หมอลี่ นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีต กสทช. ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องนี้อย่างสุดโต่ง สุดตัว หมอลี่ คือใคร ? คือเครือข่ายตระกูล ส. อดีตเป็นเลขาธิการมูลนิธิผู้บริโภค สวมหัวโขนมูลนิธิผู้บริโภคมาก่อนคุณสารี รวมทั้งอดีตเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท เห็นหรือยังท่านผู้ชม นี่คือมาเฟียตระกูล ส. กับเครือข่าย หลายสิบปีแล้ว ผมขี้เกียจพูด ถึงเวลาแล้วผมต้องมาฉีกหน้ากากพวกคุณเสียทีดีไหม ให้โอกาสมเหมาะๆ มาเล่าให้ฟัง อายุผมมากเกินไปแล้ว ผมน่าจะทำงานชิ้นนี้เพื่อทิ้งไว้เป็นตำนาน เพราะพวกคุณโอหังมมังการมาก เครือข่ายพวกคุณเชื่อมโยงกันตลอดเวลา คุณจะกระทืบใคร คุณเอานั่นออก คุณเอานี่ออก หมอลี่ คุณอายบ้างหรือเปล่า
นั่นล่ะครับ คือเบื้องหลังการควบรวมที่ผมบอกว่า ต้องควบรวม ประชาชนถึงจะได้ประโยชน์ แต่ถ้าคิดแบบบริบทเดิมๆ ถ้าควบรวมแล้วจะมีการผูกขาด นั่นเป็นการคิดแบบไม่ได้ศึกษาข้อมูล คิดแบบสติปัญญาต้อยต่ำเรี่ยดิน ความเห็นของผมก็มีอยู่แค่นี้ล่ะครับ
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ประเทศจีนมีเรื่องราว อีเวนต์ใหญ่โตมาก ทั่วโลกจับตาดู นั่นคือการเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ณ ศาลามหาประชาชน กรุงปักกิ่ง การประชุมครั้งนี้มีเวลา 7 วัน ปิดการประชุมวันพรุ่งนี้ (22 ตุลาคม 2565) เดี๋ยวผมจะอธิบายการถอดรหัสวาทะของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ได้ทำนายอนาคตประเทศจีนเอาไว้
ผมมีผู้สื่อข่าวเครือข่ายของผม รวมทั้งเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มีผู้สื่อข่าวคนไทย ชื่อ คุณท้อป ศุภชัย เป็นสื่อมวลชนจากประเทศไทยเพียงคนเดียวที่ได้เข้าสู่วงในการประชุม และเข้าร่วมในงานพิธีแถลงข่าวครั้งแรกของผู้แทนพรรค รวมทั้งพิธีเปิด ณ ศาลามหาประชาชน แต่ว่าโหดหน่อยนะท่านผู้ชม เงื่อนไขคือต้องถูกกักตัวอยู่ในช่วงประชุม 7 วัน และต้องถูกตรวจ PCR ทุกวัน ไม่ใช่ ATK นะ
การประชุมครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก มีผู้แทนทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม 2,296 คน วาระสำคัญในการประชุม คือ หนึ่ง ร่างรายงานการประชุม ซึ่งเป็นสรุปผลการทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และแนวทางการทำงานอีก 5 ปีข้างหน้า สอง ทบทวนแก้ไขธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีน สาม เลือกคณะผู้แทนที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 สี่ เลือกผู้นำระดับสูงในคณะกรรมการประจำกรมการเมืองและคณะกรรมการตรวจสอบวินัย หรือที่เขาเรียกว่า โปลิตบูโร (Politburo)
มาดูกันดีกว่าครับท่านผู้ชม ผมจะจับสัญญาณอนาคตของประเทศจีน จากคำสำคัญๆ ในรายงานของ สี จิ้นผิง
คำสำคัญในรายงานของ สี จิ้นผิง ได้แก่ สังคมนิยมแบบจีน ความยิ่งใหญ่ ความทันสมัย การพัฒนาอย่างรอบด้าน และ ความสามัคคี นัยคำสำคัญเหล่านี้สะท้อนว่า จีนตัดสินใจแล้วจะสร้างความแข็งแกร่งด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าอเมริกาจะบอยคอต จะแซงก์ชัน จะกลั่นแกล้งจีนในเรื่องเทคโนโลยีอย่างไรก็ตาม จีนไม่ยอมแพ้ จีนสู้ จะสร้างนวัตกรรมพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัยในแนวทางของตัวเอง จีนจะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติจีนอย่างรอบด้าน
สี จิ้นผิง ใช้คำว่า "ประชาชาติจีน" จงหัวหมินจู่ ไม่ใช่ประเทศจีน (จงกั๋ว) ต่างกันนะครับ จงกั๋ว คือ ประเทศจีน จงหัวหมินจู่ คือ ประชาชาติจีน
การใช้คำว่า "ประชาชาติจีน" สื่อนัยถึงชาวจีนในแผ่นดินใหญ่จีนทั้ง 56 ชนเผ่า ชาวจีนในฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และชาวจีนโพ้นทะเลด้วย
ข้อที่สอง ความทันสมัย เป็นคำพูดที่ถูกใช้หลายครั้ง สี จิ้นผิง ระบุว่า ความทันสมัยแบบจีน เป็นความทันสมัยแบบสังคมนิยม ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีลักษณะร่วมของความทันสมัยของประเทศต่างๆ แต่มีลักษณะพิเศษของจีนเอง ความทันสมัยแบบนี้ไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งความผาสุกให้กับประชาชนจีนเท่านั้น หากแต่นำมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับประชาชนประเทศต่างๆ ด้วย
สาม สี จิ้นผิง เน้นว่า จีนจะพัฒนาสู่ความทันสมัยโดยเน้นการสร้างสรรค์และนวัตกรรม และจะเป็นการพัฒนาแบบรอบด้าน การสร้างสรรค์ คือ Creativity นวัตกรรม คือ Innovation และจะเป็นการพัฒนาแบบรอบด้าน
ถึงแม้อัตราการเจริญเติบโตของจีนจะชะลอตัวในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีคำถามว่า หมดยุคสมัยหรือยังของการเจริญเติบโตของประเทศจีน แต่รายงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชี้ว่า ในช่วงปี 2556-2564 ในช่วงที่ สี จิ้นผิง กุมบังเหียนในการปกครอง จีนมีอัตราการเจริญเติบโต GDP เฉลี่ยแล้ว 6.6 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตของโลก และเศรษฐกิจจีนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของโลก พร้อมชี้ว่า อัตราการเจริญเติบโตไม่ใช่ดัชนีชี้วัดเพียงอย่างเดียวของเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางจากการเติบโตระดับสูง มาเป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว ในรอบสิบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างสมดุล มั่นคง และยั่งยืนมากขึ้น
นโยบายสำคัญที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีหลายเรื่อง เรื่องแรกคือ Zero COVID โควิดเป็นศูนย์ สี จิ้นผิง บอกว่า ชีวิตประชาชนสำคัญที่สุด ต้องป้องกันการติดเชื้อจากภายนอกประเทศ การระบาดภายในประเทศ และพูดชัดเจนว่า การยืนหยัดนโยบายโควิดเป็นศูนย์ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง และจะทำให้สงครามกับโรคระบาดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ตั้งอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาวะการณ์ของประเทศจีน เพราะว่าจีนมีประชากรมากเหลือเกิน ผู้สูงอายุมาก ระบบสาธารณสุขในหลายพื้นที่ยังไม่มีความพร้อมมากพอ นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ทำให้มีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยจำนวนน้อย รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไว้ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนโดยรวม 1,400 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนได้พยายามปรับปรุงนโยบายโควิดมา 9 ครั้ง ปัจจุบันนี้ใช้คำพูดว่า เป็นศูนย์แบบมีพลวัตร ความหมายของ พลวัตร ก็คือ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องใช้มาตการแบบเดียวกันในทุกๆ พื้นที่ สามารถยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์และศักยภาพของระบบสาธารณสุขในพื้นที่ จุดมุ่งหมายของนโยบาย คือ ควบคุมการระบาดด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ในต้นทุนที่ต่ำที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การผลิต และชีวิตประจำวันของประชาชน
ท่านผู้ชมครับ คุณท้อป ผู้สื่อข่าวของผม บอกว่า จากการที่เขาไปสอบถามผู้สื่อข่าวจีนและประเทศต่างๆ ให้ความเห็นตรงกันว่า ถึงแม้ประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกเริ่มเปิดประเทศแล้ว แต่จีนยังคงยึดมั่นนโยบายโควิดเป็นศูนย์ อย่างน้อยไปถึงการประชุมใหญ่ของสภาประชาชนจีน ในเดือนมีนาคม ปีหน้า (2566)
เพราะฉะนั้นแล้ว การคาดหวังรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน หรือชาวต่างชาติที่จะมาเที่ยวเมืองจีน คงจะเป็นไปได้ยาก สิ่งที่พอจะหวังได้คือคำว่า "พลวัต" ของนโยบายนี้ จะนำมาซึ่งการผ่อนปรนมากน้อยเพียงใด เช่น อาจจะลดความเข้มงวดในการกักตัว การเดินทางข้ามมณฑล เปิดทางให้สินค้าและกลุ่มคนที่มีความจำเป็น เข้าไปในประเทศจีนมากขึ้น แต่ "ไม่ใช่การเปิดประเทศ" เหมือนช่วงก่อนการระบาด
ข้อที่สอง ฮ่องกงจะต้องปกครองโดยผู้รักชาติ สี จิ้นผิง พูดถึงฮ่องกงในหัวข้อที่สอง โดยใช้คำว่า "สถานการณ์ความวุ่นวายในฮ่องกง" และเขาพูดชัดเจนว่า จะบังคับใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายพื้นฐานฮ่องกง เพื่อรักษาอำนาจในเขตปกครองพิเศษในทุกด้าน รวมทั้งใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ กับฮ่องกงด้วย
สี จิ้นผิง ย้ำว่า ฮ่องกงจะต้องปกครองโดยผู้รักชาติ คือพูดง่ายๆ ว่า เด็กอย่างเช่น โจชัว หว่อง หรือสามนิ้วที่ฮ่องกง หรือคนอย่างนายจิมมี่ ไหล เจ้าของนิตยสาร NEXT และหนังสือพิมพ์รายวัน Apple Daily ซึ่งติดคุกอยู่ทุกวันนี้ ตลอดจนนักธุรกิจอีกหลายคน ซึ่งรับงานตะวันตกมา แล้วหนุนหลังพวกสามนิ้วฮ่องกง โจชัว หว่อง พวกนี้ ไม่ใช่ผู้รักชาติแล้ว เพราะพวกนี้ต้องการจะโค่นล้มระบบการปกครองของฮ่องกง แล้วประกาศฮ่องกงให้เป็นเอกราช แต่สำหรับ สี จิ้นผิง แล้ว ฮ่องกงจะต้องถูกปกครองด้วยผู้รักชาติ จะทำให้ความวุ่นวายกลับไปสู่ความเรียบร้อย รวมทั้งใช้โครงการ อ่าวกวางตุ้ง ฮ่องกง มาเก๊า เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของฮ่องกง ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และรักษาเสถียรภาพ
ท่านผู้ชมครับ ผมเอาแผนที่อ่าวกวางตุ้ง ฮ่องกง มาเก๊า ขึ้นมาให้ดู เขาเรียกว่า กวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า Greater Bay Area
ผู้สื่อข่าวประเมินว่า จีนจะเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมฮ่องกง จะใช้ทั้งกฎหมาย และเศรษฐกิจ เพื่อผนวกรวมฮ่องกงให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจีน ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมไม่ต้องกังวล ท่านผู้ชมเคยไปเที่ยวฮ่องกงอย่างไร เคยไปทานข้าวอร่อยๆ ที่ฮ่องกงอย่างไร เคยไปชอปปิ้งที่ฮ่องกงอย่างไร ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ต่างกันที่ว่าการเมืองภายในฮ่องกงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ความเข้มงวดในการออกความคิดเห็น หรือความคิดเห็นอะไรก็ตาม ถ้าเป็นอันตรายต่อความมั่นคงจีน จีนจะไม่ยอมเรื่องนี้เป็นอันขาด พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างที่ฮ่องกงสำหรับพวกเราแล้วก็เหมือนเดิม ฮ่องกงกำลังเริ่มจะเปิดประเทศ
สาม ไต้หวัน สี จิ้นผิง พูดเลย ไต้หวันแตกแยกเพราะการยุยงจากภายนอก เขาพูดเลยว่า เขาจะพยายามต่อไปเพื่อรวมชาติอย่างสันติ แต่เขาบอกว่า เราไม่รับรองว่าจะละเว้นการใช้กำลัง และเขาเน้นว่า การรวมชาติจีนอย่างสมบูรณ์จะต้องเกิดขึ้น และต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน จีนจะเพิ่มความพยายามในประชาคมนานาชาติเพื่อให้ยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว
ท่านผู้ชมครับ ผู้สื่อข่าว นายท้อป รายงานว่า ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นถึงการปรบมือที่ยาวนานเป็นพิเศษ เมื่อ สี จิ้นผิง พูดถึงการรวมชาติ อันนี้สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างหนักแน่นจากบรรดาสมาชิกพรรค
โดยเฉพาะเมื่อจีนปักหมุด คิดว่าสถานการณ์เรื่องไต้หวันเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอก แตกต่างจากในอดีตที่จีนเคยมองว่าการเรียกร้องเอกราชไต้หวันเป็นนโยบายของพรรคการเมืองในไต้หวัน ทัศนะเช่นนี้จะส่งผลให้จีนยิ่งเพิ่มแรงกดดันในเวทีโลก เรื่องนโยบายจีนเดียว ไต้หวันจะเผชิญกับการกีดกันมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันจะถูกกดดันและจูงใจให้มาอยู่ข้างจีน ส่วนประเทศส่วนใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับไต้หวัน ก็จะต้องระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องนโยบายจีนเดียว
ข้อที่สี่ที่ สี จิ้นผิง พูด สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย สี จิ้นผิง บอกว่า จีนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในภูมิทัศน์ระหว่างประเทศ เขาใช้คำว่า "มีความพยายามที่จะหักหลัง ปิดล้อม ปิดกั้น และใช้แรงกดดันอย่างสูงสุดต่อประเทศจีน" สี จิ้นผิง ยืนยันว่า จะยึดถือผลประโยชน์ของชาติ ให้ความสำคัญกับการเมืองในประเทศเป็นอันดับแรก รักษาพลังทางยุทธศาสตร์เพื่อพิทักษ์ และการพัฒนาความมั่นคงของประเทศจีน
ท่านผู้ชมครับ แม้ว่าในรายงานที่ สี จิ้นผิง พูด ไม่ได้เอ่ยถึงประเทศไหน หรือสถานการณ์ใดโดยเฉพาะ เขาระบุว่า จีนคัดค้านการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทัศนะสงครามเย็น การแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ สองมาตรฐาน ผมตีความให้ก็แล้วกันครับ สี จิ้นผิง หมายถึงอเมริกานั่นเอง
ผู้สื่อข่าวที่ทำข่าวเรื่องนี้ จากการไปพูดคุยของคนของผม นายท้อป รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายระหว่างประเทศของจีน ว่าตอนนี้ประเทศจีนเปลี่ยนจากเชิงรับมาเป็นเชิงรุกแล้ว สี จิ้นผิง ใช้คำว่า "ชาติมหาอำนาจ" ภาษาจีนเรียกว่า ต้ากว๋อ และ "ชาติที่เข้มแข็ง" เฉียงกว๋อ หลายครั้ง และกล่าวว่า "จีนจะไม่รังแกใคร แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครมารังแก" เพื่อตอบโต้ข้อครหาที่ว่าจีนกำลังเป็นมหาอำนาจ สี จิ้นผิง บอกว่า จีนจะยึดมั่นในสันติภาพและสนับสนุนการพัฒนาร่วมกัน ระบุว่า จีนจะไม่มีวันแสวงหาอำนาจบาตรใหญ่ (เหมือนประเทศอเมริกา หรือ อียู) ไม่มีนโยบายขยายตัว
ข้อห้า สี จิ้นผิง จะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการทหาร สี จิ้นผิง พูดถึงการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศจีน เขาใช้คำว่า Hard Power และ Soft Power นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เขตการค้าเสรีเกาะไต้หวัน ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อไม่ให้ทุนขยายตัวอย่างไร้ระเบียบ และรักษากฎเกณฑ์ของตลาด
น่าสนใจมากครับท่านผู้ชม ตอนนี้ เรื่องนี้ ด้านการทหาร ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ สี จิ้นผิง กล่าวถึงเป้าหมายที่จะเป็นชาติที่เข้มแข็งทางการทหาร ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า กระบอกปืนจะต้องอยู่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเบ็ดเสร็จ และจะมีการปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยี และจะลดกำลังพลลง 3 แสนนาย
ท่านผู้ชมครับ ผู้สื่อข่าวเห็นว่าจีนจะเพิ่มบทบาทในเวทีโลกทุกมิติ เพื่อสร้างภาพลักษณ์เป็นชาติใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ จีนจะสร้างโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ โดยเป็นพันธมิตรกับประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาเซียน แอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และลาตินอเมริกาเพื่อคานกับขั้วอิทธิพลของชาติตะวันตก จีนบอกว่าประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง แต่ว่าสถานการณ์โลกขณะนี้มีการแยกขั้วอย่างชัดเจน ประเทศต่างๆ จะเผชิญความยากลำบากในการรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจขั้วต่างๆ
โดยสรุป การประชุมสมัชชาที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ครั้งที่ 20 สี จิ้นผิง ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพื่อกล่าวถึงสถานการณ์ของประเทศจีนในทุกด้าน และยืนหยัดในนโยบายสำคัญของเขาในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นโยบายเหล่านี้่จะถูกใช้ต่อไปหลังจากที่ สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีน ที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน สุนทรพจน์ในวันเปิดประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ครั้งที่ 20 สะท้อนให้เห็นว่าจีนตระหนักถึงความท้าทายในทุกมิติ และสะท้อนว่า จีนมั่นใจว่าจะชนะความท้าทายเหล่านั้นได้ด้วยทุกวิธีการ
นี่คือนัยสำคัญ สัญญาณที่ผมแปลให้ฟัง
ท่านผู้ชมครับ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องสงครามในยูเครนมานานแล้ว ตอนนี้ก้าวเข้าไปสู่อีกระดับหนึ่งแล้ว ฤดูหนาวกำลังจะมา รบกันมา 8 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ ปีนี้ ที่ผ่านมา จากนี้ไปจะเป็นยุทธภูมินรกฤดูหนาว เป็นสงครามแห่งความโหดร้ายทารุณและยากลำบาก ที่เคยเกิดขึ้นมาในสงครามโลกครั้งที่สอง และกำลังก้าวสู่สงครามโลกครั้งที่สาม ในบริบทรูปแบบสงครามที่ไม่เหมือนเดิม แม้กระทั่งเลขาธิการนาโต ยังยอมรับว่า การมาของสงครามฤดูหนาวจะเป็นความยากลำบาก และเตรียมสนับสนุนให้นาโตสนับสนุนยูเครนให้สู้กับรัสเซียต่อไป
แต่ยิ่งอเมริกา และนาโต ชาติพันธมิตรประชาคมยุโรป ทุ่มงบแบบไม่อั้นช่วยยูเครน กับ รัสเซีย จากหลักร้อยล้าน มาเป็นพันล้านดอลลาร์ และห้าหมื่นล้านดอลลาร์ ตามคำขอของตัวตลกเซเลนสกี ยิ่งเกิดปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการที่พวกเขาปั้นลูกบอลหิมะ เขาเรียกว่า Snowball Effect คือเขาลูกบอลหิมะ แล้วค่อยๆ ปล่อยกลิ้งจากยอดภูเขาหิมะ มันก็จะเก็บหิมะที่อยู่บนพื้น กลายเป็นใหญ่ขึ้นๆ แล้วกลายเป็นมหันตภัยที่ทำให้คนตายอย่างร้ายแรง
ท่านผู้ชมครับ เซเลนสกี ไม่มีอะไร นอกจากขอเงิน และข่าวสารที่หลุดออกมา เป็นข่าวสารทางตะวันตก เกินครึ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นข่าวสารที่โกหกทั้งสิ้น
ตอนนี้ Snowball Effect หรือลูกบอลหิมะ กับสงครามพลังงาน รัสเซียได้ตอบโต้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกอย่างได้ผล เพราะว่าชาติตะวันตกไม่มีทางเลือก วิกฤตสงครามเศรษฐกิจในยุโรปยังคงดำเนินการต่อไป รัสเซียไม่ได้รับความเสียหายอย่างที่โลกตะวันตกคาดหวังไว้ ผลจากการตัดขาดและโดดเดี่ยวรัสเซียจากระบบการเงิน แซงก์ชันการเศรษฐกิจรัสเซียถึง 7 ระลอก ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของชาติตะวันตกในรัสเซียปิดตัว ยึดทรัพย์สิน เงินฝากนักธุรกิจรัสเซียที่ไปปักหลักอยู่ในอังกฤษ และอเมริกา เป็นการทำโดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ อาศัยแต่ว่า อเมริกาใช้อำนาจในฐานะเป็นเจ้าโลก และเป็นตำรวจโลก หวังจะทำให้รัสเซียแพ้ แต่ที่เป็นและเป็นอยู่ คือ รัสเซียวันนี้ไม่ได้แพ้เลย
ในทางตรงกันข้าม มาตรการคว่ำบาตรนี้ย้อนกลับมาทำร้ายประชาคมยุโรปเสียเอง คนยุโรปต้องอยู่ในสภาพขาดแคลนอาหารและพลังงาน ไฟฟ้า ก๊าซ ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเป็นสิบเท่า ยังต้องต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้ออย่างรุนแรง เศรษฐกิจถดถอย คนทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อนไปทั่วประชาคมยุโรป ถึงขั้นไม่อาจจะอยู่รอดได้ ท่านผู้ชมอาจจะไม่ได้เห็นข่าวนี้ เพราะว่าสื่อตะวันตกปิดหมด แล้วสื่อมวลชนในเมืองไทย ทีวีทุกช่อง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ล้วนแล้วแต่ไม่ยอมลงข่าวนี้ ผมจะเอามาให้ดู
ตอนนี้ประเทศต่างๆ ในยุโรป ออกมาเดินขบวนชุมนุมประท้วงใหญ่ขับไล่ผู้นำ แล้วเรียกร้องให้ยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซีย ผู้ประท้วงในฝรั่งเศสตะโกนว่า ออกจากนาโตเถิด ไล่มาครง ประชาชนในประเทศอื่นๆ ทั่วยุโรป เยอรมนี สเปน ออสเตรีย อังกฤษ สาธารณรัฐเช็ก กรีซ อิตาลี
คนหลายพันคนเดินขบวนบนท้องถนนกรุงปารีส กันยายน เดือนที่แล้ว ชาวเช็กหลายหมื่นคนชุมนุมที่กรุงปราก เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่แพง
วิกฤตน้ำมันทั่วโลกตอนนี้ จากการที่อเมริกาไปขอร้องซาอุดีอาระเบียให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ก็ถูกซาอุดีอาระเบียสวนกลับ โดยที่กลุ่มโอเปกพลัสตัดสินใจ แทนที่จะขึ้นกำลังการผลิตให้สูงขึ้น กลับลดลงไปอีก 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทั้งหมดนี้ มันทำให้เป็นการซ้ำแนวเดิม ความเจ็บปวดที่ทางยุโรปมีอยู่ การระเบิดสะพานไครเมีย ที่ข้ามไปไครเมียนั้น ไม่ได้ทำความเสียหายให้กับทางสะพานมากมายนัก เพราะโครงสร้างใหญ่ ตอม่อยังอยู่เหมือนเดิม เปิดให้ทำการและรถวิ่งได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า รัสเซียก็เลยทำสงครามสั่งสอน ถล่มกรุงเคียฟ และหลายจุดในยูเครนตะวันตกอย่างหนักแน่น สาหัสสากรรจ์ โครงสร้างขั้นพื้นฐาน น้ำประปา โรงไฟฟ้า สถานีย่อยจ่ายไฟฟ้า รางรถไฟ โลจิสติกส์ของการขนส่งในยูเครน อินเทอร์เน็ตพังทลายหมด ทุกอย่าง เซเลนสกี รายงานว่า มีความเสียหายทางด้านโครงสร้างขั้นพื้นฐานของยูเครนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเซเลนสกี พูดถึงเรื่องความเสียหายของตัวเอง ท่านผู้ชมต้องคูณสอง เซเลนสกี เวลาพูดถึงความเสียหายของรัสเซีย ก็จะคูณสองเหมือนกัน สมมุติว่าเสียหาย 30 เปอร์เซ็นต์ เซเลนสกี จะบอกว่าเสียหาย 60 เปอร์เซ็นต์ ฉันใดฉันนั้น
โครงสร้างต่างๆ พังทลายหมด ฝีมือที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เกิดขึ้นจากพลเอกอาวุโส ซูโรวิกิน ผู้บัญชาการกองกำลังผสมในพื้นที่ปฏิบัติการพิเศษทางการทหารของรัสเซีย ฉายาคือ จอมโหด มีประสบการณ์ในการรบมาอย่างยาวนาน
เคยรบในสมรภูมิที่ซับซ้อน อย่างซีเรีย เขาชำนาญเป็นพิเศษในการวางยุทธศาสตร์การโจมตีทางอากาศ ด้วยเหตุนี้ ยูเครนตะวันตก โดนขีปนาวุธถล่ม โดนทั้งโดรนของอิหร่านที่ส่งมา แล้วป้องกันไม่ได้เลย วิ่งชนตึก โดรนนั้นแบกระเบิดที่ติดตัวไป หนักประมาณ 50 กิโลกรัม ทั้งตึก ทั้งสถานีย่อยไฟฟ้าพังทลายหมด
เพราะฉะนั้นแล้ว สถานการณ์ สนามสู้รบที่กลายเป็นสงครามใหญ่ตอนนี้ แนวโน้มขณะนี้ข่าวว่ารัสเซียกำลังจะทำลายกรุงเคียฟให้พังทลายลงไป สถานทูตที่เป็นพันธมิตรรัสเซีย ออกแถลงการณ์ให้อพยพพลเรือนจากยูเครน จีน ออก คาซัคสถาน ออก ออกกันให้หมด สถานทูตจีนให้ออกจากยูเครนทันที คาซัคสถานก็บอกให้ออกทันที
วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย บอกว่าสงครามยูเครนเฟสใหม่ในยุทธภูมิฤดูหนาว จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา อากาศหนาวจะเป็นอาวุธที่ทรงพลัง ดังเช่นที่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์
ถ้าท่านผู้ชมได้ติดตามข่าวหรือสังเกตสังกาการให้สัมภาษณ์ของผู้นำรัสเซีย หรือผู้นำทางตะวันตก เหมือนอย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ท่านผู้ชมจะเห็นว่าหลายๆ อย่างมันมีสัญญาณออกมาว่า สงครามใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ผมคิดว่าตุลาคม ต่อ พฤศจิกายนนี้ เราจะเริ่มเห็นการปรับปรุงสถานภาพการรบของรัสเซียออกมาอีกมิติหนึ่ง
ล่าสุด ปูติน ประกาศกฎอัยการศึก 4 แคว้นยูเครนที่รัสเซียยึดครองเขามา ท่านผู้ชมครับ ปูติน สั่งให้อพยพประชาชนจากเคอร์ซอน เคลียร์พลเรือนออกไป หลักการคือเตรียมรบกับเคียฟ หลายคนที่ติดตามข่าวทางตะวันตก หรือฟังข่าวของทางช่องทีวีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไทยพีบีเอส หรือช่อง Voice TV บางคน หรือช่องข่าวต่างประเทศทั้งหมด PPTV อะไรพวกนี้ ก็จะได้ยินว่ารัสเซียแพ้แล้ว เพราะว่ายูเครนกำลังจะกลับเข้ามายึดเคอร์ซอน
ท่านผู้ชม หยุดก่อนครับ ตามผมมาแล้วฟังผมให้ดีๆ ท่านผู้ชมต้องใช้ปัญญา ถ้าท่านผู้ชมสังเกตหรือท่านผู้ชมรู้อย่างที่ผมอ่าน มีการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย ตลอดจนการให้สัมภาษณ์ของ พลเอกอาวุโส เซอร์เก ซูโรวิกิน ทั้งสองคนนี้ให้สัมภาษณ์น่าสนใจมาก ให้สัมภาษณ์เมื่อประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ ที่แล้ว เขาบอกว่า เขาไม่ต้องการให้ทหารรัสเซียต้องเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น สอง เขาเป็นห่วงประชาชนที่อยู่ใน 4 แคว้นที่เขายึดมา เขาประกาศกฎอัยการศึกใน 4 แคว้น เพื่อจะเร่งอพยพประชาชน เป็นแสนๆ คน เป็นหมื่นๆ คน หลุดออกมาจาก 4 แคว้น เพื่อเข้ามาในดินแดนรัสเซีย เพื่ออะไร ? ตรงนี้ล่ะคือเคล็ดลับ ถ้าเราอ่านเกมถูก เราจะรู้ ว่ารัสเซียรู้อยู่แล้วว่ากองทัพยูเครน ซึ่งจริงๆ มีทหารอยู่ยูเครนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นทหารรับจ้าง และเป็นทหารของกลุ่มประเทศนาโต ซึ่งแอบแฝงมาในลักษณะที่เป็นทหารยูเครน กำลังรวมพลอยู่เพื่อที่จะบุกเข้ามายึดเคอร์ซอน รัสเซียก็เลยตัดสินใจที่จะให้ทหารของรัสเซียถอยออกมา แล้วให้ประชาชนหนีกลับมา เพื่อจะได้ชก จะได้รบสะดวกสบาย เพราะความที่รัสเซียไม่เหมือนนาโต ไม่เหมือนยูเครน ไม่สนใจประชาชน รัสเซียเวลายิงขีปนาวุธไป จะพยายามยิงขีปนาวุธให้มันตกในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่่ยุทธศาสตร์ อย่างเช่น กองบัญชาการหน่วยสืบราชการลับของยูเครน หรือกองบัญชาการของเคียฟ ที่ตอนนี้นายเซเลนสกี หนีออกไปแล้ว แล้วไปอยู่ที่ริมชายแดนโปแลนด์
ท่านผู้ชมครับ นักข่าวทั้งหลาย พิธีกรครับ ทีวีในเมืองไทย รู้ไว้เสียด้วยว่า เซเลนสกี ไม่ได้อยู่ในเคียฟอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้พอประชาชนย้ายออกไปหมดแล้ว ถึงเวลาที่นายพลจอมโหด จะเริ่มถล่มเคอร์ซอน ถล่มกองกำลังทหารนาโตซึ่งกำลังนั่งเหงื่อตก เหงื่อแตกอยู่ เพราะว่าเกมที่รัสเซียทำนั้น ทางทหารตะวันตก นาโต ก็รู้ว่ามันแปลว่าอะไร มันแปลว่าจากนี้ไปแล้ว โดนทั้งลูกปราย ลูกโดด เต็มๆ ไม่มีการระวังอีกต่อไปแล้ว รัสเซียสามารถจะถล่ม 4 แคว้น ที่ทหารพวกนี้บุกเข้ามา ให้พังทลายไป และที่สำคัญที่สุด ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ หลายคนกำลังบอกว่า รัสเซียจะใช้นิวเคลียร์ รัสเซียเตรียมนิวเคลียร์อยู่แล้ว รัสเซียติดหัวรบ หัวอาวุธรบ จรวดนิวเคลียร์ ที่เมืองเบลารุส ซึ่งเป็นพันธมิตรรัสเซีย แล้วส่งทหารรัสเซีย 9 พันคน ไปประจำที่นั่น
กองทัพอากาศรัสเซีย 480 ลำ รวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ผมเชื่อว่ารัสเซียจะทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ แต่ผมเรียกว่า Baby Nuclear มันต่างกันตรงไหน ? นิวเคลียร์ธรรมดา กับ เบบี้ นิวเคลียร์ ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวต่างประเทศตลอด ท่านผู้ชมจำได้ไหม เมื่อไม่นานมานี้เอง ประมาณสักปีหนึ่ง มีการระเบิดที่ท่าเรือของประเทศเลบานอน พังทลายหมดแล้ว นั่นล่ะครับคือ Baby Nuclear ความรุนแรงมันรุนแรงมากกว่าระเบิดทั่วไป จะเป็นโดรน จะเป็นขีปนาวุธ จะเป็นกระสุนปืนใหญ่ระดับไหน ยิงไป 500 นัด 1,000 นัด ยังไม่สู้ Baby Nuclear ลูกเดียว แต่จะไม่มีเห็ดขึ้นมาเหมือนอย่างที่เราเห็น แต่พลานุภาพในการทำลายล้าง จะรุนแรง ร้ายกาจมากๆ เพราะฉะนั้นแล้ว พวกนาโตคงรู้ว่าตัวเองจะต้องเจออะไร แต่ขณะนี้ผมอยากจะจับตาดูปฏิกิริยาของพวกนาโต และพวกทหารยูเครน ว่าจะทำอย่างไร เพราะตัวเองรู้แล้วว่านรกกำลังมาแล้ว เพราะรัสเซียย้ายประชาชนไปแล้วนี่ ย้ายฐานทหารออกไปแล้ว เหลือแต่พวกนั้นที่อยู่แถวนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว เขาเรียกว่า เลือกเป้ายิงได้ตามสบายเลย และนี่คือเหตุการณ์ล่าสุด จับตาดู อย่าให้กะพริบ อย่าได้กะพริบตาเลยจากนี้ไป จนถึงประมาณพฤศจิกายน เราจะได้เห็นอะไรที่มันๆ เกิดขึ้น อย่างที่ผมคาดคะเนไว้ รับประกัน ไม่ผิดพลาด เชื่อไอ้แม้นเถอะ
วันนี้รายการก็มีอยู่เพียงแค่นี้ เอาไว้รออาทิตย์หน้า เราจะมีเรื่องสนุกๆ ช่วงนี้จะมีเรื่องสนุกสนานเยอะแยะไปหมด จนกระทั่งเลือกทำข่าวไม่ถูกเลย วันนี้เอาแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ