xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : แหวกม่านการเมืองยุค “สี จิ้นผิง” เบื้องลึกเหตุหิ้วปีก “หู จิ่นเทา” - ลักวิ่งชิงปล้น บทสรุปคณะโจรปล้นสมบัติเจ้า - “ฤษี ซูนัก” ผู้นำที่จะเป็นอังกฤษมากกว่าคนอังกฤษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 28 ต.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่

- "ฤษี ซูนัก" นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่เชื้อสายอินเดีย ที่จะเป็นอังกฤษมากกว่าคนอังกฤษ เบื้องลึกเบื้องหลังเกมการเมืองโลกตั้ง "ฤษี ซูนัก" ขึ้นเป็นผู้นำ
-แหวกม่านไม้ไผ่การเมืองจีนยุค สี จิ้นผิง แล้วเบื้องลึกเบื้องหลังหิ้วปีก "หู จิ่นเทา" ออกจากที่ประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีน ครั้งที่ 20
-ลัก วิ่ง ชิง ปล้น บทสรุปมหากาพย์ "คณะราษฎร 2475" ประพฤติตัวเป็นโจรปล้นสมบัติเจ้า

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.161



คำต่อคำ SONDHI TALK [EP. 161] : "แหวกม่านการเมืองยุค สี จิ้นผิง เบื้องลึกเบื้องหลังเหตุหิ้วปีก หู จิ่นเทา"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมและทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้เดินทางไปทำบุญทอดกฐินที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง เราได้ถวายเงินให้กับหลวงพ่อสุชิน เจ้าอาวาส เป็นจำนวน 3 ล้านบาท

เสาร์ที่ 29 ตุลาคม คือวันพรุ่งนี้ และวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม ผมและทีมงานจะเดินทางไปทำบุญทอดกฐินอีก 2 ที่ คือในวันเสาร์ที่ 29 วัดป่าพุทธนิมิตรสถิตสีมาราม อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร และวันอาทิตย์ที่ 30 ที่วัดเวฬุวัน อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ


ท่านผู้ชมครับ ผมจะขอสรุปอีกครั้งว่าในปีนี้ท่านผู้ชมและผมได้ทำบุญร่วมกันที่ไหนบ้าง หนึ่ง วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน จังหวัดเลย 6 ล้านบาท สอง วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี 1 ล้านบาท สาม วัดป่าวังศิลา จังหวัดเชียงราย 5 ล้านบาท สี่ วัดป่าไชยชุมพล จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ล้านบาท ห้า วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง 3 ล้านบาท หก วัดบึง จังหวัดอยุธยา 2 ล้านบาท เจ็ด วัดป่าพุทธนิมิตร จังหวัดสกลนคร 1 ล้านบาท แปด วัดเวฬุวัน จังหวัดบึงกาฬ 1 ล้านบาท รวมทั้งหมด 22 ล้านบาท อนุโมทนาสาธุครับท่านผู้ชม ขอให้บุญกุศลที่ทำบุญใหญ่ครั้งนี้สะท้อนย้อนกลับไปหาท่านผู้ชมที่ได้เสียสละร่วมทำบุญมา ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินเข้ามาเพื่อร่วมทำบุญ หรือสั่งซื้อเหรียญหลวงพ่อฉิม ท้าวเวสสุวรรณ เงินพวกนี้เราเอาไปทำบุญทั้งหมด ไม่หักค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว


ท่านผู้ชมที่ต้องการจะร่วมบุญและจองเหรียญเพิ่มเติม เหรียญละ 2 พันบาท ให้จองได้ในไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน @tambun โอนเงินไปที่มูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล ธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี 008-2-78777-1 แล้วแนบสลิปโอเงิน พร้อมพิมพ์ชื่อ-สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ สำหรับจัดส่ง 3 พฤศจิกายนนี้ เราจะมีพิธีพุทธาภิเษกที่ใหญ่โตมาก ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ถ้าท่านผู้ชมอยากจะมาร่วมบุญและร่วมพิธี สามารถเข้าร่วมได้ในเวลา 6 โมงเย็น อย่าเอารถยนต์มานะครับ นั่ง Grab มาดีกว่า หรือนั่งสามล้อมาดีกว่า เพราะที่จอดรถน้อยมาก พอเสร็จพิธีแล้วเราจะเริ่มดำเนินการจัดส่งเหรียญให้ผู้ที่สั่งจอง ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565


อาจารย์ปานเทพ บอกว่า ผู้ที่สั่งจองเหรียญ จะได้รับ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" เป็นที่ระลึก จำนวน 1 ซอง ด้วย

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะดำเนินเรื่องต่อไป มีคนสอบถามผมมาเยอะว่า "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ทานมาครบ 9 เดือนแล้วต้องหยุดหรือไม่ จริงๆ แล้วคำว่า "9 เดือน" นั้น เป็นแค่ปริศนาธรรม ว่าถ้ารับประทานมาครบ 9 เดือนแล้วจะอยู่ในฐานะของการเป็น "ยาอายุวัฒนะ" แต่สำหรับผู้สูงวัย อย่างผม "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" เหมาะสำหรับการรับประทานเป็นประจำทุกวัน อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น หลายคนกินแล้วขับลมดี ขับถ่ายดี นอนหลับดี มีกำลังวังชาดี ท่านผู้ชมครับ รับประทานต่อเนื่องไปเลย ผมทานอยู่ทุกวัน อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว ไม่ได้หยุดเลยแม้แต่วันเดียว ทานต่อไปได้ครับ ซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ ญาติผู้ใหญ่ ก็ให้ทานต่อไปเรื่อยๆ มันจะรักษาความสมดุลของธาตุ

อีกเรื่องหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน วัดป่าบ้านตาด ได้ขอประชาสัมพันธ์สื่อธรรมใหม่ๆ ให้ประชาชนได้เข้าถึงพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด และบูรพาจารย์สายกรรมฐานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ท่านสามารถจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ทั้งระบบ Android และ iOS ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play และ App Store พิมพ์คำค้นหาว่า "luangta.com" หรือท่านผู้ชมจะสแกนคิวอาร์โค้ดที่ปรากฏอยู่หน้าจอ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official ID @luangta.com


แอปพลิเคชันมือถือของ luangta.com จะเป็นแหล่งรวบรวมสื่อธรรมะทั้งหมด เหมือนย่อห้องสมุดธรรมะมาไว้ในมือถือ ผู้สนใจสามารถรับฟังรายการสดจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน และรับชมสถานีโทรทัศน์ เสียงธรรมบ้านตาด ตลอดจนยังมีหนังสือธรรมะเป็น e-Book ภาพคติธรรม คลิปโอวาทธรรม และไฟล์เสียงเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น มากกว่า 5,000 กัณฑ์



ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามีเรื่องไม่เยอะ สามเรื่องเอง แต่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่เอาเรื่องใหญ่แค่สามเรื่องออกมา เรื่องแรก คือเรื่อง "ฤษี ซูนัก" หรือ "ริชี ซูแน็ก" นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่เชื้อสายอินเดีย ที่จะเป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอังกฤษ แล้วจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกมการเมืองโลกในการตั้งนายฤษี ซูนัก ขึ้นมา

เรื่องที่สอง ก็เป็นเรื่องการเมืองอีกเช่นกัน แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ผมจะแหวกม่านไม้ไผ่การเมืองจีนยุค สี จิ้นผิง แล้วจะเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุที่สื่อตะวันตกระบุว่ามีการหิ้วปีก หู จิ่นเทา ระหว่างการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีน ครั้งที่ 20

เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องเก่า ไม่ได้มาเล่าใหม่ แต่เป็นบทสรุปเลย บทสรุปมหากาพย์ "คณะโจรปล้นสมบัติเจ้า" ผมจะเอาถ้ำขุมทรัพย์ฤาษี ที่อยู่ที่เพชรบูรณ์ ที่เคยเอาสมบัติต่างๆ ของประเทศไทยเก็บเอาไว้ยามสงคราม แล้วใครบ้างขโมยทรัพย์สมบัติเหล่านั้นออกไป มีข้อมูล มีชื่ออย่างชัดเจน


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ท่านผู้ชมคงรู้แล้วว่าอังกฤษได้คนเชื้อชาติอินเดียมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ ชื่อ นายฤษี ซูนัก (ซูแน็ก แต่บรรดานักข่าวและพวกผมจะเรียก ซูนัก)

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวัน "ดิวาลี" (Diwali) เทศกาลสำคัญของชาวฮินดู เป็นวันชัยชนะของนายริชี หรือ นายฤษี ซูนัก ซึ่งแต่ก่อนเป็นรัฐมนตรีคลัง อายุแค่ 42 ปี ท่านผู้ชมครับ นายซูนัก เพิ่งเล่นการเมืองแค่ 7 ปีเองนะ 7 ปีแล้วก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่เป็น 7 ปีที่พิเศษ มหัศจรรย์ มีปาฏิหาริย์ การที่นายซูนัก ขึ้นมานี้ ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมาก ก็อย่างว่านะครับ นายซูนัก พูดว่าขึ้นมาเพื่ออะไร ผมขี้เกียจเล่า ก็คือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้

นายซูนัก เกิดในอังกฤษ ที่เมืองเซาแทมป์ตัน (Southampton) ชื่อตัวคือ ริชี (Rishi) ซึ่งภาษาสันสกฤตตรงกับคำว่า ฤษี หมายความว่า ผู้แสวงหา ส่วนนามสกุล ซูนัก หรือ ซูแน็ก (Sunak) หมายถึง ผู้ฟัง พ่อแม่ของซูนัก เป็นคนเชื้อสายอินเดีย ไม่ได้มาจากอินเดียนะครับ อพยพมาจากแอฟริกาตะวันออก อยู่อังกฤษ พ่อเป็นหมอ แม่เป็นเภสัชกร มีร้านขายยาของตัวเอง ครอบครัวของเขาเกิดที่อังกฤษทั้งหมด ครอบครัวนับถือศาสนาฮินดู นายซูนัก ไม่ดื่มเหล้า ไปวัดทุกสัปดาห์


ด้านการศึกษา นายซูนัก เรียนอยู่ที่วิทยาลัยวินด์เชสเตอร์ โรงเรียนเอกชนของชนชั้นนำในอังกฤษ ซึ่งมีค่าเล่าเรียนแพงมาก ที่ผมไปค้นมา ค่าเล่าเรียนที่วินด์เชสเตอร์ ปัจจุบันปีละประมาณ 45,936 ปอนด์ หรือประมาณ 2 ล้านบาท ค่าเล่าเรียนอย่างเดียวนะท่านผู้ชม โรงเรียนมัธยม ปีละ 2 ล้านบาท ถ้าไม่ใช่เศรษฐีจริงๆ จะเข้าไปเรียนได้อย่างไร คงไม่มีปัญญากู้ กยศ. ไปเรียนด้วยราคาแบบนั้นหรอกครับ

ในระดับปริญญาตรี นายซูนัก เข้าสู่มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตปราชญ์ขึ้นมาในโลกนี้ แล้วก็ผลิตตัวร้ายจริงๆ ขึ้นมาในโลกนี้ เลวทรามต่ำช้ามาก นั่นคือมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาเดียวกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเรียนมา หรือว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยเรียนมา หรือว่านายบอริส จอห์นสัน เคยเรียนมา หรือว่านางลิซ ทรัสส์ เคยเรียนมา ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้มีอคติอะไรกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แต่ผู้นำอังกฤษนั้น 99 เปอร์เซ็นต์ จบจากออกซ์ฟอร์ด ออกซ์ฟอร์ดได้ผลิตบุคลากรที่มีชื่อในโลก ไม่ว่าจะด้านวิทยาศาสตร์ ด้านปรัชญา ทางด้านโน้นทางด้านนี้ แต่ขณะเดียวกัน ก็ผลิตนักการเมืองที่ here ฉิบหายเลยออกมา ต้องพูดกันอย่างนี้จริงๆ นี่คือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ท่านผู้ชมคนไหนรับไม่ได้อย่ามาฟัง

จากนั้น นายซูนัก ก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทางธุรกิจ สแตนฟอร์ด ต้องถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง อันดับต้นๆ หนึ่งหรือสองอันดับในโลกนี้ เขาได้เจอกับภรรยาคนปัจจุบัน คือ อักษตา มูรติ (Akshata Murthy)


ซึ่งเธอเป็นดีไซเนอร์ เป็นบุตรสาวของนายนารายณ์ มูรติ (N. R. Narayana Murthy) มหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์ บิดาของเธอเป็นคนที่ก่อตั้งบริษัท อินโฟซิส (Infosys) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2552 สิบสามปีที่แล้ว มีลูกสาว 2 คน

นายซูนัก เป็นคนร่ำรวยมาก มีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 200 ล้านปอนด์ ภรรยา นางอักษตา มีทรัพย์สินมากกว่า 500 ล้านปอนด์ ซูนัก ผ่านมาหมดแล้วในการทำงานกับกลุ่มทุนนิยมของทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นโกลด์แมนแซคส์ (Goldman Sachs) และทำงานเป็นหุ้นส่วนในเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) เฮดจ์ฟันด์ ก็คือคนที่ซื้อหุ้น ปั่นหุ้น เล่นหุ้น หลังจากนั้นก็กลายเป็นผู้อำนวยการบริษัทการลงทุนคาตามารานเวนเจอร์ส (Catamaran Ventures) ซึ่งพ่อตาเป็นเจ้าของ

นายซูนัก เข้ามาเล่นการเมืองเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ได้เป็น ส.ส. เลย นายซูนัก เขาใช้งบประมาณช่วงที่มีโควิด-19 อย่างมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มูลค่าประมาณ 350,000 ล้านปอนด์ หรือราว 15 ล้านล้านบาท


ต่อมา นายซูนัก ลาออกจากรัฐบาลของนายบอริส จอห์นสัน เพราะความขัดแย้งในแนวทางการบริหารงานเศรษฐกิจ

จุดอ่อนของนายซูนัก คือภาพลักษณ์คนร่ำรวย จนถูกตั้งคำถามว่านักการเมืองระดับมหาเศรษฐีนี้จะเข้าใจหัวอกคนอังกฤษกับปัญหาค่าครองชีพแพง ไม่มีเงินพอจะซื้อพลังงานที่ประชาชนเผชิญอยู่อย่างมากน้อยแค่ไหน นอกจากนั้นแล้ว เขายังมีเมียที่เป็นทายาทมหาเศรษฐีชั้นนำของอินเดีย นายซูนัก เคยถูกโจมตีว่าปล่อยให้เมียอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายจ่ายภาษีเพียงนิดหน่อย จนนายซูนัก ต้องออกมาปกป้องภรรยาของตัวเอง

ผมเคยได้พูดทำนายในรายการนี้ไปแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 155 ตอนย่อยที่พาดหัวข่าวว่า "อังกฤษ จักรวรรดิที่กำลังจะล่มสลาย" เมื่อวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2565 ผมทำนายไปตอนนั้นว่า นางลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) จะอยู่ไม่นาน อังกฤษจะต้องมีผู้นำคนใหม่ นางลิซ ทรัสส์ ก็อยู่ได้ 45 วัน ต้องลาออก


ท่านผู้ชมครับ เรื่องของนายฤษี ซูนัก ที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผมจะขอทำนายไว้ตรงนี้ ท่านผู้ชมเขียนโน้ตแปะไว้ข้างฝาได้ เพื่อเตือนว่าผมพูดและทำนายไว้อย่างนี้

ก่อนที่จะพูดต่อ ผมอยากจะแนะนำเพจๆ หนึ่ง ท่านผู้ชมควรจะเข้าไปดู คือ Thanong fanclub คุณทนง ขันทอง ผมรู้จักดี รู้จักมานานแล้ว ถ้าจะเป็นมือวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศแล้ว อย่างจริงๆ จังๆ เลย หรือแม้กระทั่งในประเทศ คุณทนง ขันทอง เป็นกระบี่มือหนึ่ง จริงๆ แล้วผมมีคนวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่เก่งๆ หลายคน คุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่เขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ที่ใช้นามปากกาว่า "ทับทิมพญาไท" ก็เป็นอีกคนหนึ่ง อาจารย์ปฐมพงษ์ ซึ่งเป็นอาจารย์มหิดล สำนักบูรพาวิถี ก็เป็นอีกหนึ่งท่าน ข้อเขียนของคนพวกนี้เป็นข้อเขียนที่ตรงไปตรงมา แล้วก็ไม่ได้รับอิทธิพลจากสื่อทางตะวันตกมาครอบงำ เพราะว่าคนพวกนี้รู้เท่าถึงการณ์ของบทบาทสื่อตะวันตก


มีข้อเขียนชิ้นหนึ่งของคุณทนง เขียนวิเคราะห์เรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ผมจะเอาข้อเขียนของคุณทนง มาเล่าให้ฟังครับ คุณทนง เขียนว่า "อเมริกามีฮอลลีวูด อังกฤษก็มีโรงละครของเชคสเปียร์" ทั้งหมดที่เขียนมา คุณทนง อธิบายว่าการก้าวขึ้นมาของนายฤษี ซูนัก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การก้าวขึ้นมาของนายฤษี ซูนัก ซึ่งเป็นหนุ่มหล่อ ไฟแรง อายุแค่ 42 ปี เชื้อสายอินเดีย นับถือศาสนาฮินดู ไปวัดเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนาทุกสัปดาห์ ไม่ดื่มสุรา ทำให้คนมองว่าเป็นการพลิกรประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอังกฤษที่ได้ก้าวข้ามการกีดกันและเหยียดสีผิว และเชื้อชาติ ที่มีอยู่ในทุกสังคม นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าระบบอังกฤษเปิดกว้างให้ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะมีสถานภาพทางสังคมอย่างไร ต่างมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าสู่ถนนทางอำนาจทางการเมือง และสามารถก้าวขึ้นสู่การดำรงตำแหน่งสูงสุด เป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่เพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระมารดาในปีนี้

คุณทนง เขียนต่อไปว่า แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งลงไป จะเห็นได้ว่า นายฤษี ซูนัก ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เพราะว่าเขาถูกวางตัวมาแล้วตั้งแต่ต้น ยิ่งอังกฤษที่เป็นต้นแบบของบทละครคลาสสิกที่อยู่เหนือกาลเวลาของเชคสเปียร์แล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นความบังเอิญเกิดขึ้นได้โดยเด็ดขาดในอังกฤษ ที่สถาบันกษัตริย์ยังปกครองดูแลอังกฤษและเครือจักรภพอย่างใกล้ชิด ผ่านเครือข่ายของอัศวินโต๊ะกลมที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปี โดยมีระบบรัฐสภาที่พัฒนาขึ้นมาในรูปแบบเฉพาะบังหน้าอยู่ โดยเนื้อแท้แล้วอังกฤษยังคงเป็นจักรวรรดิที่สถาบันกษัตริย์ยังคงรักษาอำนาจได้ไม่เสื่อมคลาย แม้ว่ารูปแบบของอำนาจหรือการควบคุมอาจจะเปลี่ยนไปบ้างในการปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม โดยที่ยังสามารถปกครองได้โดยที่คนทั่วไปไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง


ท่านผู้ชมครับ คุณทนง บอกว่า ทำไมถึงต้องมีการวางพล็อตเพื่อให้นายฤษี ซูนัก ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่อังกฤษกำลังเผชิญกับความท้าทายและปัญหาที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจการเงินที่ตกต่ำ เงินเฟ้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เกิดวิกฤตพลังงาน โดยที่กว่าสองล้านครอบครัวในอังกฤษไม่สามารถจะจ่ายค่าไฟได้ ที่สำคัญที่สุด สงครามใหญ่ในยุโรปมีโอกาสเกิดขึ้นสูง โดยรัสเซียกำลังเล็งเป้าขีปนาวุธไปที่อังกฤษ เนื่องจากอังกฤษสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มกำลังในสงครามตัวแทน เพื่อทำลายรัสเซีย และเยอรมนี ไปพร้อมๆ กัน

อังกฤษคือหัวโจกของกลุ่มแองโกล-แซกซัน ที่ปูติน กล่าวว่าอยู่เบื้องหลังการบอมบ์ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 และ Nord Stream 2 เพื่อขจัดอำนาจการต่อรองของรัสเซียที่อยู่เหนือเยอรมนี และยุโรป ในการซัปพลายก๊าซธรรมชาติ กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นแล้ว รัสเซียยังมองกว่ากลุ่มแองโก-แซกซัน อยู่เบื้องหลังการระเบิดสะพานไครเมียที่เชื่อมกับรัสเซีย แม้ว่าในทางสาธารณะ รัสเซียจะกล่าวหาว่าฝ่ายความมั่นคงของยูเครนอยู่เบื้องหลังการระเบิดสะพานก็ตาม

การระเบิดสะพานไครเมีย ก็เพื่อจะยั่วยุให้รัสเซียออกอาวุธแรงขึ้น นาโต ที่มีสหรัฐฯ และอังกฤษ เป็นหัวหอก จะได้มีข้ออ้างเข้าร่วมวงในการทำสงครามกับรัสเซียอย่างพร้อมเพรียงกัน

สถานการณ์ที่ล่อแหลมระดับศึกกินเมืองเช่นนี้ของอังกฤษ ทำให้ต้องมีผู้นำระดับรัฐบุรุษอย่างนายวินสตัน เชอร์ชิล ที่นำพาอังกฤษผ่านช่วงเวลาอันตรายอย่างยิ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง และสามารถเป็นผู้ชนะสงครามได้


ด้วยเหตุนี้ การเปิดทางให้ นายฤษี ซูนัก ซึ่งคุณทนง บอกว่าเป็นนักการเมืองไก่อ่อน กระดูกยังเปราะบาง ประสบการณ์ยังน้อย ภาวะความเป็นผู้นำยังไม่ปรากฏ บารมียังไม่มี ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ประเด็นที่สำคัญคือ กลุ่มแองโกล-แซกซัน ต้องการจะใช้ชนผิวสีน้ำตาล (Brown People) คนอินเดีย ชนผิวสีน้ำตาล มาเป็นพันธมิตรในการเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ เผชิญหน้ากับรัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ และพันธมิตรกลุ่มความร่วมมือในเซี่ยงไฮ้


ท่านผู้ชมครับ จะชนะรัสเซีย กับจีนได้ อังกฤษต้องได้อินเดียมาเป็นพวก เพราะว่าอินเดียก็เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ มีประชากรพันกว่าล้านคน ถ้าอินเดียพลิกไปอยู่ขั้วไหน ขั้วนั้นก็มีสิทธิที่จะชนะ อย่างไรก็ตาม เราเคยพูดกันเล่นๆ ในประเทศไทยมายาวนาน (ขออนุญาต FC ผม หรือท่านผู้ชมที่เป็นคนอินเดียนะครับ) ว่า เจองู กับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน (ขออภัยท่านผู้ชมที่เป็นเชื้อชาติอินเดียนะครับ) เพราะที่ผ่านมาอินเดียดำเนินนโยบายเหยียบเรือสองแคมมาตลอด โดยคบหาสมาคมกับตะวันตกอย่างลึกซึ้ง และในเวลาเดียวกันก็มีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับรัสเซีย แม้ว่าจะไม่ถูกกับจีนก็ตาม มิหนำซ้ำอินเดียยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม SCO (SHANGHAI COOPERATION ORGANIZATION) กลุ่ม BRICS และยังไปเป็นสมาชิกกลุ่ม QUAD ที่สมาชิกที่มีอยู่คือ อเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย


ขณะที่ตะวันตกแบนรัสเซียจากเหตุการณ์สงครามในยูเครน อินเดียบอกว่าขอซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียด้วยเงินรูปี หรือรูเบิล ไม่สนใจการทัดทานหรือการทักท้วงจากอเมริกาและยุโรป เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ชัดว่า อินเดียพร้อมจะย้ายไปอยู่ฝั่งที่มีแนวโน้มว่าจะชนะศึกได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ ทั้งอังกฤษ อเมริกา รัสเซีย และจีน ก็ไม่สามารถจะวางใจอินเดียได้ แม้ว่าจะรับปากกันไปแล้วอย่างเป็นมั่นเหมาะ แต่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าอินเดียจะไม่แปรพักตร์เมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และสถานการณ์เปลี่ยนไป

เพราะฉะนั้นแล้ว การที่นายฤษี ซูนัก ขึ้นมาเป็นนายกฯ เท่ากับเป็นการใช้ Soft Power อย่างหนึ่งเพื่อซื้อใจคนอินเดีย เป็นการลงทุนที่คุ้มมาก ถูกมากแต่คุ้มมาก

ที่ผ่านมา กลุ่มแองโกล-แซกซัน ซื้อใจคนอินเดียมาตลอด ท่านผู้ชมรู้ไหม ในโลกนี้คนอินเดียก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งระดับสูงสุด CEO ของบริษัทชั้นนำในกลุ่มประเทศแองโกล-แซกซัน ได้มากมาย ท่านผู้ชมรู้ไหม ไม่ว่าจะเป็นคุณซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) แห่งอัลฟาเบท (Alphabet) หรือ กูเกิล (Google) สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) แห่งไมโครซอฟท์ (Microsoft) พารัก อัคราวาล (Parag Agrawal) แห่งทวิตเตอร์ (Twitter) ชานทานู่ นาราเยน (Shantanu Narayen) แห่ง Adobe อาร์วินด์ กฤษณะ (Arvind Krishna) แห่ง IBM


ขณะเดียวกัน แทบจะไม่มีผู้บริหารระดับ CEO จากจีนที่มีโอกาสเหมือนอย่างชาวอินเดีย แม้ว่าคนจีนอาจจะเก่งไม่แพ้คนอินเดีย อาจจะเป็นเพราะว่าภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารเป็นหลัก แต่อีกด้านหนึ่งก็คือการกีดกันทางด้านเชื้อชาติ

ยิ่งไปกว่านั้น สังคมอเมริกันผิวดำยิ่งมีการประท้วงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าคนผิวดำมีโอกาสน้อยมากที่จะไต่เต้าเข้าสู่ตำแหน่งบริหารสูงสุดของบริษัทอเมริกัน เนื่องจากถูกกีดกันเรื่องสีผิว

ทั้งหมดนี้ทำให้เรามองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากกลุ่มแองโกล-แซกซัน วางแผนมานานแล้วในการเปิดโอกาสด้านเศรษฐกิจและการงานให้คนอินเดียอย่างเต็มที่ เพื่อซื้อใจอินเดียทั้งประเทศ เพื่อให้คนอินเดียมองตะวันตกเป็นสวรรค์ที่พึ่งหรือเป็นมิตรที่จะช่วยสร้างความก้าวหน้าและความเจริญให้กับอินเดียที่ยังคงมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยอยู่

ท่านผู้ชมครับ คุณทนง บอกว่า ในขณะเดียวกัน สื่อตะวันตกสร้างภาพตลอดเวลาว่ารัสเซีย และจีน เป็นประเทศเผด็จการที่ล้าหลัง ไม่มีประชาธิปไตย เมื่อถึงเวลาจะเรียกหาพันธมิตรด้านการทหารจากอินเดียในการเผชิญหน้ากับรัสเซีย จีน ฝั่งตะวันตกคาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากคนอินเดียที่ถูกกล่อมให้หลงใหล และผลตอบแทนที่ฟู่ฟ่าในระบบตะวันตกที่หยิบยกมาเป็นเวลานาน แม้ว่าในอดีตอินเดียจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเป็นเวลาร่วมสองร้อยปี ทำให้สมัยนั้นอินเดียเคยเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก รองจากจีนเท่านั้น ก่อนมาถึงลัทธิล่าอาณานิคม กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก


ท่านผู้ชมครับ พล็อตที่ถูกวางเอาไว้ล่วงหน้า นี่คือบทละครเชคสเปียร์ที่ถูกวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของนายฤษี ซูนัก จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตที่วางเอาไว้นานแล้ว ในการซื้อใจคนอินเดียนับพันล้านคน เพื่อเตรียมศึกที่ใหญ่กว่าของกลุ่มแองโกล-แซกซัน เพื่อจะรักษาความเป็นมหาอำนาจในโลกแต่ผู้เดียวต่อไป ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ระหว่างอินเดีย จีน รัสเซีย คนอินเดียจะเป็นคนประเภทที่อ่อนน้อม ยอมให้ถูกปกครองง่ายกว่าคนจีน หรือคนรัสเซีย ก็เลยต้องวัดใจกันไปเลยว่าเมื่อเวลามาถึง นายนเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีอินเดีย จะเอาอย่างไร ถ้าฝั่งตะวันตก อังกฤษ อเมริกา มาเคาะประตูบ้านให้เลือกว่าจะอยู่ฝั่งตะวันตก หรือฝั่งตะวันออก


ท่านผู้ชมครับ ก่อนหน้านี้อเมริกาพยายามซื้อใจอินเดียแล้ว ทำอย่างไร ? ประเคนตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ นางกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ที่มีแม่เป็นคนอินเดีย พ่อเป็นคนอเมริกันผิวดำ


ทั้งๆ ที่ตลอดเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่า นางแฮร์ริส ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด และวุฒิสมาชิกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย โง่ ขาดความรู้ความสามารถ และความเจนจัดที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา

ก่อนที่จะให้นายฤษี ซูนัก ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องถอดนายหัวยุ่ง บอริส จอห์นสัน ออกจากตำแหน่ง แล้วเอานางลิซ ทรัสส์ เข้ามาขัดตาทัพชั่วคราว เข้ามาทำไม ? คุณทนง บอกว่า เข้ามาเพื่อสร้างวิกฤตทางการเมืองของอังกฤษให้ดูสมบทบาท นายฤษี ซูนัก จะได้สวมบทบาทพระเอกขี่ม้าขาวมาแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งกอบกู้พรรคอนุรักษ์นิยม และประเทศอังกฤษที่มีความแตกแยก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า อังกฤษแท้ที่จริงแล้วมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคงมาก เพราะว่ามีสถาบันกษัตริย์ดูแลอยู่ ทั้งนี้ทั้งนี้ ตามพล็อตละครการเมืองของอังกฤษ ไอ้หัวยุ่ง บอริส จอห์นสัน ต้องเสียสละลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ไปก่อน เนื่องจากมีเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่อง โดยจอห์นสัน ซึ่งนับว่าเป็นนายกฯ ลูกหม้ออังกฤษตัวจริงเสียงจริง เพราะว่า หนึ่ง ทำให้อังกฤษออกจาก เบร็กซิท (Brexit) จากสมาชิกยุโรป จะได้ลอยแพเยอรมนี กับยุโรป ให้ติดร่างแหจมลงทะเล และหวังว่าจะลากรัสเซียลงไปด้วย อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนยูเครนให้เร่งทำสงครามในดอนบาส อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า อังกฤษพยายามแทรกซึมอยู่ในยูเครนได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ ปูติน ต้องสั่งบุกยูเครน ทำให้ราคาพลังงานโลกสูงขึ้น แม้ว่ายูเครนจะต้องการเจรจาสงบศึกกับรัสเซีย แต่ บอริส จอห์นสัน ขัดขวาง เพราะต้องการให้รัสเซียติดหล่มในสงคราม ไม่คำนึงถึงความย่อยยับของยูเครน และความเสี่ยงต่อสงครามใหญ่ในยุโรป


ท่านผู้ชมครับ นางลิซ ทรัสส์ เป็นนักการเมืองหญิงที่มีอารมณ์ร้ายเหมือนแม่มด ถูกวางตัวให้ขึ้นมาเป็นนายกฯ แทนนายบอริส จอห์นสัน เธอดีใจมากที่ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับอังกฤษด้วยการท้าดวลอาวุธนิวเคลียร์กับ ปูติน เธอหารู้ไม่ว่าเธอถูกวางตัวให้มาขัดตาทัพเท่านั้นเอง

ท่านผู้ชมครับ การที่นายควาซี กวาร์เต็ง (Kwasi Kwarteng) นำเสนองบประมาณมินิที่ลดภาษีคนรวย ทำให้ต้องขาดดุลมหาศาล โดยไม่มีแผนที่ชัดเจน ทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนมาก มีการเทขายทั้งพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ เงินปอนด์ ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งเกินไปกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ กองทุนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนบำนาญ ขาดทุนฉิบหายวายป่วงไปหมด เละเทะ จากการที่ราคาพันธบัตรตกต่ำจนแทบจะล้มละลาย และทำให้เงินปอนด์ถูกถล่มแหลกราญ

และนี่สำคัญมาก ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษมีข้ออ้างในการกลับมาทำ QE (Quantitative Easing) คือพิมพ์เงินออกมาเยอะๆ เลย เพื่อมาซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อกอบกู้สถาบันการเงิน ทั้งๆ ที่กำลังทำ QT (Quantitative Tightening) อยู่ คือขายพันธบัตรออก เพื่อดูดเงินเข้ามาจากระบบ ตอนนี้กลายเป็นมาซื้อพันธบัตรแทนที่จะขายออก พร้อมกับขึ้นดอกเบี้ย


ผลที่ตามมา คือ นางทรัสส์ หมดเครดิต หมดความน่าเชื่อถือ เจอแรงกดดันที่ต้องลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้นายฤษี ซูนัก ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ตามพล็อตของละครเชคสเปียร์ที่วางเอาไว้

ท่านผู้ชมครับ ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย คือ นายฤษี ซูนัก ไม่ได้เป็นลูกหม้ออังกฤษตัวจริง เพราะถ้าเปรียบมวยแล้ว วลาดิมีร์ ปูติน อายุ 70 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง 69 หรือนายโจ ไบเดน 79 เมื่อเทียบพรรษาทางการเมืองและความเจนจัดในการเมืองระหว่างประเทศแล้ว เป็นคนละรุ่น กระดูกคนละเบอร์ นายฤษี ซูนัก เป็นได้แค่รุ่นลูกของระดับผู้นำประเทศมหาอำนาจเท่านั้น ไม่มีทางเทียบชั้นไปต่อรองกับผู้นำโลกที่เป็นคู่ปรับหรือพันธมิตรอังกฤษได้เลย

เห็นได้ชัด ในสุนทรพจน์ที่เขากล่าวในวาระการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายฤษี ซูนัก พูดแต่เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตพลังงาน หรือปัญหาภายในประเทศ เพิ่งจะมากำหนดท่าทีอังกฤษในยูเครน คือโทรศัพท์ไปหานายเซเลนสกี แล้วรับปากว่าจะสนับสนุนนายเซเลนสกี เหมือนเดิมโดยไม่บกพร่อง


ท่านผู้ชมครับ อังกฤษในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องการผู้นำระดับน้องๆ รัฐบุรุษ อย่างนายวินสตัน เชอร์ชิล ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ใช่นักการเมืองกระดูกอ่อนอย่างนายฤษี ซูนัก เป็น ส.ส. มาได้แค่ 7 ปีเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ผมจะทำนายหลังจากอ่านเรื่องราวของคุณทนง ขันทอง แล้ว สถานการณ์ทางการเมืองในอังกฤษ โลกตะวันตก ทั้งในยุโรป และอเมริกา จะตกอยู่ในวังวนของวิกฤตและความขัดแย้งไปอีกยาวนาน การที่อังกฤษได้นายซูนัก ชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุด เป็นคนที่สามในระยะเวลาแค่ 2 เดือนนั้น อาจจะยังไม่ใช่คนสุดท้ายเสียด้วยซ้ำ นายซูนัก ไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้นาน หลังจากทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอังกฤษ กับ อินเดีย ได้แล้ว ภรรยาของนายซูนัก เป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ อินโฟซิส สามารถเป็นตัวเชื่อมโยงภาคธุรกิจของอินเดียที่มีอยู่ อินเดียมีธุรกิจสิบกว่าตระกูลที่ควบคุมอยู่ ให้กดดันรัฐบาลอินเดียให้เลือกข้างมาอยู่ฝั่งตะวันตกได้

หลังจากที่นายฤษี ซูนัก ทำหน้าที่ของตัวเองและหมดประโยชน์แล้ว ในที่สุดอังกฤษก็จะได้นายกรัฐมนตรีลูกหม้อตัวจริง ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ระหว่างเซอร์ เคียร์ ร็อดนีย์ สตาร์เมอร์ (Sir Keir Rodney Starmer) หัวหน้าฝ่ายค้านในสภาฯ และผู้นำแรงงาน คือ นายบอริส จอห์นสัน ซึ่งอาจจะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษอีกครั้งก็ได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูด สถานการณ์การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Racism นั้น ยังคงมีความรุนแรง และหยั่งรากลึกลง ยากจะแก้ไข อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังหลายครั้งหลายตอนว่าอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ท่านผู้ชมคิดดูว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน อังกฤษยึดประเทศอินเดียไปกว่าสองร้อยปี ฆ่าคนอินเดียไปเป็นเบือ นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นประเทศเดียวซึ่งได้รับการขนานนามว่า "อัญมณีในมงกุฎจักรวรรดิอังกฤษ" ทรัพย์สินที่อังกฤษปล้นชิงไปจากอินเดียมีมูลค่ากว่า 45 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 1,600 ล้านล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ ผมจะย้ำอีกที ทรัพย์สินที่อังกฤษปล้นไปจากอินเดีย มูลค่า 45 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 1,600 ล้านล้านบาท มากมายมหาศาลขนาดไหน เทียบ GDP ของอังกฤษปัจจุบันอยู่เพียงแค่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เท่านั้นเอง ห่างกันสิบห้าเท่า

แต่วันนี้ลูกหลานของชาวอินเดีย ที่ฝรั่งเรียกว่า "ผิวสีน้ำตาล" อย่างนายฤษี ซูนัก กลับกลายเป็นผู้นำผิวสีคนแรก และปกครองฝรั่งผิวขาว ท่านผู้ชมคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ? ผมฟันธงไว้ที่นี่เลยครับ นายซูนัก จะโชว์ออฟอย่างเต็มที่


เขาจะต้องแสดงตน พิสูจน์ตัวเอง ว่าเขาคือผู้ดีอังกฤษมากกว่าคนอังกฤษผิวขาวแท้ๆ เสียอีก เขาต้องทำอย่างนี้แน่นอน ซึ่งน่าสนใจมาก ถ้าอังกฤษเกิดมีข้อข้ดแย้งหรือความขุ่นข้องหมองใจกับประเทศบรรพบุรุษและประเทศบ้านเกิดของภรรยา นายซูนัก จะวางตัวและกำหนดท่าทีของตัวเองได้อย่างไรเมื่อเวลานั้นมาถึง แต่ผมก็ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งครับ อินเดียวันนี้ไม่ใช่อินเดียในอดีต อินเดียวันนี้คือประเทศที่ฉกฉวยประโยชน์ ใครให้ประโยชน์มาก อินเดียยืนข้างนั้น สังเกตจากท่าทีของนายโมดิ

อังกฤษไม่มีอะไรจะออฟเฟอร์อินเดียได้ แต่รัสเซียมีพลังงานออฟเฟอร์ให้ได้ ถึงแม้ยังไม่นับจีนก็ตาม พลังงานราคาถูกเป็นหัวใจของอินเดีย เพราะว่าพลังงานถ้าราคาสูง เงินรูปีจะร่วงหล่นไปทันที แล้วเศรษฐกิจอินเดียจะวุ่นวายไปหมด ผมคิดว่า นายซูนัก จะเป็นสะพานเชื่อม ดึงเอาอินเดียมาอยู่ข้างตะวันตก พูดนั้นพูดได้ แต่อาจจะทำลำบากมากกว่าที่พูด

ท่านผู้ชมครับ นี่คือบทวิเคราะห์ของคุณทนง ขันทอง และตัวผม ในเรื่องเกี่ยวกับ นายฤษี ซูนัก ครับ


ท่านผู้ชมครับ ถึงแม้การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ครั้งที่ 20 เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2565 ได้จบไปแล้ว แต่มันก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ยังคงเป็นดรามาอยู่ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังวันนี้ เรื่องที่ดรามา คือ มีภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งปรากฏภาพของ นายหู จิ่นเทา อดีตประธานาธิบดีจีน หรือผู้นำรุ่นที่สี่ ถูกประคองแขนพาออกจากเวทีประชุมสมัชชาใหญ่ของจีน ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องนี้เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง แต่ไหนๆ ก็จะมาพูดเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วผมเคยพูดเรื่องผู้นำรุ่นที่หนึ่ง รุ่นที่สอง รุ่นที่สาม รุ่นที่สี่ รุ่นที่ห้า ผมจะถือโอกาสเอาข้อมูลและความรู้ที่ผมมีอยู่แต่ดั้งเดิม และหาเพิ่มเติมมาอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง ท่านผู้ชมจะได้รับทราบภาพรวมจริงๆ ของระบบการเมืองจีน และความแตกต่างระหว่างผู้นำรุ่นที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ว่าเป็นอย่างไร


แล้วเผอิญเรื่องของ หู จิ่นเทา อดีตประธานาธิบดี ผู้นำรุ่นที่สี่ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังถูกกล่าวขวัญกันอย่างมาก ก็เลยจะเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขาทั้งสองมาพูดให้ท่านผู้ชมฟัง ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจการเมืองเมืองจีนแบบเรียกว่า วันนี้ฟังเรื่องนี้แล้ว เท่ากับว่าท่านผู้ชมได้มองป่าทั้งป่า แทนที่จะมองต้นไม้ต้นเดียว

เรื่องที่อดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ถูกประคองออกมา หรือดึงตัวออกมาจากที่ประชุมนั้น ผมได้ศึกษาข้อมูล ดูคลิป พูดคุยกับคนในแวดวงทั้งคนไทย คนจีน รวมทั้งแหล่งข่าวเชิงลึกต่างๆ เช็กอย่างละเอียด ตลอดจนเช็กไปจนถึงผู้สื่อข่าวของผม คุณท็อป ซึ่งเข้าไปรายงานข่าวครั้งนี้ด้วย


ท่านผู้ชมครับ ประการแรก เราต้องทำความเข้าใจสักนิดหนึ่งว่าสื่อทางตะวันตก และสื่อที่โปรตะวันตก จากหลายสำนัก พยายามคาดคะเนและตั้งข้อสมมติฐานว่า การที่ท่านอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ต้องเดินออกจากที่ประชุมนั้น มันมีเหตุผล 2 ประการ (นี่คือสื่อตะวันตก และสื่อที่โปรตะวันตกนะครับ) ประการแรก เป็นความจงใจของ สี จิ้นผิง เพื่อที่จะสื่อเชิงสัญลักษณ์ว่าผู้นำที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยเก่า ได้ถูกนำตัวออกจากเวทีทางการเมืองจีน สอง ก็ยังคาดคะเนว่า นายหู อาจจะมีปัญหาสุขภาพรุนแรง แต่ก็ตั้งข้อสงสัยตามสไตล์ของสื่อตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องนี้ถูกเอามาเปิดเผยโดยสื่อที่เป็นสื่อลวงโลกอันดับหนึ่งของโลก คือ BBC ว่า ถ้าเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ ทำไมถึงเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนต่อหน้ากล้อง


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวทุกชาติ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองต่างๆ แม้แต่ผู้สื่อข่าวของผมที่อยู่ที่ปักกิ่ง ก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดแบบนี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านผู้ชมครับ ผมเคยสอนลูกศิษย์ลูกหา ลูกน้อง นักข่าวรุ่นหลัง รวมถึงกล่าวหลายครั้งหลายคราวในรายการนี้ ว่า กรณีข่าวจากสื่อตะวันตก BBC, CNN รวมทั้งสื่อตะวันตกชื่อดังทั้งหลาย หากรายงานเรื่องเกี่ยวกับการเมืองภายในของจีน ให้ตั้งตัวหารไว้หลายๆ ชั้น เพราะว่าพวกนี้มีวาระซ่อนเร้น มีธง มีอคติ แต่งำประกายด้วยการใช้ชั้นเชิง การนำเสนอ การวิเคราะห์ที่แพรวพราว เนื่องจากพวกนี้มีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษในการวิเคราะห์ข่าวให้ผู้ติดตามสื่อเข้าใจไขว้เขว หรือสับสนกับข้อเท็จจริง

ท่านผู้ชมเชื่อไหม บางครั้ง เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องตลกร้าย ผมขอพูดที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับจีนสักเรื่องนะครับ ท่านผู้ชมเห็นไหมว่าอเมริกา หรือทางตะวันตก อังกฤษ กล่าวโจมตีคนมุสลิม กล่าวโจมตีซินเจียง ชนชาติอุยกูร์ ซึ่งเป็นคนมุสิลม ว่าประเทศจีนนั้นกดขี่ข่มเหง ที่ผมบอกว่าตลกร้าย เป็นตลกร้ายตรงไหน ? รู้ไหมท่านผู้ชม คือว่าทางตะวันตก อังกฤษ อเมริกา หรือนาโต เป็นตัวการเลยฆ่าคนมุสลิมในอัฟกานิสถาน ฆ่าคนมุสลิมในซีเรีย ฆ่าคนมุสลิมในเลบานอน ฆ่าคนมุสลิมในอิรัก ตายเป็นแสนๆ เป็นล้านๆ คน ในช่วงสงครามอ่าวนั้น อเมริกาปิดกั้นอิรัก ทำให้คนมุสลิม เด็กชาวมุสลิม ตายไปห้าแสนคน จากการที่ไม่มีอาหารทาน หรือนม หรือยารักษาโรค แม้กระทั่ง นางแมเดลิน อัลไบรต์ ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในยุคนั้น ยังพูดเลยว่า เด็กตายไปห้าแสนคน อย่างไรก็คุ้มค่า ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ

คุณฆ่าคนมุสลิม ฆ่าเด็กไปเป็นล้านๆ คน แต่อีกด้านหนึ่งคุณมาทำเห็นอกเห็นใจชาวอุยกูร์ ที่กล่าวหาว่าจีนกดขี่ข่มเหงชาวอุยกูร์ ท่านผู้ชมว่ามันเป็นตลกร้ายไหม นี่คือความตอหลดตอแหลของทางตะวันตก แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าสื่อตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น BBC ไม่ว่าจะเป็น CNN ไม่ว่าจะเป็นเจ้าไหน ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย พอจับประเด็นเรื่องซินเจียงขึ้นมา ก็มาโจมตีโน่นนี่นั่น แต่ทีฝั่งตัวเองไปทำร้าย ทำลาย และฆ่าคนมุสลิมทั่วโลกตายเป็นล้านคน ไม่เคยพูดเลยแม้แต่นิดเดียว อิสราเอลฆ่าชาวปาเลสไตน์ตายไปเท่าไร ก็ไม่เคยพูด เห็นไหมท่านผู้ชม นี่คือความหน้าไหว้หลังหลอกของสื่อตะวันตก และผมขอเตือนท่านผู้ชมว่าอย่าไปเชื่อข่าว BBC เลย BBC นี่ตัวร้าย แล้วก็ส่งผลไม้ที่มีพิษร้ายมายัง BBC ไทย เช่นกัน เหมือนกัน ผมเลิกดูแล้วสำนักข่าวขยะนี่

หู จิ่นเทา
เอาล่ะ กลับมาเรื่องนี้ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และลำดับเหตุการณ์ทางการเมืองเสียก่อนว่า หู จิ่นเทา เป็นผู้นำจีนรุ่นที่สี่ ต่อจาก เจียง เจ๋อหมิน เขาเป็นผู้นำในช่วงปี 2546-2556 (ค.ศ. 2003-2013) สิบปี ในข้อเท็จจริงแล้ว หู จิ่นเทา กับ สี จิ้นผิง คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผูนำรุ่นที่ห้า เขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก สี จิ้นผิง เป็นเพื่อนรุ่นน้องของ หู จิ่นเทา พูดคุยกันรู้เรื่อง เขาเป็นคนดี คนรักชาติ แล้วในการชิงตำแหน่งผู้นำรุ่นที่ห้านั้น หู จิ่นเทา เป็นคนสนับสนุนให้ สี จิ้นผิง ขึ้นมา ในขณะที่ผู้มีอำนาจในรัฐตอนนั้นคือทีมของ เจียง เจ๋อหมิน จะไม่เอา สี จิ้นผิง แต่ หู จิ่นเทา ยืนยันผลักดัน สี จิ้นผิง ขึ้นมา


ทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นอย่างไร ? ประธานเหมา เป็นผู้นำรุ่นที่หนึ่ง พอประธานเหมา เสียชีวิต ก็คือ เติ้่ง เสี่ยวผิง เป็นผู้นำรุ่นที่สอง


 ซึ่ง เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นคนที่เปิดประเทศ ไม่เน้นสังคมนิยมที่จัดๆ ยืนยันว่า แมวดำ หรือแมวขาว ถ้าจับหนูได้ ถือว่าใช้ได้ ก็คือว่า จะใช้ระบบอะไรก็ตาม ถ้าทำงานได้ผล ประเทศจีนรับได้ แล้ว เติ้ง เสี่ยวผิง เหมือนกับเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาว ฉลาด ลึกล้ำ เขามองบรรดาผู้นำรุ่นต่อไปรองจากเขา และรุ่นหนุ่ม เขามองออกเลยว่าคนที่จะนำพาประเทศจีนต่อไปจากตัวเขา เพราะจีนเพิ่งเปิดประเทศ หนีไม่พ้น เจียง เจ๋อหมิน คือผู้นำรุ่นที่สาม

เจียง เจ๋อหมิน
ทำไมถึงต้องเป็น เจียง เจ๋อหมิน เพราะว่า เจียง เจ๋อหมิน เป็นเทคโนแครต เป็นผู้จัดการโรงงาน และเป็นคนที่ทำงาน บริหารงานโรงงานได้เก่งมาก มีชื่อมีเสียงมาก เขาเหมาะที่จะเข้ามาดูแลประเทศจีน เพื่อสร้างฐานอุตสาหกรรมให้ประเทศจีนในการผลิตสินค้าและค้าขายข้างนอก เนื่องจาก เจียง เจ๋อหมิน มีความชำนาญทางด้านนี้

แล้วผู้นำรุ่นที่สี่ก็วางตัวไว้แล้ว ว่าต้องเป็น หู จิ่นเทา แล้วก็วางตัวถึงรุ่นที่ห้า ก็คือ สี จิ้นผิง

ทั้งหมดนี้เพราะว่า เติ้ง เสี่ยวผิง คาดเดาอนาคตไว้ล่วงหน้าอย่างคร่าวๆ ว่า เขาคิดของเขาเองว่าขั้นตอนการพัฒนาประเทศจีนในช่วง 20-30 ปีหลังจากเขาเสียชีวิต อะไรน่าจะเกิดขึ้น เขาเลยต้องกำหนดคุณสมบัติของผู้นำเอาไว้คร่าวๆ เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

ท่านผู้ชมครับ เรากลับมาที่ หู จิ่นเทา หน่อย พอหมดผู้นำรุ่นที่สอง (เติ้ง เสี่ยวผิง) เจียง เจ๋อหมิน ก็ขึ้นมา เจียง เจ๋อหมิน อยู่ได้สิบปี ถึงเวลาที่จะต้องเลือกผู้นำรุ่นที่สาม ก็กลายเป็น หู จิ่นเทา

หู จิ่นเทา - เจียง เจ๋อหมิน
เจียง เจ๋อหมิน มีความหวงแหนในอำนาจมาก เพราะ เจียง เจ๋อหมิน เป็นคนเซี่ยงไฮ้ เขาใหญ่ขึ้นมาได้เพราะว่าเขามีแก๊งพวกเซี่ยงไฮ้ ซึ่งภาษาจีนเขาเรียกว่า ซั่งไห่ปัง คือแก๊งเซี่ยงไฮ้ ไม่ใช่แก๊งมาเฟียนะ คือเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองท่าเก่าของจีน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ไม่ได้มีความสำคัญเท่าเมืองอื่นแล้ว อย่างเช่น หนิงโป ซึ่งเป็นเมืองท่าใหม่ อยู่ในมณฑลเจ้อเจียง แก๊งเซี่ยงไฮ้ คือคนที่ทำธุรกิจ คือคนในเซี่ยงไฮ้ค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางตะวันตก ชอบนโยบายทางตะวันตก คือพูดง่ายๆ ว่าแก๊งเซี่ยงไฮ้ ก็คือสาขาหนึ่งของพวกวอลล์สตรีท หรือเมืองอย่าง City of London ศูนย์กลางการเงินของจีน

เพราะฉะนั้นแล้ว เจียง เจ๋อหมิน ก็เลยเน้นไปทางด้านตะวันตกมาก เมื่อเน้นด้านตะวันตก ก็มีการสานสัมพันธ์กับทางตะวันตกอย่างลึกซึ้่ง ทำให้กลุ่มของ เจียง เจ๋อหมิน เริ่มมีผลประโยชน์เข้ามา เพราะประเทศจีนใหญ่มาก ผลประโยชน์แตะไปตรงไหนก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด กลุ่มของ เจียง เจ๋อหมิน ก็เลยเป็นกลุ่มที่สร้างความร่ำรวยขึ้นมา จากความสัมพันธ์ที่จีนเปิดขึ้นมา แล้วก็มีปฏิสัมพันธ์กับทางตะวันตก

คือพูดง่ายๆ ว่า ยุคของ เจียง เจ๋อหมิน คือยุคของการกอบโกยผลประโยชน์ รายได้จากการที่จีนเปิดประเทศ แล้วก็ใส่เกียร์ 5 เดินหน้าเต็มที่

ทีนี้ พอหมดยุค เจียง เจ๋อหมิน แล้ว จำเป็นต้องเลือก หู จิ่นเทา ทำไม ? เพราะตอนที่ เจียง เจ๋อหมิน เข้ามาบริหารประเทศ เป็นผู้นำรุ่นที่สาม เจียง เจ๋อหมิน สนใจในเรื่องของการพัฒนาประเทศ อุตสาหกรรมอย่างเดียว เขาไม่สนใจในเรื่องความยากจนของคนจีนเลย หู จิ่นเทา เป็นคนเรียบร้อย เป็นคนที่เคยผ่านประสบการณ์งานในมณฑลที่ยากไร้มาแล้ว มณฑลที่จน ไม่ว่าจะเป็นฝูเจี้ยน หรือแม้กระทั่งทิเบต เพราะฉะนั้น หู จิ่นเทา จึงเป็นผู้นำรุ่นที่สี่ ที่สามารถจะเข้าใจปัญหาจากการเปิดประเทศแล้วทำให้คนจนที่อยู่ในประเทศจีนมีมากมาย ต้องลำบากจากพิษการเปิดประเทศ

แต่ หู จิ่นเทา ขึ้นมาแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับอำนาจเดิม คือกลุ่ม เจียง เจ๋อหมิน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า หู จิ่นเทา ได้รับเลือกเป็นผู้นำรุ่นที่สี่มาแล้ว ขนาดได้รับเลือกแล้ว ท่านอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ผู้นำรุ่นที่สาม ยังไม่ยอมสละตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหาร ประธานกรรมาธิการทหาร คืออะไร ? ก็คือคนคุมทหารจีนทั้งหมดเลย ต้องอยู่เป็นปี ถึงที่สุดจึงยอมลาออก

หู จิ่นเทา มีลักษณะประนีประนอม พยายามประสานผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ประคับประคองสถานการณ์เอาไว้ เพื่อให้จีนเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ได้ไปหักหน้าใคร ไม่ได้ไปแตะต้องผลประโยชน์คนรุ่นเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลประโยชน์ของแก๊งเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนำโดยผู้นำรุ่นที่สาม คือ เจียง เจ๋อหมิน

(ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอารูปของ เจียง เจ๋อหมิน กับ หู จิ่นเทา และในขณะเดียวกัน ตำแหน่งนั้น สี จิ้นผิง เป็นรองประธานาธิบดี เดินผ่านด้านหลัง)


ท่านผู้ชมครับ ถ้า เหมา เจ๋อตุง ผู้นำรุ่นที่หนึ่ง เป็นผู้นำที่สร้างชาติ เป็นผู้สร้างรัฐจีนใหม่ ก็ต้องบอกว่า เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นผู้นำรุ่นที่สอง เป็นนักปฏิรูปที่เปิดประเทศจีนอีกครั้ง วางรากฐานให้ประเทศจีนเดินไปสู่ระบบสมัยใหม่ ไม่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์สังคมนิยมที่เคร่งครัดหรือขมึงตึงจนเกินไป


มาถึง เจียง เจ๋อหมิน ผู้นำรุ่นที่สาม ซึ่งเป็นผู้ที่สานต่อนโยบายสังคมนิยม ประสานกับทุนนิยม ที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกัน โดยมีฐานอำนาจทางการเงิน เศรษฐกิจ อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ทำให้ดูเหมือนว่า เจียง เจ๋อหมิน จะให้น้ำหนักทุนนิยมที่เชื่อมโยงกับทุนนิยมตะวันตกเป็นพิเศษ หู จิ่นเทา ซึ่งเข้ามารับหน้าที่ต่อจาก เจียง เจ๋อหมิน ได้เข้ามาประคับประคองสถานการณ์ รักษาการเจริญเติบโตของจีนอยู่เหมือนเดิม ให้ก้าวหน้า แล้วไม่ไปยุ่งกับขั้วอำนาจเก่าๆ เคยมีผลประโยชน์ตรงไหน ก็ปล่อยทิ้งไป เขาต้องการรักษาเนื้อรักษาตัว เพื่อไม่ให้จีนนั้นเผชิญหน้ากับตะวันตก เพราะจีนยังไม่พร้อม ไม่ว่าจะทางด้านการเงิน เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร


ในยุคนั้น บารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของอเมริกา เป็นคนแรกที่เริ่มมองจีนว่าต่อไปจะเป็นภัยต่ออำนาจการนำโลกแบบขั้วเดียวของอเมริกา เนื่องจากจีนมีฐานผลิตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดเศรษฐกิจของจีนนั้นจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในอีก 15 ปี ทำให้เงินหยวนผงาดขึ้นมาบดบังรัศมีของดอลลาร์


ท่านผู้ชมครับ ต้องยอมรับว่า GDP ต่อหัว ก็คือคิดถึงอำนาจในการซื้อของ ที่เขาเรียกว่า PPP เขาเรียกว่า Purchasing-Power Parity ของจีนนั้น แซงหน้าอเมริกามา 5-6 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2559 จีนนั้น ในการจับจ่ายใช้สอยแล้ว เหนือกว่าอเมริกามาตั้ง 5-6 ปีแล้ว และมีการคาดการณ์ว่า ในช่วงทศวรรษที่ 2030 ภายในช่วงสิบปีข้างหน้า ผลผลิตมวลรวม GDP ของจีน จะแซงอเมริกาขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง หลังจากเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจถดถอย ราคาพลังงานสูงขึ้น คงไม่ต้องรอถึงสิบปีหรอก ผมคิดว่าไม่เกินห้าปีนี้ เศรษฐกิจจีนจะขึ้นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน


ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่าผมเคยพูดหลายครั้ง ว่า การช่วงชิงการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกนั้น สำหรับอเมริกาแล้ว เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะคนอเมริกันตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา หรือประมาณ 70-80 ปีที่ผ่านมา มีระบบเศรษฐกิจที่เป็นเสาหลักและใหญ่โตที่สุดในโลก

เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ เรามาดู สี จิ้นผิง กันหน่อย จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยได้พูดถึง สี จิ้นผิง อย่างลึกซึ้งเท่าไรนัก แต่วันนี้จะพูดอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง ไหนๆ จะเอาป่าทั้งป่าของประเทศจีนมาให้ดูแล้ว

ภาพทั้งภาพต่างๆ ได้ปรากฏเด่นชัดมากขึ้น เมื่อ สี จิ้นผิง ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำจีนในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ท่านผู้ชมครับ หนีไม่พ้น เมื่อ สี จิ้นผิง ขึ้นมาแล้ว จังหวะเวลานั้น ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่จีนจะต้องเผชิญหน้ากับอเมริกาอย่างเข้มข้น และอาจจะถึงขั้นทำสงครามกัน ดูสิครับ พัฒนามาจนวันนี้แล้ว มีความเชื่อในคนอยู่เยอะเลยว่า สักวันหนึ่งจีนกับอเมริกาจะต้องรบกัน เพราะอเมริกาจะไม่มีวันยอมให้ชาติจีน ซึ่งเขาถือว่าเป็นลูกไล่และคู่ปรับของตัวเองในศตวรรษที่ผ่านมา และไม่ยอมให้จีน เยอรมนี รัสเซีย อิหร่าน เข้มแข็งเป็นอันขาด ถึงแม้จะต้องก่อศึกหลายด้านในเวลาเดียวกัน เขาก็ยอม เพราะอะไร ? ถ้าสี่ประเทศนี้ จีน เยอรมนี อิหร่าน รัสเซีย จับมือกันอย่างเหนียวแน่น อำนาจของกลุ่มแองโกล-แซกซัน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย หรือประเทศในยุโรปที่เป็นคนผิวขาว ที่เคยครองโลกมาหลายร้อยปี ต่อเนื่องจากสมัยล่าอาณานิคม จะต้องหมดไป


แต่ท่านผู้ชมครับ สี จิ้นผิง มีปัญหา ห้าปีแรกที่เขาขึ้นมา สี จิ้นผิง เป็นคนที่มองทุกอย่างตามความเป็นจริง เขามองว่าการที่เขาจะนำจีนต่อไปเพื่อที่จะไปสู้กับประเทศอย่างอเมริกา เพื่อไม่ให้จีนโดนรังแก หรือโดนกดดัน หรือโดนบีบบังคับ ปัญหาใหญ่ที่สุด เขาต้องจัดการเรื่องภายในประเทศให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาต้องสยบคลื่นลมภายในให้ราบคาบเสียก่อน เพราะเขารู้ดีว่าเขาจะออกไปสู้กับพวกกลุ่มแองโกล-แซกซัน อเมริกัน ไม่ได้เลย ถ้าการเมืองภายในจีนไม่มีเอกภาพ

ท่านผู้ชมครับ เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนเอง ตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ 100 ปี ย่อมมีกลุ่มผลประโยชน์แย่งชิงอำนาจกัน มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพรรคพวก ซึ่งความไร้เสถียรภาพของการเมืองภายในจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศในภาพรวม ในขณะที่ สี จิ้นผิง มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ท้าทายยิ่งกว่าการดูแลประชาชนจีน 1,400 ล้านคน ให้กินดีอยู่ดี ผลักดันให้จีนมีความเจริญก้าวหน้า หรือเป็นมหาอำนาจในโลก ในศตวรรษที่ 21


ถ้าใครก็ตามติดตามการเมืองจีนมาตลอดเหมือนอย่างที่ผมติดตาม ถ้าท่านมองย้อนหลังกลับไปสมัย หู จิ่นเทา เราจะไม่เคยได้ยินข่าวถึงการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ ไม่เคย แม้ว่าอาจจะมีการเอาผิดผู้กระทำความผิดบ้าง แต่ว่ายุค หู จิ่นเทา ไม่เคยจัดการกับปลาตัวใหญ่ หรือไม่มีการล้างบางกลุ่มอิทธิพล เนื่องจาก หู จิ่นเทา เป็นคนรักษาเนื้อรักษาตัวนั่นเอง ไม่ต้องการไปแตกหักกับกลุ่มอำนาจเดิมที่ฝังลึกมาตั้งแต่สมัย เจียง เจ๋อหมิน

ท่านผู้ชมครับ ความไร้เอกภาพและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันภายในจีน ทำให้เกิดมีความเสี่ยงว่าจีนจะล่มสลายเหมือนประเทศประเทศประชาธิปไตย หรือเผด็จการทั่วๆ ไป ที่มีนายทุนนอก นายทุนใน บงการอยู่เบื้องหลัง แล้วจีนก็จะไปไม่ถึงดวงดาวที่ฝันไว้ ถ้าปล่อยให้การเมืองภายในมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีกลุ่มอิทธิพลที่อยู่เหนือรัฐบาล หรืออยู่เหนือแม้กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้ว่าภาพภายนอกจะดูว่าจีนจะรวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์รวม อยู่ที่ผู้นำ หรือการเมืองภายในไม่มีการแตกแยกก็ตาม

ทีนี้ พอ สี จิ้นผิง ขึ้นมามีอำนาจ สี จิ้นผิง มีทางเลือกสองทาง หนึ่ง ทำแบบ หู จิ่นเทา คือประนีประนอมกับพวกอำนาจเดิม อยู่ๆ กันไป แบ่งผลประโยชน์กันให้ลงตัว เขตใครเขตมัน หรือสอง เนื่องจากเขาต้องออกไปชนกับอเมริกา และกลุ่มประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา และอังกฤษ สอง เขาจะจัดการกับกลุ่มผลประโยชน์และคอร์รัปชันให้เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้วอำนาจเซี่ยงไฮ้เก่าของ เจียง เจ๋อหมิน ที่เปรียบเสมือนรัฐบาลเงา เพื่อให้จีนมีเอกภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และการเงินอย่างแท้จริง สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

ท่านผู้ชมครับ ปรากฏว่า สี จิ้นผิง เลือกที่จะเดินเส้นทางที่เสี่ยงอันตราย มีความยากลำบากและท้าทายกว่า คือ เส้นทางที่สอง เพื่อจะรักษาพรรคคอมมิวนิสต์ และที่สำคัญ รักษาชาติเอาไว้ให้ได้


ท่านผู้ชมครับ ในช่วงห้าปีแรกของการครองอำนาจ ในช่วงปี 2556-2561 สี จิ้นผิง เน้นการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเดียว จัดการกับกลุ่มผลประโยชน์ ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ แม้กระทั่งสมาชิกโปลิตบูโร (Politburo) หลายคนก็โดน อย่างเช่น นายโจว หย่งคัง หรือผู้นำท้องถิ่นที่มีอิทธิพลอย่างสูง อย่างเช่น นายโป๋ ซีไหล ก็โดน คนพวกนี้เปรียบเสมือนทากหรือปลิงที่สูบเลือดจากเศรษฐกิจของจีนไปมาก ซึ่งในยุคของ สี จิ้นผิง มีเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องหลายล้านคนถูกจับเข้าคุกหรือประหารชีวิต และมีคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น โจว หย่งคัง, โป๋ ซีไหล หรือแม้กระทั่งอดีตประธานกรรมการของบริษัทวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีคนกล้าไปแตะต้อง

ท่านผู้ชมครับ อย่างไรก็ตาม การที่จะรุกคืบไปจัดการกับฐานอำนาจในเซี่ยงไฮ้ สี จิ้นผิง จำเป็นต้องมีอำนาจทางการเมืองของตัวเองให้เข้มแข็ง เขาไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ กำจัดอำนาจฝ่ายตรงกันข้ามให้หลุดออกจากตำแหน่งที่สำคัญ ลดอำนาจของศัตรูลง ระดับบิ๊กๆ ของขั้วอำนาจเก่าที่คอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ เบียดบังเงินของรัฐมาเข้ากระเป๋าตัวเอง ถูกจัดการเรียบร้อย แม้กระทั่งภาคเอกชน ท่านผู้ชมจำ "แจ๊ก หม่า" ได้ไหม ?


แจ็ก หม่า อาลีบาบา (Alibaba) แจ็ก หม่า พลาด เพราะว่าแจ็ก หม่า ร่ำรวยขึ้นมา แจ็ก หม่า เป็นหนึ่งในกลุ่มของ เจียง เจ๋อหมิน พวกแก๊งเซี่ยงไฮ้ เพราะว่าธุรกิจของแจ็ก หม่า เริ่มที่เมืองหางโจว (หางโจว เป็นเมืองที่สองรองจากเซี่ยงไฮ้) หรือว่าเป็นพวกเดียวกัน แจ็ก หม่า ตอนนั้นซ่ามาก มีความรู้สึกว่าเขารวย เขามีเงินมีทอง ประสบผลสำเร็จ และเขามีกลุ่มพวก เจียง เจ๋อหมิน แบ็กอยู่ข้างหลัง

แจ็ก หม่า พยายามทำอะไรหลายอย่าง และที่สำคัญ แจ็ก หม่า เริ่มพูดออกในที่สาธารณะว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายทางการเงิน จังหวะนั้น แจ็ก หม่า เอาบริษัทลูกของอาลีบาบา ชื่อบริษัทการเงิน Ant (มด) Ant Financial จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น เขากำลังระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปรากฏว่า สี จิ้นผิง จับ แจ็ก หม่า ขึ้นเขียงแล้วเชือดไก่ให้ลิงดู เพราะว่า แจ็ก หม่า เริ่มวางกล้ามว่าตัวเองรวยกว่า หรือมีอำนาจทางธุรกิจมากกว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพราะว่ามีแก๊งเซี่ยงไฮ้หนุนอยู่ แจ็ก หม่า คงได้รับบทเรียน แล้วก็จดจำเรื่องราวของโลกตะวันตก ที่ผู้นำทางธุรกิจการเงิน หรือบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ สามารถจะครอบงำรัฐบาลได้ และรัฐบาลต้องฟังบริษัทเทคโนโลยีนี้ แจ็ก หม่า อาจจะเข้าใจอะไรผิด เมื่อเขาเห็น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก แห่งเฟซบุ๊ก ยกเลิกแอกเคานต์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในเฟซบุ๊ก อีลอน มัสก์ แห่งเทสล่า หลายคนซึ่งมีชื่อว่าอิทธิพลใหญ่โตกว่าภาครัฐ แม้แต่กระทั่งประธานาธิบดี เพราะว่าทุนเอกชน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Private Capital นั้น เขาใช้ล็อบบี้ยิสต์ นักวิ่งเต้น ใช้ทุนควบคุมรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง นี่คือระบบของตะวันตกที่ใช้คำว่า "ประชาธิปไตย" บังหน้า แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดก็คือกลุ่มทุนเอกชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกูเกิล ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไม่ว่าจะเป็น GE : General Electric ไม่ว่าจะเป็นวอลล์สตรีท

แต่ในระบบของจีน ไม่มีทางปล่อยให้ แจ็ก หม่า ทำตัวกร่างเหมือนบริษัททั้งหลายสั่งปิดบัญชีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นอันขาด ท่านผู้ชมจำผมไว้เลยครับ ในระบบของจีน เป็นไปไม่ได้ที่ทุนเอกชนจะใหญ่กว่าทุนรัฐบาล เพราะถ้าเสียการปกครอง เนื่องจากทุนเอกชนแสวงหากำไรอย่างสูงสุดให้กับเอกชน ให้กับผู้ถือหุ้น ในขณะที่ทุนรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลปากท้องประชาชนทั้งหมด ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง เอาตัวอย่าง ปตท. ดีไหม ในประเทศไทย พอแปรรูปไปปั๊บ กลายเป็นว่าทุกคนจะต้องดูแลผู้ถือหุ้น ปตท. ไม่สนใจประชาชน เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันถึงแพงเอาๆ เห็นไหม ตัวอย่างนี้เห็นเด่นชัด


เมื่อจีนมีความเสี่ยงที่ทุนเอกชนจะมีอิทธิพลเหนือทุนรัฐบาล สี จิ้นผิง เลยต้องจัดการอย่างเด็ดขาด และท่านผู้ชมครับ นี่คือการต่ออายุ สี จิ้นผิง ให้อยู่ในอำนาจเกินสองเทอม หรือสิบปี ตามขนบธรรมเนียมที่ยึดถือกันมาก่อน มิหนำซ้ำยังทำลายข้อจำกัดอายุ 69 ปี ในการเป็นผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งหมดนี้เพื่อ สี จิ้นผิง จะสามารถเดินหน้าสานต่อสร้างเอกภาพและเสถียรภาพภายในประเทศ ไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ระดับบิ๊กทำตัวเป็นจระเข้นอนขวางคลอง ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ข้อแตกต่างระหว่างการเมืองจีน กับการเมืองอังกฤษ การเมืองอเมริกา

อีกสองปี โจ ไบเดน ก็ไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าใครจะขึ้นมา อังกฤษเอง ในระยะเวลาไม่ถึงปี เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาสามคนแล้ว คนแรกคือ บอริส จอห์นสัน คนที่สอง คือ ลิซ ทรัสส์ และคนที่สาม คือ นายฤษี ซูนัก ในขณะที่จีนชัดเจน ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่า สี จิ้นผิง อยู่ต่ออีก 5 ปี แต่พวกคุณยังกัดกันอย่างกับหมา เพื่อแย่งชิงอำนาจ สี จิ้นผิง ก็นั่งดูว่าวางยุทธศาสตร์จีนจะต้องไปอย่างไร ในเมื่อมันกัดกันอย่างนี้ เราจะต้องเดินอย่างไรเพื่อให้จีนเป็นใหญ่ขึ้นมา จีนต้องเตรียมตัวทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความมั่นคงและการทหาร ในการเตรียมรับศึกกับอเมริกาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ถ้าสหรัฐฯ ใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีนให้ออกอาวุธก่อน เหมือนกับที่ใช้ยูเครน เพื่อให้รัสเซียติดหล่มในสงคราม

ความต่อเนื่องของอำนาจของ สี จิ้นผิง ทำให้บุคลากรที่เขาวางเอาไว้เพื่อรับศึกทุกด้าน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะมอง สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการก็ได้ ถูกต้อง ไม่ผิด แต่ท่านผู้ชมครับ "เผด็จการ" มี 2 รูปแบบ หนึ่ง เผด็จการเพื่อส่วนตัวและพวกพ้อง เหมือนสมัยยุคที่ 3 ป. ขึ้นมาใหญ่ นั่นคือเผด็จการ แรกๆ ก็คิดว่าเพื่อส่วนรวม แต่ไปๆ มาๆ แล้วกลายเป็นกลุ่ม 3 ป. เป็นกลุ่มที่ร่ำรวย มีผลประโยชน์ กลุ่มของเขาแตกแขนงออกไปยาวเหยียด ยุบยับไปหมด สอง เป็นเผด็จการเพื่อส่วนรวม นี่คือ สี จิ้นผิง ชัดเจน มองเห็นชัดเจนว่า สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการเพื่อส่วนรวม มิฉะนั้นแล้ว อังกฤษ หรืออเมริกา จะไม่หวาดระแวงหรือเกรงกลัว ถ้า สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการเพื่อตัวเองเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ เช่น ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน


BBC, CNN จะสรรเสริญเยินยอคนอย่าง นางไช่ อิงเหวิน เพราะว่าคิดแบบตะวันตก และอยู่ภายในเงื้อมมือของตะวันตก ตอนนี้ท่านผู้ชมเข้าใจการเมือง ผู้นำรุ่นที่หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้า แล้วใช่ไหม ?

ย้อนกลับมาเรื่องการหิ้วปีก หู จิ่นเทา ออกจากเวทีประชุมสมัชชาฯ ครั้งที่ 20 ผมมองดูและศึกษาโดยละเอียดแล้ว ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งที่รุนแรง หรือเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่สำนักข่าวลวงโลกอย่าง BBC ท่านผู้ชมจำคำพูดผมไว้นะครับ BBC คือสำนักข่าวลวงโลกอันดับหนึ่งของโลก จะเป็น BBC ที่อังกฤษ หรือ BBC ประเทศไทย เหมือนกันหมด เพราะมาจากนโยบายเดียวกัน


ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งรุนแรง เพราะ สี จิ้นผิง กับ หู จิ่นเทา มีความสนิทสนมกันดี และทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในก๊วนของแก๊งเก่าของ เจียง เจ๋อหมิน ถ้าท่านผู้ชมดูให้ดีๆ เหมือนที่ผมสังเกต สี จิ้นผิง เดินเข้าเวทีที่ประชุมเป็นคนแรก ตามด้วย หู จิ่นเทา เป็นคนที่สอง และ เวิน เจียเป่า อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่สาม เจียง เจ๋อหมิน อายุ 96 ปี เดินไม่ได้แล้ว ไม่มา หู จิ่นเทา นั่งติดกับ สี จิ้นผิง ในเวทีการประชุม ถ้ามีความขัดแย้งกัน จะเอา หู จิ่นเทา มานั่งข้างๆ สี จิ้นผิง ได้อย่างไร สี จิ้นผิง ยังช่วยประคับประคองดูแล หู จิ่นเทา อย่างดี


ท่านผู้ชมครับ ถ้าดูต่อไปจะเห็นว่า หู จิ่นเทา ถูกผู้ช่วยสองคนนำพาออกจากที่นั่ง ออกจากห้องประชุม น่าจะเกิดจากปัญหาสุขภาพ คือผู้นำจีน เวลามีปัญหาสุขภาพ ไม่สบายขึ้นมา รัฐบาลจีนจะจัดทีมแพทย์โดยเฉพาะเข้าไปดูแลผู้นำคนนั้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมง จัดผู้ช่วยเข้าไปดูแลผู้นำคนนั้น หู จิ่นเทา น่าจะมาจากปัญหาสุขภาพมากกว่า มีอาการอัลไซเมอร์ ซึ่งคนเป็นอัลไซเมอร์บางครั้งจะพูดอะไรไม่เข้าท่าเข้าทาง แต่สื่อมวลชนของทางตะวันตกกลับโชว์ออฟโยงว่าเป็นการโชว์ออฟของ สี จิ้นผิง ใช้อำนาจเผด็จการจัดการกับคนรุ่นเก่าให้โลกเห็น จะจัดการกับ หู จิ่นเทา ทำไม ก็ในเมื่อ หู จิ่นเทา เป็นคนแบ็ก สี จิ้นผิง ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ ถ้าท่านผู้ชมจำได้ เมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนการประชุมสมัชชาฯ 20 สื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BBC เป็นคนปล่อยข่าวว่า สี จิ้นผิง โดยรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ สี จิ้นผิง จัดการปราบคอร์รัปชันระดับรายใหญ่ ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกตกอกตกใจหรือตื่นเต้น ปรากฏว่าข่าว สี จิ้นผิง ถูกรัฐประหารนั้น ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว


พวกสำนักข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BBC มันโคตรหน้าด้านเลย หน้าด้านที่สุด แล้วเรามีอดีตผู้สื่อข่าว BBC ซึ่งมีปัญหากับประเทศไทย แล้วผมไม่รู้ว่าเอาเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไร คือ นายโจนาธาน เฮด ไปโผล่ที่หนองบัวลำภู ทำข่าวเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่ถูกฆ่าตาย ถ้าผมจำไม่ผิด นายโจนาธาน เฮด ถูกห้ามเข้าประเทศ เดี๋ยวผมจะตามเรื่องนี้อีก ว่าหน่วยงานรัฐหน่วยงานไหนปล่อยให้เข้ามา เพราะคนนี้คือตัวการสำคัญเลยที่ทำร้ายประเทศไทยในเรื่องการปั้นข่าวลวง

มาถึงจุดนี้แล้ว หลังจากการประชุมสมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สี จิ้นผิง สามารถกำชับอำนาจได้อย่างแน่นแฟ้น แรงเสียดทานทางการเมืองภายในคงจะลดลง หรือไม่มีอีกต่อไป มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ จาก โปลิตบูโร หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็หลุดจากตำแหน่ง และหลุดจากอำนาจไปด้วย เพราะว่า หลี่ เค่อเฉียง เป็นคนของ เจียง เจ๋อหมิน ไม่ใช่คนของ สี จิ้นผิง มาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นแล้ว การท้าทายอำนาจหรือบารมีของ สี จิ้นผิง ภายในจีน ไม่น่าจะมีอีกต่อไป เมื่อเขาขจัดศึกภายในแล้ว สี จิ้นผิง จะมีความคล่องตัวสูงในการเผชิญหน้ากับ โจ ไบเดน ในศึกที่ท้าทายและหนักหนาสาหัสสากรรจ์มากกว่า โดยที่จะเป็นศึกที่ชี้เป็นชี้ตายของจีนและของโลก ก็อาจจะว่าได้


ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมเคยกล่าวมาหลายครั้งว่า ถ้าจีนขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก อเมริกา และยุโรป หรือทางอังกฤษ จะไม่ยอมรับ คนอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่สองมาภูมิอกภูมิใจกับการเป็นอันดับหนึ่ง ภูมิอกภูมิใจกับการที่ประเทศตัวเองเป็นขั้วอำนาจเดียว เข้าไปเสือกกับเขาทุกเรื่อง เข้าไปล้มรัฐบาลชุดนี้ถ้าไม่พอใจ เข้าไปผลักดันให้รัฐบาลชุดนี้หลุดออกไปถ้าไม่ทำตามนโยบายของเขา

ท่านผู้ชมครับ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง น่าสนใจอย่างมากๆ เลย โปลิตบูโร สมัยก่อนมีอยู่ 10 คน กรมการเมืองที่ใหญ่ที่สุด อยู่ข้างบนสุดเลย ปกครองประเทศจีน ปรากฏว่ามายุค สี จิ้นผิง ตัดออก 3 เหลือแค่ 7 ถ้าเราสังเกตให้ดีๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อเมริกาบีบจีนหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเทคโนโลยี เทคโนโลยีทุกด้าน ไม่ให้หัวเว่ยเข้ามาทำธุรกิจในประเทศจีน แก้ลำในเรื่องของประเทศจีนผลิตสินค้าต่างๆ ผลิตอาวุธ แล้วต้องใช้ชิปเซมิคอนดักเตอร์ สั่งห้ามไม่ให้ประเทศใดก็ตามส่งชิปมาให้จีน ถ้ายังต้องการมีส่วนผสมของวัตถุดิบของอเมริกาอยู่ ระบุล่าสุดถึงขนาดที่ว่า คนอเมริกันคนไหนถ้ายังทำงานในสายเทคโนโลยี ถึงแม้จะอยู่ในประเทศจีนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นลูกจ้างของโรงงาน หรืองานวิจัย ถ้าไม่ลาออก รัฐบาลอเมริกาจะขับไล่ออกจากการเป็นคนอเมริกัน ดูสิ มันเกเรขนาดไหน

สี จิ้นผิง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เขาฉลาดมาก เขารู้อยู่แล้ว เขาเห็นตั้งแต่อเมริกากลั่นแกล้งจีน จับนางเมิ่ง หว่านโจว ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของหัวเว่ย แล้วยื้อกันไปยื้อกันมาจนในที่สุดไม่สามารถจะเอาผิดเขาได้ ก็เลยต้องปล่อยเขามา สี จิ้นผิง รู้อยู่แล้วว่าอเมริกาจะบล็อกจีนในเรื่องเทคโนโลยี เพราะว่าจีนโตเร็วเหลือเกิน เพราะฉะนั้นแล้ว สี จิ้นผิง คณะกรรมการโปลิตบูโรที่เข้าใหม่อีก 3-4 คน เข้าไป แต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง สเตม (STEM)

STEM คืออะไร ? ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ผมเคยพูด S = Science (วิทยาศาสตร์) , T = Technology (เทคโนโลยี) , E = Engineering (วิศวะ) และ M = Mathematics (คณิตศาสตร์)


ผู้นำที่อยู่ในโปลิตบูโรรุ่นใหม่ที่เข้าไปนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีชื่อเสียงทางด้านวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น แล้ว สี จิ้นผิง ต้องมาประกาศศักดาให้รู้ว่า จากนี้ไปจีนจะต้องพึ่งตัวเอง อัตตาหิ อัตโนนาโถ หมายความว่า ต้องวิวัฒนาการ พัฒนาสินค้าต่างๆ ที่ตะวันตกคงทางด้านสัดส่วนในเรื่องเทคโนโลยีในส่วนผสม โดยที่จีนจะผลิตด้วยตัวเองเลย กูไม่พึ่งมึงอีกต่อไปแล้ว ถ้ากูมีปัญญาส่งจรวดไปที่ดาวอังคาร หรือไปดวงจันทร์ สร้างสถานีอวกาศขึ้นมา ขณะซึ่งอเมริกาจะยิงจรวดขึ้นไปตั้ง 3-4 ครั้ง เลื่อนแล้วเลื่อนอีก

สี จิ้นผิง เชื่อว่าด้วยสติปัญญาของนักวิทยาศาสตร์จีน เขาสามารถจะแก้ปัญหาเทคโนโลยีได้ และเขาไม่ต้องการพึ่งตะวันตกอีกต่อไป ซึ่งผมจะทำนายวันนี้ล่วงหน้าก่อนเลย ว่าโอกาสที่จีนจะแยกตัวออกจากสายตะวันตก และไม่สนใจเลย แล้วก็จะมาติดต่อค้าขายกับเฉพาะคนและกลุ่มคนที่เขาต้องการจะค้าขายเท่านั้น มีความเป็นไปได้สูงครับท่านผู้ชม

และนี่คือสิ่งซึ่ง สี จิ้นผิง ลุกขึ้นมาในวาระที่สาม อีก 5 ปี เขามองว่า 5 ปีที่เขาอยู่ต่อไปนี้ จีนต้องผงาดในเรื่องเทคโนโลยี จีนต้องพึ่งพาตัวเองได้ ทุกอย่าง ไม่ต้องไปแคร์ฝรั่งตาน้ำข้าว ขนสีทอง ไม่ต้องแคร์มันอีกต่อไป เพราะฉะนั้นแล้ว ดูให้ดีๆ ท่านผู้ชม ผมไม่เคยทำนายอะไรผิด ท่านผู้ชมครับ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน โดยที่มีน้ำจิ้ม คือเรื่อง หู จิ่นเทา มาให้ดรามากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสำนักข่าวลวงโลก คือ BBC


ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะจบเรื่องของประเทศจีน ผมจะเอาเกร็ดเรื่อง หู จิ่นเทา ถูกประคองออก เล็กๆ น้อยๆ มาเล่าให้ฟัง ที่ผมเล่าให้ฟังได้ก็เพราะผมมีผู้สื่อข่าวของผมเอง ของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ประจำอยู่ที่กรุงปักกิ่ง เพราะฉะนั้นเรื่องราวอะไรของจีน ทางค่ายเราจะรู้ลึกซึ้งกว่าทุกๆ ค่าย

นายท็อป ผู้สื่อข่าวของผม คุยกับผู้สื่อข่าวจีน หนังสือพิมพ์ถวนเจี๋ย ซึ่งเป็นสื่อของกลุ่มการเมืองแนวร่วมเพียงไม่กี่ราย ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของคอมมิวนิสต์

บก. หนังสือพิมพ์ถวนเจี๋ย อธิบายว่า ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา อายุ 79 อายุมากแล้ว จริงๆ ก็มากกว่าผมแค่ 4 ปีเอง สุขภาพไม่ดีจริงๆ ออกไปพักผ่อน เรื่องนี้ไม่ควรจะตีความให้เกินไป ผู้สื่อข่าวของผมได้ติดตามข่าวเรื่องประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำจีนอย่างต่อเนื่อง ถือว่าคุ้นเคยกันอย่างดี แต่ภาพที่ได้เห็นในวันเปิดประชุมสมัชชาฯ 20 ท่านเปลี่ยนไปอย่างมาก นี่คือนายท็อปผู้สื่อข่าวของผมบอก เขารู้จัก หู จิ่นเทา ดี เขาติดตามข่าว หู จิ่นเทา มาตลอด สุขภาพท่านอ่อนแรงลง ต้องมีคนประคองอยู่ตลอดเวลา ท่านมีปัญหาสุขภาพจริง แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นอะไรบ้าง


ท่านผู้ชมครับ เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองจีนมีความขัดแย้งเหมือนกับทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม ตามธรรมเนียมจีนแล้ว พรรคต้องแสดงออกด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้นำแสดงความขัดแย้งออกมาต่อหน้าช่างภาพอย่างมากมายทั่วโลกเช่นนี้

ผู้นำจีนได้เคยประสบวิบากกรรมทางอำนาจ มักจะหายไปอย่างเงียบๆ จนเหมือนไม่มีตัวตน ไม่ใช่ประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น นายจ้าว จื่อหยาง อดีตนายกรัฐมนตรีจีน อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ที่แสดงจุดยืนคัดค้านการประกาศกฎอัยการศึก และการใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วง ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ปี 2532 ต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ภายใต้การกักบริเวณเป็นเวลานานถึง 15 ปี จนวาระสุดท้ายของชีวิต

นอกจากนี้ ในยุคของ สี จิ้นผิง ก็มีการดำเนินคดีกับผู้บริหารระดับสูง อย่างนายโป๋ ซีไหล ผมเล่าให้ฟังแล้ว นายโจว หย่งคัง และนายพลอีกหลายๆ คน คนเหล่านี้หายตัวไปเงียบๆ นานหลายสัปดาห์ จึงมีข่าวประกาศว่าถูกปลดจากทุกตำแหน่งและถูกดำเนินคดี

ท่านผู้ชมครับ วันเดียวกัน ในช่วงเย็นวันที่ 22 ตุลาคม และหลังจากนั้น ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ CCTV ก็มีการเอ่ยชื่อและมีภาพอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา หย่อนบัตรลงมติ ไม่ได้มีการปิดกั้นใดๆ และในเวลาต่อมา


สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ก็รายงานว่า อดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา วัย 80 ปี ถูกพยุงออกจากห้องประชุมกะทันหัน เนื่องจากปัญหาสุขภาพ

ท่านผู้ชมครับ ผมมีข้อสังเกตอย่างนี้ สำนักข่าวมืออาชีพาส่วนใหญ่รายงานเรื่องนี้โดยใช้คำว่า "ไม่ทราบสาเหตุ" ดูเหมือนจะถูกให้ออกจากที่ประชุม แต่สื่อสังคมตะวันตก สื่อออนไลน์ IO ของฝั่งตะวันตก กลับปั่นกระแสว่าถูกเชิญออก หิ้วตัวออกไป บางคนถึงกับใช้คำว่า "จับตัวประกัน" ซึ่งเกินเลยไปมาก ส่วนใหญ่จะตีความจากวิดีโอโดยไม่รู้เรื่องราวเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขยายความไกลออกไป ท่ามกลางข่าวลือ

หู ไห่เฟิง
เอาล่ะ ท่านผู้ชม ผมจะแนะนำลูกชายของ หู จิ่นเทา ให้ฟัง หู จิ่นเทา ที่คุณบอกว่าขัดแย้งกับ สี จิ้นผิง ลูกชายชื่อ "หู ไห่เฟิง" ซึ่งเป็นลูกชายของ หู จิ่นเทา ก็ยังเจริญเติบโตในพรรคคอมมิวนิสต์ ในที่ประชุมวันนั้น หู ไห่เฟิง ลูกชายของ หู จิ่นเทา ก็ประชุม หู ไห่เฟิง อายุ 50 ปี ตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคฯ เมืองลี่สุ่ย มณฑลเจ้อเจียง ปีนี้เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัชชาฯ 20 และเขาก็ต้องเห็นเหตุการณ์ที่พ่อของเขาต้องออกจากการประชุมกลางคัน หู ไห่เฟิง ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น และเขาเพียงแต่พูดสนับสนุนการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้จะนำประเทศไปสู่ยุคใหม่ และเขารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ท่านผู้ชมครับ นี่คือเกร็ดต่างๆ ที่ไม่มีใครรู้และไม่เคยมีใครพูดถึง อย่าไปหาเลยนะครับจากนักข่าว BBC สำนักข่าวลวงโลกพวกนี้ ไม่มีหรอกครับข้อมูลแบบนี้

หู ไห่เฟิง
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ จะว่าเป็นเรื่องเก่า ก็เก่า แต่ว่าจะเป็นเรื่องที่เก่าแต่ว่าไม่มีการพูดมาก่อน ก็คงจะเป็นเช่นนั้น

ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ผม กับรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เคยนำเสนอเรื่อง "ขบวนการปล้นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ของสมาชิกคณะราษฎร 2475 มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งล้วนมีหลักฐานแน่นหนา เป็นหลักฐานสำคัญที่ผมไม่แน่ใจว่าประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สถาบันไหน มหาวิทยาลัยใด จงใจจะหลงลืมไปหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ผม กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เห็นว่าจำเป็นต้องขุดค้นขึ้นมานำเสนอ เพื่อให้คนปัจจุบันและคนรุ่นหลังได้ทราบว่า คณะราษฎร 2475 จริงๆ แล้วไม่ใช่วีรบุรุษ นักประชาธิปไตย หรือผู้มาปลดปล่อยประชาชน ข้อเท็จจริงแล้ว คณะราษฎร 2475 ก็ไม่ต่างกว่าคณะโจรที่ปล้นสมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์มา แล้วเอามาแบ่งปันแจกจ่ายกันแบบหน้าด้านๆ ปัจจุบันสมบัติเหล่านี้ก็ได้ตกมาสู่รุ่นลูกและรุ่นหลาน


ครั้งหลังสุดที่ผมออกอากาศไป อัปเดตข้อมูลและรายละเอียดของเรื่องทรัพย์สินและสมบัติที่ถูกปล้นชิงไป ก็คือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 156 ในวันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ประมาณเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา และผมได้ทิ้งท้ายเอาไว้ในรายการตอนล่าสุด ว่า ผมกับอาจารย์ปานเทพ ยังมีเนื้อหาและหลักฐานอีกมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งผมบอกว่าถ้าโอกาสเหมาะๆ จะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ตอนนี้ก็เป็นช่วงโอกาสที่เหมาะแล้ว เพราะว่ามันจะใกล้สิ้นปีแล้ว อยากจะให้ตำนานเรื่องนี้มีบทสรุป เรื่องคณะโจรปล้นสมบัติเจ้า จะถือว่าเรื่องวันนี้เป็นภาคพิเศษก็ได้

"ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475 จากการปล้นพระราชทรัพย์ถึงคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8" ที่ผมต้องโยงสองเรื่องมาเกี่ยวข้องกับการปล้นพระราชทรัพย์ เพราะว่าเป็นการนำเสนอมิติใหม่ในเรื่องประวัติศาสตร์ที่เหมือนจะตกหล่นหายไปอย่างจงใจให้มันหายไป และหลายคนมักจะมองในเรื่องของการเมืองการปกครอง โดยละเลยประวัติศาสตร์ที่สำคัญในส่วนของอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร และเชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมนั้นไปสู่คดีสวรรคตรัชกาลที่ 8

ท่านผู้ชมครับ ในหนังสือ ""ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475ฯ" ของอาจารย์ปานเทพ จะมีเหรียญปรากฏอยู่ที่หน้าปกด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหลังเขียนว่า "กรมพระคลังข้างที่" เหรียญนั้นเป็นเหรียญกรมพระคลังข้างที่ ยังไม่ได้เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ และมีเลข '๑๐๗' บังเอิญมาก เหรียญนี้ที่เราได้มานั้น เป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 7


ในทางโหราศาสตร์นั้นได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน พลิกผัน แต่ที่น่าสนใจคือ เหรียญนี้มันซ่อนปรัชญาความคิดในเหรียญพระคลังข้างที่ ที่มีรูอยู่บนเหรียญนั้น ด้วยความหมายก็คือว่า ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ได้รั่วไหลออกไปให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คณะใดคณะหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนใหญ่

ท่านผู้ชมครับ หลายคน หรือพวกเด็กๆ กลุ่มสามนิ้ว หรือพวกคณะก้าวไกล หรือพวกกลุ่มคนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันกษัตริย์ ต่อต้านกับมาตรา 112 พวกนี้ยกย่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของคณะราษฎร ว่าเป็นวีรบุรุษ ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธในปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง


ซึ่งเป็นหนึ่งส่วนในการวิวัฒนาการในประชาธิปไตย แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่งว่าผู้ที่ได้อำนาจนั้นกลับมา จะเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ เหมือนอย่างที่ท่านพุทธทาสพูด หรือเป็นไปเพื่อประโยชน์คณะตัวเองเป็นใหญ่นั้น ตรงนี้น่าคิดมาก เพราะกำลังทำให้บทเรียนของสิ่งที่เราเชื่อว่าคนที่เป็นวีรบุรุษนั้นมีความเป็นปุถุชน มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง และกิเลสที่หนามากยังคงอยู่ด้วย ถ้าเราถอดประวัติศาสตร์ผิด เราก็จะเดินตามรอยที่ผิด

ท่านพุทธทาสพูดอย่างนี้ "ประชาธิปไตยนี้มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐาน มันก็เป็นประชาธิปไตยโกง" ท่านพุทธทาสยังพูดต่อ ว่า "ต้องให้ประชาชนได้รับประโยชน์เต็ม อย่างนั้นจึงจะเป็นประชาธิปไตย ไอ้ประชาชนเป็นใหญ่นั้น มันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้ว ฉิบหายหมด"


ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า "ที่ดินพระคลังข้างที่" เป็นของใครกันแน่ ? สมัยก่อนเราเรียกว่า "ราชอาณาจักร" ก็หมายถึงทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อมาถึงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแบ่งเรื่องการบังคับราชการกระทรวงทั้งหลาย แยกเป็นกรมเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหลาย แบ่งเป็น 5 กรม คือ 1. กรมพระคลังกลาง เป็นเรื่องรายจ่ายแผ่นดิน เรื่องภาษีอากร อยู่ภายใต้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 2. กรมสารบาญชี ทำหน้าที่สำหรับจ่ายเงินแผ่นดิน 3. กรมตรวจบาญชี 4. กรมเก็บ สำหรับรักษาพระราชทรัพย์ทั้งสิ้น และ 5. กรมพระคลังข้างที่ คือสำหรับการเงินในพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นั่นก็หมายความว่า การแบ่งทรัพย์สินในทางราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 แม้ว่าจะเป็นราชอาณาจักร แต่พระองค์ท่านทรงแยกแยะว่าอะไรคือทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อะไรเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน รายรับ-รายจ่ายที่เกี่ยวกับภาษีอากร เป็นเรื่องแผ่นดิน อะไรเป็นส่วนของพระมหากษัตริย์ที่ตกทอดลงมา เป็นของพระมหากษัตริย์ ได้มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน

หลักฐานหนังสือชิ้นนี้กำลังจะบอก ก็คือว่า หลักฐานตอนที่พระองค์ท่านให้พระราชโอรสทั้งหลายไปเรียนต่างประเทศ พระองค์ท่านได้มีพระราชดำรัสประการหนึ่งเล่าถึงว่า "เงินพระคลังข้างที่นั้นเองก็เป็นเงินส่วนหนึ่งในแผ่นดินเหมือนกัน เว้นแต่เป็นส่วนที่ยกให้แก่พ่อใช้สอยในการส่วนตัว เหตุที่พ่อเอาเงินส่วนที่พ่อจะได้ใช้เองนั้น ออกให้ค่าเล่าเรียน ด้วยเงินรายนี้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะแทรกแซงว่าควรใช้อย่างนั้นไม่ควรใช้อย่างนั้นได้เลย"


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า ทรัพย์สินพระคลังข้างที่ เป็นของพระมหากษัตริย์ เป็นพระราชวินิจฉัย และการเรียนต่อที่ต่างประเทศของพระบรมวงศานุวงศ์นั้น เป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ได้มีการตั้งบริษัท หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ทรัสตี (Trustee) ให้เป็นผู้ดูแลหาผลประโยชน์ มีดอกเบี้ยก็เอามาใช้สอยในการเรียนที่ต่างประเทศ ถือเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

นอกจากนั้น ยังมีการซื้อที่ดิน อย่างเช่น ตำบลบางขุนพรหม ริมคลองผดุงกรุงเกษม รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขา ว่า "เงินรายนี้ข้าพเจ้ามิได้ใช้เงินสำหรับแผ่นดินที่สำหรับจับจ่ายราชการ ได้ใช้เงินพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นเงินสำหรับพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินเอง ไม่เกี่ยวข้องด้วยราชการแผ่นดิน"

พิจารณาจากข้อมูลตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่า การซื้อที่ดิน ก็เป็นที่ดินจากส่วนของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ส่วนของแผ่นดิน ชัดเจนนะครับ เพราะฉะนั้น ที่มีเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 กลุ่มทะลุฟ้า ทะลุวัง รุ้ง เพนกวิน อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมศาสตร์ ที่ชอบไปสร้างวาทกรรมผิดๆ เป่าหูพวกเดียวกันเองว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของประชาชน ก็ต้องเปิดกะโหลกตัวเองเสียบ้าง ไม่ใช่ว่าตัวเองเห็นของคนอื่น ก็มโน ทึกทักเอาว่าเป็นของตัวเอง ของประชาชน สถาบันกษัตริย์ไปขูดรีด รีดนาทาเร้นเอาจากราษฎร จากประชาชน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ท่านผู้ชมครับ เรามาย้อนเวลา รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 ในขณะนั้นเป็นช่วงเกิดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะว่าเราผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เศรษฐกิจทรุดทั้งโลก ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ หนึ่ง ลดจำนวนเงินซึ่งเคยจ่ายเป็นของพระคลังข้างที่ จากปีละ 9 ล้านบาท เหลือปีละ 6 ล้านบาท นั่นคือการตัดรายจ่ายของส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์

สอง ตัดรายจ่ายประจำบางอย่าง โดยยุบตำแหน่ง หรือกรมกองบางแห่งลง เช่น ตัดตำแหน่งราชการที่เกินความจำเป็นออกไป ปลดข้าราชการบางส่วนออก รับเงินบำเหน็จ ส่วนที่เหลือก็ปรับอัตราเงินเดือนให้ต่ำลงด้วย ลดเงินเดือน ปลดข้าราชการ เรียกว่า "ดุลราชการ"

ข้อที่สาม จัดสรรงบประมาณรายจ่ายแต่ละกระทรวงให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม ไม่ให้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย วิกฤตเศรษฐกิจนะครับท่านผู้ชม ท่านตัดรายจ่ายของพระองค์ท่าน ลดเงินเดือนข้าราชการ แต่แน่นอนครับ พระบรมวงศานุวงศ์ยังเป็นข้าราชการอยู่ เลยต้องทำให้เกิดความไม่พอใจกับข้าราชการส่วนอื่นที่เป็นสามัญชน ที่ไม่มีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ ในที่สุดก็มีการปะทุขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เรารู้กันดี โดยคณะราษฎร นี่เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็แล้วแต่ การเปลี่ยนแปลง 2475 มีเรื่องที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่มีใครเสียเลือดเนื้อ เพราะว่าพระมหากษัตริย์ท่านได้หาทางออก และท่านก็คิดในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาระดับหนึ่ง แม้จะไม่เท่ากับคณะราษฎรก็ตาม


หลายท่านมักจะมองข้ามประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก คือมองวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ไม่มีใครนึกย้อนกลับไปว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2475 หลังจากที่มีการยึดอำนาจจากกษัตริย์แล้ว คณะราษฎร ได้เข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทานนิรโทษกรรม พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาตรา 3 บอกว่า "บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นเหล่านั้น ไม่ว่าของบุคคลใดๆ ในคณะราษฎรนี้ หากว่าจะเป็นการละเมิดบทกฎหมายใดๆ ก็ดี ห้ามมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายเลย"

หลังจากนั้น หลังจากที่ขอนิรโทษกรรมแล้ว วันที่ 27 มิถุนายน 2475 พระองค์ท่านพระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เพื่อไปร่างกันจริงๆ ฉบับใหม่ เราเรียกฉบับ 27 มิถุนายน นั้นว่า เป็น "ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว"


นอกจากนั้น วันที่ 30 มิถุนายน 2475 หกวันหลังจากที่มีการยึดอำนาจ ปรากฏว่าคณะราษฎรบางส่วนได้เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในคำกล่าวที่รุนแรง เป็นหนังสือที่เป็นทางการ และที่สำคัญ ทรงพระราชทานอภัยโทษให้ด้วย เพราะเห็นว่าหวังดีต่อบ้านเมือง นี่คือพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน "ข้าพเจ้ามีความยินดีมากที่ท่านได้คิดมาทำพิธีขอขมาในวันนี้เอง โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องขอแต่อย่างใดเลย การที่ท่านทำเช่นนี้ย่อมเป็นเกียรติยศแก่ท่านเป็นอันมาก เพราะท่านทั้งหลายได้แสดงว่ามีธรรมในใจ และเป็นคนที่สุจริต และใจเป็นนักเลง เมื่อท่านรู้สึกว่าได้ทำอะไรเกินไป พลาดพลั้งไป ท่านยอมรับผิดโดยดี และโดยเปิดเผย การที่ตัดสินใจกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ทำยาก และใจต้องเป็นนักเลงจริงๆ จึงจะทำได้ เมื่อท่านทำพิธีในวันนี้ แสดงให้เห็นชัดว่าการใดที่ท่านได้ทำไปนั้น ท่านได้ทำไปเพื่อหวังประโยชน์แก่ประเทศจริงๆ ท่านได้แสดงว่าท่านเป็นผู้มีน้ำใจกล้าหาญทุกประการ ท่านกล้ารับผิด เมื่อรู้ว่าตนเองได้ทำพลาดพลั้งไป ดังนั้น การทำให้ประชาชนรู้สึกไว้ใจในตัวท่านเองยิ่งขึ้นอีกเป็นอันมาก ในข้อนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก"

ในครั้งนั้น เพื่อเป็นหลักฐาน หลังจาก 30 มิถุนายน แล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และผู้แทนคณะราษฎร ว่า ทรงได้รับหนังสือขอขมาจากคณะราษฎรแล้ว ทรงขอบใจ และทรงหวังว่าคณะราษฎรจะได้ออกคำแถลงปลดเปลื้องมลทิน ให้ราษฎรได้ทราบถึงความจริงดุจดังประกาศที่ขอขมามา


เห็นไหมครับ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง พระองค์ท่านทิ้งหลักฐานไว้ว่ามีการขอขมาจริงๆ ขอพระราชทานนิรโทษกรรม ขอพระราชทานอภัยโทษที่คณะราษฎรใช้คำพูดที่รุนแรงกล่าวว่าท่าน

แต่มีคำพูดหนึ่งที่น่าสนใจมาก ในวันที่ 30 มิถุนายน 2475 บันทึกลับของ เจ้าพระยามหิธร ซึ่งครั้งนั้น ในวันเดียวกัน 30 มิถุนายน ทรงตรัสถามคณะราษฎรว่า จะริบทรัพย์ไหม ของฝ่ายเจ้า และจะถอดยศเจ้าไหม ถ้าคิดจะริบทรัพย์ หรือถอดยศเจ้า ท่านจะขอไม่รับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ปรากฏว่าคณะราษฎรบอกว่าไม่คิดอย่างนั้นเลย คิดจะใช้วิธีกู้เงินเฉยๆ ไม่คิดจะริบทรัพย์ฝ่ายเจ้า ไม่คิดจะถอดยศเจ้า ในหลวง รัชกาลที่ 7 ก็เลยรับที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป


ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่ ในรัชกาลที่ 7 นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และนี่คือเจตนารมณ์ในเรื่องของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินของแผ่นดินเป็นเรื่องของแผ่นดิน จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่ริบทรัพย์ ไม่ยึดทรัพย์ท่าน คือเจตนารมณ์ที่เกิดขึ้นในการเจรจาระหว่างคณะราษฎร กับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

เหตุการณ์เรื่อยมาจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ประมาณเกือบ 6 เดือน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยรัฐธรรมนูญฉบับแรก เพื่อให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน มาตรา 3 "องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" ก็แปลว่าความคิดในเรื่องของมาตรา 112 ไม่ใช่เพิ่งมาเริ่มในภายหลัง เริ่มตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นทางการฉบับแรก โดยคณะราษฎร กับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

อาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังพวกม็อบสามนิ้ว พวกม็อบก้าวไกล หรือทุกคน เข้าใจตรงนี้หรือยัง เข้าใจหรือเปล่าว่า มาตรา 3 เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย 2475 ในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก ซึ่งมาตรา 3 ระบุว่า "องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้"

ทีนี้ เหตุการณ์ก็ผ่านมาเรื่อย ผมจะไม่พูดถึงเรื่องทางการเมืองมาก เพราะเรากำลังพูดเรื่องการแย่งชิงทรัพย์สมบัติ

อีกสามปีให้หลัง วันที่ 2 มีนาคม 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ ที่ทรงสละราชสมบัตินั้นเพราะว่านักการเมืองแบ่งเป็น ส.ส. 2 ประเภท ประเภทที่หนึ่งคือ มาจากเลือกตั้ง ประเภทที่สอง คัดกันมาเองจากคณะราษฎร พระองค์ท่านทรงเห็นว่า ถ้าขืนเป็นแบบนี้ เท่ากับไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ คณะโจร คณะราษฎร ยึดอำนาจ มันบอกต้องการประชาธิปไตย แต่พอมันตั้ง ส.ส. ประเภทสอง คัดกันเองจากคณะราษฎร คุ้นๆ ไหมท่านผู้ชม ส.ส. ประเภทสอง ลองมองย้อนหลังซิว่า ส.ว. ปัจจุบันที่มีอยู่ 250 คน คัดโดยใคร คือคัดโดยคนที่ยึดอำนาจ จริงๆ แล้วผมไม่อยากจะพูดว่า 3 ป. มีลักษณะคล้ายๆ คณะราษฎร 2475 จริงๆ

รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่าถ้าขืนเป็นแบบนี้ เท่ากับไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นของปวงชนชาวไทย แต่เป็นของคณะใดคณะหนึ่ง แล้วไปตรากฎหมายที่เอาแต่พวกพ้องอย่างเดียว อย่างนี้ท่านถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ รัชกาลที่ 7 ก็เลยเขียนพระราชดำรัสเอาไว้ว่า "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"


ท่านผู้ชมครับ อันที่จริงแล้วนักการเมืองที่เป็น ส.ส. ประเภทที่สอง ที่คัดเลือกกันมาเอง อย่างงที่ผมเรียนให้ทราบครับ ไม่ได้ต่างจาก ส.ว. ชุดปัจจุบันเลย แต่พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังที่ท่านได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อประชาชนโดยทั่วไป ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยท่านผู้ชมครับ 3 ป. ยึดอำนาจมา บอกว่าจะปฏิรูปโน่นปฏิรูปนี่ ปฏิรูปอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำเลยแม้แต่ข้อเดียว มีความละม้ายคล้ายคลึงกันระหว่างกลุ่ม 3 ป. กับกลุ่มคณะโจร 2475

ในที่สุดแล้ว เมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ ก็ต้องมีการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ คือ รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล แต่พระองค์ท่านทรงพระเยาว์มาก ก็เลยต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ คณะผู้สำเร็จราชการมี 3 ท่าน ท่านที่หนึ่ง คือ พระองค์เจ้ากรมหมื่นวัตน์จาตุรนต์ ประธานผู้สำเร็จราชการ ท่านที่สอง คือ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และท่านที่สาม คือ เจ้าพระยายมราช


ท่านผู้ชมครับ เรามาดูถึงความสำคัญของการตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ มันคืออะไร ? ก็คือ พอไม่มีพระมหากษัตริย์แล้ว เพราะรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ รัชกาลที่ 8 ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ สภาฯ ก็ต้องเลือกคณะผู้สำเร็จราชการปฏิบัติแทนพระองค์ ไม่มีพระมหากษัตริย์จริงๆ อยู่ในแผ่นดินสยามในเวลาตอนนั้น ทีนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ มีการเอาทหารในคณะราษฎรเข้าสู่วัง มีคนอยู่สองคนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ผมเคยพูดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 156 วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 คือ หนึ่ง เรือเอก วัน รุยาพร อดีตคณะราษฎรสายทหารเรือ จากเดือนมีนาคม 2478 ที่รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ 1 พฤษภาคม 2478 เรือเอก วัน รุยาพร ก็ย้ายจากกระทรวงกลาโหม มารับตำแหน่งเลขานุการสำนักพระราชวัง คือได้มีการวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


สอง พอ เรือเอก วัน ย้ายมาวันที่ 1 พฤษภาคม อีกสามเดือนให้หลัง วันที่ 1 สิงหาคม 2478 ขุนนิรันดรชัย หรือ สเหวก นิรันดร ในตอนนั้น ซึ่งเป็นอดีตคณะราษฎรสายทหารบก เป็นคนใกล้ชิดหลวงพิบูลสงคราม ใกล้ชิดหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และทั้งสองท่านใกล้ชิดหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ทั้งคู่ คือทั้ง ร้อยเอก วัน และขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร) สรุปง่ายๆ คือเหมือนมือซ้าย-มือขวาของ จอมพล ป. แล้วก็ใกล้ชิดกับ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ทั้งคู่ได้ย้ายจากเลขานุการนายกรัฐมนตรี มารับตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ เตรียมตัวแล้ว เตรียมตัววางแผนปล้นทรัพย์ของพระมหากษัตริย์


หมายความว่าอะไร ? หมายความว่า ท่านหนึ่ง คือ เรือเอก วัน คุมสำนักพระราชวัง อีกท่านหนึ่ง ขุนนิรันดรชัย ไปประกบคณะผู้สำเร็จราชการ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีพระมหากษัตริย์ แต่ทั้งสองท่านมาจากอดีตฝ่ายการเมืองที่มาจากคณะราษฎร

ทำไมผมถึงต้องโยงสองท่านนี้ ? คำตอบก็คือว่า เพราะเป็นกลไกจากฝ่ายการเมืองที่เข้าไปคุมในส่วนของวัง

ห้าวันให้หลัง วันที่ 6 สิงหาคม 2478 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณากฎหมายหลายฉบับ หนึ่ง มีการจัดตั้งศาลพิเศษ ไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม ศาลพิเศษนี้ประหารใครก็ได้ สั่งใครจำคุกก็ได้


สอง ปรับปรุงทบวง กรม แก้ไขเพิ่มเติม 6 สิงหาคม ชัดเจนว่าวันที่ 6 สิงหาคม วันนั้น หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ แก้ไขเพิ่มเติมในเรื่อง พ.ร.บ. ปรับปรุงทบวง กรม ทั้งหลาย แล้วให้สำนักพระราชวัง และราชเลขานุการในพระองค์ อยู่ในความบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่คณะผู้สำเร็จราชการอีกต่อไป แปลว่าอะไร ? แปลว่า เมื่อส่งคนเข้าไปแล้ว ก็เอาอำนาจมาอยู่ฝ่ายนายกฯ เท่ากับว่าอำนาจนี้สมัยก่อนอยู่ที่คณะผู้สำเร็จราชการ 3 ท่าน ที่ผมประกาศไปแล้ว หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ พอเห็นพร้อมแล้วก็เลยโยกย้ายอำนาจทั้งหมดให้ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ในที่สุดแล้ว นี่คือการเดินหมากเพื่อให้บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้หลุดลอยไปในท้ายที่สุด


เรามาดูต่อว่าผลที่ตามมาคืออะไร ? วันที่ 11 สิงหาคม 2478 ราชกิจจานุเบกษาประกาศลง พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม แก้ไขเพิ่มเติม ให้สำนักพระราชวังและทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี แสดงว่าส่งคนเข้าไป และส่งคนไม่พอ โยนอำนาจมาที่สำนักนายกฯ ในเรื่องของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เราสงสัยว่าเขาทำกันขนาดนี้ได้อย่างไร และเพื่ออะไร

12 สิงหาคม 2478 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์ ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปลงพระชนม์ด้วยข้อสงสัยสรุปกันว่า ใช้ปืนกรอกปากยิงตัวตาย นี่คือประธานผู้สำเร็จราชการ สาเหตุการตาย ตามหลักฐานนั้น ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงหลายปาก จนจริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ว่าท่านยิงตัวตายจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ตำรวจยุคนั้นได้บันทึกรายงานว่า ทรงประสบเหตุลำบากพระทัยในการปฏิบัติงาน ในฐานะทรงเป็นผู้จัดการพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระปกเกล้าฯ


เราไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ถ้าท่านไปอ่าน ท่านจะรู้ว่าคำให้การของหลายท่านเกี่ยวข้องกับการตายครั้งนี้ผิดปกติ และซ้ำรอย คล้ายๆ กับในหลวง รัชกาลที่ 8 อ้างว่ายิงพระองค์เอง

จากนั้นก็มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการชุดใหม่ อันมีเจ้าพระยายมราช ท่านเดิม พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ขึ้นเป็นประธานผู้สำเร็จราชการ ซึ่งพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ใกล้ชิดกับท่านปรีดี พนมยงค์ มาก และใกล้ชิดกับหลวงพิบูลสงคราม ด้วย


แต่ทั้งท่านเจ้าพระยายมราช และ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ต้องทำงานร่วมกับ ขุนนิรันดรชัย ซึ่งย้ายมาจากเลขาฯ นายกฯ มาอยู่ในกิจการส่วนพระองค์ ส่วนท่านที่สามเป็นท่านใหม่ คือ เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ซึ่งที่มา มาจากความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งครึ่งหนึ่งคือประเภทที่สอง มาจากคณะราษฎร

เหตุการณ์ถัดมาก็คือ มาตรา 7 เข้าไปถึงก็ทำเรื่อง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2479 แล้วเขียนมาตรา 7 เอาไว้ว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะโอนหรือจำหน่ายได้ แต่โดยในพระบรมราชานุมัติ เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ข้อความนี้หมายความว่าอะไร ?


ข้อความที่ว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะโอนหรือจำหน่ายได้ แต่โดยในพระบรมราชานุมัติ เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ข้อความนี้แปลว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถ้าออกกฎหมายฉบับนี้แล้ว มาตรา 7 ต้องโดยพระบรมราชานุมัติ ซึ่งตอนนั้นพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ จะมีพระบรมราชานุมัติได้อย่างไร คนที่ทำหน้าที่แทนก็คือคณะผู้สำเร็จราชการที่แต่งตั้งมาโดย ส.ส. 2 ประเภท ที่คณะราษฎรแต่งตั้งไปอยู่ส่วนหนึ่ง ประเภทที่สอง และที่สำคัญก็คือว่า ต้องเป็นประโยชน์เพื่อพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์สาธารณะ สองข้อนี้สำคัญ

ท่านผู้ชมครับ มันเกิดกระบวนการความโลภว่า ระหว่างกฎหมายยังไม่ออก คณะราษฎร กับพรรคพวก ก็รีบดำเนินการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินสถาบันกษัตริย์ให้กับนักการเมือง ข้าราชการ เพราะทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีเยอะมาก

ปรากฏว่า 1 มีนาคม 2480 พระราชบัญญัติเสร็จแล้ว ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 14 มิถุนายน 2480 พ.ร.บ. นี้ได้ถูกตราโดยคณะผู้สำเร็จราชการตราไว้เสร็จแล้ว เสร็จแล้วก็แปลว่าจะประกาศใช้อีกไม่กี่วัน


ปรากฏว่าประกาศลงราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 19 กรกฎาคม 2480 ในระหว่างนี้ ระหว่างแค่รอลงในประกาศราชกิจจานุเบกษา 35 วันเท่านั้น เกิดการโอนถ่ายไปให้นักการเมือง ส.ส. ข้าราชการทั้งหลาย แบ่งทรัพย์สินในราคาถูกๆ จ่ายเงินบ้าง ไม่จ่ายเงินบ้าง สามสิบห้าวันนี้เป็นสุญญากาศ พวกโจรพวกนี้กวาดต้อนทรัพย์สิน ที่ดินทั้งหลาย มาอยู่ในมือนักการเมือง

ท่านผู้ชมครับ ในหนังสือ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475ฯ" มีรายชื่อรวบรวมไว้แล้ว 21 คน ที่เอาทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในที่ดินพระคลังข้างที่กลายเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว มีรายชื่อโฉนดและราคาชัดเจน รวมทั้งของขุนนิรันดรชัย ด้วย นอกจากนี้ ยังมีเอกสารของ หม่อมหลวง ชัยนิมิตร นวรัตน บันทึกเอาไว้ 40 รายการ 36 คน ซึ่งรายการ 36 คนนั้น อาจารย์ปานเทพ ได้ตรวจสอบกับรายชื่อกับคดีศาลแพ่ง เป็นจำนวนเท่ากัน แสดงว่ามีคนเกี่ยวข้องกับการเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นของส่วนตัว 36 คน


ซึ่งเมื่อดูรายชื่อ-นามสกุล จะพบว่าเป็นคนดังทั้งนั้น หลายคนมีลูกหลานในแวดวงสังคม แวดวงไฮโซปัจจุบัน แต่มีข่าวว่า หลังจากถูกอภิปราย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในเดือนกรกฎาคม 2480 ก็มีการออกข่าวว่าบางส่วนได้คืนทรัพย์สิน เพราะว่าอับอายขายหน้ามาก แต่คืนจริงหรือเปล่า และคืนหมดจริงหรือเปล่า ผมกับอาจารย์ปานเทพ ค้นพบว่าในที่สุดแล้วไม่ได้คืนจริง

ท่านผู้ชมครับ คนแรกคือ เรือเอก วัน รุยาพร จากคณะราษฎร มาคุมสำนักพระราชวัง ซึ่งผมเล่าให้ฟังแล้วว่าอีกหลายสิบปีต่อมา เรือเอก วัน ถูกคำพิพากษาในศาลฎีกา วันที่ 18 เมษายน 2516 ในรัชกาลที่ 9 หลังจากในหลวง รัชกาลที่ 8 สวรรคตแล้ว ให้ เรือเอก วัน แพ้ เพราะว่าเรือเอกวัน เอาที่ดินไปโดยไม่จ่ายเงินด้วย โอนชื่อเข้าตัวเอง อ้างว่าจะจ่าย แต่ไม่จ่าย พอถูกทวงถามก็บอกว่าจะผ่อน แต่ก็ไม่ผ่อน


ที่น่าสนใจคือ คนอย่าง เรือเอก วัน รุยาพร จากเลขานุการสำนักพระราชวัง ไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพระคลังข้างที่ คุมที่ดินทั้งหมดในสำนักพระราชวัง พอเกิดเหตุปล้นพระราชทรัพย์ แบ่งแยกที่ดิน พวกอดีตสมาชิกคณะราษฎรแบ่งแยกที่ดินกันเอง หลังจากนั้นต้องถูกลงโทษใช่ไหม ? ไม่เลย หลังจากนั้นถัดไปอีก 1 ปี ปรากฏว่า เรือเอก วัน เป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่เสียเอง จากผู้ช่วยผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ ขึ้นตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ เติบโตยิ่งกว่าเดิม

แล้ว ขุนนิรันดรชัย ล่ะ ? คือปู่ของคุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร จากเดิมจากเลขาฯ นายกฯ มาเป็นผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ พอหลังจากเกิดเหตุปล้นพระราชทรัพย์ในช่วง 14 มิถุนายน ถึง 19 กรกฎาคม 2480 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2481 ขุนนิรันดรชัย ได้เลื่อนขั้นเป็น ราชเลขานุการในพระองค์ แล้วก็เลื่อนยศด้วย


ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ที่ไหน ? พวกนี้ทำความผิดชัดเจน แต่กลับได้เลื่อนยศ เลื่อนขั้นไปหมด เอาทรัพย์สิน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ประชาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย อาศัยช่วงกฎหมายยังไม่ออก สามสิบห้าวันนั้น แบ่งปันที่ดินกันเอง เป็นของส่วนตัว

ที่เหนือไปกว่านั้น ขุนนิรันดรชัย ก็ดี เรือเอก วัน รุยาพร ก็ดี อาศัยอำนาจในฐานะคนจากคณะราษฎรไปอยู่ในวัง ไปเป็นบอร์ด หรือกรรมการของธนาคารสยามกัมมาจล หรือธนาคารไทยพาณิชย์ ด้วย ก็รู้ไส้รู้พุงหมดว่าใครมาจำนอง ใครเป็นอย่างไร จะยึดที่ดินอย่างไร รู้ไส้รู้พุงทั้งหมด ที่สำคัญก็คือ ถือหุ้นเองต่างหาก ส่วนตัวด้วย ทั้งขุนนิรันดรชัย คนใกล้ชิด จอมพล ป. และ เรือเอก วัน รุยาพร ก็เข้าไปมีหุ้นส่วนตัวในธนาคารไทยพาณิชย์ด้วย เหนือไปกว่านั้น มีเงินมีทองมากขึ้น จากทหารตัวเล็กๆ ไปถึงขั้นตั้งธนาคารนครหลวงไทยได้


แล้วก็สนิทกันมาก เพราะทั้ง ขุนนิรันดรชัย และ เรือเอก วัน รุยาพร หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ มีเงินมีทองไปตั้งธนาคารอีกแห่ง คือธนาคารนครหลวงไทยได้เลย และนี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณธรรมนูญ นิรันดร ซึ่งเป็นลูกของขุนนิรันดรชัย ถึงเป็นเจ้าของธนาคารนครหลวงไทย และเข้าไปบริหารธนาคารนครหลวงไทย ในระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้ชมครับ เวรกรรมตามทัน ขุนนิรันดรชัย ซึ่งเป็นตัวละครที่สำคัญ ย้ำอีกทีนะครับ เป็นปู่ของคุณกิ๊ก เยาวณี นิรันดร ท่านเกิดป่วยขึ้นมา เป็นโรคความดันโลหิตสูง ขนาดบินไปรักษาที่เมโยคลินิก และโรงพยาบาลเซนต์แมร์รี ที่อเมริกา แล้วก็ต้องผ่าตัดสมอง เพราะหมอคิดว่ามีเนื้องอกในสมอง ผ่าตัดไปเสร็จ ไม่เจอเนื้องอก ผ่าตัดฟรี ร่างกายทรุดโทรมอ่อนแอมาก ไปรักษากับหมอที่อังกฤษ ผู้ที่เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 หมอบอกรักษาไม่ได้ ไม่รู้จะรักษาอย่างไร กลับมาบ้าน อ่อนแอลงมาก แล้วเส้นโลหิตในสมองก็แตก เป็นอัมพาต ตอนที่ ขุนนิรันดรชัย เส้นโลหิตในสมองแตก พูดกับลูกๆ ว่า เป็นเพราะผิดต่อการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา และยักยอกเอาพระราชทรัพย์มาเป็นของส่วนตัว อยากจะขอพระราชทานอภัยโทษ อยากจะถวายคืนที่ดินให้กับพระมหากษัตริย์ดังเดิม รู้สึกว่าผิดคำสาบานจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ทันที่จะได้ทำตามที่ตัวเองคิดก็เสียชีวิตไปก่อนก่อน


ท่านผู้ชมเชื่อไหม จากนั้นลูกๆ ของ ขุนนิรันดรชัย ก็เป็นอาการแบบนี้ เส้นสมองตีบ แตก อัมพาต คนล่าสุด คุณธรรมนูญ นิรันดร ที่อ้างว่าที่ดินที่ได้มาจากในหลวงรัชกาลที่ 8 พระราชทานให้ ปรากฏว่าปีถัดไป เส้นโลหิตในสมองแตกเหมือนกัน แล้วก็เสียชีวิต

ความน่ากลัวของสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ ขุนนิรันดรชัย บอกกับลูกๆ ปรากฏว่าเหลือลูกอยู่ 1 คน ชื่อ พลโท สรภฎ นิรันดร ลูกชายของขุนนิรันดรชัย ก็เลยรีบทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษตามคำสั่งเสียของบิดา และต้องการถวายที่ดินที่ยักยอกคืนไปให้หมด


ลูกชายเป็นทหาร พูดไปก็น้ำตาไหล ที่สำคัญ ท่านได้เปิดโปงขบวนการปล้นที่ดินพระคลังข้างที่ทั้งหมด โฉนดทั้งหมด รวมทั้งสิ่งที่ยังเปิดเผยไม่ได้ ก็คือการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ 8 เพราะพ่อเขาใกล้ชิด จอมพล ป. เปิดหมด แต่ขอข้อเดียว คือเรื่องคดีสวรรคต ให้เปิดเผยหลังจากที่ท่านเสียชีวิตแล้ว ก็คือหลังจากที่ พลโท สรภฎ เสียชีวิตแล้ว ลูกหลานของท่านขุนนิรันดรชัย ที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมรู้ว่าท่านเป็นคนที่มีเงินมีทอง คนเขามองว่าท่านรวย แต่จริงๆ แล้วที่ท่านรวยขึ้นมานั้น ท่านปล้นมาจากพระมหากษัตริย์ ปู่ของท่านเป็นคนปล้นมา ให้ท่านสำเหนียกเอาไว้บ้าง ท่านถึงจะไม่มีความอับอายขายหน้า ไม่รู้สึกผิด ก็ช่างท่านประไร แต่ท่านจำเอาไว้ ท่านดูพ่อของท่าน ปู่ของท่าน เวรกรรมมาจริง หรือไม่อีกทีท่านลองพิจารณาดูว่าชีวิตของท่านทุกวันนี้ ชีวิตกับครอบครัวมีความสุขไหม คอยดูครับ

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าพวกสมาชิกคณะราษฎร มันคือที่มาของทุนนิยมขุนนางไทย คุมภาคการเงิน ประกันภัย ประกันชีวิต และค้าข้าว


ความร่ำรวยทั้งหมดของขุนนางไทยจากคณะราษฎร บางคนตั้งธนาคารพาณิชย์ได้เลย ธนาคารเอเชีย ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารมณฑล (เดิมชื่อธนาคารไทย) ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเกษตร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กลุ่มประกันก็มี ไทยนิยมประกันภัย ประกันคุ้มภัย ไทยเศรษฐกิจประกันภัย สหนิรภัยประกันภัย คลังสินค้าแม่น้ำประกันภัย นครหลวงประกันภัย สุขสวัสดิ์ประกันชีวิต เมืองไทยประกันชีวิต สยามบริการประกันภัย กรุงเทพประกันภัย เป็นต้น


พอเกิดสงครามโลกปั๊บ ทุกอย่างก็เลยชะลอไป มีการยึดทรัพย์ส่วนพระองค์ รัชกาลที่ 7 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเขาทำอย่างไร ? รัฐบาล จอมพล ป. แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างหน้าด้านๆ ที่สุด นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยึดทรัพย์พระองค์ท่าน โยงไปจนถึงยึดวังศุโขทัย ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว

อาจารย์ปานเทพ ไปปตรวจมาหมดแล้ว 10 รายการ ที่มีการยึดทรัพย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการยึดทรัพย์พระองค์ท่าน ทั้งๆ ที่เป็นทรัพย์สินพระคลังข้างที่ และเป็นการลงพระนามในการใช้จ่ายที่พระองค์รักษาพระเนตรอยู่ที่ต่างประเทศ ด้วยพระองค์ที่เป็นพระมหากษัตริย์ และกฎหมาย พ.ร.บ. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2479 ยังไม่ทันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเลย ไปเอากฎหมายเอาผิดย้อนหลังพระมหากษัตริย์ได้ ยังไม่ประกาศเลยนะ ยังไม่มีผลเลยนะ แต่ไปเอาความผิดย้อนหลังได้

ท่านผู้ชมครับ เกิดบันทึกเรื่องว่า ศาลแพ่งไม่ยอมยึดทรัพย์ให้ เพราะว่าหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า อธิบดีศาลแพ่งท่านนั้นถูกโยกเลยนะครับ ถูกโยกไปเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา แล้วไล่ออกจากราชการฐานที่เกิดกระบวนการในการขัดขวางไม่ให้เกิดการยึดทรัพย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี คืออธิบดีศาลแพ่งท่านนี้ไม่ยอมยึดทรัพย์รัชกาลที่ 7 จอมพล ป. ก็เลยใช้อำนาจทางการเมือง โยกไปเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา แล้วไล่ออกจากราชการ เพราะว่าผู้พิพากษาคนนี้ขัดขวางไม่ให้มีการยึดทรัพย์พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี


ท่านผู้ชมครับ ที่สำคัญคือ การยึดทรัพย์ทำให้ทั้งสองพระองค์ไม่มีทรัพย์สินจะสู้คดีต่อ และอยู่ต่างประเทศ แพ้ศาลเดียวครับ ไม่ทันจะทำอะไรต่อ พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ในฤดูใบไม้ผลิ ที่อังกฤษ ท่านพูดว่า "อย่าหาว่าฉันเห็นแก่ตัวเลยนะ แต่ถ้าหากฉันตายไปแล้ว เล็ก (บุตรบุญธรรมของพระองค์ท่าน) กับมณี กลับไปอยู่เมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันขอร้อง ขออย่าให้เล็กไปรับราชการหรือไปเกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด ตราบเท่าที่หลวงพิบูลสงคราม ยังเป็นใหญ่อยู่ เพราะฉันถือว่าเขาเป็นผู้อยุติธรรมที่สุด ทั้งเป็นศัตรูของฉันด้วย"


ท่านผู้ชมครับ ในช่วงเวลานั้นยังมีการตั้งบริษัท ไทยนิยมพาณิชย์ ขึ้นมา ที่ทำงานไม่ทราบว่ายังอยู่หรือเปล่า อยู่ข้างๆ วัดตรีทศเทพ ตอนนี้ เมื่อเอาทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปแล้ว เอาไปทำอะไรกัน ? เอาไปตั้งบริษัท ไทยนิยมพาณิชย์ กลุ่มนักการเมืองอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร ลงทุนกัน 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาเงินจากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มาลงทุนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไรตั้งบริษัทลูกอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ไทยนิยมพาณิชย์ที่ตั้งมานั้น ไม่ต้องออกเงินเอง ใช้เงินกู้จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปลงทุน ได้เงินกู้ แล้วก็ขาดทุน ท่านผู้ชมคิดดูสิครับว่ามันชั่วร้ายขนาดไหน


จนในที่สุดรัชกาลที่ 7 ตรัสเอาไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ ว่า "ในขณะนี้มีคนไทยประณามด่าว่ากล่าวให้ร้ายป้ายสีฉันทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สักวันหนึ่งในอนาคต ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยจะจารึกไว้ว่าฉันเป็นนักประชาธิปไตย ฉันรักและหวังดีต่อประเทศไทยสักเพียงใด"


30 พฤษภาคม 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต

2484 มีการนำทรัพย์สินที่ยึดมา ยึดวัง ยึดทรัพย์สิน เตรียมประมูลในวันที่ 8 มกราคม 2485 เผอิญปลายปี ธันวาคม 2484 ญี่ปุ่นบุกพอดี ยุติการประมูล ไม่อย่างนั้นคงมีการขายทอดตลาดไปหมดแล้ว

เรามาพูดถึงวังศุโขทัยกันนิดหนึ่ง สมัยที่รัชกาลที่ 7 ทรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ในครั้งนั้น พระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และพระบรมราชินี ราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังศุโขทัย พระราชทานเป็นของขวัญในการอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์


จอมพล ป. มีคำสั่งให้กระทรวงสาธารณสุขย้ายมาอยู่ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2485 อยู่มาถึงแปดปี จอมพล ป. อยู่ในวังด้วยนะครับ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนั้น จอมพล ป. ยังถืออำนาจบาตรใหญ่มาก เพราะว่าเข้าสู้สงครามญี่ปุ่น ชาติต้องมีผู้นำถึงจะพาพ้นภัยได้ จึงเป็นลักษณะของการอำนาจนิยมในยุคนั้น มีการทำตราประจำ จอมพล ป. ยุคนั้นเป็นรูปไก่ แต่เหยียบคธาพญาครุฑไว้ ก็คือไก่ คือตัว จอมพล ป. แล้วเหยียบคธาครุฑ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ ในโรงหนังมีการยืนขึ้นเพื่อเคารพรูปของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และมีเพลงสรรเสริญ จอมพล ป.


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ในช่วงสงครามญี่ปุ่น มันมีถ้ำฤาษีสมบัติ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนเกิดสงครามทุกคนก็รู้ว่าทรัพย์สินอันมีค่า คือ พระแก้วมรกต และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และในพระคลังมหาสมบัติ ถูกเอาไปซ่อนไว้ที่ถ้ำฤาษีสมบัติ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจอมพล ป. นี่ล่ะครับ แล้ว จอมพล ป. ยุคนั้นมีความคิดที่จะตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เพชรบูรณ์ด้วย ถ้ำนี้ก็มีการตั้งฐาน เคยตั้งสำนักงานหลักฐานขึ้นมา แล้วซ่อนอยู่ในถ้ำอย่างมโหฬารมหาศาล


ที่น่าสนใจก็คือว่า หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ หลังจากนายกฯ เปลี่ยนไป ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเอาทรัพย์สินจากในถ้ำคืนกลับมา ใช้เวลาขนถ่าย 7 วัน 7 คืน แต่ที่น่าสนใจคือ มันมีทรัพย์สินหายไป เพราะหลังจากนั้นก็มีการคืนทรัพย์สิน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ท่านบอกว่า แม้แต่เครื่องยศหีบทองอันหนึ่งที่พระมงกุฎฯ พระราชทานให้ฉันในวันแต่งงาน ก็เก็บเอาไป จนเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้คืน


ในขณะที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานผู้สำเร็จราชการ ท่านบอกว่า จอมพล ป. ได้นำเครื่องพระสำอางของพระเจ้าแผ่นดิน และสมเด็จพระราชินี ไปใช้ โดยขุนนิรันดรชัย นำไปใช้เอง โดยข้าพเจ้าไม่ได้อนุญาต ไม่ได้ให้เลย ทำอย่างนี้ประจำ

ท่านผู้ชมครับ รายละเอียดเรื่องนี้ผมเคยคุยแล้วในตอนที่ 62 สรุปแล้ว ท่านผู้ชมครับ และแล้ววันนี้ก็มาถึง ที่ความจริงเรื่องนี้ต้องปรากฏเสียที รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนนี้ น่าจะเป็นบทสรุปเกี่ยวกับขบวนการคณะโจรปล้นสมบัติเจ้า ผมมันเป็นลูกเจ๊กลูกจีน ไม่ได้มีเชื้อผู้ลากมากดีอะไร ผมแซ่ลิ้ม บรรพบุรุษเป็นจีนไหหลำ อาจายร์ปานเทพ ก็เหมือนกัน แซ่พัว เป็นคนจีนไหหลำ แม่เป็นคนจีนแต้จิ๋ว ต่างอพยพมาเมืองไทยเพื่อพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย และราชวงศ์จักรี ด้วยกันทั้งสิ้น พวกผมไม่ใช่พวก Royalism หรือพวกคลั่งเจ้าอะไรทั้งสิ้น แต่พวกผมมีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระคุณของสถาบัน สำนึกในประวัติศาสตร์ เหล่านี้่เป็นความจริงและเป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ที่ถูกละเลยไปนาน


ทั้งหมดที่ผมพูดนี้ ถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในหนังสือ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475" จัดพิมพ์ใหม่ครั้งที่ 3 ปรับปรุงเพิ่มเติมภาคพิเศษ พร้อมเอกสารสำคัญทั้งหมด หนังสือเล่มนี้หนากว่าเดิม มีถึง 576 หน้า ท่านผู้ชมที่อยากจะได้หนังสือเล่มนี้ ติดต่อมาที่สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ หนังสือเล่มนี้มีคนซื้อไปเยอะ ยังเหลืออีกจำนวนไม่มากนัก

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็หมดลงแล้ว อาทิตย์หน้าเรามีเรื่องสนุกมากอยู่หลายเรื่อง เตรียมการไว้หมดแล้ว แต่ไม่อยากบอกล่วงหน้า เดี๋ยวคนที่เป็นจำเลยในเรื่องที่ผมจะพูดนั้น จะรู้ตัวก่อน เอาเป็นว่าสนุกก็แล้วกัน แล้วเราค่อยเจอกันใหม่วันศุกร์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น