xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : อย่าทำให้ประเทศไทยไม่มีทางออก! - เกมการจัดตั้งรัฐบาล กับสมการการเมืองในสายตา “สนธิ” - เลือกตั้ง 2566 กับสงครามสั่งสอนลุง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 19 พ.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น
- เลือกตั้ง 2566 กับสงครามสั่งสอน "3 ลุง"
- เกมการจัดตั้งรัฐบาล กับสมการการเมืองในสายตา “สนธิ”
- สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง- นับถอยหลัง 4 ปี “ซ้ายจัด” ครองประเทศ คำเตือน ก่อนจะ “พลิกแผ่นฟ้า คว่ำแผ่นดิน”
- ทำไม การเลือกตั้ง14 พฤษภาคม 2566 ไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย
?

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.189



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 190 [19 พ.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 สวัสดีแฟนรายการทั้งหลายที่กำลังชมการถ่ายทอดสดที่ Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok วันนี้ก่อนเข้ารายการจะขอเอาข้าวของที่ท่านผู้ชมอาจจะลืมไปแล้ว ท่านผู้ชมเคยทานปลาแท่งหรือยัง หรือว่าหมูแท่ง ซึ่งขายดิบขายดีมาก ตลอดจนโอเลี้ยงที่ผมสั่งมาทาน หมูแท่งของร้านนี้ ที่ SUN PAN หมูแท่งเป็นหมูที่ไม่ผสมแป้ง หมูแท่งกระปุกละ 170 บาท ปลาแท่งก็เช่นกัน 170 บาท ทานกับส้มตำ ทานเล่นก็ได้ อร่อยเหมือนกัน ทานแล้วหยุดไม่ได้เลย ต้องระวัง ผมลองมาแล้ว ยังมีอีกสูตรหนึ่งก็คือ โอเลี้ยงโบราณ สูตรคุณแม่ผมเอง ผมเอาโอเลี้ยงมาใส่บล็อกน้ำแข็ง ทำเป็นน้ำแข็งโอเลี้ยง ซึ่งจริงๆ แกะบล็อกออกมาแล้วก็ใส่น้ำแข็งลงไป ไม่ต้องใส่น้ำเลยก็ได้ แล้วก็เอาอะไรจิ้มๆๆ ให้มันเป็นเหมือนไอติม เอาช้อนตัก อร่อยมาก

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจะซื้อโอเลี้ยง หรือหมูแท่ง/ปลาแท่ง ได้ที่ร้าน SUN PAN อยู่ในปั๊ม ปตท. วิภาวดีฯ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หรือจะสั่งซื้อที่ร้านพอดีช้อป ถนนพระอาทิตย์ ก็ได้


มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเรียนให้ทราบ สำหรับท่านผู้ชมที่มีปัญหาเรื่องต่อมลูกหมาก อายุมากขึ้น คนเราก็มีปัญหาเรื่องปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะไม่สุด เกิดจากภาวะต่อมลูกหมากโต ผมได้เคยพูดกับท่านผู้ชมไปแล้วว่าผมหายจากอาการเหล่านี้ได้เพราะว่าผมใช้ยาสมุนไพรของอาจารย์ปานเทพ หลังจากผมพูดเรื่องนี้ออกไป ปรากฏว่าคอลเซ็นเตอร์รับสายแทบไม่ทัน คนที่ประสบปัญหาต่อมลูกหมากมีเยอะมาก ต้องการสมุนไพรจากอาจารย์ปานเทพไปรักษาอาการ วันนี้ผมต้องพูดอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าท่านผู้ชมที่มีปัญหาเรื่องต่อมลูกหมาก หรือญาติกำลังเป็นอยู่ หากสนใจจะเข้ารักษาอาการโรคต่อมลูกหมากให้หายขาด ผมอยากให้ติดต่อไปที่ MW CLINIC


MW CLINIC เป็นคลินิกทางเลือกในการดูแลสุขภาพ โดยมีคุณหมอเพชร ซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แบบบูรณาการ โดยใช้ศาสตร์แพทย์ตะวันออกประสานกับเทคโนโลยีแพทย์ตะวันตก และเป็นสถานที่สำหรับท่านที่ต้องการรับยาสมุนไพรสำหรับรักษาโรคต่อมลูกหมากโตของอาจารย์ปานเทพอีกด้วย ถ้าท่านสนใจเข้าไปขอรับคำปรึกษาด้านสุขภาพที่ MW CLINIC ได้ ผมจะขึ้นเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เหมือนสัปดาห์ที่แล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เราจะพูดถึงประเด็นใหญ่เพียงประเด็นเดียว ซึ่งเชื่อว่าท่านผู้ชมทั้งหลายกำลังรอฟังอยู่ คือสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา

ผมจะเล่าเป็นธีมให้ฟัง คือผมจะพูดถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผมจะเริ่มตั้งแต่ที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนถึงวันเลือกตั้ง สถานการณ์ปัจจุบันหลังเลือกตั้ง กับเกมการจัดตั้งรัฐบาล และผมจะทำนายแนวโน้มของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เชื่อมโยงกับประเทศไทย และสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยพิจารณาบทเรียนจากประเทศเช่นยูเครน

ก็คือผมจะพูดเรื่อง เลือกตั้ง 2566 เป็นสงครามสั่งสอนลุง ผมจะพูดเรื่องเกมจัดตั้งรัฐบาลกับความเป็นไปได้ทางการเมือง และผมกำลังพูดถึงสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง นับถอยหลัง 4 ปี ซ้ายจัดจะครองประเทศ คำเตือนก่อนจะพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดิน และสุดท้ายผมก็จะจบลงด้วยข้อเขียนและข้อคิดของคุณทนง ขันทอง ซึ่งผมถือว่าเป็นกัลยาณมิตรในเรื่องความคิด ปรัชญา แนวทางของผม ว่าทำไมการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ถึงไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย

เลือกตั้ง 2566 กับสงครามสั่งสอนลุง

ท่านผู้ชมครับ เรามาย้อนถึงวันที่ 14 กันอีกครั้งหนึ่ง วันเลือกตั้งที่ผ่านมา เราคงไปลงคะแนนเสียงกันทุกคน ผมก็ไป ตั้งแต่เช้า หน่วยเลือกตั้งที่ 3 แขวงชนะสงคราม ผมเลือกเสร็จผมก็กลับบ้านพักผ่อน สวดมนต์ อ่านหนังสือ ติดตามข่าวสารต่างๆ คือเป็นกิจวัตรประจำสุดสัปดาห์ของผมโดยที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว และผมไม่ได้มีความตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ที่ผมเห็นคือ งวดนี้คนไทยกระตือรือร้นมาก เปอร์เซ็นต์ของคนที่มาลงคะแนนเสียงเบ็ดเสร็จแล้ว 75.22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าปี 2562 เพราะปี 2562 มีใช้สิทธิ์ที่ 74.87 เปอร์เซ็นต์

ผมสังเกตอย่างหนึ่ง ตอนเช้าคนสูงอายุจะไปลงคะแนนเสียงกัน คิวยาวมาก จนถึงสิบโมง หลังจากนั้นแล้วมีแต่คนหนุ่ม วัยรุ่น ทยอยลงจนกระทั่งปิดหีบ

ผลการเลือกตั้งคราวที่แล้วคงพอรับทราบแล้วว่าเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง รับรองผลอย่างเป็นทางการ เอาเป็นว่าเราก็รู้อยู่แล้วว่าพรรคก้าวไกลมาที่หนึ่ง มี 152 ที่นั่ง รองลงมาคือ เพื่อไทย 141 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 70 ที่นั่ง ก็ยังดีนะที่พรรคภูมิใจไทยได้มากกว่าคราวที่แล้ว 10 ที่นั่ง ถ้าได้น้อยลงกว่าเก่า คราวนี้พี่ชูวิทย์ของผมก็คงจะออกมาตีปี๊บเลยว่าที่ได้น้อยลงเป็นเพราะฝีมือพี่ชูวิทย์ การที่ได้มากขึ้น ทำให้คุณชูวิทย์ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เป็นเพียงแต่ยังขวางไม่ให้ภูมิใจไทยเข้ามาร่วมรัฐบาลอะไรทั้งสิ้น


ผมจะพูดถึงเรื่องผลการเลือกตั้งที่ออกมามันคืออะไร มันสะท้อนให้เห็นความจริงอย่างไรบ้าง ข้อที่หนึ่ง มันเป็นการพ่ายแพ้อย่างราบคาบของกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่โหนเจ้า โหนสถาบัน รวมทั้งกลุ่มโหนเจ้าประเภทบ้าคลั่ง เป็นการตอกย้ำและบทพิสูจน์ที่บ่งชี้ให้เห็นที่ผมพูดไปแล้ว และไม่ใช่แค่พูดครั้งที่แล้ว ผมพูดก่อนล่วงหน้าแล้วว่า "สองลุง" อยู่นาน 8-9 ปี กลุ่มต่อต้านสถาบันกลับขยายตัวมากขึ้น รุนแรงขึ้น และในที่สุดก็มีสงครามสั่งสอนด้วยการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม

ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ บริหารงานล้มเหลวในหลายประเด็นใหญ่ เยอะแยะไปหมด จะให้ผมพูดในรายละเอียดก็คงไม่จำเป็น เพราะว่าท่านผู้ชมคงว่าไปแล้ว พูดเป็นหัวข้อดีกว่า


คือ ข้อที่หนึ่ง การคอร์รัปชัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เป็นวาระแห่งชาติตั้งไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใกล้ตัว นาฬิกายืมเพื่อนของลุงป้อม หลานชายของลุงตู่ ซึ่งเป็นลูกชายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ร่ำรวยจากการได้งานราชการหลายร้อยล้านบาท มีที่มันทุเรศทุรังก็คือ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่คอยควบคุมคอร์รัปชัน ก็คอร์รัปชันเสียเองจนตัวเงอร่ำรวยผิดปกติเป็นร้อยๆ ล้าน มิหนำซ้ำยังถูกศาลจำคุกเพราะยื่นบัญชีฯ อันเป็นเท็จ

อีกเรื่องที่ชัดเจนคือ กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวในทุกมิติ ตั้งแต่ปลายน้ำ ตำรวจ อัยการ ศาล หลักฐานมีกลาดเกลื่อนไปหมด เอาเรื่องใหญ่ๆ ง่ายๆ ก็คุณวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง กรณีที่ยังหนีศาลอยู่ทุกวันนี้ หนีหมายจับอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่มีการดำเนินการอะไรที่เป็นรูปธรรมว่าพยายามที่จะเอาตัววรยุทธกลับมา

กรณีตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลซิปเม็กซ์ (Zipmex) กรณีมาเฟียจีนตู้ห่าว เจ้าของเว็บพนันเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแทนไทป้ายแพง ฟลุ๊ค Mawinbet ถูกจับกุมแต่กลับหลุดคดีได้เพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง


ท่านผู้ชมครับ 9 ปีที่ผ่านมา พวกลุงๆ อยู่ในอำนาจ ลุงตู่ ลุงป้อม ลุงป๊อก รัฐราชการยิ่งขยายใหญ่โต แต่กลับอุ้ยอ้าย ไร้ประสิทธิภาพ การจัดสรรงบประมาณปี 2566 เห็นได้ชัดเลยว่า เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินงบประมาณนั้น เอามาใช้ในเรื่องเงินเดือนข้าราชการ งบรายจ่ายบุคลากรัฐ และภาครัฐอื่นๆ ค่ารักษาพยาบาล บำเหน็จ บำนาญ เงินช่วยเหลือ เลื่อนเงินเดือน เงินสมทบ เยอะแยะไปหมด เหลือเพียงแค่เงินรายจ่ายในการลงทุนเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ หรือ 690,000 ล้านบาท ส่วนเงินที่เอามาเก็บเอาไว้เป็นจ่ายชำระดอกเบี้ยเงินกู้นั้นก็อยู่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกัน รัฐราชการขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ 9 ปีที่ผ่านมา กองทัพ ทหาร ตำรวจ กลับอ่อนทั้งข้างนอกและอ่อนทั้งข้างใน คือพูดง่ายๆ ว่าทั้ง 3 ป. ลุงตู่ ลุงป้อม ลุงป๊อก กุมอำนาจทางความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จ ทหาร ตำรวจ มหาดไทย กลับไม่ได้ทำให้ชาติมีความมั่นคงอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว โดยในแวดวงตำรวจ และทหาร มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งการคอร์รัปชัน เหตุโศกสลด เหตุฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเน่าเฟะ และเละเทะของระบบกองทัพ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ท่านผู้ชมคงจำได้กรณีจ่าคลั่ง ที่เป็นการกราดยิงที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย พอสืบหาสาเหตุแล้วก็พบว่า จ่าคลั่งคับแค้นใจเนื่องจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ กรณีบ้านจัดสรรโครงการสวัสดิการทหาร และธุรกิจในค่ายทหาร ซึ่งเกิดขึ้นในยุคที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ปัจจุบันเป็นรองราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง เป็นผู้บัญชาการทหารบก ท่านก็ออกมาฟิตใหญ่จะแก้นู่นแก้นี่ แต่ในที่สุดแล้ว มาวันนี้ ระบบก็ยังเหมือนเดิม

หรือกรณีโศกนาฏกรรมหนองบัวลำภู ที่อดีตตำรวจยศสิบตำรวจเอก ชื่อ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ ออกมาฆ่าเด็กเยอะแยะไปหมด หรือว่ากรณีเรือรบหลวงสุโขทัยอับปางอย่างมีเงื่อนงำ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 มีคนเสียชีวิตไป 24 ราย แล้วท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าครับ จนถึงวันนี้ ปัจจุบันกองทัพเรือยังหาผู้รับผิดชอบในกองทัพเรือมารับผิดชอบไม่ได้

นี่ยังไม่นับเรื่องอื้อฉาวอื่นๆ ในกองทัพที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรือดำน้ำที่ซื้อจากจีนแล้วมีปัญหา หาเครื่องยนต์ไม่ได้ ย้อนไปอีกถึงเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT-200 กรณีเรือเหาะ หรือบอลลูนตรวจการณ์ของกองทัพบก ที่ซื้อมาด้วยเงิน 350 ล้านบาท แต่ใช้งานไม่ได้ ถูกปลดประจำการหลังจากซื้อมา 8 ปี ยังไม่นับถึงประเด็นแก๊งพนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งฟอกเงิน แก๊งทุนจีนสีเทา สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนทั้งประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมากมายมหาศาล เมื่อโยงไปโยงมา ที่ผมได้ออกรายการไปหลายครั้งแล้ว ก็ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพันกับคนใกล้ชิดของ 2 ป. คือ ป.ประยุทธ์ และ ป.ป้อม เรื่องพวกนี้ผมเล่าให้ฟังแล้วตั้งหลายต่อหลายตอนที่ผมออกไป


ประเด็นมันอยู่ที่ไหน ? ประเด็นมันอยู่ที่ว่า จากหลักฐานที่ประจักษ์ชัด เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ บางข่าวเป็นเรื่องอื้อฉาวดังไปทั่วโลก ผมก็ถามติ่งท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ติ่งลุงตู่ และติ่ง 3 ลุง ทั้งหลายที่ชอบออกมาพูดโดยอ้างว่า ลุงๆ อยู่มา 8-9 ปี แต่ไม่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่มีข้อครหาเรื่องคอร์รัปชัน แล้วเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังมันเป็นอะไรครับ ? มันเป็นข่าวปลอมหรือเปล่า ข่าวมโน ข่าวเฟกนิวส์หรืออย่างไร

ที่สำคัญ 8-9 ที่ผ่านมา อยู่ในอำนาจทั้ง 3 ลุง 3 ป. กุมอำนาจในการควบคุมดูและจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งนายกรัฐมนตรีคุมตำรวจ ในช่วง 8-9 ปี 2 ลุง สลับกันนั่งเป็นประธาน ก.ตร. คุมทหารเช่นเดียวกัน 2 ลุง ก็สลับกันนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วน ป. ที่ 3 คือ ป.ป๊อก ก็นั่งรากงอกอยู่บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมายาวนานถึง 9 ปี จาก 2557 จนถึงวันนี้


อีกประเด็นหนึ่งคือความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคมสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้สำคัญ มันส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชน เนื่องจากในช่วง 8 ปีกว่าที่ผ่านมา นายทุนรวยขึ้นมาอย่างมากๆ ขณะที่ชนชั้นกลางจนลงๆ ตอกลิ่มด้วยปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้จะมีการผลักดันช่วยเหลือประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม แจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แล้ว แต่ว่ารายได้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย จนกระทั่งในที่สุด ในการเลือกตั้งที่ผ่านมานี้ พรรคการเมืองทุกพรรคออกนโยบายประชานิยมปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นหมดทุกพรรค

ท่านผู้ชมครับ ที่สำคัญอันสะท้อนให้เห็นชัดในกรณีปัญหาความทุกข์ยากของชาวบ้าน ผู้ประกอบการทั่วประเทศในปัจจุบัน คือประเด็นราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟแรง ค่าก๊าซแพง ค่าน้ำมันแพง ส่งผลทำให้ราคาสินค้า ค่าครองชีพ ความเป็นอยู่ สูงขึ้นอย่างชนิดที่เรียกว่าคนชนชั้นกลางทนแทบไม่ได้ และทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนจนก็ยิ่งลำบากมาก


ทั้งหมดที่ผมเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนี้ มันเป็นปมปัญหาที่ตอกลิ่ม ต่อด้วยความขัดแย้งระหว่างการแย่งชิงอำนาจกันระหว่าง 2 ลุง และคนรอบตัว เริ่มตั้งแต่การแย่งชิงอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐ ช่วงกลางปี 2563 ทำให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีมเศรษฐกิจ 4 กุมาร ต้องกระเด้งออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึงตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐด้วย ทั้งๆ ที่แต่เดิมนั้น นายอุตตม สาวนายน ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่วนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรคฯ ต้องออกเพื่อเปิดทางให้นักเลือกตั้งเข้ามากุมอำนาจและแบ่งสรรปันส่วนตำแหน่งรัฐมนตรี


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมทำความเข้าใจเสียใหม่ได้นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งติ่งลุงตู่ ทีม ดร.สมคิด นั้น เป็นทีมเทคโนแครต (Techocrats) ที่สร้างสรรค์และขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง EEC เป๋าตัง คนละครึ่ง เศรษฐกิจดิจิทัล ทีมเหล่านี้พอหลุดไป ทีมลุงตู่ก็ไม่มีใครขับเคลื่อนและสร้างสรรค์นโยบายเศรษฐกิจใหม่ๆ อีกเลย ต่อมาความขัดแย้งก็เริ่มขึ้นเรื่อยๆ คนใกล้ชิดของลุงป้อม คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เปิดศึกชนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงเดือนกันยายน 2564 ทำให้ลุงตู่สั่งปลดธรรมนัส และคุณนฤมล ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ เกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐเมื่อเดือนมกราคม 2565


เกมบัตรเลือกตั้งสองใบ ลุงป้อม จับมือกับลุงโทนี่ ฆ่าพรรคเล็ก เอื้อเพื่อไทย แต่สุดท้ายแล้ว ก้าวไกลเอาไปกิน ตาอิน-ตานาสู้กัน แต่ตาอยู่เอาไปกิน นี่ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญที่การเมืองออกมาในรูปโฉมปัจจุบัน คือดีลลับระหว่างลุงป้อม กับลุงโทนี่ ที่ดำเนินการมาปี 2564 ถึงช่วง 2565 จึงดำเนินการสำเร็จ คือการผ่านกฎหมาย แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ให้มาใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ แรกเริ่มเดิมทีเป็นการกำหนดเกมให้เหลือแค่พรรคใหญ่ที่จะได้เปรียบในสนามเลือกตั้งมากที่สุด เนื่องจากกติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ เลือกคนหนึ่งใบ เลือกพรรคหนึ่งใบ ตามสมการที่คิดกันขึ้นมา ผลลัพธ์คือพรรคขนาดใหญ่จะได้เปรียบ เพราะมีฐานคะแนนระดับพื้นที่ เมื่อได้ ส.ส. แบ่งเขตมาก ส.ส. บัญชีรายชื่อก็จะตามมามากด้วย ในยุคนั้น เวลานั้น พรรคพลังประชารัฐมี ส.ส. จำนวนมาก แล้วก็คิดว่าตัวเองจะได้เปรียบที่สุด โดยไม่ได้คิดถึงกระแสที่พวกลุงๆ ทั้งหลายไม่ได้ทำงานอะไรเลย และสร้างความพินาศฉิบหายให้กับชาติบ้านเมือง กับประชาชน เลยทำให้กระแสก้าวไกลกระโดดขึ้นมา

ด้วยเหตุบัตรเลือกตั้งสองใบนั้น ทำให้พรรคของลุงโทนี่ประกาศแคมเปญเพื่อไทยแลนด์สไลด์ออกมาทันที


หารู้ไม่ว่า ด้วยฝีมือ ถ้าลุงโทนี่ดูให้ดีๆ แล้วจะเห็นว่าฝีมือของการบริหารงานของลุงทั้ง 3 ลุงนั้น ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และในที่สุดแล้ว เมื่อคนไม่มีทางออก ก็ออกด้วยการลงคะแนนเสียงให้ และแน่นอนที่สุด ไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้ลุงโทนี่ฝ่ายเดียว กลับมองว่าพรรคก้าวไกลคืออนาคต ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดเลยกลายเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน หอกข้างแคร่ของตัวเองที่ชื่อว่า พรรคก้าวไกล

ท่านผู้ชมคิดดูก็แล้วกัน พรรคก้าวไกลได้คะแนนบัญชีรายชื่อสูงสุด ถึง 14.2 ล้านเสียง ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ น่าจะประมาณ 39 คน ส่วนพรรคเพื่อไทยที่เป็นตัวตั้งตัวตีเกี่ยวกับการแก้กฎหมาย กลับได้เสียงจากบัตรเลือกตั้งใบที่สองน้อยกว่า ได้แค่ 10.8 ล้านเสียง น้อยมากครับท่านผู้ชม มี ส.ส. บัญชีรายชื่อ 29 คน ต่างจากพรรคก้าวไกลถึง 10 คน


ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ไม่ต้องพูดถึง บัญชีรายชื่อได้แค่ 530,000 เสียง น่าจะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ เพียง 1 คน ก็คือลุงป้อมนั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ ความแตกหักกับการแย่งชิงอำนาจระหว่าง 2 ป. ในที่สุดก็นำมาสู่การแยกพรรค ขณะที่ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร ยึดพรรคพลังประชารัฐเอาไว้ ส่วนลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ส่งคนของตัวเองมาตั้งพรรคใหม่ของตัวเอง คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ เลยทำให้เกิดความสับสนใจกลุ่มอำนาจเดิม ทั้งเหล่า ส.ส. สมาชิกพรรค ต้องเลือกเดินว่าจะเอาลุงคนไหน ทำให้คนสนับสนุนถูกแบ่งแยกออกไปเช่นกัน ซึ่งถ้าหากสองคนนี้ไม่แตกแยกกัน โอกาสที่สองพรรคนี้ วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประมาณ 30 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 รวมกันแล้วก็น่าจะได้ 70-80 เสียง เผลอๆ อาจจะได้ถึง 100 เสียงด้วยซ้ำ ก็น่าจะเป็นพรรคอันดับสามแทนพรรคภูมิใจไทย

การแยกพรรคออกมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้เห็นว่าลุงตู่ยังหลงตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว คนเกลียด พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่าคนชอบ พล.อ.ประยุทธ์ และการที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความเบื่อหน่ายและเกลียดชังลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่ล่ะ


ผมเพิ่งพูดคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาให้ข้อคิดที่น่าสนใจมาก และผมก็เห็นด้วย ผมบอกว่าลุงตู่โดนคนรอบตัวหลอก หลอกอย่างไร ? สังเกตไหมเวลาลุงตู่ไปเยือนต่างจังหวัด ประชาชนที่เข้ามาห้อมล้อมลุงตู่เป็นการจัดฉากทั้งสิ้น เข้ามากอดคอลุงตู่ ขอเซลฟี่ด้วย ส่งความรักให้ ลุงตู่ก็ให้เหมือนกัน ให้แบบนี้ไปตลอดเวลา ลุงตู่ปลื้มใจมาก ทำไมจะไม่ปลื้มใจล่ะครับ เพราะว่าคนพวกนี้ถูกจัดฉากมาแล้ว ใครก็ตามที่คัดค้านลุงตู่ หรือออกมาตำหนิลุงตู่ หรือถึงขั้นด่าลุงตู่ ก็จะถูกหิ้วตัวออกไปเลย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ก่อนที่จะไปนั้น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ได้ตรวจแล้วว่ากลุ่มไหนบ้างที่ไม่เอาลุงตู่ ก็จะไปขอร้องไม่ให้มาต้อนรับลุงตู่ ก็เลยทำให้ลุงตู่หลงตัวเองโดยไม่รู้ว่าที่คนเขารักลุงตู่นั้นเป็นการจัดฉาก นี่คืออันตรายที่เกิดขึ้น ทั้งลุงป้อม ลุงตู่ ลืมไปว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น ลุงตู่ ลุงป้อม ตกเป็นจำเลยของคนที่เฮโลมาเลือกพรรคก้าวไกล เพราะเขารอโอกาสนี้ เพื่อชำระความแค้นที่สั่งสมมาตั้ง 8-9 ปีเต็มๆ แล้วเขาทำอะไรไม่ได้


14.2 ล้านเสียง ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคก้าวไกล เป็นบทพิสูจน์ว่าการวิเคราะห์ของผมนั้นไม่ผิด ปัจจัยเหล่านี้ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ทำให้หลายคนซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ หลายคนเคยเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และหลายคนเคยออกมาเป่านกหวีดกับ กปปส. ในช่วง 2556 - 2557 ก็ทนไม่ไหว โดยบอกว่าแม้จะกาเพื่อไทยไม่ลง แต่หันไปกาพรรคก้าวไกลเป็นจำนวนไม่น้อย จะเห็นได้ว่าในพื้นที่เกือบ 10 จังหวัดที่พรรคสีส้มได้ ส.ส. เขต เกือบทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ระยอง จันทบุรี ตราด ภูเก็ต และลำพูน เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเมืองใหญ่ๆ ที่ถูกครองด้วยพรรคการเมืองเดิมๆ อย่างเช่น เชียงราย เชียงใหม่ ชลบุรี ลำปาง ก็ถูกพรรคก้าวไกลเข้าแทรกซึม ยึดครองพื้นที่และเก้าอี้ ส.ส. อย่างมีนัยที่สำคัญ


ทั้งนี้ พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ใช้ปกป้องสถาบันไม่ให้ถูกละเมิดนั้น ได้รับชัยชนะ โดยได้รับคะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง มากกว่าพรรคการเมืองฝั่งเสรีนิยมดั้งเดิมที่ชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้งในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2544 อย่างพรรคของลุงโทนี่ คือพรรคเพื่อไทย

ท่านผู้ชมลองดูสิครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ลุงโทนี่พ่ายแพ้ พรรคเพื่อไทยไม่เคยแพ้มาก่อนเลย ที่สำคัญที่สุด ผมเข้าใจว่าที่เป็นที่เจ็บปวดหัวใจของลุงโทนี่และญาติพี่น้อง ก็คือ เชียงใหม่ถูกพรรคก้าวไกลเจาะไข่แดง กินไปเกือบหมดทั้งจังหวัด

ถัดต่อมา คือ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีใครคิดใครฝัน นึกมาก่อนว่าพรรคเพื่อไทยจะพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินหมากของลุงโทนี่ หรือทักษิณ ชินวัตร ที่พลาดแล้วพลาดอีกในการเลือกตั้งครั้งนี้ช่วงโค้งสุดท้าย ลุงโทนี่ได้ทวีตข้อความหลายครั้ง คล้ายกับพยายามเรียกคะแนนเสียงเพื่อให้เป็นไปตามแผนเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ว่าตนเองจะเดินทางกลับประเทศไทยภายในเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ เพื่อไปเลี้ยงหลาน


ท่านผู้ชมครับ การเดินหมากครั้งนี้ของลุงโทนี่มิเพียงไม่สามารถกระตุ้นกระแสแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยได้ แต่กลับเป็นการฉุดกระแสของลูกสาวและพรรคเพื่อไทย และในทางมุมกลับ กลับชูนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ในสายตาประชาชนให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากพรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่เป็นพรรคคนรุ่นใหม่จริงๆ และไม่ได้มีส่วนร่วมกับความขัดแย้งทางการเมืองก่อนหน้านี้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า พรรคก้าวไกลบอกว่าลุงโทนี่จะกลับมาติดคุกหรือไม่กลับมา ก็เรื่องของลุงโทนี่ เขาไม่สนใจแล้ว เขาต้องการที่จะล้ม 3 ป. และถ้าจำเป็นที่จะต้องล้มเพื่อไทย เขาก็จะทำ

เพราะอะไร ? เพราะพรรคก้าวไกล ภาพลักษณ์ยังดูใสซื่อบริสุทธิ์ เพราะว่าไม่เคยเข้าสู่อำนาจ ไม่เคยทำงานมาก่อน เหมือนอย่างที่ผมพูดไปตอนที่แล้ว


ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เราสรุปได้ว่าเป็นสงครามสั่งสอน 3 ลุง ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ลุงโทนี่ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพ่ายแพ้หมดอย่างไม่มีทรง ทำให้พรรคก้าวไกลของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคที่แท้จริง ก้าวขึ้นมาขี่กระแสการเมืองเป็นพรรคอันดับหนึ่งที่ได้สิทธิ์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก่อนใคร ซึ่งพิธาก็ประกาศก้อง แสดงความอหังการมมังการ เรียกตัวเองทันทีว่าเป็นนายกรัฐมนตรี และพร้อมจะจัดตั้งรัฐบาลทันที

วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม หลังจากที่ กกต. ประกาศผลคะแนนการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ก็เลยย้ำว่าพรรคก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นขั้วพรรคฝ่ายค้านเดิม จำนวน 309 เสียง ทันทีเลย

ประเด็นครับ นี่เองผมถึงบอกว่าการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนั้น เป็นสงครามสั่งสอนลุงทั้ง 3 ลุง ลุงตู่ ลุงป้อม และลุงโทนี่ อย่างไรก็ตาม เยาวชนคนรุ่นใหม่และเด็กหลายๆ คน ซึ่งยังอ่อนหัดกับเกมการเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง รวมทั้งคุณพิธา สมาชิกและสาวกพรรคก้าวไกลจำนวนมาก ณ เวลานี้ มาตีฆ้องร้องป่าวทึกทักเอาว่าพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือนายกรัฐมนตรีคนถัดไปของประเทศไทย ทั้งหมดนี้ลืมไปว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เสียงส่วนใหญ่ ซึ่งเขาเรียกว่า Majority จากการเลือกตั้ง ส.ส. ได้แค่ 152 เสียง จาก 500 เสียง คิดเป็นแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ของเสียงเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าได้เสียงส่วนใหญ่ เพราะถ้าได้เสียงส่วนใหญ่แล้ว ถ้าจะมาอ้างอิงแบบนี้ก็ย่อมอ้างอิงได้

ข้อที่สอง ขณะนี้มันไม่ใช่เกมการเลือกตั้ง มันจบไปแล้วนาย แต่มันเป็นเกมการจัดตั้งรัฐบาล คุณพิธาต้องหาแนวร่วมเพื่อรวบรวมเสียง ส.ส. ส่วนใหญ่ให้ได้มากที่สุดเสียก่อน คำถามคือ คุณพิธาหาได้หรือเปล่า เมื่อผ่านด่านแรก คือหาเสียงส่วนใหญ่ใน ส.ส. แล้ว มากกว่า 251 เสียง คือเกินไปแล้ว ด่านที่สองคือการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องอาศัยเสียง ส.ส. + ส.ว. รวมกันอย่างน้อย 376 เสียง คำถามคือ พรรคก้าวไกล โดยคุณพิธา เป็นหัวหน้าพรรค หาได้หรือเปล่า ซึ่งก็มีขบวนการสร้างความกดดันจากกลุ่มคนต่างๆ แม้กระทั่งหมอชนบทก็เข้ามาร่วมด้วย กดดัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องการแสง ทั้งๆ ที่แพ้อับอายขายหน้า บอกว่าให้ยกมือให้พิธา เพราะว่าพิธาชนะ เป็นเสียงส่วนใหญ่ มันไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ มันแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ของทุกเสียง มันยังมีพรรคเพื่อไทย มันยังมีพรรคพลังประชารัฐ มันยังมีพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังมีพรรคโน่นพรรคนี่ รวมทั้งพรรคภูมิใจไทยด้วย

ท่านผู้ชมครับ นี่คือความเป็นจริงทางการเมืองอันโหดร้ายที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกล จะต้องเผชิญ

เกมการจัดตั้งรัฐบาลกับสมการการเมืองในสายตา “สนธิ”

อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล ถึงแม้จะเป็นพรรคที่ชนะ ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง คือ 152 ที่นั่ง แต่ไม่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Majority จากการเลือกตั้ง ส.ส. ได้ที่นั่งประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ จากเสียง ส.ส. 500 ที่นั่ง เพราะฉะนั้นแล้ว ทำข้อตกลง ทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ คณิตศาสตร์ไม่โกหก ฉะนั้นการที่บอกว่าพรรคก้าวไกลได้ 152 เสียงแล้ว เท่ากับว่าชนะหมดทุกอย่าง มันไม่ใช่ แค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ซึ่งสภาวะทางการเมืองหลังวันที่ 14 พฤษภาคม เมื่อจบโหมดการเลือกตั้งแล้ว เวลานี้ไม่ใช่เกมเลือกตั้ง แต่เป็นโหมดของการจัดตั้งรัฐบาล ด่านแรกที่พรรคก้าวไกลต้องผ่านก็คือ หนึ่ง พรรคก้าวไกลต้องแสวงหามิตร หาแนวร่วมเพื่อรวบรวมเสียง ส.ส. ส่วนใหญ่ให้ได้มากที่สุดเสียก่อน ก็คือ ส.ส. 251 เสียง ซึ่งหาได้อยู่แล้ว

เมื่อผ่านด่านแรกแล้ว ก็ต้องผ่านด่านที่สอง คือด่านการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องอาศัยเสียง ส.ส. + ส.ว. รวมกันอย่างน้อย 376 เสียง ผมเข้าใจว่าทางพรรคก้าวไกลและคุณพิธากำลังดิ้นรนอย่างเต็มที่ รวมทั้งใช้โซเชียลมีเดียกดดัน ส.ว. ให้ลงคะแนนเสียงให้กับรัฐบาล และให้คุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี


ประเด็นสำคัญที่เป็นก้างขวางคอพรรคก้าวไกลกับพรรคอื่นๆ ไว้จนเป็นเหมือน deadlock คือการที่คุณพิธาชูนโยบายการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เรายังไม่ได้พูดถึง ก้าวล่วงไปถึงนโยบายปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ซึ่งไปไกลมากๆ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ตอนนี้มีการพูดถึงสูตรผสม ส่วนผสมทางการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลายสูตรมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อไป เพราะว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ดี มันมีคำพูดหลายคำที่สำคัญ ผมอยากจะหยิบยกมาให้ดู พรรคเพื่อไทยนั้น คุณทักษิณวางเฉย แต่รอเสียบ

วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม หลังเลือกตั้ง 1 วัน คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร แดนดิเดตนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงว่า ไม่มีแนวคิดจะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับก้าวไกล


ก็คือพูดง่ายๆ ว่า คุณอุ๊งอิ๊งกำลังจะบอกว่า ทั้งหมดนี้ก้าวไกลเอามาร่วม ไม่ขัดข้อง แต่เป็นหน้าที่ของก้าวไกลต้องหาให้ครบ 376 เสียง พรรคเพื่อไทยจะนั่งเฉยๆ ไม่ยุ่ง ทีนี้ถ้าก้าวไกลผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยไม่โดนยุบพรรค พิธาไม่โดนตัดสิทธิ์ ก็ต้องดีลให้จบว่าจะเอาอย่างไรกับเสียงที่ขาดหายไป แล้วก็ออกมาแถลงแล้วว่า ถ้าไม่แถลงแล้วทอดเวลายืดไปเรื่อยๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะรักษาการต่อไปอย่างไม่มีกำหนด สังคมก็จะรับไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เพื่อไทยจะมีโอกาสขึ้นมานำเกมโดยไม่ต้องออกตัวอะไรเลย ก้าวไกลขาดเพื่อไทยไม่ได้ถ้าต้องการเป็นรัฐบาล ถ้าคุณพิธาอยากเป็นนายกฯ แต่เพื่อไทยขาดก้าวไกลได้

คนเลือกก้าวไกลอาจจะต้องก่นด่า แล้วก็เป็นเจ้าโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว ก็คงจะถล่มแหลก แต่ก็ต้องยอมเพราะไม่อย่างนั้นจะติดสุญญากาศทางการเมือง เพราะจะกลายเป็นว่ายกประโยชน์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการไปเรื่อยๆ ซึ่งจากกระแสการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ชัดแล้วว่าคนที่เหลือก้าวไกลอาจจะไม่ได้ชอบก้าวไกลทุกคน แต่ก็ทนการบริหารงานภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ไหว หรือพูดง่ายๆ ว่าเขาไม่ชอบทั้งสองลุง

คนอาจจะด่า กดดัน ส.ว. ที่ไม่โหวตให้พิธาเป็นนายกฯ จนการตั้งรัฐบาลยืดเยื้อ แต่ไว้แค่นั้น แต่ก้าวไกลก็สามารถที่จะยื้อไปได้เรื่อยๆ รอจนกระทั่งถ้าไม่ได้เสียง ส.ว. รอถึงพฤษภาคม ปีหน้า ก็อีกปีเดียว ก็จะใช้เสียงในสภาฯ ส่วนใหญ่เป็นการเลือกนายกฯ แต่ว่าการเข้าไปด่า ส.ว. ถล่ม ส.ว. เอาคนโน้นคนนี้มาถล่มนั้น ส.ว. ของรัฐบาลชุดนี้ เป็น ส.ว. ที่พิเศษ เพราะว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว มีธงอยู่ในตัวเองแล้ว อาจจะมี ส.ว. บางส่วน 20-30 คน ที่ฉีกตัวออกไป ด้วยเหตุนี้เราน่าจะเห็นเกมการจัดตั้งรัฐบาลแบบยาวๆ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ รักษาการไปเรื่อยๆ ส่วนเพื่อไทย คนเลือกก็รอดูเฉยๆ พวกติ่งก้าวไกล หรือติ่งส้ม จะโวยวายหนัก ทนไม่ไหว


ท่านผู้ชมที่เพิ่งมาติดตามการเมืองต้องทราบว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่ลุงตู่ - ลุงป้อม เท่านั้นที่เจ็บ แต่ลุงโทนี่ก็เจ็บด้วย เพราะเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกในเวทีการเมือง 22 ปีที่ผ่านมา ทักษิณนั้นยอมรับว่า โดนกระแส disrupt จากกระแสพรรคก้าวไกล แม้ปากจะบอกว่ามีสปิริตทางการเมือง ขอสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ลึกๆ แล้วทักษิณและคนในพรรคเพื่อไทยรู้ว่าตอนนี้คู่แข่งของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่ทหารหรือฝ่ายอนุรักษ์นิยมแล้ว แต่เป็นพรรคก้าวไกล จริงๆ แล้วปากปราศรัย น้ำใจเชือดเฉือน ก็คือว่า ชมก้าวไกล ยินดี แต่ลึกๆ แล้วไม่ชอบก้าวไกล

เพราะฉะนั้นแล้ว นับจากวันปิดหีบเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เป็นต้นมา พรรคก้าวไกล และคุณทักษิณ รู้แล้วว่าถ้าพรรคเพื่อไทยไม่เปลี่ยนแปลง หรือ disrupt ตัวเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนาคตข้างหน้าพรรคเพื่อไทยก็จะสูญพันธุ์เช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้มีกระแสกดดันอ้างว่าทุกพรรคต้องโหวตให้พิธาเป็นนายกฯ นอกจากนี้แล้ว ประเด็นที่กำลังมีการกดดันให้พรรคอื่นๆ โหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพรรคที่ร่วมรัฐบาลด้วย แต่เป็นความต้องการของสังคมที่ออกมาพูด มีทั้งคนในพรรคก้าวไกล และพรรคอื่นๆ ที่กระโดดขึ้นมา อย่างเช่น คุณเศรษฐา ทวีสิน ก็ยืนยันว่าต้องเลือกคุณพิธา ตามกติการะบอบประชาธิปไตย โดยไม่ต้องรอให้ ส.ว. 250 คน ต้องออกเสียง คือพูดง่ายๆ ว่า เอาพรรคทุกพรรคมาเลือกคุณพิธา โดยที่ไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว.

นอกจากคุณเศรษฐาแล้ว ยังมีฝั่งอนุรักษ์นิยมอย่างเช่นพรรคประชาธิปัตย์ คุณอลงกรณ์ พลบุตร คุณเดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี และคุณณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ลูกชายของคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน พูดในทำนองเดียวกันว่า ควรจะให้พรรคที่ได้รับเลือกจากประชาชนอันดับหนึ่งเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล และเห็นด้วยเสนอให้พรรคลงมติสนับสนุนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ โดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาล


พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่น่าสนใจมาก ผมไม่รู้ว่าคุณอลงกรณ์พูดโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังให้พูดหรือเปล่า เพราะว่ากันว่าในการจัดตั้งรัฐบาลชุดพลังประชารัฐคราวที่แล้ว คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ (อันนี้ผมไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือเปล่านะ แต่ว่ามีหลายคนยืนยันว่าจริง) คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ยืนยันว่า ถ้าจะเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปร่วมรัฐบาล ต้องแต่งตั้งคุณชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ แล้วออกมาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็เลยไม่แน่ใจว่างานนี้คุณอลงกรณ์พูดโดยมีผู้ใหญ่ในพรรคบางคนอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า เพื่อที่จะเจรจากับพรรคก้าวไกลว่ามีทางไหมที่จะเอาคุณชวนเป็นประธานสภาฯ อีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ยืนยันข้อเท็จจริงนี้นะครับ แต่มีการพูดกันมาก

ท่านผู้ชมครับ ก็แล้วแต่ความเห็นแต่ละบุคคล แต่ละพรรค ที่สำคัญคือพรรคประชาธิปัตย์ ฐานเสียงอยู่ทางภาคใต้ คนใต้รักสถาบัน ส่วนใหญ่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณอลงกรณ์พูดไปแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าคนใต้จะคิดอย่างไรกับพรรคประชาธิปัตย์ จากการที่ล้มระเนระนาดในงวดนี้ อาจจะกลายเป็นงวดหน้าจะสูญพันธุ์ไปเลย 100 เปอร์เซ็นต์ และอีกอย่างหนึ่ง คุณอลงกรณ์เป็นคนเมืองเพชรบุรี คุณต้องรู้ว่าเพชรบุรี คนเมืองเพชรเป็นคนที่รักสถาบันกษัตริย์ คุณพูดโดยคุณถามคนเมืองเพชรหรือยัง เพราะฉะนั้นพี่น้องประชาชนชาวเพชรบุรีให้จำเอาไว้เลย ถ้าคุณอลงกรณ์พูดแบบนี้ ให้โหวตให้โดยที่ไม่แคร์ว่าพรรคก้าวไกลชูนโยบายล้มล้างมาตรา 112 และพร้อมที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ นี่คือนิสัยของคุณอลงกรณ์ ต้องการได้แสง หรือทำภายใต้คำสั่งของใคร แต่ผมอยากให้คนใต้ และคนเพชรบุรีสั่งสอนพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าทำอย่างนั้นจริง และสั่งสอนคุณอลงกรณ์ ที่เพชรบุรี อย่าให้ได้ผุดได้เกิดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าคนเพชรบุรีจะอับอายขายหน้ามาก

พี่น้องชาวเพชรบุรีครับ คุณอ้าครับ (คุณอ้าคืออดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่อยู่เพชรบุรี) ให้รู้ด้วยว่าถ้าคุณมีคุณอลงกรณ์ คนเพชรบุรี พูดอย่างนี้ คุณรับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้คุณบอกคนเมืองเพชรทุกคนเลยว่าคุณอลงกรณ์นี่ต้องหมดอายุทางการเมืองเลย

พรรคไหนก็ตามที่เห็นตรงกันว่าการสนับสนุนคุณพิธานั้นคือการแสดงเจตจำนงทางการเมืองว่าสนับสนุนให้รัฐดำเนินแนวทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองแบบพรรคก้าวไกล ซึ่งรวมถึงการเห็นด้วย พรรคที่มาร่วมกับพรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ตามที่พรรคก้าวไกลเสนอมาด้วย ซึ่งพรรคเพื่อไทย คุณทักษิณก็ยืนยันมาชัดเจนแล้วว่า ถ้ามีการแก้ไข 112 เขาไม่ร่วมด้วย แต่เขาจำเป็นต้องร่วมตอนนี้ ตามสปิริตทางการเมือง ในฐานะที่เคยเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ถ้าพรรคไหนที่เห็นด้วยกับแนวนโยบายพรรคก้าวไกล พรรคหลายๆ พรรคไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนเหมือนพรรคเพื่อไทย บอกว่าถ้าแตะ 112 แล้วเขาจะไม่เอาด้วยแล้ว พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่เขาพูดจาชัดเจน แต่พรรคอื่นๆ ที่เข้ามาร่วม แม้กระทั่งพรรคอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็ยังทะลึ่งไปร่วมกับเขาด้วย ผมไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร คุณหญิงถึงไปเช่นนั้น แต่ก็ช่างมันเถอะ

คุณพิธาต่อสายไปหาคุณชวน ไม่ว่าจะเป็นไทยสร้างไทย ประชาชาติ เสรีรวมไทย เป็นธรรม ถ้าพวกคุณเห็นด้วยกับคุณพิธา ก็แสดงว่าคุณเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของการแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 แล้วนำไปสู่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ผมไม่รู้นะ ผมทิ้งไว้ให้คิด

เพราะฉะนั้นแล้ว หากพรรคการเมืองใดไม่ได้มีเจตจำนงแนวทางเดียวกัน ก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะต้องไม่สนับสนุนในแนวทางที่เขาไม่ได้เชื่อ เขาไม่ได้หาเสียง และประชาชนเขาไม่ได้เลือก และนี่คือประชาธิปไตย การบังคับให้ทุกพรรคต้องเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ให้ยอมรับการแก้ไขมาตรา 112 อันนี้เขาเรียกว่าเผด็จการ


เผอิญว่ามี 2 พรรค ที่ผมต้องขอชมเชย ที่มีจุดยืนชัดเจนไม่ร่วมพรรคที่ขอแก้ 112 คือ พรรคภูมิใจไทย และ พรรคชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทยที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคชาติไทยพัฒนา คุณวราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายคุณบรรหาร ศิลปอาชา

คุณท็อป พูดจาชัดเจน ไม่ต้องแปล บอกว่าพร้อมจะเป็นฝ่ายค้าน เพราะจุดยืนเป็นเช่นเดิมตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง คือเทิดทูนสถาบัน พูดชัดเจน จุดยืนเราเหมือนเดิม คุณวราวุธพูดออกมาชัดเจนว่า เราไม่ได้เดือดร้อนในการที่ต้องเป็นรัฐบาล และเราพร้อมจะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นการขัดหลักการ พรรคชาติไทยพัฒนาเราไม่เห็นด้วย ส่วนการสนับสนุนยกมือโหวตให้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องละเอียดไป ต้องไปหารือกันในพรรคก่อน แต่จุดยืนเราชัดเจนมาตั้งแต่หาเสียงแล้ว

ส่วนภูมิใจไทยนั้น พรรคก้าวไกลก็เตะภูมิใจไทยออกไป แต่ภูมิใจไทยก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่าผมก็ไม่เอาพรรคก้าวไกล เพราะว่าออกแถลงการณ์ผ่านเพจพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า พรรคภูมิใจไทยไม่สนนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระบุชัดเจนว่าจุดยืนพรรคภูมิใจไทยคือไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้แถลงเรื่องนี้มานานแล้ว จุดยืนนี้เป็นจุดยืนของภูมิใจไทยที่ไม่เปลี่ยนแปลง หรือต่อรองได้ พรรคภูมิใจไทยจึงไม่สามารถลงมติสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองดังกล่าว


ท่านผู้ชมครับ การเรียกร้อง ข่มขู่ กดดันต่อพรรคภูมิใจไทยให้สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 จะไม่มีผลให้พรรคภูมิใจไทย และสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เปลี่ยนแปลงจุดยืนได้ และพรรคภูมิใจไทยก็ประกาศพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านที่จะตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล

พรรคภูมิใจไทยยังพูดต่อ เรียกร้องให้ฝ่ายเสียงข้างมากเคารพ รับฟังเสียงข้างน้อย ตามหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่ข่มขู่ กดดันให้ต้องทำตามเสียงข้างมาก ต้องการหรือกำหนดข้อเรียกร้องให้พรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองที่กดดันให้พรรคภูมิใจไทยสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไข/ยกเลิกมาตรา 112


คือชัดเจน ท่านผู้ชมครับ เราต้องไม่ลืมนะครับว่าประเทศไทยเลือกนายกรัฐมนตรีจากระบบรัฐสภา การที่พรรคก้าวไกลได้ ส.ส. 152 เสียง จาก 500 เสียง ไม่ถึงครึ่ง แค่ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ นี่ทำความเข้าใจกันก่อน ติ่งพรรคก้าวไกล ติ่งส้มทั้งหลาย อย่าตกคณิตศาสตร์สิครับ อีก 348 - 349 เสียง เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายพรรคก้าวไกลก็ได้ แต่ที่เข้ามาร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาลไม่ได้แปลว่าอยากได้คนชื่อ พิธา เป็นนายกฯ หากยึดตามหลักประชาธิปไตยดังที่กล่าวอ้าง ก็ควรจะมีสิทธิ์โหวตใครจากพรรคอื่นๆ ก็ได้

ท่านผู้ชมครับ ผมจะพูดตรงไปตรงมา นโยบายที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการหาพันธมิตรของพรรคก้าวไกล คือการแก้ไข/ยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งซ่อนเร้นเรื่องการปฏิรูปด้อยค่าสถาบันกษัตริย์เอาไว้อยู่เบื้องหลัง จริงๆ แล้วท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ผมว่าลึกๆ แล้วคุณพิธาไม่อยากยุ่งเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่ทำไม่ได้ เพราะคุณพิธาไม่ใช่เจ้าของพรรคก้าวไกล เพราะถูกกำกับโดยธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ พรรณิการ์ และประเทศอเมริกา แรงกดดันจากเด็กๆ ที่คุณพิธาดันไปสัญญิงสัญญาอะไรกับเด็กๆ


ท่านผู้ชมเชื่อผมหรือเปล่า ติ่งส้มทั้งหลายฟังผมหน่อย เพียงแค่ปลดล็อก 112 เรื่องเดียว วันนี้คุณพิธาเป็นนายกฯ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ที่สัญญาให้ประชาชนได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเกณฑ์ทหาร ปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาปากท้อง ปัญหาค่าพลังงาน ค่าไฟแพง แล้วยังสร้างความชอบธรรมปลดชนวนที่ทำให้ ส.ว. 250 เสียง ต้องโหวตให้คุณเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และผมเชื่อว่าคุณแค่ปลด 112 ออก ส.ว. ทั้งหมดพร้อมที่จะลงคะแนนเสียงให้คุณอย่างแน่นอนที่สุด

คำถามที่ผมมีถามท่านผู้ชม และถามคุณพิธา ว่า ที่คุณพยายามผลักดันแก้มาตรา 112 แบบไปให้สุดซอย แล้วคุณได้อะไร ? เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมได้มากน้อยแค่ไหน ? ประเทศชาติ ประชาชนเขาเดือดร้อนกับมาตรา 112 จริงหรือ ? เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนที่ต้องทำกันวันนี้หรืออย่างไร ? หรือว่ามันเดือดร้อนจริงๆ เพราะคนไม่กี่คน อาจารย์ไม่กี่คน ชาติมหาอำนาจไม่กี่ชาติ ? แล้วทำไมพรรคก้าวไกล-พิธา ไม่ถอยสักหนึ่งก้าวเรื่อง ม.112

ข้อสังเกตของผมที่น่าสนใจก็คือ ความเป็นจริงพรรคก้าวไกลคงไม่ต้องการชัยชนะแค่สนามรบในการจัดตั้งรัฐบาล หรือไม่ ? ท่านผู้ชมครับ ผมคิดว่าจริงๆ คุณธนาธรไม่ค่อยอยากให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลหรอก อยากให้เป็นพรรคฝ่ายค้านต่ออีก 4 ปี เพราะคุณธนาธรพูดชัดเจนแล้วว่า แลนด์สไลด์ตัวจริงจะมาปี 2570 คุณธนาธรก็รู้ว่าถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลวันนี้ (สมมุติ) และคุณเป็นพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณพิธาจะแก้ปัญหาประเทศไทยไม่ได้หรอก เพราะคุณพิธาจะหักด้ามพร้าด้วยเข่า และจะวุ่นวายไปหมด และจะทำให้คะแนนเสียงพรรคก้าวไกลตก แต่ถ้าไม่เป็นนายกรัฐมนตรีตอนนี้ ให้คนอื่นเป็นแทน ตัวเองไปเป็นฝ่ายค้านเหมือนเดิม เพราะตัวเองจะได้ไม่มีบาดแผลในการทำงาน จะทำให้การเลือกตั้งปี 2570 นั้น ตัวเองและพรรคก้าวไกลมีสิทธิ์จะแลนด์สไลด์ทั้งประเทศ อาจจะได้ถึง 200 - 300 เสียง เสียด้วยซ้ำ ถ้าถอยหนึ่งก้าวฟ้าจะสว่าง ถ้าคุณถอยหนึ่งเรื่อง เรื่อง 112 แต่คุณทำ 299 เรื่อง จาก 300 เรื่อง จะเกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนได้ อย่างน้อยที่สุดประชาชนก็ได้ประโยชน์


มาถึงวันนี้แล้วพรรคก้าวไกลอาจจะไม่ยอมถอยเรื่องการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ทั้งๆ ที่พรรคก้าวไกลก็น่าจะรู้แก่ใจว่าถ้ามีเสนอแก้กฎหมายอาญา 112 ที่มีเนื้อหาไม่ต่างจากการยกเลิกมาตรา 112 นั้น จะไม่สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่การที่พรรคก้าวไกลจะไม่ประกาศถอยในการแก้ไขกฎหมายวันนี้ เพียงเพื่อแลกกับการสวมหน้าเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรัฐบาลได้นั้น วิเคราะห์ได้ว่า ไม่น่าจะต้องการอะไรมากกว่านั้น การรุกฆาตทางการเมืองเป็นรัฐบาลในวันนี้ก็เข้าไปรื้อระบบตามที่ตัวเองหาเสียงไว้ แต่เป็นฝ่ายค้านก็เพื่อให้พรรคเพื่อไทยกลืนน้ำลายตัวเอง เตรียมรอล้างทั้งระบบในวันข้างหน้า พรรคก้าวไกลอาจจะยอมแพ้ในสนามรบในการจัดตั้งรัฐบาลในวันนี้ อาจจะยอมแพ้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่คุณธนาธรต้องการมากที่สุด ก็คือว่า เป็นรัฐบาลก็เป็น ไม่เป็นดีกว่า คือถ้าแพ้ในสนามรบวันนี้ แต่ชนะสงครามในอีก 4 ปีข้างหน้า อย่างถล่มทลาย

ส่วนฝ่ายที่คิดจัดตั้งรัฐบาลขวางพรรคก้าวไกล แต่ยังไม่ปรับตัว ยังคิดแต่โหนเจ้าเพื่อมุ่งหาประโยชน์ส่วนตน เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนเหมือนเดิม ประชาชนจะเดือดร้อนต่อไปอีก 4 ปี และจะเป็นชนวนของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยในอนาคต

คุณพิธาครับ ประเทศเราสามารถอนุรักษ์ของเก่าของดีควบคู่กับการพัฒนาสิ่งใหม่ สิ่งที่ก้าวหน้าได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องทุบทำลายของเก่า สิ่งที่มีอยู่เก่า วัฒนธรรม ประเพณี สถาบันดั้งเดิม หรือด้อยค่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา หรือมองว่าตัวพวกคุณเองเป็นความเจริญ ด่าผู้เห็นต่างว่าล้าหลัง หลังเขา เต่าล้านปี และนี่คือจุดยืนของผม ถ้าไม่เห็นด้วยคุณอย่าเอาทัวร์มาลง พวกคุณมาเลย ผมไม่รู้สึกสะทกสะท้านหรือสะเทือนเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว แล้วคุณบอกให้ผมไปพักผ่อน ไปพักเถอะลุง แก่แล้ว คุณไม่ต้องกังวลหรอก ที่ผมห่วงคือผมห่วงสติปัญญาพวกคุณที่มันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มองอะไรไม่เกินหัวแม่เท้าของพวกคุณ เอาแต่ใจตัวเอง ผมจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ชีวิต ถึงจะแก่แล้ว ผมจะอยู่จนกระทั่งผมตายในการให้การศึกษา อบรมสั่งสอนคนโง่ๆ อย่างพวกคุณ อย่างอดทน และผมก็ไม่ได้กลัวคำกระแนะกระแหนหรือด่าว่า อย่ามาหยาบคายกับผมเท่านั้น คุณบอกให้ผมไปพักผ่อน คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมมีเวลาพักเมื่อผมตาย เมื่อผมตาย ผมพักตลอดไปเลย แต่ก่อนผมตายผมต้องทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองนี้


แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ต้องปกป้องคุณพิธาในเรื่องอะไรที่เป็นข่าวเท็จ คุณพิธาครับ และติ่งส้มครับ ในช่วงหลังๆ นี้เริ่มมี IO เริ่มมีการปั่นกระแสว่าคุณพิธานั้นไม่ได้จบจากฮาร์วาร์ด เพราะว่าจบจาก Kennedy School of Government ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่เชื่อข่าวนั้น ฟังผมสักนิด คุณพิธาเขาจบจากฮาร์วาร์ด ฮาร์วาร์ดเขาจะมีหลายสถาบัน สถาบันที่คุณพิธาจบมานั้นเขาเรียกว่า John F. Kennedy School of Government คือเป็นนโยบายสาธารณะ ทำไมผมรู้ล่ะ ? ก็เพราะว่าหลานสาวผม ซาโตมิ กิโนซา ก็เรียนปริญญาโทที่คณะนี้ แล้วก็เรียนปริญญาโทอีกใบหนึ่งของฮาร์วาร์ด MBA

ท่านผู้ชมครับ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในอเมริกา อย่างเช่น UCLA ที่ผมเคยเรียนมา สถาบัน MBA เขามี เขาเรียกว่า Anderson School of Management เป็นชื่อของมัน หรือที่คุณพิธาจบจาก MIT มันก็มีชื่อของ MBA ชื่อ MIT Sloan School of Management เพราะฉะนั้นแล้ว คุณพิธาจบจริงจากฮาร์วาร์ด อย่าไปเชื่อข่าวเฟกนิวส์นี้ ไม่ถูกต้อง

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอีกคลิปหนึ่ง เมื่อ 2 - 3 วันที่ผ่านมา ส่งไปตามไลน์กลุ่มต่างๆ ผู้สูงอายุ ระบุว่า วันนี้ขากลับจากไปทำพิธีแรกนาขวัญวันพืชมงคล เป็นปรากฏภาพว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลล้อมรถขบวนเสด็จ ท่านผู้ชมครับ ข่าวนี้เป็นเฟกนิวส์ เพราะคลิปดังกล่าวเป็นคลิปเก่าตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2563 หรือ 2 ปี 7 เดือนที่แล้ว รถยนต์พระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เคลื่อนผ่าน โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ผ่านกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร 2563 ด้านนอกทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก เพื่อไปถวายผ้ากฐิน เพราะฉะนั้นแล้วมันไม่ใช่คลิปวิดีโอปี 2566 นี้แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ คนที่ทำคลิปนี้ ให้หยุดได้แล้ว ก็เพราะว่าคุณมีคนลักษณะแบบนี้ มันก็เลยทำให้เจ้าเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่คุณทำลงไปนั้น คุณโหนเจ้าอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีเหตุไม่มีผล อย่างบ้าคลั่ง

ท่านผู้ชมครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากจะพูด แต่เอาไว้ผมค่อยพูดวันหลังก็แล้วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคนๆ หนึ่งที่รับงานทหารใหญ่คนหนึ่ง เป็นอดีตทหารใหญ่ มาเดินป่วนทางการเมือง แต่เบื้องหลังเป็นอย่างไร วันนี้พิสูจน์ชัดแล้ว วันนี้เวลาไม่มี ผมจะพูดเรื่องอื่นก่อนแล้วกัน สำหรับคนๆ นี้ผมจะเก็บเอาไว้เช็กบิลทีเดียว ม้วนเดียวจบ

สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง นับถอยหลัง 4 ปี ซ้ายจัดจะครองประเทศ


ท่านผู้ชมครับ ผมยังขอยืนยันว่าการเมืองต้องเปลี่ยนแปลง ประเทศชาติ ประชาชน ต้องหลุดออกจากกรอบเดิมๆ ของระบอบอำนาจนิยม รัฐบาลทหาร รัฐราชการที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจทุนใหย่ มหาเศรษฐี เสียที ซึ่งเสียงตอบรับจากประชาชนที่แสดงออกด้วยการไม่เลือกลุง และพลิกขั้วหันมาเลือกพรรคก้าวไกลนั้น พิสูจน์ชัดว่าประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต้องไปในแนวทางที่ถูกต้อง และประชาชนส่วนใหญ่ต้องยอมรับ เป็นฉันทานุมัติของประชาชนส่วนรวม มิใช่ประชาชนเพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง นี่เพียงการสนองวาระซ่อนเร้น อุดมการณ์ และความปรารถนาส่วนตัว ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ ไม่ระแคะระคายมาก่อน อาจจะถูกชักนำให้พลัดหลงเข้าสู่กับดัก หรือหลุมพรางที่นำพาประเทศชาติเข้าสู่สภาวะของการสุ่มเสี่ยงการจลาจลและการนองเลือด ซึ่งจะเข้าทางประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา อย่างแน่นอนที่สุด

ที่ผมพูดนี้ผมไม่ได้กล่าวโทษหรือกล่าวหาคนที่เลือกพรรคก้าวไกลว่าผิดพลาด เราต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ยังไม่ได้สนใจที่มาที่ไป หรือรับรู้รับทราบวาระซ่อนเร้นเหล่านี้ของแกนนำและผู้นำพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณปิยบุตร แสงกนกกุล คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช หรือคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประกอบกับส่วนใหญ่แล้ว 80 - 90 เปอร์เซ็นต์ ก็เบื่อหน่ายกับระบอบลุงที่ครองอำนาจมา 9 ปีเต็ม ต้องการลองของใหม่ ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดูจับต้องได้และเป็นรูปธรรม


ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่างที่ผมกล่าวเตือนไปในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หลายครั้ง เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ยูทูบ คุยทุกเรื่องกับสนธิ TikTok, Sondhi App รวมทั้งเว็บไซต์ sondhitalk.com ก็มีเด็กรุ่นหลังหลายคน อาจจะไม่รู้จักผมมาก่อน เข้ามาคอมเมนต์แสดงความดีใจต่อชัยชนะของพรรคก้าวไกล กระแนะกระแหนว่าผมควรพักผ่อนได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนติ่งส้มเอาทัวร์มาลง ผมพูดไปแล้วนะครับ ผมพูดซ้ำอีก ผมขำ เด็กเมื่อวานซืน ไม่รู้ว่าชีวิตผมนี่ผ่านอะไรมาบ้าง แม้กระทั่งลูกปืน 200 นัด ผมก็ผ่านมาแล้ว ผมจะไปกลัวกับทัวร์ลงของคุณบ้าบอคอแตกได้อย่างไร ผมไม่กลัวหรอก เอาทัวร์พิธา ทัวร์พ่อส้ม หรือทัวร์อะไรก็แล้วแต่ ผมรับมือเสมอ เพราะปรัชญาที่ผมยึดถือมาตลอด วันนี้ ถึงวันที่ผมตาย ก็คือผมพูดความจริง และความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว

ผมก็เลยอยากจะทำนายอนาคตทางการเมือง และอยากให้ทุกคนจดเอาไว้บนกระดาษและแปะเอาไว้ข้างฝาว่า ให้จับตาดูมองประเด็นต่างๆ ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ประเด็นที่หนึ่ง เราต้องยอมรับว่าการเลือกตั้ง 2566 นี้ เป็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ชัดเจนที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ไทย อาจจะแพ้ 2475 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถ้าดำเนินไปอย่างถูกต้อง ถูกทาง ถูกทำนองคลองธรรม จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความรุ่งเรืองและความผาสุก อย่างไรก็ตาม ถ้าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นขนมหวานเคลือบยาพิษ ก็จะพาประเทศไปสู่ความล่มสลาย ฉิบหายได้เลย อย่างที่ผมกล่าวในตอนต้น คือหากการเปลี่ยนแปลงที่มาจากวาระซ่อนเร้น อุดมการณ์ และความปรารถนาส่วนตัวของคนบางกลุ่ม บางคนมีความเชื่อ เคียดแค้น บางคนรับงานต่างชาติมา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน และเป็นบทเรียนที่เราต้องไม่ลืม คือกรณียูเครน ภายใต้การนำของนายเซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2562 หรือ 4 ปีที่แล้ว พรรคของเขาได้ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในรอบที่สองแบบแลนด์สไลด์สูงถึงกว่า 73 เปอร์เซ็นต์ มันมีอะไรคล้ายๆ พรรคก้าวไกล


แต่สุดท้ายแล้ว นายเซเลนสกี กลับใช้คะแนนเสียงเหล่านั้นชักนำประเทศชาติและประชาชนชาวยูเครนเข้าสู่สงคราม ทำให้เกิดสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนล้มตาย ประเทศชาติล่มสลาย ประชาชนทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส มีชาวยูเครนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศสิบกว่าล้านคน ทหารยูเครนเสียชีวิตไปแล้วเกือบ 4 แสนคน


ต้นตอ ที่มาของชัยชนะเมื่อ 4 ปีที่แล้วของนายเซเลนสกี มีที่มาจากการเปิดประตูให้มีการแทรกแซงของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา รวมทั้งรัสเซีย ในระบบการเมือง และการเลือกตั้งของยูเครนเอง โดยจะว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะต้นตอของความฉิบหายของชาติและประชาชนชาวยูเครนวันนี้เกิดจากการปฏิวัติที่เรียกว่า "ปฏิวัติสีส้ม" สีเดียวกับพรรคก้าวไกล ผมไม่รู้ว่าที่คุณคิดสีขึ้นมา มองยูเครนเป็นตัวอย่างหรือเปล่า


"การปฏิวัติสีส้ม" คืออะไร ? และมันอาจจะเกี่ยวกับเราได้อย่างไร ? การปฏิวัติสีส้ม เป็นการประท้วงและเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยูเครน เมื่อปี 2547 หรือ 19 ปีมาแล้ว อันเกิดจากการประท้วงของชาวยูเครนนับแสนคน ที่ถูกจุดชนวนจากประเด็นความไม่พอใจผลการเลือกตั้งที่ กกต.ยูเครน ประกาศ มีข้อกล่าวหาว่าฉ้อฉล ทุจริต โกงการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครน ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนหลายคน หนึ่งในนั้นคือ นายวิกเตอร์ ยานูโควิช ที่เอาชนะนายวิกเตอร์ ยูเชนโก ผู้นำฝ่ายค้านที่พ่ายแพ้และต้องเสียโฉม สันนิษฐานว่าจากการลอบวางยาพิษไดออกซินในอาหาร


แต่ชัยชนะครั้งนั้นของนายยานูโควิช ซึ่งเป็นฝ่ายโปรรัสเซีย ถูกศาลสูงสุดสั่งให้เป็นโมฆะ ในที่สุดการชุมนุมประท้วงที่เกิดเป็นสงครามการเมืองได้นำไปสู่การจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ นายยูเชนโก ซึ่งเป็นฝ่ายโปรอเมริกัน เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ และได้รับการเชิดชูเป็นฮีโร่ปฏิวัติสีส้ม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองของยูเครน


นายยูเชนโก ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2548 ทว่า ต่อมาด้วยความผันผวนทางการเมืองของยูเครน ทำให้ราวอีกหนึ่งปีต่อมา ประธานาธิบดียูเชนโก ประกาศยุบสภาในวันที่ 26 มีนาคม 2549 และมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งแรก เหตุการณ์ปฏิวัติสีส้มในยูเครน ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการปรากฏว่าพรรคของนายวิกเตอร์ ยานูโควิช อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคการเมืองที่รัสเซียให้การสนับสนุน ได้รับคะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง 32.41 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยพรรคของนางยูเลีย ทีโมเชนโก อดีตนายกรัฐมนตรีสมัยประธานาธิบดียูเชนโก อันดับสอง 22.29 เปอร์เซ็นต์ และพรรคฮีโร่ของปฏิวัติสีส้ม ของนายวิกเตอร์ ยูเชนโก ประธานาธิบดียูเครน เป็นอันดับที่สาม 13.95 เปอร์เซ็นต์


ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่มีผู้ชนะอย่างเด็ดขาด ก็เลยเกิดการจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมา 3 พรรค ที่ได้คะแนนมากที่สุด เจรจาหาแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสม ตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนยังคงเป็นนายยูเชนโก ฝ่ายโปรตะวันตก ตำแหน่งนายกรัฐมนตรียกให้นายยานูโควิช ฝ่ายโปรรัสเซีย ด้วยเหตุนี้ทำให้แนวทางของรัฐบาลผสมลำบากมาก

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนับสนุนนายยานูโควิช ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเก่าที่เคยชินกับระบบรัฐสวัสดิการแบบรัสเซีย โซเวียต คนเชื้อสายรัสเซียที่เป็นเจ้าของอุตสาหกรรมสำคัญๆ ในประเทศไม่ต้องการเห็นยูเครนเดินตามหลังประเทศตะวันตก


การปฏิวัติสีส้มมีความสำคัญในประวัติศาสตร์การชุมนุมประท้วงของภาคประชาชนนับแสนคนที่นัดหยุดงานและอารยะขัดขืน มีสัญลักษณ์เป็นสีส้ม แสดงเอกภาพเรียกร้อง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองและการเลือกตั้งทั่วโลก โดยการปฏิวัติสีส้มมีความสำคัญ ถูกมองว่าเป็นชัยชนะของประชาธิปไตย และภาคประชาสังคมในยูเครน เนื่องจากมีการแสดงพลังการประท้วงอย่างสันติ เจตจำนงของประชาชนที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม เบื้องหลังของปฏิวัติสีส้มแสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงของอเมริกาและพันธมิตรชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางอียูด้วย


ฝ่ายรัสเซียซึ่งต่างก็มีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับยูเครนมาก เพราะทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ยูเครนเป็นทางผ่านของท่อก๊าซจากรัสเซียไปยังประเทศยุโรปตะวันตก นอกจากนี้แล้ว ยูเครนยังมีความสำคัญต่อรัสเซียมาก นอกจากเรื่องอุตสาหกรรมเหล็กของยูเครนแล้ว ยูเครนยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตอาวุธของรัสเซียในสมัยที่ยังเป็นอดีตสหภาพโซเวียต รัสเซียมีฐานทัพเรือที่ทะเลดำ อยู่ที่ Sevastopol และยูเครนเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวสาลีแหล่งใหญ่ รัสเซียจึงไม่มีทางยอมให้ยูเครนหันไปอยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา และฝ่ายชาติตะวันตกเด็ดขาด


มหาอำนาจของอเมริกาและชาติตะวันตก สหภาพยุโรป องค์กรระหว่างประเทศ ได้อ้างกระบวนการประชาธิปไตย ให้การสนับสนุนการทูต การเงิน แก่ขบวนการปฏิวัติสีส้มดังกล่าว เพื่อช่วยสร้างความชอบธรรมและเพื่อผลกระทบโค่นล้มรัฐบาลโปรรัสเซีย เป็นที่ยอมรับ ซึ่งยืนยันแล้วโดยนางวิกตอเรีย นูแลนด์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ยืนยันมาว่า มีทั้งหน่วยข่าวกรองกลางของ CIA หน่วยความมั่นคงของอเมริกา และหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ทั้งหมดมีบทบาทในการปฏิวัติสีส้มปี 2547

รัฐบาลอเมริกาภายใต้การบริหารงานของนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช สนับสนุนการปฏิวัติสีส้ม ประณามการโกงการเลือกตั้ง เรียกร้องยูเครนให้เคารพเจตจำนงของประชาชน คุ้นๆ ไหมท่านผู้ชมว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐสภาของอเมริกาได้ออกมติที่ 114 ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งยังไม่จบ เตือนล่วงหน้า แล้วเดี๋ยวผมจะพูดต่อไปว่า ทูตอเมริกาในประเทศไทยเป็นทูตคนแรกที่สนใจและแสดงความเห็นในทางสาธารณะเรื่องผลการเลือกตั้ง

ท่านผู้ชมครับ โดยสรุปแล้ว มรดกของการปฏิวัติสีส้มมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเมืองโลก และวิธีการจัดการดำเนินการเคลื่อนไหว ทั้งการเมือง และเลือกตั้ง รวมทั้งในประเทศไทยด้วย ถ้าเราพิจารณาจากไทม์ไลน์ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าการปฏิวัติสีส้มในปี 2547 - 2548 พัฒนาไปสู่สงครามยูเครนได้ดังนี้

2548 นายยูเชนโก ซึ่งเป็นฝ่ายโปรตะวันตก ประกาศแนวทางการบริหารยูเครนให้พ้นเงาทำเนียบเครมลิน มุ่งหน้าหาการสนับสนุนจากนาโต และอียู

2551 นาโตให้คำมั่นสัญญาว่ายูเครนจะได้เป็นสมาชิกนาโตในวันหนึ่ง

2553 ยูเครนจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ นายยานูโควิช ฝั่งรัสเซีย ได้เป็นประธานาธิบดียูเครนอีกครั้ง หลังจากเอาชนะนางยูเลีย ทีโมเชนโก ต่อมารัสเซียและยูเครนลงนามข้อตกลงเรื่องค่าก๊าซฉบับพิเศษ แลกกับการที่รัสเซียเข้ามาตั้งฐานทัพขนาดใหญ่ที่ท่าเรือริมชายฝั่งทะเลดำ


2556 ยานูโควิช ระงับการเจรจาความร่วมมือทางการค้ากับอียู และเตรียมฟื้นการเจรจาการค้าแบบเดียวกับรัสเซีย ส่งผลให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ ซึ่งเบื้องหลังการประท้วงนั้นคือกลุ่ม CIA เป็นคนสร้างความขัดแย้งนี้ขึ้นมา เหมือนกับที่กลุ่ม CIA ขณะนี้กำลังจ้องตาเป็นมันว่าจะสร้างความขัดแย้งในประเทศไทยอย่างไร

2557 เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในพื้นที่ของยูเครน เพื่อต่อต้านรัฐบาลโปรรัสเซียของประธานาธิบดียานูโควิช ตามมาด้วยสภาลงมติปลดนายยานูโควิช พ้นจากตำแหน่ง หลังจากนั้นปรากฏกองกำลังติดอาวุธยึดสะพานในไครเมีย ต่อมารัสเซียประกาศผนวกไครเมียกลับคืนเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตัวเองตามการลงประชามติของประชาชนในพื้นที่ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2557 และในที่สุดแล้ว สงครามก็ปะทุในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน

ต้นเดือนพฤษภาคม นายเปโตร โปโรเชนโก มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจโรงงานช็อกโกแลต มีจุดยืนทางการเมืองที่นิยมชาติตะวันตก ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี

กรกฎาคม 2557 เครื่องบินโดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH-17 ถูกยิงตกในยูเครน

2560 ภายใต้การบริหารของนายเปโตร โปโรเชนโก ซึ่งเป็นฝ่ายโปรตะวันตก ผลักดันให้ยูเครน-สหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงการค้าและความร่วมมือ

เมษายน 2562 นายเซเลนสกี อดีตนักแสดงตัวตลก โปรตะวันตก ได้รับชัยชนะเหนือนายโปโรเชนโก ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี

ฤดูใบไม้ผลิ 2564 กองทัพรัสเซียวางกำลังทหาร สรรพาวุธ แนวพรมแดนฝั่งตะวันตกที่ติดกับภาคตะวันออกของยูเครน


ธันวาคม 2564 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตือนเรื่องการคว่ำบาตรหนักต่อรัสเซีย เมื่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สั่งทหารยกกำลังข้ามพรมแดนเข้ามาในยูเครน หลังจากนั้นมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรัสเซียเรียกร้องให้มีหลักประกันความมั่นคง รวมทั้งการที่นาโตต้องไม่ยอมรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก

22 กุมภาพันธ์ 2565 ประธานาธิบดีปูติน รับรองสถานะของสาธารณรัฐโดเนตสก์ และลูฮานสก์ ในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน

24 กุมภาพันธ์ 2565 รัสเซียเปิดฉากปฏิบัติการทหาร หรือสงครามในภูมิภาคดอนบาส เพื่อป้องปรามและตอบสนองต่อความก้าวร้าวของยูเครน และเตือนกองกำลังภายนอกไม่ควรยุ่งเกี่ยวและแทรกแซง

ประเด็น หลายท่านคงทราบดีว่านอกจากผมจะเป็นนักหนังสือพิมพ์ สื่อมวลชนมายาวนานแล้ว พื้นเพผมคือนักประวัติศาสตร์ ผมเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท จากทางประวัติศาสตร์ และศึกษาประวัติศาสตร์มาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้อายุย่าง 76 ปีแล้ว มันมีวลีอมตะวลีหนึ่งกล่าวไว้ว่า "History repeats itself." ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอ นอกจากนี้ ยังมีคำพูดอมตวาจาของนายจอร์จ ซันตายานา นักปรัชญาชาวสเปน-อเมริกัน ที่เตือนใจเอาไว้ว่า "Those who forget their history are condemned to repeat it." ใครที่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ มักจะทำการผิดพลาดซ้ำรอย

เมื่อศึกษาพิจารณาลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ทางการเมืองยูเครนตั้งแต่กาารปฏิวัติสีส้มในปี 2547 - 2548 มาถึงสงครามยูเครนที่ปะทุเมื่อปีที่แล้ว (2565) 18 ปีแล้ว ท่านผู้ชมคงเห็นความเชื่อมโยงในเหตุการณ์จากอดีตถึงปัจจุบัน เมื่อหันมามองดูเส้นทางเดินของประเทศไทย การจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยยูเครน หรือเหตุการณ์วิกฤตการณ์ เราต้องมองไปข้างหน้า มองไปในอนาคต สิบปี ยี่สิบปี ต้องพูด ต้องเตือน ดำเนินการต่างๆ ให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ให้มากที่สุดเสียตั้งแต่วันนี้

ล่าสุด ผู้บัญชาการกองเรือทางภาคตะวันออกของแปซิฟิกของอเมริกา พูดชัดเจนว่า เขาต้องการด้ามขวานประเทศไทยเป็นที่ตั้งกองกำลังของอเมริกาเพื่อยันจีน ด้วยเหตุนี้ผมถึงเตือนแล้วเตือนอีก ว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของชาวบ้านเขา เรื่องพม่าเขาจะมีอะไร ปล่อยเขาไป แต่อย่าไปเป็นเครื่องมือของตะวันตกเพื่อไปประณามพม่า และไปขัดแย้งกับพม่า เพราะว่าจุดของความขัดแย้งจะเป็นการเปิดประตูให้กองกำลังตะวันตกรุกเข้ามาในประเทศไทย แล้วประเทศไทยก็จะกลายเป็นดินแดนกระสุนปืนตกอย่างแน่นอนที่สุด แล้วก็อย่าไปให้อเมริกาส่งทหารเข้ามา หรือส่งคนเข้ามา หรือขอติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลาง ให้จับตาดูสถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ให้ดีๆ เพราะนั่นจะเป็นศูนย์บัญชาการนาโตอีกแห่งหนึ่งที่เชื่อมกับศูนย์บัญชาการนาโตที่นาโตกำลังตั้งอยู่ที่ญี่ปุ่น ผมเตือนมาแล้ว และนี่คือความกังวลของผมครับ


ท่านผู้ชมครับ เรามีการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง บ่ายวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 สถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทยส่งสัญญาณมาทันที ได้เผยแพร่สารเกี่ยวกับการเลือกตั้งจากนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ทูตอเมริกาประจำประเทศไทย ระบุว่า เมื่อวานนี้ประชาชนหลายสิบล้านคนได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วราชอาณาจักรไทย ในฐานะผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง สื่อมวลชน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่สำคัญที่สุด ผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง อเมริกาในฐานะเพื่อนและพันธมิตรที่ยาวนานของไทย ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้รับทราบผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

ท่านผู้ชมว่าตลกไหม เป็นสถานทูตชาติเดียวในโลกนี้ที่อยู่ในประเทศไทย ออกอาการเสือกและกระสันแบบเก็บอาการไม่อยู่ ต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยว แทรกแซงการเมืองภายในประเทศไทยอย่างออกหน้าออกตา ไม่มีสถานทูตไหนเข้าทำแบบนี้ มีอเมริกาประเทศเดียว แม้ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการยังไม่ออก ก็รีบออกแถลงการณ์สถานทูตออกมาแล้ว ทั้งๆ ที่ควรรอให้ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หรือรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังได้ แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังปิดหีบเลือกตั้ง ก็ออกแถลงการณ์มาแล้ว

สารจากทูตอเมริกันที่พูดถึงนั้น มันสอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้พูดเอาไว้ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 ว่าสัญญาณความวุ่นวายกำลังจะมา คือการแทรกแซงจากต่างชาติทางการเมืองและการเลือกตั้งในเมืองไทย ในตอนที่แล้วผมพูดว่าอย่างไร ท่านผู้ชมจำได้ไหม


ผมอธิบายว่าได้มีมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2566 หนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้ง และยังมีมติของสภาผู้แทนราษฎร คองเกรส ลงวันที่ 5 พฤษภาคม เพื่อเข้ามาอธิบายและแทรกแซงความเห็นต่างๆ ว่ามตินี้ เป็นห่วงเป็นใยเรื่องโน้นเรื่องนี้ เป็นห่วงที่สุดท้ายร่างมติ 114 ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ให้ร้าย ข่มขู่ และกล่าวหา ว่าสถาบันกษัตริย์แทรกแซงการเลือกตั้ง ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้ง ซึ่งไม่เป็นความจริง เห็นหรือยังท่านผู้ชม ไปดูได้ มตินี้ ผมเคยพูดมาแล้ว


นอกจากนี้ สภาคองเกรสออกมติสภาผู้แทนราษฎรอีกฉบับหนึ่ง เสนอโดยนางซูซาน ไวลด์ ส.ส. พรรคเดโมแครต จากรัฐเพนซิลเวเนีย เป็นคณะกรรมาธิการต่างประเทศของอเมริกา เนื้อหาของมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ร่ายยาว พร้อมกับตบท้ายด้วยการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในประเทศ คือเข้ามาเสือกในเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายอื่นๆ ของไทย โดยพูดว่าเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายและกฤษฎีกาที่ใช้ในการเซ็นเซอร์เนื้อหา คำพูดออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมทั้งประเทศไทย เช่น กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับกรณีคอมพิวเตอร์ กฎหมายยุยงปลุกปั่น กฎหมายอาญามาตรา 116


ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง เมื่อร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆ เข้ามาจะเห็นได้ชัดว่าความเคลื่อนไหวของอเมริกา วุฒิสมาชิก วุฒิสภาอเมริกา สภาคองเกรส ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เรื่อยมาถึงพรรคก้าวไกล และคุณพิธา ที่ยึดมั่น ยืนมั่นว่าการแก้ไขหรือยกเลิก 112 และการกำหนดบทบาทใหม่ของสถาบันกษัตริย์ของไทยนั้น เป็นวาระที่พรรคก้าวไกลได้หาเสียงเอาไว้ และกำหนดเอาไว้ ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกันหมดเลย

ท่านผู้ชมครับ นายโกเดค เคยให้การกับคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภา ตอนที่เขาได้รับเลือกให้เป็นทูตอเมริกาประจำประเทศไทย เขาบอกว่า สถาบันกษัตริย์นั้นเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย เขายอมรับตรงนี้ แต่เขาบอกต่อ แต่เขายังคิดว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกนั้นสำคัญมาก ก็คือว่า กษัตริย์สำคัญอย่างไรกับประชาชนสังคมไทย ก็สำคัญไป แต่ถ้าใครอยากแสดงออกความเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับกษัตริย์ หรือด่ากษัตริย์ ต้องยอมรับว่าเป็นสิทธิที่ประชาชนพูดได้ ท่านผู้ชมครับ ขอประทานโทษ มันเหี้ยไหม ? ชัดเจนหรือยังที่ผมพูด

อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่า พอเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ประเด็น ม.112 ทั้งแกนนำพรรคก้าวไกล และอนาคตใหม่ พยายามหลบซ่อนประเด็นเกี่ยวกับการยกเลิก ม.112 เข้าไปไว้ เขาเปลี่ยนจากยกเลิก เป็น แก้ไข เมื่อชนะการเลือกตั้งและหยิบเรื่องนี้มาพูดอย่างเปิดเผย เพราะเขามั่นใจในชัยชนะของตัวเอง คุณพิธา และพรรคก้าวไกล ก็คงจะไปพูดถึงเรื่องราวในที่นี้ด้วยเสียงอันดัง ยื่นข้อเสนอในการยกเลิกและแก้ไข ม.112 กำหนดบทบาท ควบคุม ละเมิดสิทธิของพระมหากษัตริย์อย่างก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ก้าวร้าวอย่างไร ?


ท่านผู้ชมที่เออออห่อหมกไป เอ้อ เขาไม่ยกเลิกนี่ เขาแก้ไข ดีนี่ ท่านผู้ชมอ่านหนังสือแค่ 2 บรรทัด และท่านไม่ได้ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ ว่าเขาเขียนซ่อนอะไรไว้บ้าง เขาก้าวร้าวอย่างไร มาดู

เรี่องนี้หลายคนไม่สนใจ พรรคก้าวไกลเขียนเรื่องนี้เอาไว้เป็นนโยบายเลือกตั้งปี 2566 ในเว็บไซต์ของพรรค อ้างคำว่า "สิทธิมนุษยชน" ระบุข้อความว่า ศาลหรือตุลาการเป็นส่วนสำคัญ กลไกรัฐที่ประชาชนคาดหวังให้ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง เป็นอิสระจากการถูกแทรกแซงด้วยมาตรฐานที่คงเส้นคงวาเพื่อความยุติธรรมของประชาชนทุกคน แต่ที่ผ่านมาคำพิพากษาและคำวินิจฉัยของศาลในหลายกรณีการเมืองทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นถึงความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเขาเขียนมาเรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมครับ ย่อหน้าหลังที่เขาเขียนบอกว่า รัฐบาลได้มีการออกและบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับเพื่อพยายามปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนที่เห็นต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ดังนั้น ปัญหาในเชิงหลักนิติธรรมทางกฎหมายจึงมีความสำคัญ จำเป็นจะต้องได้รับการทบทวน เพื่อให้เสรีภาพและความเท่าเทียมกันตามมาตรฐานประชาธิปไตยสากล

ท่านผู้ชมครับ ย่อหน้าหลังนี้ถ้าท่านผู้ชมอ่านอย่างละเอียดแล้วจะทราบดีว่ามันมีเนื้อหาเป็นเท็จ เพราะว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับสถาบันกษัตริย์ หรือมาตรา 112 เพราะทุกวันนี้การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็ทำได้อย่างเสรีอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ 112 เลย หรือสถาบันพระมหากษัตริย์เลย แล้วพรรคก้าวไกลก็ยังเสนอนโยบายต่อ ท่านผู้ชมฟังให้ดี ตั้งใจฟังนะ


ข้อที่หนึ่ง ลดโทษกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ให้มีความสอดคล้องกับหลักสากล โดยให้เหลือเพียงจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (กรณีหมิ่นพระมหากษัตริย์) ข้อที่สอง จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (กรณีพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) ข้อที่สาม โทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาจะถูกลดลงจากโทษจำคุก 0-2 ปี เหลือแค่โทษปรับ ข้อสี่ ย้ายกฎหมายหมิ่่นประมาทพระมหากษัตริย์ออกจากหมวดความมั่นคง ให้เป็นความผิดที่ยอมความได้ โดยกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีสิทธิแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษเพียงผู้เดียว

ถ้าท่านผู้ชมสังเกตให้ดีๆ นโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น ทั้งหมดสอดคล้องกับ 10 ข้อของการประชุมที่ธรรมศาสตร์ครั้งแรก โดยที่นางสาวปนัสยา หรือ รุ้ง เอา 10 ข้อนี้มาจากนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เมื่อปี 2563


โดยชัดเจน 10 ข้อนั้นมียกเลิกมาตรา 6 รัฐธรรมนูญ ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ เพิ่มบทบัญญัติให้รัฐสภาสามารถเอาผิดกษัตริย์ได้ ยกเลิกมาตรา 112 ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีต่อสถาบันกษัตริย์ นิรโทษกรรมต่อผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทุกคน ข้อสาม ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ของส่วนตัวกษัตริย์อย่างชัดเจน ข้อสี่ ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้สถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ข้อห้า ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ หน่วยงานที่ชัดเจน หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น และหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็น เช่น องคมนตรี ให้ยกเลิก หก ยกเลิกการรับบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด เจ็ด ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ แปด ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้ศึกษา และที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงามทั้งหมด เก้า สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ สิบ ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก


ท่านผู้ชมครับ การที่คุณพิธา คณะก้าวไกล เดินก้าวแรกด้วยการแตะมาตรา 112 และเดินก้าวที่สองที่เกริ่นเอาไว้แล้วในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวในเรื่องการกำหนดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในยุคใหม่ ในวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น ถ้ามองไปข้างหน้าแล้ว จะมีก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ไปจนถึงก้าวที่สิบในที่สุด นั่นคือการลดบทบาทความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหลือเพียงแค่เป็นสัญลักษณ์อย่างสมบูรณ์ จนประเทศไทยเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ และมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทั้งที่พวกเราทราบดีว่าจากประวัติศาสตร์ สถาบันกษัตริย์นั้นเป็นหนึ่งในเสาหลักในการค้ำจุนประเทศชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี

ท่านผู้ชมครับ พอเขาเดินครบ 10 ก้าว ตาม 10 ข้อ ที่รุ้ง ปนัสยา รับงานมาจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และพูดที่ธรรมศาสตร์ พอเขาครบ 10 ก้าว สถาบันกษัตริย์ที่เคยกอบกู้สร้างชาติ ค้ำจุนประเทศชาติเมื่อเกิดวิกฤต จะหายไป ในทางกลับกัน การเปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเมืองเมืองไทยได้อย่างสะดวกโยธิน เพราะเมื่อไม่มีสถาบันกษัตริย์แล้ว นักการเมืองจะเปรียบเหมือนสายลมที่ผ่านมาและผ่านไป เป็นสิ่งที่อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่สามารถพึ่งพาอะไรได้ในระยะยาว ก็สามารถจะทำการปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติ สังคม และประชาชนอย่างไรก็ได้

ท่านผู้ชมครับ นี่คือทั้งหมดที่ผมเห็น และผมพยายามอธิบายให้ท่านผู้ชมและประชาชนชาวไทยฟังมานานแล้วก่อนการเลือกตั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นมาหลายปี ผมอยากจะย้ำเตือนอีกครั้งว่าไม่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร แต่แนวโน้มหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมานี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายของฝั่งอนุรักษ์นิยมที่จะสามารถได้เชิดหน้าชูตา มีคะแนนสูสี หากยังไม่สามารถสร้างความหวัง ปรับเปลี่ยน ปฏิรูปตัวเองอย่างครั้งใหญ่ เราต้องเผชิญหน้ากับสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่การปฏิรูปแล้ว แต่จะเป็นการปฏิวัติ ล้มระบอบจากฝั่งเสรีนิยมสุดโต่ง (คือฝ่ายพรรคก้าวไกล) ที่เน้นทางตะวันตก ซึ่งผลกระทบจะสนั่นสะเทือนไปอีกนานแสนนานในประวัติศาสตร์ไทย ผมทายไม่ผิดหรอกครับท่านผู้ชม เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเริ่มฉิบหายไปเรื่อยๆ

ท่านผู้ชมครับ หลานผมคนหนึ่งเขามีเพื่อนเป็นนักขุดเจาะน้ำมัน วันหนึ่งเขาเจอหลานผม เขาก็เล่าให้ฟังว่าลูกชายเขาเรียนหนังสือที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เขาก็ถามลูกว่า อาจารย์สอนอะไรบ้าง ลูกชายตอบอย่างใสซื่อว่า อาจารย์สอนว่าไม่ต้องมีอะไรเป็นบุญคุณกับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ทำให้เราเกิดจากความกระสันอยากในกามารมณ์ที่ผสมพันธุ์กันแล้วทำให้เราเกิดขึ้นมา เมื่อพ่อแม่ทำให้เราเกิดขึ้นมา ก็เป็นหน้าที่พ่อแม่ต้องเลี้ยงดูเรา ไม่มีบุญคุณต่อกันเลย กตัญญูกตเวทีรู้คุณคน ไม่มี คุณเป็นตัวของคุณเอง ไม่ต้องซาบซึ้งบุญคุณใคร ท่านผู้ชม อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บัดซบ ท่านผู้ชมรู้ไหม แล้วอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายคนเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะการปลูกฝัง การปลุกระดม เขาทำกันมานานแล้ว เกือบยี่สิบปี แล้วก็เน้นไปที่อาจารย์-นักศึกษา ให้อาจารย์เรียนรู้ บิดเบือนประวัติศาสตร์ จากการเขียน ยกตัวอย่างนายณัฐพล ใจจริง ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ เชิดชู จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นไอดอลของนายเพนกวิน จนกระทั่งผมออกมาตีแสกหน้าว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้นก็คือมหาโจร เพราะว่ารัฐบาลไทย ข้าราชการ หน่วยงานรัฐ รู้ไม่ทันพวกนี้หรอก แล้ว 9 ปีของลุงตู่ ก็ซ้ำเติมเรื่องพวกนี้ให้พินาศฉิบหายลงไปอีก โดยอ้างอย่างเดียวว่าจงรักภักดี จงรักภักดีแต่ปาก แต่การกระทำไม่ได้หาทางแก้ไขป้องกัน

ท่านผู้ชมครับ นี่คือประเทศไทย ณ วันนี้ น่ากลัวไหม ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยสายอนุรักษ์แต่มีหัวก้าวหน้าต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนความคิดความอ่านของคน พวกนี้เขาปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่มัธยม ถ้าไม่ปลูกฝังมาจะมีเด็กหญิงที่ชื่อหยกได้อย่างไร อายุ 15 ปี ออกมาด่าพระเจ้าอยู่หัว เด็ก 15 ปี จะด่าได้อย่างไร ถ้าไม่มีคนหนุนหลังอยู่เบื้องหลัง

ท่านผู้ชม ผมเป็นคนเอาสถาบันกษัตริย์ แต่ผมเชื่อว่ากษัตริย์ถ้ามีทศพิธราชธรรมแล้ว พระองค์ท่านจะอยู่ได้ยาวนาน แต่ถ้าไม่มีทศพิธราชธรรม พระองค์ก็อยู่ไม่ได้ ผมยังไม่เห็นกษัตริย์คนไหนในปัจจุบันที่ไม่มีทศพิธราชธรรม ผมไม่รู้ว่าเบื้องหลังการล้มกษัตริย์นั้น วัตถุประสงค์ทำเพื่อสะใจ หรือทำเพื่อให้ตัวเองจะได้มีโอกาสทำตัวเป็นประธานาธิบดีในประเทศไทย ถ้าวันนั้นมาถึงผมคงดีใจว่าผมตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องมาเห็นเรื่องราวแบบนี้ต่อไปอีก

เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย


ท่านผู้ชมครับ ไม่กี่วันมานี้ผมได้อ่านข้อเขียนชิ้นหนึ่งของคุณทนง ขันทอง ที่เขียนเอาไว้ก่อนการเลือกตั้งที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป เรื่องปัญหาและความท้าทายที่ประเทศไทยเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ปัจจุบัน และอนาคต เมื่อผมอ่านและวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า สุดท้ายแล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ยังไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย หรือคำตอบในการเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และการดำรงชีวิตอย่างอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนไทยแต่อย่างใด ผมขอแนะนำคุณทนง ขันทอง หน่อย เป็นเพื่อน กัลยาณมิตรของผม เป็นผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และเป็นคนที่ถือได้ว่าเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งในเรื่องของความคิด ปรัชญาของการปกครอง

คุณทนง ขันทอง เป็นคนที่มีคนติดตามมากพอสมควร ท่านผู้ชมอยากจะอ่านเรื่องราว เฟซบุ๊กคุณทนง ขันทอง ให้เข้าไปที่เฟซบุ๊กชื่อ Thanong Fanclub นอกจากนั้นแล้ว คุณทนงยังมาเขียนให้เรา และออกรายการต่างประเทศให้เราอีก แต่ความรู้ของคุณทนงนั้นลึกซึ้งมาก ผมไม่อยากให้ท่านผู้ชมพลาด เข้าไปได้เลยนะครับ Thanong Fanclub เขียนเรื่องราวต่างๆ เยอะแยะมาก แล้วสิ่งที่คุณทนงเขียนนั้นเป็นความจริงหมด


เอาล่ะ เรากลับมาต่อถึงข้อเขียน คำถามคือว่า เมื่อเรามองให้พ้นประชาธิปไตย 4 วินาที ท่านผู้ชมเข้าใจใช่ไหมครับคำว่า "ประชาธิปไตย 4 วินาที" ผมเป็นคนบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมา นั่นก็คือ เวลาท่านผู้ชมลงเลือกตั้ง ลงคะแนนเสียง ก็คือนับ 1-4 แล้วก็หย่อนบัตรลงไป นั่นคือสิทธิของท่านผู้ชมหมดไปแล้ว หลังจากนั้นแล้วระบบการเมืองก็จะบังคับให้พรรคการเมืองแทบจะไม่ต้องสนใจเราอีกต่อไป

ข้อเขียนชิ้นนี้ของคุณทนง เป็นข้อเขียนที่ดีมากๆ ผมเห็นด้วยทุกประการ อยากเอามาแบ่งปันให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ ผมสรุปใจความสำคัญมาเล่าให้ฟัง ถ้าอยากได้อ่านฉบับเต็มก็เข้าไปอ่านได้ที่เฟซบุ๊ก Thanong Fanclub

คุณทนง ระบุว่า การเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม คงไม่นำไปสู่ทางออกประเทศไทย แม้ว่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่โดยภาพรวมแล้วคนไทยส่วนใหญ่จะยังคงไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรืออาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังตามมา ที่สำคัญไปกว่านั้น คุณทนงบอกว่า เสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศต่อไปจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย

มองดูนโยบายหาเสียงแต่ละพรรคการเมืองแล้วจะเห็นได้ว่ายังยึดในประชานิยมการใช้จ่ายอย่างเหนียวแน่น เพื่อหวังชนะเลือกตั้ง แล้วมีโอกาสในการฟอร์มรัฐบาล แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดนำเสนออุดมการณ์ทางการเมือง หรือแนวทางการบริหารประเทศผ่านการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง และสังคม เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมที่ยั่งยืนที่แท้จริง พรรคเพื่อไทยชูนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อหัว


พรรคก้าวไกลหมกมุ่นเหลือเกินกับการแก้กฎหมายมาตรา 112 หมกมุ่นจนเหมือนบ้าคลั่งไปแล้ว

พรรคพลังประชารัฐสัญญาจะเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ พรรคภูมิใจไทยเน้นในการพักหนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอแนวนโยบายตั้งกองทุนฉุกเฉิน วงเงิน 30,000 ล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์หาเสียงตั้งกองทุน 3 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ SME ขนาดเล็กและขนาดกลาง พรรคชาติพัฒนากล้าเน้นการแก้ปัญหาหนี้สินด้วยการยกเลิกแบล็กลิสต์ของเครดิตบูโร พรรคชาติไทยพัฒนาหาเสียงแบบขอไปที เสนอแผนสร้างงานสร้างรายได้แก่ผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการเดือนละ 3,000 บาท

มีแต่แผนใช้เงิน แต่ไม่มีแผนหาเงิน ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม นโยบายรัฐบาลใหม่ก็ยังคงยึดติดอยู่ในประชานิยมรูปแบบเดิมๆ คือเน้นการใช้จ่าย หรือการสร้างหนี้ การบริโภค แต่กลับไม่มีแผนการว่าจะหาเงินรายได้มาจากไหน แทบจะทุกพรรคการเมืองคิดว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งและได้มีอำนาจในการบริหารประเทศแล้ว จะเดินหน้าก่อหนี้ในงบประมาณแผ่นดินต่อไปเพื่อการใช้จ่าย จะได้แสวงหาผลประโยชน์จากการคอร์รัปชันเพื่อตนเองและพวกพ้อง ทำให้มีความเสี่ยงว่าหนี้สาธารณะของประเทศที่ขยับเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ต่อ GDP แล้ว จะพุ่งไปเรื่อยๆ จนทำให้ฐานะการคลังของประเทศมีความเสี่ยง ต้องล้มละลายในอนาคต เหมือนประเทศส่วนมากในโลกนี้ที่เดินตามอุดมการณ์ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ทุนนิยม

ท่านผู้ชมครับ รัฐบาลใดที่ไม่มีรายได้ที่สมดุล หรือเกินดุล แต่มีรายจ่ายที่เกินตัว ในท้ายที่สุดประเทศชาติจะเดินทางไปสู่หายนะ เหมือนอเมริกาหรือประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังเผชิญอยู่ จากการเดินแนวทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ซึ่งให้ประโยชน์กับนายทุน แต่รัฐบาลกลับมัดมือมัดเท้าตัวเอง ทำให้ไม่สามารถดูแลสวัสดิการประชาชนได้

คุณทนงบอกว่า วิธีเดียวที่รัฐบาลจะมีรายได้พอกับรายจ่าย คือรัฐบาลต้องกลับมาเป็นผู้นำในการบริหารเศรษฐกิจ เป็นเจ้าของกิจการเอง หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะกิจการที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การธนาคาร น้ำมัน พลังงาน โทรคมนาคม อุตสาหกรรม การผลิตที่สำคัญ เป็นต้น พูดง่ายๆ ประเทศจะเจริญและมั่นคงได้ รัฐบาลต้องรวย ต้องเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทหรือธนาคาร ซึ่งทำให้มีรายได้จากการลงทุนเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ ไม่ใช่คอยแต่เก็บภาษีขาเดียว และต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอย่างแน่นอน

ในทางตรงกันข้าม ถ้ารัฐบาลไม่ได้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ มีฐานะยากจน หรือมีหนี้สินมากมาย ปล่อยให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ผูกขาดธุรกิจ มีอำนาจเหนือตลาด หรือมีอำนาจเหนือระบบการเมือง การใช้เงินปรนเปรอนักการเมืองและข้าราชการ จะทำให้โครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจถูกบิดเบือน ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และประชาชนเดินดินธรรมดาจะถูกเอาเปรียบ การพัฒนาประเทศจะไม่มีเป้าหมายหรือทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากเอกชนจะไม่ลงทุนในกิจการที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย การพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีระดับสูง


ในที่สุดแล้วความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะด้อยลงไปเรื่อยๆ และรัฐบาลจะไม่สามารถแบกภารกิจอันใหญ่หลวงในการดูแลการกินดีอยู่ดีของประชาชนทั้ง 70 ล้านคน ตามที่พวกเราคาดหวังไว้

ประเทศไทยมีจำนวนพ่อค้า นักธุรกิจ มีเงินหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท หลายล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น มีความมั่งคั่งติดอันดับ เศรษฐี มหาเศรษฐีของโลก ในนิตยสาร Forbes ในขณะที่รัฐบาลไทยกลับมีหนี้ มีภาระในการใช้จ่ายเพิ่ม ส่วนคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องพูดถึง ปากกัดตีนถีบ ค่าครองชีพสูงขึ้น หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยมีสัดส่วนเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP ซึ่งสูงติดอันดับแนวหน้าของโลก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเท่ากับว่ารัฐบาลไทย ทรัพยากรของประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมของประเทศไทย และคนไทยทั้งประเทศ อุดหนุนความมั่งคั่งให้พ่อค้า นักธุรกิจ รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติ นับวันจะรวยยิ่งขึ้นจากการผูกขาดหรือการมีอำนาจเงิน หรืออำนาจทางกาตลาดที่เหนือกว่าคู่แข่ง ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต จนมีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตสังคม เพราะนับวันคนจนยิ่งจะจนลง เมื่อประชาชนส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้

นโยบายของการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ชนชั้นระดับผู้นำและปัญญาชนไทย ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าได้รับอิทธิพลจากธนาคารโลก และการลงทุน การเงินระหว่างประเทศ ที่แนะนำให้ประเทศต่างๆ ให้เลือกเดินในแนวทางเสรีนิยมและทุนนิยม ให้เปิดเสรีทั้งระบบเศรษฐกิจและการเงิน ให้เอกชนเป็นผู้นำ และให้รัฐบาลเป็นผู้ตาม เพราะมีความเชื่อว่าเอกชนมีความสามารถในการบริหารดีกว่า และมีความคล่องตัวกว่าในการปรับตัวกับกลไกการตลาด และการเปลี่ยนแปลงของโลก ในขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่เพียงคอยกำกับและดูแลข้างหลัง

สิ่งที่ตามมาคือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือปล่อยให้เอกชน ธุรกิจเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในกิจการที่ต้องอยู่ในการดูแลของรัฐบาล ซึ่งเคยถือว่าเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การธนาคาร พลังงาน น้ำ ไฟฟ้า โทรคมนาคม มิหนำซ้ำยังมีการออกนโยบายเอื้อธุรกิจขนาดใหญ่และต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา จากการเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจโดยไม่ปกป้องธุรกิจขนาดเล็กและภาคการเกษตร

การให้สัมปทาน การขายกิจการ หรือขายหุ้นรัฐบาลออกไป ที่ดูเหมือนว่าจะดีแต่แรกเริ่ม แต่พอผ่านไปแล้วจะเห็นว่าสิ่งที่ได้นั้นไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสีย เพราะเกิดสภาพที่เรียกว่า "รวยกระจุก จนกระจาย" คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม

ท่านผู้ชมครับ คุณทนงบอกว่านโยบายเสรีนิยม ทุนนิยม ที่ชื่อมันก็บอกในตัวอยู่แล้ว ให้สิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่กับนายทุนและนักลงทุนที่มือยาว สามารถกอบโกยเท่าไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงส่วนรวม ทำให้เกิดความโลภ ความเห็นแก่ตัว เมื่อประสบความสำเร็จหรือรวยขึ้น ก็พยายามเอาเปรียบสังคมและคู่แข่งมากยิ่งขึ้น โดยผ่านการผูกขาดและการมีอำนาจเหนือตลาด ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกำลังเดือดร้อน

ระบบเสรีนิยม ทุนนิยม ได้พิสูจน์ให้เห็นในประเทศต่างๆ ทั่วโลกแล้วว่าล้มเหลวการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม และสร้างความเหลื่อมล้ำจนมีความเสี่ยง ที่จะก่อให้เกิดวิกฤตสังคม หรือการปฏิวัติที่รุนแรง แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล ที่ควรต้องกลับมาเพิ่มบทบาทในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการที่เป็นยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ คนส่วนใหญ่จะส่ายหัวเพราะถูกล้างสมองให้คิดถึงระบบสังคมนิยมอันล้าหลัง ที่รัฐบาลคุมปัจจัยการผลิต แต่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในการบริหารจัดการ เห็นได้จากความล้มเหลวในกิจการของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยปัญหาคอร์รัปชันและความด้อยประสิทธิภาพ ทั้งๆ ที่กิจการของรัฐอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ เพราะว่ามีการผูกขาด เรื่องนี้มีส่วนในความเป็นจริง แต่มันเกิดจากระบบการเมืองที่อ่อนแอ ผู้นำไม่เข้มแข็ง ไม่มีความเด็ดขาด ไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ได้เอาคนเก่งที่มีความสามารถมาบริหารจัดการ มักจะมองแต่ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องในระยะสั้น พูดง่ายๆ ว่ามีการโกงกินทุกระดับ และไม่เว้นทุกพรรค แม้กระทั่งพรรคก้าวไกล ถ้ามีอำนาจในรัฐบาล ก็จะถูกระบบทำให้เน่าเฟะเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่มีข้อยกเว้นครับ

ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทยตกหลุมพรางกับดักของแนวความคิดเสรีนิยม ทุนนิยม ซึ่งต่อต้านบทบาทของรัฐบาลในเศรษฐกิจแนวสังคมนิยมที่ถูกมองว่าเป็นโบราณเต่าล้านปี โดยอ้างความล้มเหลวของประเทศสหภาพโซเวียต และยุโรปตะวันออก ที่เดินในแนวทางสังคมนิยมในยุคสงครามเย็น ทำให้รัฐบาลไทยทุกสมัยที่มาจากการเลือกตั้ง หรือยึดอำนาจ ต่างเอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน ทำให้แทนที่รัฐบาลจะรวยเอง กลับทำให้นายทุนรวย แล้วอะไรคือโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นทางออก ?

ในขณะที่ระบบเสรีนิยม ทุนนิยม ที่นอกจากจะสร้างความเหลื่อมล้ำแล้ว ยังสร้างวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินทุกๆ 7 หรือ 10 ปี เข้าสู่ยุคเสื่อม


โมเดลของเศรษฐกิจใหม่ที่มีการผสมผสานกันระหว่างอุดมการณ์สังคมนิยม และระบบการตลาดที่มีทั้งจีน และอินเดีย ได้นำมาปรับใช้ กำลังเข้ามาแทนที่ เพราะเป็นระบบที่ให้คำตอบที่แท้จริงสำหรับการพัฒนาประเทศ และดูแลผลประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวม


นายเซอร์เก กลาซิเยฟ (Sergey Yurievich Glazyev) นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซีย และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างพิมพ์เขียวสำหรับเงินสกุลร่วมของกลุ่ม BRICS (B = Brazil, R = Russia, I = India, C = China, S = South Africa) ได้อธิบายว่า โมเดลของจีน รวมทั้งอินเดียที่มีการเอาจุดแข็ง การวางยุทธศาสตร์จากส่วนกลาง และเศรษฐกิจแบบการตลาด ผสมผสานกัน มาเข้ารวมกัน รัฐบาลจะควบคุมเศรษฐกิจด้านการเงินและโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งสร้างผู้ประกอบการธุรกิจ กำลังก้าวขึ้นมา กำลังจะกลายเป็นระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่แทนระบบเสรีนิยม ทุนนิยม ที่มีการบริหารเชิงแนวดิ่ง สั่งการลงมาจากข้างบน และไม่มีส่วนร่วมของพนักงานหรือแรงงาน ซึ่งจะล้าหลังและไม่มีความสามารถในการแข่งขันอีกต่อไป


ท่านผู้ชมครับ คุณทนงบอกว่า ในระบบเศรษฐกิจใหม่นี้มีอุดมการณ์สังคมนิยมและชาตินิยมเป็นพื้นฐาน สังคมนิยม เพื่อสังคม ชาตินิยมคือ เพื่อชาติบ้านเมืองของเรา มีการใช้ระบบบริหารที่มีความคล่องตัวสูง มีองค์กรเครือข่ายทางการผลิต รัฐบาลทำหน้าที่เป็นตัวประสานในการดึงเอาพลังต่างๆ จากสังคมทุกภาคส่วน เพื่อเป้าหมายเดียว คือการฟื้นฟูสวัสดิการทางสังคม ต่างจากระบบเสรีนิยม ทุนนิยม ที่ดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นแต่อย่างเดียว ไม่ให้ความสนใจกับการอยู่รอดของส่วนรวม เหมือนกับผู้ถือหุ้นของ ปตท. ปตท. ต้องดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจะให้ผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นดีขึ้น ก็ต้องขึ้นราคาน้ำมันให้มันแพง ให้มีกำไรมากขึ้น แต่สังคมโดยส่วนรวม ประชาชนจะลำบากแค่ไหนก็ไม่สนใจ

ท่านผู้ชมครับ เงินไม่ใช่ตัวชี้วัดในระบบเศรษฐกิจใหม่ แต่เป็นเพียงเครื่องมือการนำไปสู่การฟื้นฟูสวัสดิการสังคม รัฐบาลจะทำหน้าที่หลักในการจัดสรรเครดิตในระบบ เพื่อให้ธุรกิจเอกชนสามารถเข้าถึงเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่ำโดยไม่จำกัดวงเงิน ถ้าหากเป็นโครงการที่จะทำให้สวัสดิการสังคมโดยรวมดีขึ้น โดยธุรกิจที่ดีอยู่แล้วจะนำพาสังคมไปข้างหน้า ทั้งในเรื่องการจ่ายภาษี การจ้างงาน การสร้างนวัตกรรมใหม่ ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ นะครับ นี่เป็นความคิดของผม ไม่ใช่ของคุณทนงนะครับ เหมือนกับว่ารัฐบาลสนับสนุนให้มีการติดโซลาร์เซลล์ทั่วประเทศไทย แล้วรัฐบาลทำหน้าที่เป็นตัวประสาน ให้เงินกู้กับหน่วยงานเอกชนที่ต้องการจะทำธุรกิจในการติดโซลาร์เซลล์ แล้วก็ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ต้องสร้างระบบในการรับซื้อไฟฟ้าคืนจากประชาชน จากไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ซึ่งเหลือใช้ในวันๆ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังให้เห็นชัด

ด้วยเหตุนี้ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา คุณทนงยกตัวอย่างเศรษฐกิจจีน เศรษฐกิจจีนได้เติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าตั้งสามเท่า นอกจากนี้แล้ว จีนยังแซงหน้าสหรัฐฯ ในด้านประสิทธิภาพการผลิต การส่งออกสินค้าไฮเทค อัตราการเจริญเติบโต ทำให้อีกห้าปีข้างหน้าเศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น จีนฉลาด สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีได้เร็ว เพราะว่าให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วยเงื่อนไขที่รัฐบาลขอมีหุ้นส่วนด้วย และต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้คนจีนสามารถพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีได้ จนทุกวันนี้จีนมีเทคโนโลยีของตัวเองที่นำหน้าตะวันตก และไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติอีกต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ของเซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัม คอมพิวเตอร์ การที่จีนก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจในโลกทางเศรษฐกิจได้ เพราะว่าจีนมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ การบริหารของเศรษฐกิจจึงทำได้ต่อเนื่อง มีการเดินตามการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว การตัดสินใจต่างๆ เป็นไปตามฉันทามติภายในพรรค สามารถปราบคอร์รัปชันได้ ต่างจากระบบประชาธิปไตยที่มาควบคู่กับเสรีนิยม ทุนนิยม ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การแก่งแย่งผลประโยชน์และอำนาจ รัฐบาลอยู่ในอำนาจได้ไม่นาน ไม่มีการบริหารแผนพัฒนาประเทศระยะยาว การคอร์รัปชันระบาดหนัก

นอกจากนี้แล้ว ประเทศจีนยังเป็นเจ้าของระบบแบงก์ รัฐวิสหกิจ รวมทั้งถือหุ้นในทุกบริษัทที่เป็นยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการบิน น้ำมัน พลังงาน ประกันภัย IT ไฮเทค การก่อสร้าง โทรคมนาคม ค้าปลีก สื่อดั้งเดิม โซเชียลมีเดีย


เรียกได้ว่าไม่มีธุรกิจอะไรที่รัฐบาลไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เมื่อเขาสร้างธุรกิจให้เจริญแล้ว ค่อยๆ ปล่อยให้เอกชนจีนเข้ามารับช่วงต่อ แม้แต่การส่งออกซึ่งเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน รัฐบาลจีนก็ให้เงินอุดหนุนเพื่อให้ขายของได้ในราคาถูก หรือบางครั้งขายต่ำกว่าทุนเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด

การบริหารธุรกิจของจีนเป็นไปแบบแนวนอน (Horizontal) ที่เปิดโอกาสให้พนักงานเข้ามีส่วนร่วมสูง ทั้งในการบริหารหรือการแสดงความคิดเห็น ต่างจากแนวดิ่ง คือจากข้างบนลงมา ของเสรีนิยม ทุนนิยม ที่ให้พนักงานเป็นเพียงลูกจ้างที่ต้องทำตามคำสั่งผู้บริหารอย่างเคร่งครัด ทำให้พนักงานขาดความรู้สึกผูกพันกับองค์กร ตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 เป็นต้นมา โลกก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในวงจรรอบใหม่ เงินทุนจำนวนมากมายมหาศาลถูกระดมเข้าสู่การพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะปฏิวัติโลกให้เข้าสู่สังคมดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาโนไบโอเอ็นจิเนียริ่ง และ IT การสื่อสาร

ประเทศที่จะมีความสามารถในการแข่งขันต่อไป ต้องมีรัฐบาลที่สามารถไฟแนนซ์ธุรกิจด้วยเครดิตระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อพัฒนาหรือรับเอาเทคโนโลยีใหม่ จีนอยู่ในสถานะที่จะทำอย่างนี้ได้ เพราะว่ารัฐบาลกับเอกชนร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเป้าหมายในการยกระดับสวัสดิการสังคม และเอาชนะตะวันตก จะได้ไม่ถูกรังแกหรือถูกล่าอาณานิคมอีกต่อไป นี่คือส่วนของความเป็นชาตินิยม


สังคมนิยม คือจีน ทำงานทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของสังคมทั้งสังคม แต่ต้องต่อสู้ยกระดับสวัสดิการสังคม ยกระดับนวัตกรรม เพื่อเอาชนะตะวันตก จะได้ไม่ถูกรังแก นี่คือชาตินิยม ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง

ส่วนอเมริกา และยุโรปนั้น เม็ดเงินส่วนมากจะไหลจากระบบการเงิน การใช้จ่ายที่เกินตัวของรัฐบาลผ่านงบประมาณขาดดุล และจะเข้าไปเก็งกำไรในตลาดการเงิน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจถูกแปรไปเป็นระบบการเงินไปเสียเกือบหมด โดยการผลิตในเศรษฐกิจที่แท้จริงถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ

เนื่องจากจีนมีการบริหารเศรษฐกิจที่เป็นประสิทธิภาพสูง เงินหยวนที่ถูกปล่อยเข้าไปในระบบ สร้างมูลค่าเกินให้กับเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะว่าเงินหยวนนั้นเอาไปลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Productivity ในบ้านเราขาด Productivity อเมริกาทุกวันนี้ก็ขาด Productivity ยุโรปก็ขาด Productivity เมื่อเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูง เงินเฟ้อก็จะต่ำ ต่างจากระบบของอเมริกาที่เงินเฟ้อสูง เนื่องจากดอลลาร์ไหลเข้าไปสู่ในระบบที่มุ่งไปสู่การบริโภคและการเก็งกำไรในตลาดการเงิน ทำให้ยิ่งวันอเมริกาถูกจีนทิ้งห่างในการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะเวลาข้างหน้า


รัสเซีย และอินเดีย ซาอุดีอาระเบีย หรือแม้สิงคโปร์ ต่างมีรัฐบาลที่ค่อนข้างเข้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก แต่เขายืนหยัดได้โดยไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมาก เนื่องจากรัฐบาลเป็นเจ้าของธุรกิจพลังงาน เจ้าของสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถควบคุมสถานการณ์และใช้เป็นเครื่องมือสงครามเศรษฐกิจเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ และอียูได้ ถ้าเศรษฐกิจรัสเซียอยู่ในมือเอกชนเป็นส่วนใหญ่เหมือนประเทศไทย ป่านนี้รัสเซียคงล้มละลายไปแล้ว เพราะว่ารัฐบาลไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่จะไปต่อรอง


ท่านผู้ชมครับ คุณทนงเขาทิ้งท้ายไว้ว่า พรรคการเมืองไทย นักการเมืองไทย ผู้บริหารประเทศ ต้องเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลเสียใหม่ และอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจจะต้องสลัดทิ้งเสรีนิยม ทุนนิยม ให้ได้ ระบบการเมืองไทยต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง มีคุณธรรม ไม่โกหกพกลม เลือกคนเก่งที่เสียสละมาทำงาน ยกเลิกการผูกขาดในภาคธุรกิจ และการฮั้วกันในระบบการเงิน ปราบคอร์รัปชันให้ได้ทุกระดับด้วยมาตรการที่รุนแรงและเด็ดขาดเหมือนที่จีนทำ รัฐบาลไทยต้องนำเข้าจุดแข็งของระบบสังคมนิยมและทุนนิยมมาผสานกันผ่านการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศจากส่วนกลาง และนำเอาเศรษฐกิจการตลาดเข้ามารวมกัน โดยรัฐบาลจะควบคุมธุรกิจด้านการเงิน อุตสาหกรรมพื้นฐานทั้งหมด ผ่านการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมทั้งช่วยสร้างผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ หรือหน้าเก่าที่มีศักยภาพ ผ่านการให้เครดิตดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจที่มุ่งเน้นในการสร้างนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ก้าวทันโลก

ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีสำนึกในความเป็นชาตินิยม ต้องการทำให้ชาติไทยเจริญรุ่งเรือง มีความมั่นคง ต้องมีคุณธรรม มีความตั้งใจ ยกระดับสวัสดิการสังคมเพื่อให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี

ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ใช้อำนาจการเงินหรืออำนาจที่เหนือตลาดมาเอาเปรียบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก แรงงานไทยที่มีรายได้ต่ำ และเกษตรกรชาวไร่ชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ต้องไม่ถูกกลไกทุนนิยม ระบบนายหน้าเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป การที่รัฐบาลจะดูแลภาคสังคมที่อ่อนแอ รัฐบาลต้องรวย มีฐานะการคลังที่มั่นคง มีทรัพยากร เครื่องไม้เครื่องมือพร้อมในการบริหารเศรษฐกิจผ่านการคิดใหม่ทำใหม่ เพราะว่าการเก็บภาษีคนรวยเพื่อมาดูแลคนจนนั้นจะไม่มีวันที่จะทำงานได้ ไม่เวิร์ก การที่เราจะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีฉันทามติในประเทศที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศอย่างแท้จริง แทนที่จะอยู่ไปวันๆ เหมือนในช่วงที่ผ่านมา เพื่อว่าประเทศไทยจะได้เกิดใหม่ มิฉะนั้นแล้วประเทศไทยจะตกเป็นสมบัติของนายทุน หรือนักการเมืองไม่กี่คน รวมทั้งนายทุนต่างชาติที่มุ่งหวังยึดครองประเทศไทยผ่านการผูกขาด ทำให้ประชาชนคนไทยอยู่ร่วมกันไม่ได้

ท่านผู้ชมครับ คุณทนงบอกว่าการปฏิรูปจะต้องครอบคลุมถึงการปฏิรูปที่ดินเพิ่อความเป็นธรรม หรือดูแลภาคประชาชน การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมการเงิน การปฏิรูปโครงสร้างภาษี และการปฏิรูปธุรกิจธนาคารและเครดิต โดยที่รัฐบาลจะต้องเป็นผู้นำในภาคเศรษฐกิจอีกครั้งในรูปแบบไฮบริด ระหว่างสังคมนิยม และทุนนิยม ให้มีความคล่องตัว คำนึงถึงสวัสดิการและความเจริญก้าวหน้าของคนไทยทุกคน

คุณทนงบอกว่า เรากำลังอยู่ในห้วงของประวัติศาสตร์ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โดยที่จีนและรัสเซียกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกแทนมหาอำนาจขั้วเก่าของอเมริกาและอังกฤษผ่านการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ทำให้จะมีความสามารถในการแข่งขันสูง และทิ้งคู่แข่งทางตะวันตกอย่างห่างเลย


ศูนย์กลางความเจริญของโลกจะอยู่ที่จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ไทยจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากโอกาสและสถานที่ รอเพียงเงื่อนไขเวลาที่จะมาถึง แต่ก่อนอื่นไทยต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อน ต้องผ่านการยกระดับสถานภาพทางประเทศผ่านการปฏิรูปโครงสร้างในรูปแบบไฮบริดที่ต้องเอาสังคมนิยมและทุนนิยมเข้ามาผสมผสานกัน

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ล่ะครับ ความคิดเชิงยุทธศาสตร์ระยะสั้น กลาง และระยะยาว ที่ผมเห็นด้วยเกี่ยวกับประเทศไทย พวกผมมีการปรึกษาหารือพูดคุยกัน ถกเถียงกันอย่างเข้มข้นทุกวัน

ผมทิ้งท้ายรายการเอาไว้วันศุกร์ที่แล้ว ศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 ว่า ข้อสรุปสุดท้ายที่พวกผมได้ คือพวกเราอาจจะเปรียบได้ว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า คือกลุ่มคนที่ยังเห็นคุณค่าและเชื่อมั่นรากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมอยู่ แต่พวกเรายอมรับพลวัตรการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามา ยอมรับการพลิกขั้วของโลกในทุกมิติ เพื่อผลักดันให้ประเทศอยู่กับร่องกับรอย สามารถทำให้ประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ทำให้ประชาชนชาวไทยใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข สามารถปกป้องประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงของโลกนี้ได้


ท่านผู้ชมครับ ใครก็ตามจะเป็นนายกรัฐมนตรี จะชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือไม่ พรรคไหนจะฟอร์มรัฐบาลกับพรรคไหน ส.ว. 250 คน จะโหวตหรือไม่โหวตให้ใคร ก็ช่างเขา ถ้าเห็นด้วยกับผมว่าประชาธิปไตย 4 วินาที คือการเลือกตั้งผู้แทน 4 ปี/ครั้ง เข้าไปในสภาฯ เพื่อปู้ยี่ปู้ยำประเทศ ไม่ใช่ทางออก ไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งพรรคก้าว่ไกลด้วย เพราะเราต้องผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงจากสายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้าให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ความกตัญญูรู้คุณคน การมีสัมมาคารวะ การดูแลและปกป้องสถาบันกษัตริย์


ท่านผู้ชมครับ มีการโหนเจ้าในอดีตมากเหลือเกิน เพราะว่าคนที่โหนเจ้าในอดีตนั้นมองสถาบันกษัตริย์ในมิติเดียว คือความมั่นคง แต่มันไม่ใช่ มิติของการที่จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ได้ดีที่สุดก็คือมิติของทำให้ประชาชนในประเทศไทยกินดีอยู่ดี พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมน้ำใจของเรา สถาบันกษัตริย์ให้กำลังใจประชาชนทุกคน แล้วเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อชุมชน ในขณะซึ่งรัฐบาลไม่มีปัญญาหรือไม่มีเวลาที่จะไปดูแล

ถ้าประชาชนกินดีอยู่ดีแล้ว สถาบันกษัตริย์จะมีความมั่นคง ไม่ใช่ว่าการเป็นพลเอกเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือคนที่แวดล้อม พวกอนุรักษ์ตกขอบ มองทุกอย่างในมิติเดียวก็คือว่าจะรักษาสถาบันกษัตริย์ได้นั้น ต้องเน้นที่ความมั่นคงอย่างเดียว มันไม่ใช่ท่านผู้ชม

วันนี้เป็นเรื่องการเมืองสุดๆ หลายรูป หลายแบบ หลายมิติ ผมรู้ว่าคำพูดของผมนั้นอาจจะไม่ถูกใจติ่งส้ม ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกหลายปีที่จะพิสูจน์ความจริงได้ พวกคุณวันนี้ห้าวเป้ง แต่ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง พวกคุณจะมีลูก จะมีครอบครัว จะมีความมีความรับผิดชอบ และพวกคุณจะเห็นว่าสิ่งที่ผมพูดนั้น วันนี้ที่คุณมาด่าผม หรือคุณมาบอกว่าลุงไปพักผ่อนเถอะ มันเป็นความจริงทุกประการ มันไม่ผิดหรอกครับ เพราะว่าความจริงมีหนึ่งเดียว เดี๋ยวนี้ยุคของพวกคุณ ติ่งส้มบางคนไม่ต้องกตัญญูรู้คุณคน ทำไมต้องกตัญญู ไม่ต้องเรียกพ่อเรียกแม่ คุณธนาธรน่ะตัวดีเลย เป็นคนโพสต์ลงมา บอกว่าเราจะเรียกไปทำไมพ่อแม่พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ผมทำไม่ได้ เพราะพ่อแม่เลี้ยงผมมา เวลาผมขี้แตกขี้แตนตอนเด็กๆ แม่ผมเป็นคนล้างก้นให้ อดหลับอดนอน ผมไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะความกระสันหรือความมักใคร่ในอารมณ์เหมือนอย่างอาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาฯ ผมเกิดขึ้นมาเพราะว่าพ่อและแม่ต้องการมีผู้สืบสกุล และจะมีผู้สืบสกุลได้อย่างไรถ้าไม่สมสู่กัน ใช่ไหมท่านผู้ชม ผมไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ฉะนั้นถ้าเราหลุดออกมาจากช่องคลอดของแม่เราแล้ว แม่คือผู้มีพระคุณต่อเรา เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ เรื่องวันนี้เป็นเรื่องที่พูดแล้วอาจจะกระเทือนใจบางคน อาจจะกระเทือนคนรุ่นใหม่บางคน แต่ผมไม่สนใจ เพราะว่าความจริงมีหนึ่งเดียว ถ้าคุณไม่มีแม่คลอดคุณออกมา แล้วเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวตัวคุณ แล้วคุณจะเป็นมนุษย์มนาวันนี้ได้อย่างไร แล้วคุณมาบอกว่าความกตัญญูรู้คุณคนไม่ต้องมี ผมกตัญญู พ่อผม ปู่ผม กตัญญูรู้คุณของกษัตริย์ไทย ที่ให้พวกผมซึ่งมีเชื้อจีน เข้ามาอาศัยอยู่ในนี้ สร้างครอบครัว สร้างฐานะกันขึ้นมา ส่งต่อไปถึงลูกหลาน ผมต้องมีความกตัญญูรู้คุณคน พ่อผมมีความกตัญญูรู้คุณคน ปู่ผมมีความกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ พ่อผมก็เห็นความสำคัญของพระมหากษัตริย์ ผมก็เห็นเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก่อน อาจจะต้องมีเรื่องราวที่ขยับขยายในอาทิตย์หน้าในเรื่องของความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น