xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : "กราดยิงพารากอน" เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย - “ลิซ่า” ทะลุกำแพงเคป๊อป - “มินนี่” เปิดหน้าแถ - สิ้นหวังกับ “อัยการสูงสุด” - แลนด์บริดจ์ ดีกว่า คลองไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 6 ต.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น
- เด็ก 14 กราดยิงพารากอน เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย
- “ลิซ่า” จัดเต็ม ณ CRAZY HORSE ทะลุกำแพงเคป๊อป
- เจาะคำต่อคำ “มินนี่” เปิดหน้าแถ
- สิ้นหวังกับอัยการสูงสุด "นารี ตัณฑเสถียร" 1 ปีมีแต่เดินทาง
- ทำไมควรเป็น "แลนด์บริดจ์" ไม่ใช่ "คลองไทย"
- "เฉลิม" ถอยดีกว่า "ทักษิณ" คือเจ้าของพรรค

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.209



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 210 [6 ต.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ผมขอทักทายท่านผู้ชมที่กำลังชมรายการสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

วันนี้มีเรื่องหลายเรื่อง เป็นเรื่องสั้นๆ หลายเรื่อง แต่เรื่องยาวๆ ก็มีหลายเรื่อง ผมคิดว่าสนุกสนาน เหมือนเดิม เรื่องแรกที่ผมจะพูดก็เป็นเรื่องที่กำลังเป็นที่ตกอยู่ในท่ามกลางการถกเถียงและความตระหนกตกใจ นั่้นคือการที่เด็กอายุ 14 กราดยิงอยูู่ในพารากอน เกิดอะไรขึ้นกังคมไทย ? ผมมีข้อคิดอยู่เยอะ แล้วมีตรรกะต่างๆ ตลอดจนความเห็นต่างๆ

เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมหลายท่านซึ่งเป็นแฟนลิซ่า ลลิษา มโนบาล ก็คงจะรอ เพราะว่าเราทำโปสเตอร์ไปแล้วว่า จัดหนักลิซ่า แฟนลิซ่าทุกคนก็คงจะกระโดดเข้ามาด้วยความกระเหี้ยนกระหือ จะจัดทัวร์มาลงผม ไม่เป็นไรครับ ฟังผมพูดให้จบก่อนแล้วกัน ผมกำลังจะพูดถึงบทบาทและอนาคตของลิซ่า บนเวทีคาบาเรต์โชว์

เรื่องที่สาม ซึ่งก็อยู่ในเมดเลย์นี้ ท่านผู้ชมจำ "มินนี่" ได้ไหม ทำไมผมต้องเอาเรื่อง "มินนี่" มาพูดอีกครั้งหนึ่ง เพราะมินนี่ เขาลงเครื่องบินจากสิงคโปร์ เขาเหมาลำไป ร่ำรวยมาก เขาก็แถลง เจ๊าะแจ๊ะเป็นฉากๆ เลย ผมก็มาจับคำต่อคำของคุณมินนี่ ที่เปิดหน้าแถ แล้วผมจับโกหกซึ่งความจริงมีหนึ่งเดียว ให้ท่านผู้ชมรู้ว่าคุณมินนี่ โกหกอะไรไว้บ้าง

เรื่องต่อไปคือเรื่องที่ผมกำลังพูดถึง เรื่องอัยการสูงสุดคนที่แล้ว คุณนารี ตัณฑเสถียร งานการไม่ทำ เอาแต่เที่ยวเตร่ไปโน่นไปนี่

เรื่องต่อมา คือเรื่องที่ท่านผู้ชมขอมานานแล้ว ขอมาหลายคน ทำไมต้องเป็น"แลนด์บริดจ์" แทนที่จะเป็น "คลองไทย"

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องในหมวดหมู่เมดเลย์นี้ คือ ท่านผู้ชมจำ "เฉลิม อยู่บำรุง" ได้ไหม ? หรือที่เขาเรียกว่า "เฉลิม ดาวเทียม" ออกมาประกาศตัดขาดกับทักษิณ ชินวัตร พูดอย่างน้อยอกน้อยใจ ถึงกับลั่นวาจาว่า จะให้อยู่หรือจะให้ไปก็บอกมา อะไรทำนองนี้ เดี๋ยวผมจะเล่าอะไรให้ฟัง เพราะผมเชื่อว่าไม่มีใครรู้จัก เฉลิม อยู่บำรุง ได้ดีเท่ากับผม


ท่านผู้ชมครับ วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ 7 ตุลาคม อย่าลืมนะครับ ตรงกับวันเสาร์ ที่บ้านเจ้าพระยา เราจะมีพิธีตักบาตร ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และช่วงการชุมนุม 193 วัน วันนี้ผ่านมาถึง 15 ปีแล้ว ขอเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯ มาพบปะคุยกันที่บ้านเจ้าพระยา

พิธีทำบุญให้กับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจากการกระทำของตำรวจ เริ่ม 07.00 น. เรามีทำบุญตักบาตร มีการตักบาตรข้าวสวยพระป่า 9 รูป, 08.00-10.30 น. เป็นพิธีสงฆ์ 10.30-12.00 น. เรามีการปราศรัยเล็กๆ พูดจา ทบทวนความจำกัน รำลึกถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีต แล้วก็ฟังดนตรีจากวงประจำของเรา คือ แฮมเมอร์ และคุณเศก ศักดิ์สิทธิ์ หรือที่พวกผมเรียกว่า น้าเศก มาร่วมด้วย


ท่านผู้ชมครับ มาเรื่องพระนิดหนึ่ง 28 กันยายน ที่ผ่านมา พวกเรา คืออาจารย์ปานเทพ ไปทำพิธีเจิมแบบหล่อตัวอย่างเหรียญนำฤกษ์ และตัวอย่างพระพุทธรูปนำฤกษ์ ที่วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดอยุธยา เหตุผลที่เราไปวัดนี้ เพราะวัดนี้มีความสำคัญหลายประการ หนึ่ง วัดหน้าพระเมรุ เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิที่เก่าแก่ที่สุดในสยาม อายุไม่ต่ำกว่า 500 ปี ชื่อว่า "พระพุทธนิมิตร วิชิตมาร" ซึ่งเมื่อพระสยามพุทธาธิราช จะจัดทำขึ้นเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิเหมือนกัน ก็เลยต้องทำพิธีเจิมแบบหล่อ ณ ที่ๆ เป็นปฐมแห่งพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิที่เก่าแก่ที่สุดในสยาม

สอง พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มาจากคติพระยาชมพูบดี ที่มารุกรานมคธประเทศของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นองค์พระมหากษัตริย์ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระยาชมพูบดี จึงเหมือนเป็นผู้รุกรานแผ่นดิน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงนิมิตพระองค์ให้เป็นพระมหาจักรพรรดิ ลงมาปราบอัตตาและกิเลสของพระยาชมพูบดีจนหมดสิ้น และกลับใจบวชเป็นพระอรหันต์ในท้ายที่สุด ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของการสร้างพระสยามพุทธาธิราชในยุคปัจจุบัน


ข้อที่สาม พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ ของวัดหน้าพระเมรุ มีชื่อเป็นสิริมงคลตามวัตถุประสงค์ในการปราบศัตรูของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ว่า "พระพุทธนิมิต วิชิตมาร" แปลความหมายว่า พระพุทธเจ้าทรงนิมิตเป็นพระจักรพรรดิปราบมารสำเร็จ ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ของพระสยามพุทธาธิราช ที่เราจัดสร้างขึ้น

ข้อที่สี่ วัดหน้าพระเมรุ และพระพุทธนิมิต วิชิตมาร แม้ในยามที่ถูกพม่ารุกรานจนกรุงศรีอยุธยาแตก แต่ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่า วัดแห่งนี้และองค์พระก็รอดพ้นจากการถูกทำลายอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถสืบทอดผ่านยุคกอบกู้เอกราชจนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ได้ จึงเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิที่มีคุณค่ายิ่งทางประวัติศาสตร์ของสยาม เหมาะแก่การเป็นจุดเริ่มต้นของการเจิมแบบหล่อ "พระสยามพุทธาธิราช" ที่จัดสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความมั่นคงสถาพรของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์


นอกจากนั้นแล้ว วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคมนี้ จะมีพิธีปั๊มเหรียญ ครั้งแรกที่วัดปรางค์หลวง บางใหญ่ นนทบุรี ท่านผู้ชมท่านใดที่สนใจพระ ให้รีบจองมา ยังพอจองได้อยู่ พระพุทธรูปพระสยามพุทธาธิราช ให้เช่าบูชาองค์ละ 1 แสนบาท ซึ่งมีอยู่ 250 องค์เท่านั้น ตอนนี้จำนวนคนที่จองเรียบร้อย เกินครึ่งแล้ว 130 กว่าองค์แล้ว ส่วนเหรียญกับพระที่เป็นพระผง เป็นชุด มีไว้ให้บูชา ชุดละ 2 พันบาท สนใจติดต่อที่ไลน์ (LINE) @tambun

ท่านผู้ชมครับ มีข่าวมาบอก ปีหน้า วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2567 เวลาบ่ายโมงตรง ที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น 7 เราจะมีรายการ "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหมครับ "เมืองไทยรายสัปดาห์" มีผม สนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ แล้วยังมีแขกรับเชิญสุดพิเศษ น่าจะไป เพราะท่านผู้ชมที่เป็นแฟน "เมืองไทยรายสัปดาห์" มีมาก และคิดถึงเรื่องเก่าๆ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า คุณแอ้ม เป็นคนมาพูดกับพวกเราว่า "เมืองไทยรายสัปดาห์" ปีนี้ (2566) ครบรอบ 20 ปีแล้ว 2 ทศวรรษ เพราะฉะนั้นเราควรจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง จะเป็นการจัดเพียงครั้งเดียว ไม่จัดอีกแล้ว และจะมีแขกรับเชิญที่พิเศษสุด แล้วก็มีรายการที่ท่านผู้ชมเคยดูในทีวี เป็นอย่างนั้นเป๊ะๆๆ เลย ทั้งเสียงเพลงก็เหมือนเดิม เราจะมาพูดกันถึงเนื้อหาของวันนั้น


ท่านผู้ชมที่สนใจจะมาเพื่อรำลึกเรื่องเก่าๆ หรือว่าจะพาลูกหลานที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยดู ให้มาจำเอาไว้ว่าสมัยพ่อแม่ยังหนุ่มยังสาวอยู่นั้น นี่คือรายการที่พ่อและแม่ติดอย่างมาก ท่านผู้ชมที่สนใจจะมาร่วมงาน เราเปิดให้จอง สอบถามรายละเอียดและจองบัตรได้ที่ไลน์ @sondhitalk ราคาบัตร 2 พันบาท มาก่อนได้ที่นั่งดีๆ ก่อนนะครับ


ท่านผู้ชมครับ ก็ต้องกลับมาที่ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ ท่านผู้ชมที่สั่ง 6 กล่อง จะได้ "ภาพแผนผังสมุฏฐานวินิจฉัยจักรา" ของอาจารย์ปานเทพ แผนภูมินี้อาจารย์ปานเทพ ทำขึ้นมาเอง พิมพ์จำนวนจำกัด อาจารย์ปานเทพ เอาความรู้ทางการแพทย์แผนไทยในพระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยมาเรียบเรียงอยู่ในวงกลม เรียงไปตามจักราศีของโหราศาสตร์ไทย อันนี้พิเศษสุด ท่านผู้ชมที่ซื้อยาลมฯ 6 กล่อง จะได้แผนผังสมุฏฐานวินิจฉัยจักรา ของอาจารย์ปานเทพ คนละ 1 ชุด จะแจกถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ เท่านั้น ไม่มีอีกแล้ว มีจำนวนจำกัด ติดต่อที่ไลน์ ไอดี พิมพ์คำว่า @sunherb


ท่านผู้ชมครับ แก้วที่ระลึกรายการ SONDHI TALK ครบ 4 ปี ครบไปเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา เราทำออกมาจำนวนไม่มาก เป็นแก้วขนาด 350 ml. เก็บได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น เก็บความร้อนและความเย็นได้ถึง 8 ชั่วโมง รายได้จะมอบให้กับมูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล ข้างหน้าเขียนว่า "4th ANNIVERSARY SONDHI TALK" และข้างหลังเขียนว่า "ความจริงมีหนึ่งเดียว" มีสีเดียวนะครับ ท่านผู้ชมที่สนใจสามารถสอบถามได้ทาง inbox ของรายการนี้ได้ อย่าลืมนะครับ ตอนนี้คนสั่งจองเข้ามาประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ แล้ว เราทำแค่ 1 พันชิ้นเท่านั้น ราคา 500 บาท เงินก็เอาไปให้มูลนิธิฯ เพื่อนำไปทำบุญต่อไป

เด็ก 14 กราดยิงพารากอน เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย

ท่านผู้ชมครับ หลายๆ คนบอกว่าวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา หรือวันอังคารที่ผ่านมา มันเป็นวันวิปโยค ที่มีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ เผอิญวันที่ 3 ตุลาคม ก็เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของอาจารย์ปุ๊ ภรรยาผม ตอนช่วงเช้าเราก็ไปทำบุญถวายสังฆทาน แล้วพระท่านก็สวดให้ เสร็จแล้วก็ถวายเพลพระที่วัดบวรนิเวศฯ หลังจากนั้นแล้ว มีแต่เรื่องเกิดขึ้นมาตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า ตลาดหุ้นไทยปิดปรับตัวลงกว่า 22 จุด ลงมาที่ระดับ 1,447.30 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลง 1.51% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวลงต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี


ยังไม่ทันไร พอเข้าช่วงบ่าย เป็นข่าวสะเทือนขวัญที่หลายคนคงทราบแล้วว่าเด็กชายอายุ 14 ปี พกปืนไปกราดยิงคนในห้างสรรพสินค้าพารากอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 3 ราย พอตกเย็น ในเย็นวันนั้นฝนตกหนักมากทั่วเมือง มีรายงานอุบัติเหตุโครงเหล็กค้ำหลังคาอินดอร์สเตเดียมหัวหมากถล่มจากพายุฝนพัดถล่มกรุงเทพมหานคร จนทำให้หลายจุดในพื้นที่เกิดน้ำท่วมขังรอการระบาย


เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนเริ่มงานพิธีแข่งขัน IWBF Wheelchair Basketball รุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี ชิงแชม์ปโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพียงแค่ 15 นาที แต่โชคดียังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

แล้ววันนั้นปิดท้ายด้วยเหตุการณ์เพลิงไหม้ภายในเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน จุดเกิดเหตุเป็นเรือนไม้เก่า เป็นอาคารปลูกติดกันจำนวน 6 อาคาร อยู่ภายในแดน 4 ซึ่งเป็นแดนฝึกวิชาชีพ


ท่านผู้ชมครับ อาจารย์ปานเทพ บอกว่า "ในทางโหราศาสตร์ หากใครเชื่อนะครับ จะทราบว่าเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียวกัน มาจากการที่ราหูกำลังจะย้ายออกจากราศีเมฆ เข้าสู่ราศีมีน ในวันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2566 ดังนั้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราหูใกล้จะย้ายเต็มที่ อิทธิพลของราหูที่กำลังจะเคลื่อนย้าย จึงทำให้เกิดเหตุอาเพศต่างๆ จนปรากฏออกมาเป็นเหตุการณ์ที่แปลกๆ ทั้งหนักและเบาดังที่ได้เห็นกัน"

ท่านผู้ชมครับ สำหรับเหตุการณ์ที่เด็กอายุ 14 ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงกลางห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อช่วงเย็นวันอังคารที่ 3 ตุลาคม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 1 ราย อีกคนเป็นชาวเมียนมา รวมถึงมีผู้บาดเจ็บอีก 5 ราย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคมในหลายๆ มิติ มีทั้งมิติความรุนแรงในเด็กและเยาวชนไทย ผ่านทั้งสื่อสังคมออนไลน์ ภาพยนตร์ และเกม เป็นต้น มิติของการอบรม ดูแล ให้การศึกษากับเด็กและเยาวชน มิติของการหาซื้อของผิดกฎหมายได้อย่างง่ายดายผ่านออนไลน์ มิติของความปลอดภัยในการมาท่องเที่ยวในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตเป็นชาวต่างชาติ คนหนึ่งเป็นแรงงานพม่า อีกคนเป็นหญิงชาวจีน ข่าวว่าเป็นแม่ของลูกแฝดที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย จนทำให้มีการแชร์ข่าวเตือนกันในหมู่โซเชียลมีเดียจีน ตอกย้ำว่าการมาเที่ยวเมืองไทยนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย


ท่านผู้ชมครับ ในเรื่องของรายละเอียดเหตุการณ์การกราดยิง ผมจะไม่พูดถึงแล้ว เพราะสื่อต่างๆ ทั้งสื่อหลัก สื่อโซเชียล รายงานเจาะลึกกันแทบจะปรุโปร่งไปหมด แต่ในแง่สังคม ผมมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดจากผลภาวะสังคมที่เปลี่ยนไปของโลกทุกวันนี้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเราก็ห้ามไม่ได้

เหตุการณ์รุนแรงของเด็ก/เยาวชนในวันนี้ไม่ใช่เหตุการณ์แรก และไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้าย ในอนาคตจะมีเหตุการณ์แบบนี้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ


ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่า ในที่สุดแล้วสถาบันครอบครัวสำคัญที่สุด เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากสถาบันครอบครัวในยุคปัจจุบันที่โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว แตกแยก เห็นแก่ตัวเอง บูชาวัตถุนิยม คุณค่าเงินตรา คลุมทั้งหมด เราได้แต่ต้องเตรียมตัวรับ ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสริมสถาบันครอบครัวของเราเองให้เข้มแข็ง


อย่างเด็กคนนี้ครอบครัวก็ดี มีเงินมีทอง พ่อแม่จบมหาวิทยาลัยดัง มีการทำงานที่ดีมาก พ่อเป็นถึงอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แม่ก็จบธรรมศาสตร์ ตัวเด็กก็เป็นนักเรียนโรงเรียนทางเลือกมีค่าเทอมเป็นแสน แต่ทำไมกลายมาเป็นผู้ร้ายเที่ยวกราดยิงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คำถามซึ่งเราต้องล้อมคอกตลอดเวลาทันทีที่วัวหายก็คือ เด็กสั่งซื้อปืน ซื้อเครื่องกระสุนต่างๆ ราคาเป็นหมื่นๆ ตำรวจไปค้นเจอกระสุนเต็มห้อง แถมไปเข้าสนามซ้อมยิงปืนเป็นร้อยนัด แต่ที่น่าทุเรศที่สุดคือพ่อแม่บอกไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นไปได้อย่างไร เพราะการที่มีเด็กเป็นแบบนี้ พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชอบ คือหน่วยงานรัฐที่ไม่จริงจังและจริงใจกับการพัฒนาเด็ก อีกหน่วยงานหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยงานที่แย่ที่สุด คือ กระทรวงดีอี แย่มาตั้งแต่รัฐมนตรีคนที่แล้ว ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้สนใจเลย ปล่อยให้มีการขายปืนกันในอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร เรามีไปทำไม กระทรวงดีอี ? พอมีเรื่องมาทีก็กระโดดตัวยาวทุกที


ต้นเดือนที่ผ่านมา วันที่ 3 ตุลาคม 2566 กระทรวงสาธารณสุข ท่านรัฐมนตรีว่าการ คือนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ท่านเพิ่งชงที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เสนอแนวทางเพิ่มจำนวนพลเมือง ส่งเสริมการมีบุตร พร้อมดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ผมเข้าใจว่าคุณหมอชลน่าน มองประเด็นสังคมสูงอายุที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันในอนาคต ซึ่งไม่ได้ผิดหรอก แต่มันต้องมีแผนพัฒนาคุณภาพเด็กที่เกิดมาด้วย ไม่อย่างนั้นในอนาคตเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ในเด็กและเยาวชนจะเพิ่มมากขึ้น ผมฟันธงได้เลย ผมยืนยันว่าต้องเกิดมากขึ้น เพราะเรายุยงส่งเสริมให้ผู้ชาย-ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น เพื่อปั๊มเด็ก ให้เด็กเกิดขึ้น เพื่อมาทดแทนคนสูงวัยที่กำลังจะหมดไป


อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่า กระทรวงดีอี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีเดิมชื่อ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ซึ่งผมฝากความหวังกับเขาไม่ได้ เพราะสมัยที่เขาอยู่ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมจะฝากความหวังไว้กับท่านรัฐมนตรีฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง ช่วยสังคายนากระทรวงดีอีเสียหน่อย ไปๆ มาๆ วันนี้พูดได้อย่างไม่อายเลยว่ากระทรวงดีอีคือ "แดนสนธยา" ที่ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งสิ้น เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยมาก โคตรทันสมัย ลงทุนซื้อด้วยงบประมาณอย่างสูง ส่วนต่างของข้าวของที่ซื้อมา กับราคาจริง ก็เข้ากระเป๋าของผู้มีอำนาจในยุคนั้น อยากให้รัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือคุณประเสริฐ จันทรรวงทอง ลงไม้ลงมือเสียทีได้ไหมครับ เอาจริงเอาจังเสียทีได้ไหมครับ

วันนี้เว็บโป๊ก็ยังเต็มอยู่ เว็บขายปืน ปล่อยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผมต้องการคำแถลงชี้แจงจากท่านรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ว่าในอดีตที่เราละเลยเรื่องแบบนี้ ปัจจุบันท่านมีนโยบายทำอย่างไรบ้าง ผมยืนยันนะครับ ขอย้ำอีกทีว่า ท่านรัฐมนตรีคนเดิม ชื่อ คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ที่ผ่านมากระทรวงดีอีไม่เคยจริงจังในการแก้ปัญหา สังคมในโลกปัจจุบันซึ่งเป็นโลกดิจิทัล การสื่อสารในโลกเสมือนจริง เจอสิ่งที่เร้าเยอะ มีเกมที่เน้นความรุนแรง สื่อโซเชียลที่สร้างพฤติกรรมเลียนแบบ จริงๆ ต้องคุมเรื่องเกมที่เน้นความรุนแรงให้เด็ดขาดกว่านี้ ปืนขายเกลื่อนทางออนไลน์ เด็ก/ผู้ใหญ่หาซื้อกันได้ง่ายๆ อีกล่ะ ถึงเวลาหรือยังกระทรวงดีอีต้องทำงานให้หนักกว่านี้ เพราะตั้งแต่ตั้งกระทรวงดีอีมา ผ่านมาจนถึงวันนี้ผมยังไม่เห็นผลงานกระทรวงดีอีเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ผลประโยชน์ในกระทรวงดีอีเท่านั้นเอง

แล้วงานนี้พ่อแม่เด็กต้องรับผิดชอบไหม ? ท่านผู้ชมครับ หมาไปกัดชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าของหมาตามกฎหมายต้องรับผิดชอบนะ แล้วนี่เด็กไปไล่ยิงชาวบ้านเสียชีวิตหลายคน แล้วพ่อแม่จะไม่รับผิดชอบได้อย่างไร พ่อแม่อยู่บ้านเด็ก ตำรวจเข้าไปค้นบ้านเด็ก เจอลูกปืนเป็นร้อยๆ นัด พ่อแม่บอกไม่รู้เรื่อง เอ๊ะ! พวกคุณเป็นพ่อแม่ประเภทไหนวะ!? อย่าได้ใช้ช่องโหว่กฎหมายอ้างว่าเป็นเยาวชน มันเป็นกรณีพิเศษ ต้องได้รับการจัดการแบบพิเศษ เพราะนี่เป็นแค่หนังตัวอย่าง ของจริงต้องมีมาอีก


ทำไมพ่อแม่ต้องรับผิดชอบ ? เพราะว่าได้ปล่อยให้เด็กออกไปอยู่อย่างอิสระ ขาดการดูแลอย่างเพียงพอ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่ต้องนึกถึง "น้องหยก" ที่ครอบครัวไม่ดูแลน้องหยกเลย แล้วก็ถูกปั่นหัว นี่มาคนละทางเอ็กซตรีมเลย น้องหยกไปทางการเมือง เด็กอายุ 14 ปีคนนี้ มาทางความรุนแรงและมีการเสียชีวิต

เด็กที่แสดงความก้าวร้าวโดยไม่ได้ไปติดตามเลย การเข้าถึงอาวุธปืน ฝึกยิงปืน ที่ไม่มีวุฒิภาวะมากพอ อายุ 14 ไปฝึกยิงปืน แล้วยิงรัวทีละเป็นร้อยนัด ที่สำคัญที่สุดที่ผมเจ็บใจ และอยากจะถามถึงมโนธรรมของพ่อแม่เด็ก ที่คุณไม่ได้ทำจนถึงเวลานี้ คุณได้ออกมาขอโทษต่อผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ ครอบครัวผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าของธุรกิจ สังคมคนไทย และสังคมชาวโลก คุณหลบลี้หนีหน้าไป ไม่ออกมาปรากฏตัว ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้ผมยอมรับไม่ได้ ท่านผู้ชมยอมรับได้ไหม เสียดายที่การศึกษาก็สูง แต่จิตใจไม่มีมโนธรรมแห่งความรับผิดชอบเลยแม้แต่นิดเดียว

"ลิซ่า" จัดเต็ม ณ CRAZY HORSE ทะลุกำแพงเคป๊อป


ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้องลิซ่า กำลังเป็นเรื่องที่โด่งดังมาก มีทั้งความเห็นลบและบวก ส่วนใหญ่จะลบมากกว่า


28-30 กันยายน ที่ผ่านมา ลิซ่า Blackpink หรือ ลลิษา มโนบาล ไปร่วมโชว์เวทีคาบาเรต์ชื่อดังของกรุงปารีส ที่ฝรั่งเศส ชื่อ CRAZY HORSE หรือ ม้าที่บ้าคลั่ง เป็นการแสดงพิเศษ 5 รอบ เกิดข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในบรรดาแฟนคลับของลิซ่า ถึงภาพลักษณ์ ความเหมาะสม เพราะหลายคนยังเข้าใจว่า "คาบาเรต์โชว์" คือระบำเปลื้องผ้าที่มีแต่ความอนาจาร แต่จริงๆ แล้ว คาบาเรต์โชว์ที่ CRAZY HORSE, Paris หลักๆ คือโชว์ศิลปะการแสดงหลายองค์ประกอบ ตั้งแต่การออกแบบท่าเต้น ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไปจนถึงการออกแบบเวที

CRAZY HORSE, Paris ถือเป็นหนึ่งในคาบาเรต์โชว์ที่มีค่าบัตรเข้าชมราคาสูง ราคาเริ่มต้นของบัตรเข้าชมโชว์ อยู่ที่ประมาณ 115 ยูโร หรือประมาณ 4,000 บาท ราคาสูงสุดอยู่ที่ 295 ยูโร หรือประมาณ 11,319 บาท จริงๆ แล้วเป็นศิลปะการแสดงเก่าแก่ที่ถูกสืบทอดมายาวนานแล้ว ก่อตั้งเมื่อ 72 ปีที่แล้ว (2494) โดยชาวฝรั่งเศสชื่อ Alain Bernardin ซึ่งเคยเป็นจิตรกรก่อนที่จะผันตัวเป็นเจ้าของธุรกิจ เขามองว่าการแสดงอันวาบหวิวนั้นถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แม้ตอนแรกคนปารีสไม่ตอบรับกับไอเดียของเขานัก จนต้องเลิกกิจการไปสองครั้งในช่วงก่อตั้งแรกๆ แต่ครั้งที่สามที่เปิดใหม่ ได้ดำเนินการเรื่อยมาจนประสบผลสำเร็จ มีชื่อเสียงในปัจจุบันนี้


ม้าที่บ้าคลั่ง หรือ CRAZY HORSE ตั้งอยู่ในทำเลทองของกรุงปารีส ใกล้กับถนนฌองเซลิเซ่ อันโด่งดัง เวทีโชว์นี้อยู่เคียงข้างร้านแฟชั่นแบรนด์หรูอย่าง YSL, Givenchy และ Balenciaga

แต่การแสดงที่ CRAZY HORSE ที่ปารีส ไม่ใช่แค่เอาผู้หญิงมาโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งเท่านั้น เป็นการแสดงธีมศิลปะอันน่าตื่นเต้น ผสมผสานองค์ประกอบความเป็นผู้หญิง และศิลปะต่างๆ อย่างลงตัว โดยมีแดนเซอร์ผู้หญิงแต่งกายเซ็กซี่และเปลือยอก เพื่อแสดงให้เห็นถึงสรีระของผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง มาประกอบการแสดงพร้อมแนวคิดโชว์ว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของผู้หญิง ความเป็นอิสระ


สำหรับนักเต้นที่เรียกว่า CRAZY LADY ก็มีการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน มีข้อมูลจากเว็บไซต์ Come to Paris บอกว่า สำหรับหญิงสาวที่ต้องการเป็นนางโชว์ CRAZY HORSE นั้น มีกฎเหล็กที่เรียกว่า Golden Rules โดยบอกว่านอกจากกฎเกณฑ์ทั่วไปที่อายุต้องมากกว่า 18 ปี และมีทักษะการแสดง รวมถึงการเต้นคลาสสิค Jazz Comtemporary แล้ว Golden Rules คือ ผู้หญิงสาวทุกคนต้องผ่านหมดทุกข้อถึงจะได้เป็นนักแสดงคาบาเรต์ หรือที่เขาเรียกว่า CRAZY LADY


เริ่มต้นด้วย สัดส่วนของเธอจะต้องสูงระหว่าง 168-173 เซนติเมตร ไม่ขาดไม่เกิน ที่สำคัญต้องมีขายาว วัดแม้กระทั่งระยะห่างของหน้าอก 2 ข้าง ห่างกันอยู่ที่ 21 เซนติเมตร ระยะกระดูกหัวหน่าว ถึง สะดือ 13 เซนฯ กฎเหล่านี้เป็นกฎดั้งเดิม แต่ปัจจุบันยังใช้อยู่หรือเปล่านั้น อาจจะปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมได้ ซึ่งผมไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ สาวๆ บนเวทีเต้นเก่ง แสดงเก่ง ทำให้น้องลิซ่า ที่หลงใหลการเต้นมากๆ เพราะตัวน้องลิซ่าเองก็เต้นเก่งมากๆ เลย อาจจะติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกเสียด้วยซ้ำ เธอก็เลยสนใจในศาสตร์นี้ ข่าวออกมาว่า ลิซ่า เป็นแฟนคลับของ CRAZY HORSE ก่อนหน้านี้ก็มาดูหลายครั้ง มักจะเดินไปหลังเวทีเพื่อพบปะสาวๆ หลังจบโชว์ ในที่สุดก็เกิดไอเดีย สุดท้าย ลิซ่า จึงมาร่วมโชว์กับสาวๆ ของ CRAZY HORSE เสียด้วยเลย


ก็แน่นอนที่สุดครับ ต้องมีคนคัดค้าน ไม่เห็นด้วย ว่าการร่วมมือของ ลิซ่า กับ CRAZY HORSE นั้นมีประเด็น อย่างเช่น โอ้! ตั้งใจจะเข้าร่วมโชว์ที่มีอยู่แล้ว ฮาๆ ดูเหมือนตอนนี้เธอไม่อยากรันงานเค-ป๊อป งั้นเอาตำแหน่งไอดอลเค-ป๊อป ออกด้วยนะ อีกประเด็นหนึ่ง ลิซ่า มีอิสระจะทำอะไรก็ได้ แต่ฉันขอนะ อยากให้เธอคิดดีๆ ว่าเธอทั้งดัง มีอิทธิพลมากแค่ไหน ขอร้องล่ะ อย่าพูดว่าการแสดงนั้นคือศิลปะ เพียงเพราะว่า ลิซ่า เข้าร่วมแสดงด้วย อีกอันหนึ่งน่าจะเป็นความคิดเห็นของทางเกาหลี ฉันตกใจยิ่งกว่าที่เธอไปดูโชว์แบบนั้น ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้ว

ท่านผู้ชมครับ ผมมีความคิดเห็นอีกมิติหนึ่ง อยากจะเล่าสู่กันฟัง หลังจากค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ลิซ่า ไม่ต่อสัญญากับ YG Entertainment ค่ายศิลปินยักษ์ใหญ่ของเกาหลี ข่าวนี้อ้างอิงจาก Koreaboo.com เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา รายงานว่า ลิซ่า BlackPink ได้ปฏิเสธข้อเสนอการต่อสัญญา YG ที่เสนอให้เธอ 40 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1,400 ล้านบาท แต่ลิซ่า ก็ยังคงเป็นศิลปินที่มีอิทธิพลสูงมากในวงการบันเทิงในระดับโลก ซึ่งความโด่งดังของเธอนั้นมีมากกว่าสมัยตอนที่เธออยู่ YG เสียด้วยซ้ำ ทำไมล่ะท่านผู้ชม ? เพราะเธอมีอิสระที่จะคิดตัดสินใจรับงานได้หลากหลายมากขึ้น การไปไหนมาไหนไม่ได้เป็นความลับ ไม่ได้เข้าถึงยากอีกต่อไป


การเข้าร่วมโชว์ที่ CRAZY HORSE ครั้งนี้เหมือนการปลดล็อก ประกาสอิสรภาพจากการคุมเข้มของยักษ์ใหญ่ต้นสังกัดเค-ป๊อป ของลิซ่า

จริงๆ แล้วคาบาเรต์โชว์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่มีแบบแผนและอาศัยการฝึกฝน ท่านผู้ชมคงทราบว่าเธอหลงใหลกับการเต้น ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าในการเข้าไปฝึกซ้อมการเต้น เธอบอกว่าต้องฝึกซ้อมจนเพลงขึ้นแล้วกล้ามเนื้อต้องขยับโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมลิซ่า ถึงชอบคาบาเรต์โชว์

แล้วที่ผ่านมามีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกขึ้นไปร่วมเวที CRAZY HORSE, Paris มาก่อนแล้ว อย่างเช่น คริสติน่า อากีเลร่า, ไคลี่ มิน็อก, ดิต้า วอน ทีส ส่วนบียอนเซ่ เคยขึ้นเวทีนี้ถ่ายทำใน MV เพลง Partition ของตัวเองเมื่อ 9 ปีที่แล้ว

คริสติน่า อากีเลร่า

ไคลี่ มิน็อก
ดังนั้น ลิซ่า ซึ่งเป็นศิลปินระดับโลกเช่นกัน ผมเน้นหน่อยนะครับ ระดับโลกไปแล้ว จะขึ้นเวทีทีนี่ก็ไม่แปลกอะไร และถึงแม้จะมีกระแสคัดค้านอยู่ แต่พอถึงวันแสดงโชว์จริง ก็มีแฟนเข้ามาดูอย่างล้นหลาม ตั๋วขายเกลี้ยง แฮชแท็กของเธอก็คือ #LISAxCRAZYHORSEPARIS และ #LALISACRAZYGIRLSHOW ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไปทั่วโลก


ผมตอกย้ำว่าการเข้าร่วมโชว์ของลิซ่า เป็นการขยายฐานผู้ชมคาบาเรต์โชว์ ซึ่งปัจจุบันคือการแสดงศิลปะ ให้กว้างขวางออกไปอีกหลายเท่า ในอเมริกา ยุโรป คาบาเรต์ได้รับการยอมรับในแง่ศิลปะมานานแล้ว คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเงิน ไม่ใช่ วันนี้น้องลิซ่า ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลย เงินทองที่เธอทำมาตลอดเวลาจากการเป็น ลิซ่า BlackPink นั้น เธอมีในระดับพันล้านบาท อาจจะหลายพันล้านบาทเสียด้วยซ้ำ เหมือนกับล่าสุดที่เธอเพิ่งเซ็นสัญญาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของสินค้ายี่ห้อหนึ่ง ก็คือกระเป๋า CELINE 2,800 ล้านบาท

น้องลิซ่า เป็นศิลปินที่มีจิตใจเป็นศิลปินจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลิซ่า ชอบคาบาเรต์ เพราะว่าการสนใจศิลปะของน้องลิซ่า เธอได้ก้าวข้ามขั้นตอนความเป็นศิลปินธรรมดาไปสู่ศิลปะชั้นสูงไปแล้ว คือการเต้นในฐานะเป็น BlackPink นั้น มันก็ทำได้ระดับหนึ่ง มีโชว์ มีกรอบ มีบังคับ มีโน่นมีนี่ มีนั่น ความเป็นศิลปินของลิซ่า นั้น เธอเป็นศิลปินระดับโลกไปแล้ว ในบรรดาคนที่อยู่ใน BlackPink ไม่ว่าจะเป็นเจนนี่ หรือใครก็ตาม สัญชาติญาณของความเป็นศิลปินของพวกเธออีก 3 คนนั้น สู้น้องลิซ่าไม่ได้เลย เธออยู่ในระดับโลก


ผมเข้าใจและเชื่อว่าเธอโด่งดังถึงจุดพีคแล้ว ถ้าอยู่ในเกาหลี เธอพีคแบบนี้ แต่เธอจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของ YG เพราะ YG เป็นเจ้าของสัญญา และ YG ก็ต้องการให้เธอไปแสดงที่โน่นที่นี่ภายใต้กรอบ YG แล้ว YG ก็กินเปอร์เซ็นต์เธอไปเรื่อยๆ

ผมเข้าใจว่าน้องลิซ่า อยากจะก้าวออกนอกกรอบเดิมๆ ไปสู่สิ่งใหม่ๆ จนกระทั่งไม่มีกรอบอีกต่อไป ผมมีข้อเปรียบเทียบให้ท่านผู้ชมฟัง การกระทำของน้องลิซ่านั้น ถ้าดูให้ดีๆ ก็เหมือนกับจอมยุทธคนหนึ่ง จอมยุทธคนหนึ่งมีความเชี่ยวชาญในกระบี่มาก ฝึกกระบี่มาตั้งแต่เด็ก ร่ายรำกระบี่ เอากระบี่มาต่อสู้ด้วยท่ากระบี่ต่างๆ ท่าที่หนึ่งท่าแทง ท่าที่สองท่าฟัน ท่าที่สามท่ากวาด ท่าที่สี่ท่าฟันลง ฝึกจนกระทั่งเชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญจนกระทั่งไม่มีท่าอะไรในกรอบนั้นที่จะทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จนในที่สุดวันหนึ่งจอมยุทธตัดสินใจว่าจะทิ้งกระบี่ เพราะสำหรับจอมยุทธคนนั้น กระบี่กลายเป็นกระบี่ที่อยู่ที่ใจไปแล้ว ก็คือไม่ต้องมีกระบี่ ทุกอย่างรอบตัวเป็นกระบี่ในตัวเองได้หมด จับอะไรก็เป็นกระบี่หมด ผมคิดว่าถ้าเปรียบเทียบอย่างนี้ท่านผู้ชมคงพอจะเข้าใจได้

เอาล่ะครับ เป็นปกติธรรมดา เวลาเรารักใครก็ตาม อย่างน้องลิซ่าเป็นที่รักของคนในประเทศไทยและเกาหลีใต้ ประเทศไทยนี่ร้อยทั้งร้อยรักน้องลิซ่าหมด แต่เผอิญการแสดงที่ CRAZY HORSE มันจำเป็นจะต้องเป็นระบำเปลื้องผ้า และจะต้องมีการโยนเสื้อผ้าที่น้องลิซ่าใส่นั้นออกมาให้ท่านผู้ชมตอนจบ คนไทยหรือคนเกาหลีที่อยู่ในกรอบ แม้กระทั่งคนจีน มองว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย เสียศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง แต่ทำไมเราไม่มองในมุมกลับบ้างว่าน้องลิซ่า ส่วนหนึ่งของการเข้าไปเต้นคาบาเรต์นั้น ก็คือการพัฒนาตัวเองขึ้นไป ก้าวเลยการเป็น BlackPink ต่อไปอีก


ผมเข้าใจดีครับ และผมเห็นใจ แต่ก่อนที่เราจะไปตำหนิน้องลิซ่าอะไรมากมาย ต้องเข้าใจในมิติความเป็นศิลปินของน้องลิซ่าเสียก่อน ผมคิดว่าเขาตั้งใจจริงๆ ที่จะหลุดจากกรอบเดิมๆ ที่เขาต้องเต้นตามสไตล์ที่เขาถูกกำหนดเอาไว้ให้

ก่อนที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์น้องลิซ่าอย่างไรก็ตาม เราต้องคิดถึงคุณูปการที่เธอได้ทำให้กับประเทศไทยอย่างมาก สำหรับผมแล้ว เธอรักประเทศไทยมาก เธอรักเมืองไทย เธอรักพระเจ้าอยู่หัว เธอรักสถาบันกษัตริย์ เวลาเธอมาเมืองไทย เธอมีความสุขมาก อยู่กับแม่ เธอไปอยู่กับแม่ที่บุรีรัมย์ เธอทานอาหารพื้นบ้าน มีอะไรถ้าเธอสามารถโปรโมตให้กับประเทศไทยได้ เธอทำตลอดเวลา ซึ่งถ้าพูดไปอีกแง่หนึ่งแล้ว คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าน้องลิซ่าเป็น Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ไม่มีใครสามารถจะเทียบได้เลยแม้แต่นิดเดียว เอาดาราทุกคนในประเทศไทยที่เก่งกาจขนาดไหนก็ตามมารวมแล้ว ความสามารถของเขาและสิ่งที่เขาทำให้ประเทศไทย ไม่ได้หนึ่งในร้อย หรือหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในร้อยของที่น้องลิซ่าได้ทำให้ประเทศไทย

ท่านผู้ชมครับ ลิซ่า BlackPink ของเกาหลี หรือ ลลิษา มโนบาล ของพวกเรา เธอไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในประเทศไทย หรือประเทศเกาหลีอีกต่อไปแล้ว เธอเริ่มกลายเป็นคนของโลกนี้ไปแล้ว

ท่านผู้ชมครับ ผมก็มีความคิดของผมแค่นี้ ผมคิดว่าเราน่าจะให้กำลังใจน้องลิซ่าได้พัฒนาตัวเอง ซึ่งน่าสนใจมาก ว่าจากนี้ไปแล้ว เธอผ่านคาบาเรต์แล้ว เธอจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตเธอ


อีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าก็เริ่มมีคนกระแนะกระแหน จากการที่เธอมีแนวโน้มสนิทสนมกับลูกชายเจ้าของสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก เฟรเดอริก ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเราต้องปล่อยวาง ความรักความชอบของคนนั้นไม่มีการจำกัดเชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น แม่ของลิซ่า ก็มีสามีเป็นฝรั่ง เป็นเชฟฝรั่ง ลิซ่า เคยชินมากกับการที่อยู่กับฝรั่้ง เพราะคุณพ่อเธอ ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงก็ตาม ก็เป็นคนที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก


ในเมื่อเธอเป็นคนของโลกแล้ว ใครก็ตามที่เธอรัก เธอชอบ อย่างน้อยที่สุดคนเราถ้าไม่ถูกโฉลกกัน ผมคิดว่าเรื่องเงินเรื่องทองเธอ นายเฟรเดอริก เป็นลูกชายของคนที่มีทรัพย์สินมหาสมบัติอันดับหนึ่งของโลก แล้วไปหาว่าลิซ่าเห็นแก่เงินนั้น ผมคิดว่าเข้าใจผิดมาก ต้องให้เกียรติน้องลิซ่านิดหนึ่ง ผมเชื่อว่าเธอตามที่หัวใจเธอต้องการ แล้วถ้าหัวใจเธอต้องการเฟรเดอริก ก็เป็นเรื่องของเธอ ผมอยากให้พวกเราให้เกียรติเธอนิดหนึ่ง ที่สำคัญ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ยังเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย และพร้อมจะทำชื่อเสียงให้ประเทศไทยต่อไป การที่เธอไปเป็นนักเต้นระบำในคาบาเรต์ CRAZY HORSE นั้น มันไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงเธอตกต่ำเลย มิหนำซ้ำในทางตรงกันข้าม ในทางตะวันตกกลับมองว่าเธอเป็นดาวเด่น ดาวรุ่ง เธอทำลายสถิติทุกอย่างที่เคยมีมาในโลกนี้ในเรื่องของการเป็นนักเต้น จนไม่มีใครจะเทียบเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว


Soft Power นี้ อย่างน้อยที่สุด ถ้าเธอจะไปในแนวทางที่ขนบธรรมเนียมประเพณีของเราเป็นกรอบล้อมตัวเราให้มองน้องลิซ่า ว่า ทำไปทำไม ไม่เหมาะสม เป็นผู้หญิงไทย ท่านผู้ชมครับ ผู้หญิงไทยที่เรียบร้อยๆ ดูภายนอก แต่ลับหลังแล้วสกปรก ก็มีเยอะ ไม่ใช่ไม่มี ทั้งดาราไทยต่างๆ ที่แอ๊บแบ๊วตลอดเวลา แต่ลับหลังก็ ... อย่าให้พูดเลยครับ

ดูคนต้องดูที่การกระทำของเขา การกระทำของเขาบางครั้งมันอาจจะฝืนความรู้สึกของคนที่อยู่ในสังคมที่มีกรอบประเพณี อย่างประเทศไทย หรืออย่างเกาหลี หรืออย่างนักแสดงจีนที่อยากดัง ออกมาติหนิติเตียน ลลิษา มโนบาล ของพวกเรา จริงๆ แล้วเพื่อที่จะเอาแสงเข้ามาหาตัวเอง ลิซ่า ทำไมเธอถึงปฏิเสธ 1,400 ล้านบาท จากการอยู่ค่าย YG ต่อไป ท่านผู้ชมก็ดูสิครับ ลิซ่าแค่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ CELINE ยังได้ตั้ง 2,800 ล้านบาท ทำไมจะต้องไปพึ่งพา YG มิหนำซ้ำ ที่สำคัญที่สุด YG คือกรอบ คือกุญแจมือที่ใส่ตัวลิซ่าเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอแสดงออกได้อย่างเต็มที่ในเชิงศิลปะที่เธอก้าวข้ามมากกว่าการเป็นเค-ป๊อปไปแล้วตอนนี้ เข้าใจตรงกันนะครับท่านผู้ชม

เจาะคำต่อคำ "มินนี่" เปิดหน้าแถ


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมยังจำสุภาพสตรีที่ชื่อ "มินนี่" ได้ไหม ผมคิดว่าท่านผู้ชมจำได้ทุกคน ทำไมผมจะต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ? ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ถ้าท่านติดตามรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มา รายการที่นี่ยืนอยู่ได้จนทุกวันนี้ด้วยหลักการ ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว และมีหนึ่งเดียวจริงๆ ทำไมผมต้องเอาเรื่อง "คุณมินนี่" มาพูด ? เพราะว่าคุณมินนี่ วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2566 คุณมินนี่ ได้ปรากฏตัวที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ในชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สีขาวทั้งชุด อ้างว่าเพิ่งเดินทางกลับจากสิงคโปร์ ยื่นเอกสารคำชี้แจงถึงประเด็นที่เป็นข่าวให้สื่อมวลชนจำนวน 1 ฉบับ ใจความของจดหมายนั้นระบุว่าเธอประกอบธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศและค้าขายสินค้าออนไลน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเว็บไซต์การพนัน ต้องเดินทางไปต่างประเทศประจำ จนได้มีโอกาสรู้จักกับ "พี่หนึ่ง" (พ.ต.อ.ภาคภูมิฯ) ประมาณปลายปี 2563 ในงานเลี้ยงส่งผู้การจังหวัดเลย โดยการแนะนำของแม่มินนี่


หลังจากนั้นได้พบเจอกันอีกประมาณ 3-4 ครั้ง จนสนิทสนมกัน จากนั้นจึงได้คบหากันเรื่อยมา จนกระทั่งพี่หนึ่งย้ายไปประจำที่ จว.ขอนแก่น จึงได้ห่างกันและไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งปลายปี 2565 หลังกลับจากทำงานที่ต่างประเทศ จึงได้พบกับพี่หนึ่งอีกครั้ง โดยมินนี่รู้ว่าพี่หนึ่งมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงติดต่อและคบหากันเรื่อยมา ซึ่งในระหว่างที่คบหากันนั้น พี่หนึ่งก็ยืมเงินจากมินนี่หลายครั้ง เป็นเงินสดบ้าง ให้โอนเงินบ้าง มินนี่ไม่สะดวกก็เลยให้คนที่สนิทกันโอนเงินให้ หลังจากนั้นพี่หนึ่งก็จะคืนเงินให้เป็นเงินสดแต่ยังไม่ครบถ้วน"


"ส่วนพี่เปียกนั้น คือ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ซึ่งเป็นน้องชายพี่หนึ่ง เจอกันประมาณกลางปี 2566 เนื่องจากมีเรื่องปรึกษาหารือเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่จะประกอบธุรกิจในประเทศไทย แต่พี่หนึ่งไม่ว่าง จึงให้พี่เปียก ซึ่งเป็นตำรวจ ตม. รู้เรื่องดังกล่าวดี มาให้คำแนะนำ เมื่อพบกันจึงได้แอบถ่ายรูปส่งให้พี่หนึ่งดู ว่ามากินข้าวกับน้องชาย โดยที่มินนี่ไม่ได้มีความสัมพันธ์และธุรกรรมทางการเงินใดๆ กับพี่เปียก"

ตามที่เป็นข่าวว่า บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ทำให้มินนี่ตกใจมาก เนื่องจากว่าท่านไม่ได้รู้จักมินนี่ ไม่เคยมีความสัมพันธ์ ไม่เคยติดต่อกันไม่ว่ากรณีใดๆ ข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริง มินนี่เจอท่านแค่ 2-3 ครั้ง ในงานเลี้ยงของพี่หนึ่ง พาไป แล้วครั้งหนึ่งขอร้องเพลงกับท่านในงานเลี้ยงเท่านั้น โดยที่ท่านไม่รู้จักมินนี่เป็นการส่วนตัว แต่ท่านให้เกียรติมินนี่มาก จึงทำให้มีภาพและคลิปวิดีโอที่ร้องเพลงร่วมกัน และยังมีอีก


ทั้งหมดนี้คือจดหมายชี้แจงของมินนี่ที่แจกให้สื่้อ นอกจากยื่นจดหมายแล้ว มินนี่พร้อมทนายความยังเดินทางไปพบสื่อมวลชนที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 เพื่อชี้แจง ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ใดๆ ออกโรงปกป้องท่านรองผู้บังคับการ 1 บิ๊กโจ๊ก รวมทั้งทีมงาน ว่า ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องเว็บไซต์พนันออนไลน์ ก่อนเดินทางไปลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ว่าไม่เกี่ยวข้อง สำทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

ท่านผู้ชมครับ ความจริงที่มีหนึ่งเดียว เมื่อพิจารณาลงรายละเอียดแล้ว ผมว่าเรื่องนี้มีอะไรแปร่งๆ ทะแม่งๆ หลายประการ ข้อที่หนึ่ง มินนี่ และทีมทนายความ น่าจะร้อนรนเกินไปหรือเปล่า เร่งรีบทำใบแถลงการณ์แบบลวกๆ เพราะว่าถ้อยคำที่แถลงชี้แจงในเอกสารนั้นมีการใช้ศัพท์นามตัวเองอย่างสับสน เรียกตัวเองว่า "มินนี่" เรียกแทนตนเองว่า "ข้าพเจ้า" ซึ่งเป็นภาษานักกฎหมายที่มีการใช้ในการทำสำนวน ดังปรากฏในข้อความส่วนหนึ่งว่า "เมื่อพบกันข้าฯ จึงได้แอบถ่ายรูปส่งให้พี่หนึ่งดู ว่ามากินข้าวกับน้องชาย"


ท่านผู้ชมครับ คุณมินนี่ครับ พฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ตีความได้ว่ามินนี่ผ่านการเตี๊ยมกับทนายความและตัวละครอื่นๆ มาเป็นอย่างดีก่อนจะเข้ามาเปิดใจกับสื่อมวลชน คำถามมีอยู่ว่า ถ้าคุณมั่นใจว่าเรื่องที่พูดเป็นความจริง เป็นเรื่องจริง มีหนึ่ง มีสอง ทำไมต้องมาเตี๊ยมกันแบบลวกๆ

ข้อที่สอง ขณะเดียวกัน มินนี่ยังตอบข้อซักถามสื่อมวลชนเอาไว้อย่างฉะฉานคล่องแคล่ว จนบรรดา IO ทั้งหลายเอาไปขยายต่อยอดโน้มน้าวให้ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยหลงคล้อยตามว่ามินนี่เป็นคนตรง เป็นคนจริง ถามอะไรก็ตอบได้แบบนี้ไม่น่าจะเป็นเจ้าแม่เว็บพนัน

ประเด็นครับ จากประสบการณ์ของผม ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงใครนะ คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้าย มักจะปฏิเสธเสียงแข็งทั้งนั้น แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เพราะทุกอย่างต้องว่าไปตามหลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางทางการเงิน ซึ่งหากเชื่อมโยงถึงใคร ก็ต้องจับกุมคนนั้น


มิหนำซ้ำ นอกจากนี้ หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง อย่างที่มินนี่ว่ามานั้น สังเกตให้ดีจะพบว่าหลายใจความขัดแย้งกันเอง เช่น มินนี่ บอกว่าพบบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ 2-3 ครั้ง แต่บิ๊กโจ๊กกลับบอกว่าเคยเจอมินนี่เพียงครั้งเดียวที่งานเลี้ยง ที่มีการร้องเพลงคู่


ข้อที่สี่ มินนี่ยอมรับว่ารู้จักกับพี่หนึ่ง พ.ต.อ.ภาคภูมิ สนิทกันในระยะเวลาสั้นๆ ปี 2563 หลังจากนั้นก็เลิกรากันไปเพราะทราบว่าเขามีครอบครัว จนกระทั่งปลายปี 2565 คาบเกี่ยวต้นปี 2566 ได้บังเอิญกลับมาสนิทกันอีกครั้งหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ท่านผู้ชมครับ คุณมินนี่ครับ คุณบอกว่าปี 2563 คบกันช่วงสั้นๆ แล้วเลิกราห่างไปเพราะทราบว่า พ.ต.อ.ภาคภูมิ มีครอบครัวแล้ว แต่ 2565 ต่อ 2566 ก็กลับมาคบกันอีก ทั้งๆ ที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ เขายังมีครอบครัวอยู่เหมือนเดิม หมายความว่าอย่างไร? คุณมีภารกิจอะไรต้องทำร่วมกันหรือ?


ข้อห้า คุณมินนี่ บอกว่าเรื่องที่มีเส้นทางโอนเงินเชื่อมโยงบัญชีม้า เพราะ พ.ต.อ.ภาคภูมิ มายืมเงินมินนี่ แต่มินนี่อยู่ต่างประเทศก็เลยฝากคนอื่นโอนแทน เหตุผลที่พี่หนึ่งหยิบยืมเงินมินนี่ เชื่อว่าเป็นเพราะข้าราชการตำรวจนั้นเงินเดือนไม่เยอะ

คุณมินนี่ครับ คุณหนึ่ง พ.ต.อ.ภาคภูมิ เป็นนายตำรวจยศถึงพันตำรวจเอก คนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล แต่ไปยืมเงินเด็กอายุ 26 เป็นไปได้อย่างไรครับ เขายืมบิ๊กโจ๊ก หรือน้องชายเขา คุณเปียก พ.ต.อ.เขมรินทร์ ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเขาจะยืมเงิน เพราะข้อมูลหลุดออกมาว่า เปียก พ.ต.อ.เขมรินทร์ ก็ไม่ใช่กระจอกๆ เป็นเจ้าของพระเครื่องราคาสูงๆ จำนวนมาก จริงๆ แล้วคุณมินนี่ควรจะตอบมาว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2566 ตอนที่ตำรวจชุด PCT ไปตรวจค้นและพบของกลางสมุดบัญชีธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 100 รายการ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 55 ใบ โทรศัพท์มือถือจำนวน 30 เครื่อง เงินสด 920,000 บาท คอมพิวเตอร์ ไอแพด และเครื่องรับ-ส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตหลายรายการ พบเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท คุณมินนี่ครับ ของพวกนี้เอามาจากไหน ?


ข้อหก คุณมินนี่บอกว่าคุณเป็นคนมีเงิน เรื่องเงินที่มีหนี้ให้คนอื่นโอนให้ พ.ต.อ.ภาคภูมิ จากการทำธุรกิจหลายอย่าง มินนี่บอกว่าเธอมีบริษัทรับเหมา ซึ่งทำแล้วก็ไม่ได้กำไรอะไร มีธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้าออนไลน์ สินค้าแฟชั่น มินนี่ก็ยังมีธุรกิจอยู่

คุณมินนี่ครับ ท่านผู้ชมครับ ที่คุณมินนี่บอกว่ามีเงินเพราะทำธุรกิจ ก็ลองไปค้นหาดู เพราะความจริงมีหนึ่งเดียวว่าคุณมินนี่ทำธุรกิจอะไร ปรากฏว่า ชื่อของ มินนี่ หรือ น.ส.สุชานันท์ เป็นกรรมการธุรกิจหนึ่งแห่ง ชื่อบริษัท MY 999


บริษัท MY 999 จดทะเบียน 23 สิงหาคม 2564 คุณสุชานันท์ กุลวัฒนโยธิน และ นายแทนคุณ อุดชาชน เป็นกรรมการ ข้อมูลงบการเงิน สิ้นสุดธันวาคม 2565 งบกำไร-ขาดทุุน รายได้รวม 2,304 บาท ย้ำอีกทีนะครับรายได้ที่เข้ามาในบริษัทคุณ 2,304 บาท ขาดทุน 2,196 บาท แล้วเงินคุณมินนี่เอามาจากไหนล่ะ ? เป็นร้อยล้าน อาจจะถึงพันล้าน มันไม่ย้อนแย้งกันหน่อยหรือ 

ที่สำคัญผู้ถือหุ้นบริษัทคุณคือ น.ส.อรณี ทองอรุณ และ นายณัฐวัชร พิมพ์สวัสดิ์ ก็เป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันจัดทำการเล่นพนันออนไลน์ ข้อหาร่วมฟอกเงิน


พอนักข่าวถามถึงเรื่องคดี คุณมินนี่ก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องโดนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นที่ PCT ชุด 4 มาจับกุมมินนี่ และขอตรวจค้น ทำให้มินนี่ถูกยึดโทรศัพท์ไป แล้วภาพกับคลิปส่วนตัวกลับหลุดออกมา โดยที่คุณมินนี่ยังยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ มินนี่ได้มาจากการทำธุรกิจเรื่องอาณาจักรที่อยู่ เรื่องทรัพย์สินเป็นของแม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไร

อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่า หลักฐานในการดำเนินคดีอย่างนี้ไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่าเส้นทางทางการเงิน แต่พอผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมเส้นทางทางการเงินถึงได้มีการโอนผ่านบัญชีม้า มินนี่กลับเลี่ยง ไม่ตอบ โยนให้ทนายความเป็นผู้ชี้แจงแทน แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมครับ ทนายความไม่ยอมชี้แจงอะไรทั้งสิ้นเลย

ผมไม่ได้กล้า ผมไม่กล้าหรอกครับ และผมคิดว่า ผมไม่อยากจะเรียกว่าคุณตอแหล แต่หลายๆ อย่างที่ความสนิทสนมกับพวกคุณ กับ พ.ต.อ.ภาคภูมิ มันมีรูปธรรมดา คนที่รู้จักกันธรรมดา แล้วคุณภาคภูมิเองก็ให้สัมภาษณ์ตอนหลังว่าเขายอมรับว่าเขามีความสัมพันธ์กับคุณ ถ้าคุณไม่เชื่อ หรือพวกโซเชียลมีเดีย และ IO ของพวกคุณไม่เชื่อ ก็ไปดูสิ

รูปที่คุณนั่งพิงกันเหมือนกับจะโอบกอดกันเลย นี่มันไม่ใช่แค่รู้จักกันธรรมดานะ คุณมินนี่ คุณอาจจะโกหก IO ของคุณได้ ที่บอกว่าคุณตอบชัดเจน จะแจ้ง แต่คุณโกหกผมไม่ได้ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า


เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้ เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้ เพราะคุณมินนี่สะดุดขาตัวเองล้มหลายเรื่องในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น รีบร้อนเหลือเกิน ต้องการมาเคลียร์คนใกล้ชิดของคุณเอง คือพูดง่ายๆ ว่าประจักษ์พยานสิ่งแวดล้อมแบบนี้ คุณขึ้นศาล คุณก็แพ้ ผมเบื่อมากเลย พวกโซเชียลโง่ๆ ที่ฟังคำสัมภาษณ์ของมินนี่ครั้งเดียวก็บอกว่าเป็นผู้หญิงพูดจาชัดเจน ก็มีพวกคุณแบบนี้อยู่หลายคน อยู่จำนวนหนึ่ง มันก็เลยทำให้สังคมไทยบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน

ที่นี่ เป็นที่เดียว ที่ยืนอยู่บนความจริงที่มีหนึ่งเดียว คุณไม่ให้สัมภาษณ์ยังจะดีเสียกว่า นี่คุณยิ่งให้สัมภาษณ์ มันทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว แล้วคุณบอกว่าคุณค้าขายออนไลน์ คุณขายแฟชั่น คุณมีหลักฐานมาพิสูจน์ได้ไหม คุณเป็นคนจังหวัดเลย คุณมีลูกคนหนึ่งกับสามีเก่า ซึ่งเข้าใจว่าเป็นคนลาว แล้วเลิกกันไปแล้ว แล้วคุณส่งลูกคุณไปเรียนที่สิงคโปร์ คุณค้าขายออนไลน์อะไรถึงส่งลูกไปเรียนสิงคโปร์ได้ ผมท้าคุณเลย ถ้าคุณบอกว่าคุณทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ ค้าของแฟนชั่น โน่นนี่นั่น คุณเอาหลักฐานมาดูซิ คุณกำไรเท่าไร เพราะบริษัทที่คุณมีชื่ออยู่ ผมก็เปิดเผยให้ดูแล้วไง ตัวนี้เป็นตัวพิสูจน์ชัดเจนว่าเงินที่คุณมีอยู่นี้เป็นที่น่าสงสัย การจับจ่ายใช้สอยของคุณ การบินไปสิงคโปร์ ไปอยู่เรื่อย คุณบอกว่าคุณไปต่างประเทศอยู่เรื่อย คุณค้าขายออนไลน์ คุณเดินทางเหมือนกับเจ้าแม่เลย ขอเถอะครับ ทีหลัง และรูปที่คุณถ่ายรูปกับตำรวจที่คุณบอกว่าคบหากันธรรมดา แต่นายตำรวจคนนั้นหลังจากนั้นก็กลับคำบอกว่าผมผิดต่อลูก-เมียผม เอ๊ะ คุณมินนี่ คุณนึกว่าผมโง่เหรอ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ? เห็นด้วยกับผมไหมว่าสิ่งที่ผมพูดนั้น คุณมินนี่ต้องตอบให้ได้

สิ้นหวังกับอัยการสูงสุด "นารี ตัณฑเสถียร" 1 ปีเดินทางตลอด

ท่านผู้ชมครับ ผมน่าจะเป็นสื่อมวลชนคนเดียวมั้งที่พูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายบ่อยที่สุด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือศาลก็ตาม แต่ทั้งหมดที่ผมพูดไปนี้จะชี้ให้เห็นจุดอ่อน จุดบกพร่อง ไม่ได้หวังจะด้อยค่า หมิ่้นประมาท หรือประสงค์ร้ายแต่อย่างใด

ท่านผู้ชมครับ นอกจากกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ เช่นตำรวจ ที่ผมพูดถึงบ่อยที่สุดแล้ว หน่วยงานกลางน้ำอย่าง อัยการสูงสุด ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ผมพูดถึงบ่อยครั้งเช่นกัน ตั้งแต่กรณีอื้อฉาวลูกชายของมหาเศรษฐีกระทิงแดง คือ บอส อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ตั้งแต่ปี 2555 หนีคดีไปจนปี 2563 สำนักงานอัยการสูงสุดกลับมีคำสั่งไม่ฟ้อง กลายเป็นเรื่องอื้อฉาว กลายเป็นมหากาพย์ของความฉ้อฉลในกระบวนการยุติธรรมที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน


ช่วงนั้นเป็นยุคของอดีตอัยการสูงสุด ที่มีชื่อว่า นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ ท่านดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2562-2564 โดยมีรองอัยการสูงสุดคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก คือ นายเนตร นาคสุข ซึ่งในเวลาต่อมาถูกคณะกรรมการ ก.อ. ของอัยการ มีคำสั่งให้ออกจากราชการ ปมสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ (บอส) อยู่วิทยา

นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์

นายเนตร นาคสุข
อัยการสูงสุดต่อจากนายวงศ์สกุล มีชื่อว่านายสิงห์ชัย ทนินซ้อน ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2564-2565 แม้ว่าการดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดเป็นเวลา 1 ปี ดังกล่าวของนายสิงห์ชัย หน่วยงานอัยการสูงสุดจะไม่ได้ปรากฏข่าวอื้อฉาวเป็นเรื่องเป็นราวในสังคมมากนัก แต่เรื่องกลับมาแดงตอนที่นายสิงห์ชัย พ้นจากตำแหน่งอัยการสูงสุดไปแล้ว นั่นคือกรณีช่วงปลายปี 2565 ก่อนท่านจะเกษียณ ถึงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา มีข่าวคราวอื้อฉาวเกี่ยวกับคดีต่างๆ หลายคดี ซึ่งเมื่อไปถึงมืออัยการสูงสุดแล้ว กลับมีคำสั่งไม่ฟ้องอย่างน่าเคลือบแคลงสงสัยหลายคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เกี่ยวพันกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ยักษ์ใหญ่ 2 เจ้า คือ นายแทนไท ณรงค์กูล และ MAWINBET ซึ่งเมื่อคดีพ้นชั้นตำรวจไปสู่อัยการแล้ว อัยการสูงสุดในยุคนายสิงห์ชัย กลับมีคำสั่งไม่ฟ้องเสียอย่างนั้น

นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน
เรื่องนี้มีสำนักข่าวและนักข่าวอยู่เพียง 2 เจ้าเท่านั้นที่เกาะติดอย่างใกล้ชิด คือ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" คือผมนั่นเอง และ สำนักข่าวอิศรา ที่มีหัวขบวนชื่อ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา


เมื่อเราผนวกเอาความไม่ชอบมาพากลในคดีอื่นๆ ยกตัวอย่างคดีเชื่อมโยงกรณีทุนจีนสีเทาอย่างตู้ห่าว ทำให้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนต่อมา ซึ่งถือว่าเป็นอัยการสูงสุดคนแรกที่เป็นผู้หญิง คือ คุณนารี ตัณฑเสถียร ถูกบีบให้ต้องสะสางเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้


28 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด มีคำสั่งที่ 420/2566 ตั้งคณะทำงานหลายคณะขึ้นตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีปรากฏข่าวตามหน้าสื่อมวลชน และผู้มาร้องเรียนเกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่ประชาชนให้ความสนใจ และอาจจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของอัยการสูงสุด มีอยู่ 5 คดี ประกอบด้วย คดีแรก คือคดีเผาสวนงูภูเก็ต เชื่อมโยงกับนายตู้ห่าว และภรรยา คดี CPK International จำกัด กับพวก คือบริษัทเครือเปรมชัย ถูกกล่าวหาว่ารุกป่า คดีนายแทนไท ณรงค์กูล กับพวก คดี MAWINBET.com และคดียาเสพติดเมทแอมเฟตามีน 4 แสนเม็ด ที่จังหวัดนนทบุรี

นอกจากนั้นแล้ว ยังพ่วงคดีนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ กับพวก หรือคดีค้ามนุษย์ วิคตอเรีย ซีเคร็ท ตามหนังสือร้องเรียนของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ฉบับลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงประธาน ก.อ. ด้วย


ทั้งหมดนี้ ตอนนั้นรองอัยการสูงสุดยุคคุณนารี ระบุว่า กรณีข่าวสารและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุด ด้วยสำนักข่าวแห่งหนึ่งเผยแพร่ข่าว ต้องเร่งรัดกวาดขยะใต้พรมที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดยมีการกล่าวถึงมีจำนวนคดีหลายคดีที่กลายเป็นภาระ และขยะใต้พรมที่ น.ส.นารี ตัณฑเสถียร ต้องเร่งเก็บกวาด

ขณะที่เวลาที่อยู่ในตำแหน่งนั้นมีเพียง 1 ปี เวลาผ่านไปแล้ว 5 เดือน จึงเหลือเวลาในตำแหน่งอีกเพียง 7 เดือน ถ้าไม่สะสางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ทั้งหมด ภาระนี้จะกลายเป็นของผู้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดคนต่อไป - นี่คือคำพูดของท่านโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด

ท่านผู้ชมครับ จากวันนั้น 28 กุมภาพันธ์ 2566 เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก 7 เดือนที่ผ่านมา วันนี้คุณนารี ตัณฑเสถียร ก็เกษียณอายุไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ตอนนี้มีอัยการสูงสุดคนใหม่เข้ามาแล้ว ก็คือ คุณอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์

คดีทั้ง 6 คดี ที่คุณนารี มีคำสั่งที่ 420/2566 ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ประกาศก้องผ่านสื่อมวลชนด้วยท่าทีขึงขัง บอกให้คณะทำงานเต็มที่ 8-9 ข้อ พร้อมกับรายงานผลการตรวจสอบให้คุณนารีทราบ ท่านผู้ชมทราบไหมครับ ผ่านไป 7 เดือน จนคุณนารี เกษียณอายุราชการไปแล้ว ผมไม่เคยเห็นมีประกาศอะไรเลย ผลการตรวจสอบหรือข้อมูลการตรวจสอบให้ประชาชน หรือสื่อมวลชนอย่างผม ได้รับทราบอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ แต่ข้อมูลที่ผมได้รับเกี่ยวกับคุณนารีนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า 1 ปี วันทำงานเรามีกี่วัน ? 240 วัน แต่สมัยคุณนารี เป็นอัยการสูงสุดนั้น ใช้เวลาเดินทางไปแล้วเกินครึ่ง ทั้งต่างประเทศ 90 วัน เดินทางในประเทศ 42 วัน มิน่าล่ะ ถึงไม่มีการประกาศก้องเลยว่าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมานั้น ผ่านไปแล้ว 7 เดือน มีรายงานอะไรมาบ้าง


ท่านผู้ชมที่ชมรายการนี้อย่างต่อเนื่อง ทราบว่าผมเคยฝากความหวังไว้กับคุณนารี ตัณฑเสถียร ว่าจะเข้ามาช่วยสะสางเรื่องราวเน่าๆ ในสำนักงานอัยการสูงสุดหลายคนในช่วงที่ผ่านๆ มา แต่ปรากฏว่าในช่วง 1 ปี ที่คุณนารี ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ซึ่งอย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าวันทำงานในราชการนั้นมี 240 วัน เท่าที่ตรวจสอบได้ คุณนารี กลับใช้เวลาเดินทางไปต่างประเทศ 90 วัน ในประเทศ 42 วัน

การเดินทางไปต่างประเทศ 90 วันนั้น คุณนารี ในฐานะอัยการสูงสุด อนุมัติให้ตัวเองเดินทางไปต่างประเทศ ทั้งทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง รวม 14 ทริป มีที่ไหนบ้าง ? มีออสเตรีย ไต้หวัน ลาว แคนาดา เกาหลีใต้ ตุรกี ญี่ปุ่น สหรัฐฯ รัสเซีย จอร์แดน ฟินแลนด์ รัสเซีย (รอบที่สอง) และที่อังกฤษ ที่สำคัญคือทริปที่ 13 ไปอังกฤษวันที่ 22-29 กันยายน 2566 คุณนารี ก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยเลยแม้แต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ ก็ไม่ได้อยู่เมืองไทย

นอกจากนี้แล้ว คุณนารี พ้นตำแหน่งอัยการสูงสุดไปแล้ว ยังมีทริปที่ 14 ต่อไปอีกนะ คือเดินทางไปฝรั่งเศส ช่วงวันที่ 1-11 ตุลาคม 2566 เป็นการเดินทางไปกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ แต่ก็ยังเดินทางไปในนามอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด


ผมเอาลำดับการเดินทางของคุณนารี ตัณฑเสถียร ระหว่างการดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ช่วงตุลาคม 2565 - ตุลาคม 2566 ให้ท่านผู้ชมลองพิจารณาจากกราฟที่ผมขึ้นให้ดู ว่าในช่วงหนึ่งปีกว่า คุณนารี เดินทางไปต่างประเทศและในประเทศแต่ละเดือนๆ มีที่ไหนบ้าง

สรุปว่าในเวลา 1 ปี คุณนารี ใช้เวลาเดินทางต่างประเทศและในประเทศ รวม 30 ทริป ใช้งบประมาณมากกว่า 40 ล้านบาท เพราะเดินทางไปกับคนใกล้ชิด เครื่องบินก็นั่ง First Class และ Business Class ตลอดจนเป็นสมาชิกระดับ Platinum ของการบินไทยไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยมีคนตั้งข้อสงสัย ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริงก็ยินดีให้คุณนารีชี้แจง เขาบอกว่าคุณนารีเดินทางตลอด เพราะไม่อยากจะทำงาน เพราะตัวเองไม่สามารถทำงานทางคดีได้ เลยเบียดบังเวลาราชการ ไม่อุทิศกับงานราชการมากอย่างเท่าที่ควร ทั้งที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ เป็นถึงทนายแผ่นดิน ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Attorney General


นี่คือรูปบางส่วนของคุณนารีที่เดินทางไปต่างประเทศ มีการเผยแพร่สู่สาธารณชน รูปนี้ คุณนารีประชุมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อินเตอร์เนชันแนล อีโคโนมิค ฟอรัม นี่คือภาพจากเฟซบุ๊กของสำนักงานอัยการสูงสุด


วันที่ 9 สิงหาคม 2566 น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด พร้อมคณะ เข้าร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางอาญา และรับฟังปัญหากรณีการทำงานของคนไทยในสาธารณรัฐฟินแลนด์ ณ สำนักงานอัยการสูงสุดสาธารณรัฐฟินแลนด์


2-5 พฤษภาคม 2566 คุณนารี และคณะ ประชุมสมาคมอัยการระหว่างประเทศระดับภูมิภาคแพนยุโรป ครั้งที่ 1 ในเมืองอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี


อีกรูปหนึ่ง คุณนารี ผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมคณะอัยการ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

อย่างที่ผมพูดไปแล้วครับท่านผู้ชม จากข้อมูลเฉพาะเท่าที่ตรวจสอบได้ วันทำงานราชการ 240 วัน คุณนารีเดินทางไปแล้วเกินครึ่ง 132 วัน ไม่นับวันลาป่วย ลากิจ หรือเดินทางไปทำธุระ ไม่เข้ามาที่สำนักงานอัยการสูงสุดเลย คุณนารีกลับมาจากดูงานที่ฝรั่งเศส ช่วยออกมาชี้แจงให้ประชาชชนทั่วไป รวมทั้งผม ทราบหน่อยนะครับว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่คุณเป็นอัยการสูงสุด นอกจากเดินทางไปโน่นไปนี่ ออกงานโน้นออกงานนี้ ถ่ายรูปลงโชว์ในเฟซบุ๊ก ลงโซเชียล สุดท้ายแล้ว คุณนารีครับ คุณนารีมีผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ? แล้ว 5-6 คดีที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ แล้วประชาชนรวมทั้งผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอความยุติธรรมอยู่นั้น สุดท้ายแล้วได้ผลสรุปว่าอย่างไร คงจะไม่กล่าวเกินเลยความเป็นจริงนะครับว่า คุณนารี หนึ่งปีที่อยู่ในสำนักงานอัยการสูงสุดนั้น ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้มีผลงานอะไรออกมาให้ประชาชนได้รับทราบ ที่สำคัญที่สุด การตั้งคณะกรรมการออกมาตั้งกี่ชุด เพื่อมาตรวจสอบคดีที่ไม่ชอบมาพากล ที่ประชาชนสงสัยนั้น ผ่านไปแล้ว 7 เดือน จนกระทั่งวันที่คุณนารีเกษียณอายุนั้น ไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ผมไม่ได้จ้องจะหาเรื่องกับคุณนารีนะครับ แต่ผมคิดว่าการเป็นข้าราชการนั้น ต้องทำงานให้กับชาติบ้านเมืองอย่างสูงสุด การประชุมต่างประเทศนั้นมีความสำคัญ แต่ผมคิดว่าเวลา 1 ปี ที่เป็นอัยการสูงสุด มันเป็นเวลาที่สั้นมาก ผมคิดว่าน่าจะใช้เวลา 1 ปีนั้นตั้งใจทำงานเพื่อให้ประชาชนมีความอุ่นใจ และที่สำคัญที่สุด ทำงานให้กับคนที่อยู่ในสำนักงานอัยการสูงสุดมีความรู้สึกว่า คุณนารี ตัณฑเสถียร ได้ทำงานอย่างสมศักดิ์ศรี ทำงานอย่างเต็มที่ แต่นี่กลับไม่ใช่

ทำไมจึงควรเป็น "แลนด์บริดจ์" ไม่ใช่ "คลองไทย"

ช่วงหลังๆ 2-3 อาทิตย์นี้มีแต่คนติดต่อมาผ่าน inbox บอกว่าทำไมคุณสนธิ ไม่พูดเรื่อง Landbridge และ "คลองไทย" หรือ "คอคอดกระ" บ้าง ? เรื่องนี้พูดกันสั้นๆ ไม่ได้ ถ้าจะเข้าใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะพูดนี้ว่า "แลนด์บริดจ์" ทำไมถึงสำคัญ เราต้องรู้เรื่องที่มาที่ไปก่อน


ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีความพยายามมากที่จะทำโครงการเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน กับภาคใต้ฝั่งทะเลอ่าวไทย ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่จะเห็นว่าทางตะวันตกคือทะเลอันดามัน ทางตะวันออกคืออ่าวไทย และมหาสมุทรแปซิฟิก เพราะฉะนั้นแล้ว แน่นอนที่สุด มีคนคิดที่จะทำอย่างไรที่จะเชื่อมสองฝั่งให้ได้ ก็มีเริ่มจากโครงการขุดคอคอดกระ หรือ คลองไทย เพื่อให้เรือบรรทุกสินค้าข้ามฝั่ง แทนที่จะผ่านไปทางช่องแคบมะละกา เพื่อร่นระยะเวลาและต้นทุนในการขนส่งแทน ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของกำไรและขาดทุน เป็นการลดต้นทุนการขนส่งเท่านั้นเอง

แต่เผอิญในเรื่องบางเรื่องนั้นมันมีนัยทางรัฐศาสตร์ทางการเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังทีหลัง

เดิมทีหลายสิบปีที่ผ่านมาพวกเราได้ยินกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า หากมีการขุดก็จะน่าจะดำเนินการบริเวณคอคอดกระ หรือที่เขาเรียกว่า กิ่วกระ เป็นส่วนที่แคบที่สุดของคาบสมุทรมลายู อยู่ภายใต้เขตบ้านทับหลี ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง กับอำเภอสวี จังหวัดชุมพร


"คอคอดกระ" ที่พูดถึงนี้มีระยะทางจากฝั่งทะเลตะวันตก จรดฝั่งทะเลตะวันออก กว้าง 50 กิโลเมตร พื้นที่่ส่วนนี้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับความสนใจ ไม่ใช่เพิ่งได้รับความสนใจตอนนี้นะ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในการที่จะขุดคลองตัดผ่าน โดยสาเหตุที่สมัยกรุงศรีอยุธยาต้องการขุดคลอง เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเคลื่อนกองทัพเรือจากฝั่งอ่าวไทย ไปยังฝั่งทะเลอันดามัน เป็นการขยายความเข้มแข็งของราชอาณาจักรไทยในยุคนสมัยนั้น และเพื่อให้การค้ากับต่างประเทศไม่ต้องเสียเวลาเดินเรืออ้อมไปผ่านช่องแคบมะละกา

จากสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ฝรั่งเศสเคยคิดจะขุดคอคอดกระเพื่อร่นระยะทางการเดินเรือจากฝั่งทะเลอันดามัน ข้ามไปยังฝั่งอ่าวไทย โดยไม่ต้องอ้อมไปทางแหลมมลายู


เวลาผ่านไปหลายร้อยปี โครงการขุดคอคอดกระก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จเสียที จึงมีการยกเรื่อง "คลองไทย" ขึ้นกล่าวแทน ซึ่ง "คลองไทย" กับ "คอคอดกระ" นั้น มันเป็นคนละเส้นทางกัน อย่าเข้าใจผิดและสับสน

2544 วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ แต่ไม่ได้ขุดในบริเวณนั้น เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นหินและภูเขา โดยบริเวณคอคอดกระที่อยู่ชายแดนพม่า ปากแม่น้ำกระบุรี มีปัญหาเรื่องความมั่นคง จึงขยับบริเวณที่จะขุด ที่มีความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์สูงสุด คือ เส้นทาง 9A ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา ระยะทาง 120 กิโลเมตร โดยเรียกชื่อคลองนี้ว่า "คลองไทย"


ทั้งนี้ ข้อมูลเส้นทาง "คลองไทย" จะผ่านจังหวัดสงขลา พัทชุง ตรัง นครศรีธรรมราช และจังหวัดกระบี่ ระยะทางสูงกว่าคอคอดกระ 15 กิโลเมตร ถึง 135 กิโลเมตร มีความกว้าง 300-400 เมตร มีความลึก 25-35 เมตร ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยย่นระยะทางการเดินเรือได้ 1,200-1,300 กิโลเมตร

(แผนที่) คลองไทย คือเส้นสีเขียว เส้นสีฟ้าคือการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งหากปรับมาใช้คลองไทยแล้วจะช่วยร่นระยะทางในการเดินเรือได้ราว 1,200 กิโลเมตร คิดเป็นเวลา 2-3 วัน เส้นสีม่วงคือช่องแคบซุนดา หากปรับมาใช้คลองไทย จะช่วยร่นระยะทางในการเดินเรือได้ราว 2,800 กิโลเมตร หรือร่นระยะเวลาไป 4-5 วัน เส้นสีแดงคือช่องแคบลอมบ็อก- หากปรับมาใช้คลองไทย จะช่วยร่นระยะเวลาในการเดินเรือได้ 3,500 กิโลเมตร หรือร่นระยะเวลาไป 5-6 วัน


แต่แนวคิด "คลองไทย" เกิดขึ้นได้ยากด้วยหลายๆ เหตุผล ด้วยอุปสรรคข้อจำกัดต่างๆ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถสร้างคลองไทยได้ จึงมีความพยายามที่จะทำโครงการแลนด์บริดจ์ คือการเชื่อมต่อทางแผ่นดินขึ้นมาแทน คือแทนที่จุดขุดคลองตัดแผ่นดิน ก็ใช้วิธีการขนส่งประเภทไฮบริด ผสมผสาน ประกอบไปด้วยทางหลวงแผ่นดิน ทางรถไฟเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทร คือ ฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย เข้าด้วยกัน วิธีนี้จะใช้งบประมาณที่น้อยกว่า และไม่ต้องตัดแผ่นดินออกจากกัน

ที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ มาหลายพื้นที่ สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ช่วง 2539-2540 จะทำแลนด์บริดจ์ระหว่างรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กับจังหวัดสงขลา ประเทศไทย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ


หรือจะเป็นโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด เชื่อมระหว่างจังหวัดกระบี่ กับ อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการตัดถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 44 หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ถนนเซาท์เทิร์น เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2546 โดยเกาะกลางถนนเว้นพื้นที่เอาไว้เพื่อก่อสร้างท่อส่งน้ำมันและทางรถไฟ เนื้อที่ประมาณ 15,000 ไร่ ยาวประมาณ 133 กิโลเมตร 


แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ก่อสร้าง เพราะจุดที่จะก่อสร้างท่าเรือและคลังน้ำมันอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ถูกกระแสต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ ก็เลยมีการศึกษาเส้นทางใหม่ ปัจจุบันเกาะกลางถูกทิ้งร้าง มิหนำซ้ำยังมีชาวบ้านบางคนบุกรุก เอาที่ดินหลวงไปทำสวนปาล์มน้ำมัน สวนยางพารา เกิดข้อพิพาทกับเจ้าหน้าที่รัฐ


อีกโครงการหนึ่งคือเส้นทางแลนด์บริดจ์ระหว่างท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล กับ ท่าเรือจะนะ จังหวัดสงขลา แต่มีการรวมตัวของชาวบ้านคัดค้านท่าเรือน้ำลึกปากบารา และโครงการแลนด์บริดจ์ สตูล-สงขลา เพราะไปกระทบกับกลุ่มประมงพื้นบ้าน ทรัพยากรทางทะเล มีการชุมนุมประท้วง เกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ และสุดท้าย กรมเจ้าท่าเซ็นสัญญายุติโครงการท่าเรือปากบารา เมื่อปี 2563 สองปีที่แล้วนี่เอง


เอาล่ะ ท่านผู้ชม เรามาดููแลนด์บริดจ์ยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการศึกษาโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน ชุมพร-ระนอง เริ่มจากแหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ไปสิ้นสุดที่อ่าวอ่าง จังหวัดระนอง โดยโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงประกอบด้วย (1) การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย ที่จังหวัดชุมพร (2) ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามัน ที่จังหวัดระนอง (3) สร้างมอเตอร์เวย์ 6 ช่องจราจร กับรถไฟทางคู่ ระยะทางประมาณ 94 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมกับท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่ง และใช้งบประมาณที่คำนวณไว้แล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท


รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คาดว่าเมื่อโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง เสร็จแล้ว จะก่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ จะช่วยลดระยะเวลาส่งสินค้าจากช่องแคบมะละกา จากเดิม 9 วัน ให้เหลือเพียง 5 วัน คือลดไป 4 วัน สามารถรองรับเรือบรรทุกสินค้าได้ประมาณ 4 แสนลำต่อปี เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในพื้นที่ภาคใต้ จาก 2 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ใน 10 ปี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราวๆ 5 แสนล้านบาท


ผมเอาภาพให้ดูนะครับ ภาพแรกเป็นเส้นทางการเดินเรือในปัจจุบันที่ไม่มีแลนด์บริดจ์ ภาพที่สองคือเส้นทางเดินเรือหลังจากมีแลนด์บริดจ์




ทั้งนี้ ประโยชน์ดังกล่าวไม่นับรวมกับการเพิ่มการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ให้กับชุมชน ในเชิงพาณิชย์จะเกิดอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ โรงแรมให้เช่า สถานีบริการต่างๆ ที่อยู่อาศัยจะก่อเกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนานใหญ่ มีทั้งบ้านพัก คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ให้เช่า ไม่นับรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะตามมาจากการสร้างชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่มโหฬาร เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดล้านล้านบาท ต้องรองรับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ประมาณ 4-5 แสนลำ


มันจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการบริการ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง สถานบันเทิง โรงพยาบาล การเงิน การธนาคาร การสื่อสาร การประกันภัย และอื่นๆ

นอกจากนี้ ย่อมจะส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมเบา เช่น การประกอบชิ้นส่วน ยานยนต์ อาหาร โลจิสติกส์

ท่าทีของคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในเรื่องนี้ว่าอย่างไร ? ในช่วงขึ้นมาดำรงตำแหน่งใหม่ๆ คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เคยกล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง ว่า เป็นโครงการที่ใหญ่ มีมูลค่าการลงทุนสูงมาก อีกทั้งยังมีประเด็นผลกระทบสิ่งแวดล้อม การคุ้มค่าในการลงทุน การหาผู้ประกอบการร่วมลงทุน จึงเห็นว่าเป็นโครงการที่ยาก ใช้เวลา แปลไทยเป็นไทย แถวบ้านผมเขาเรียกว่า กูไม่เอาแล้วโครงการนี้


ก็เลยมีกระแสข่าวออกมาว่า คุณสุริยะ จะไม่สานโครงการแลนด์บริดจ์ที่รัฐบาลประยุทธ์เคยสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาจัดทำโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศว่าจะเดินหน้าผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ภาคใต้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในภาคใต้ และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีท่าทีจาก ส.ส. พรรคภูมิใจไทย ภาคใต้ ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลที่แล้ว ออกมาเคลื่อนไหว อย่างเช่น นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็น ส.ส. กระบี่ แถลงข่าวเรียกร้องให้นายสุริยะ ทบทวนเรื่องนี้ เพราะจะสูญเสียประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ และไม่อยากมีข่าวออกไปว่ารัฐบาลลดโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อชดเชยนโยบายเรื่องอื่นแทน

ท่านผู้ชมครับ ถึงกับมีการกล่าวหาคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ว่ารับงานประเทศสิงคโปร์มาหรือเปล่า เพื่อไม่ให้มีการสร้างแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น เพราะถ้าแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นแล้ว สองประเทศที่จะมีส่วนที่สูญเสียไป คือ มาเลเซีย ช่องแคบมะละกา และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดที่เรือสินค้าต่างวิ่งไปสิงคโปร์เพื่ออ้อมแหลมข้างล่าง


แต่ต่อมาภายหลัง นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ คมนาคม ได้โพสต์ข้อความ อาจจะตกใจถึงการคัดค้านอย่างรุนแรง ทั้งทางพรรคการเมือง และภาคประชาชน บอกว่าท่านสุริยะ ไม่เคยพูดเรื่องยกเลิกโครงการแลนด์บริดจ์ โดยระบุว่า แลนด์บริดจ์เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินลงทุนสูง ต้องร่วมลงทุนกับนักลงทุนต่างชาติ จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะ ตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลเฉพาะเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด

ปัจจุบันโครงการแลนด์บริดจ์อยู่ในเส้นทางเวลาของการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาและการลงทุน โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ซึ่งจะมีการเสนอให้ ครม. เห็นชอบหลักการในเดือนตุลาคมนี้ แต่ยังไม่รู้ไปไหนเลย ยังเงียบ ไม่ได้ข่าวอะไรเลย และจะมีการอนุมัติสิ่งแวดล้อมจาก EHIA ปลายปี 2567 เปิดประมูลกลางปี 2568


เอาล่ะ เรามาดูว่าใครบ้างที่หนุนให้มีการสร้าง ขุดคลองกระ หวังเชื่อมนโยบาย "1 แถบ 1 เส้นทาง" ? ก็หนีไม่พ้นประเทศจีนนั่นเอง

คำถามมีอยู่ว่า ทำไมในช่วงสิบปีที่ผ่านมาถึงมีการปั่นกระแสการขุดคลองไทยขึ้นมาอีก ? จนมีการตั้งพรรคการเมืองชื่อ "พรรคคลองไทย" ที่ผลักดันเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ


คำตอบ น่าจะเป็นเพราะฝ่ายจีนเล็งเห็นประโยชน์การเชื่อมต่อนโยบาย "1 แถบ 1 เส้นทาง" หรือ BRI ซึ่งจะลดค่าใช้จ่าย ลดความเสี่ยงในการขนส่งพลังงานและสินค้าผ่านทางช่องแคบมะละกา นอกจากนี้ ทางจีนยังหวังว่าจะเป็นการสร้างจุดยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อคานอำนาจอเมริกา และอินเดีย รวมทั้งยึดกุมความได้เปรียบต่อบรรดาประเทศอาเซียนที่มีปัญหาพื้นที่พิพาทในทะเลจีนตอนใต้กับจีน


ท่านผู้ชมที่ติดตามฟังรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาตลอด ทราบดีว่าผมเคยพูดถึงยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทรของจีน หรือ Two Ocean Strategy ซึ่งหมายถึงมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ไว้นานหลายปีแล้ว พูดไว้หลายครั้งหลายตอน ซึ่งการขุดคลองไทย หรือคลองกระ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดังกล่าว ผมพูดไปเมื่อตอนที่ 54 ออกอากาสเมื่อ 9 ตุลาคม 2563 สามปีที่แล้ว จีนได้ศึกษาการขุดคลองกระ หรือในภาษาจีนเขาเรียกว่า เค่อล่ายุ่นเหอ มานานแล้ว โดยประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ตั้งแต่สมัยนั้น เคยพูดไว้เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2546 ว่า หากขุดคอคอดกระสำเร็จ จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตมะละกาที่จีนเผชิญอยู่ เพราะจีนต้องการพึ่งพาช่องแคบมะละกาในการนำเข้าน้ำมันถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และวัตถุดิบต่างๆ เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นช่องทางในการกระจายสินค้าจีนไปทั่วโลก แต่การจราจรในช่องแคบมะละกาปัจจุบันหนาแน่นมาก แต่ละปีมีเรือกว่า 84,000 ลำ ขนส่งสินค้า 30 เปอร์เซ็นต์ ของสินค้าทั่วโลกสัญจรผ่าน จำนวนเรือได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 122,000 ลำ เกินความสามารถสูงสุดที่ช่องแคบมะละกาจะรองรับได้ จีนต้องมองหาเส้นทางใหม่มาทดแทน ถ้าขุดคลองที่คอคอดกระ จะสามารถร่นระยะเวลาทางอ้อมแหลมมลายูได้ 1-2 วัน


นอกจากความสำคัญทางเศรษฐกิจและการค้าแล้ว คอคอดกระ ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร จีนหวั่นกลัวมากว่าวันหนึ่งช่องแคบมะละกาจะถูกปิด ถ้าสถานการณ์ความขัดแย้งในอินโด-แปซิฟิก ทวีความตึงเครียดขึ้น เพราะด้วยภูมิศาสตร์ที่ตั้งแล้ว จีนเสียเปรียบหลายด้าน คือ หนึ่ง อเมริกามีฐานทัพอยู่ที่สิงคโปร์ หากเกิดความขัดแย้งกับจีนก็สามารถจะปิดช่องแคบมะละกา ตัดเส้นทางขนส่งน้ำมันของจีน โดยจีนไม่สามารถส่งเรือรบไปคุ้มครองกองเรือจีนได้ทัน เพราะไกลเกินไป

อีกประการหนึ่ง อินเดีย ที่มีปัญหากับจีนที่พรมแดนเทือกเขาหิมาลัย สามารถจะปิดฝั่งตะวันตกของช่องแคบมะละกา ตัดเส้นทางเดินเรือของจีนได้เช่นกัน

นี่คือปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจีนให้ความสนใจ ให้ความใส่ใจสำคัญที่สุด แต่ทีนี้ ถ้าขุดคลองกระเชื่อมอ่าวไทยในมหาสมุทรแปซิฟิก กับทะเลอันดามัน ในมหาสมุทรอินเดียได้ กองทัพเรือจีนสามารถย่นระยะทางเดินเรือข้ามจากทะเลจีนใต้ไปยังมหาสมุทรอินเดีย เนื่องจากปัจจุบันจีนได้ไปเช่าฐานทัพเรือเรียม ในกัมพูชา เป็นระยะเวลา 30 ปี เพื่อเตรียมการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว


จีนเริ่มกระตือรือร้นผลักดันเรื่องคอคอดกระอย่างเป็นจริงเป็นจัง ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศแนวคิด "1 แถบ 1 เส้นทาง" โดยวางพื้นที่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเล

2558 แปดปีที่แล้ว สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีน สื่อทางการ เผยแพร่รายงานพิเศษ "เส้นทางสายไหมสู่อนาคต ตอนที่ 2" โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการขุดคลองกระ เพื่อให้เรือเดินสมุทรสามารถตัดผ่านมหาสมุทรอินเดียข้ามไปยังอ่าวไทยได้ ร่นระยะเวลาได้กว่า 3 วัน


ซีซีทีวี ระบุว่า จีนกำลังเป็นผู้นำในการทำการศึกษาข้อเสนอเพื่อก่อสร้าง และให้เงินสนับสนุนโครงการ ปัจจุบันมีการศึกษาทางเลือกความเป็นไปได้ในการขุดคลองคอดกระจำนวน 13 เส้นทาง โดยเส้นทางที่จะใช้งบประมาณสูงสุดนั้น มากที่สุด 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถ้าโครงการก่อสร้างดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการจริง ต้องใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 10 ปี พร้อมให้ความเห็นด้วยว่า การขุดคลองกระนั้นอาจจะมีความสำคัญกับโลกพอๆ กับสมัยที่มีการขุดคลองสุเอซ ในอียิปต์ ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และคลองปานามา เพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิก กับมหาสมุทรแอตแลนติก เข้าด้วยกัน เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20

ในปี 2559 เจ็ดปีที่แล้ว วิศวกรชาวจีนได้ลงพื้นที่สำรวจความเป็นไปได้ในการขุดคลองลัดผ่านคลองกระ เชื่อมมหาสมุทรอินเดียเข้ากับทะเลจีนใต้ จีนได้จัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย ที่เขาเรียกว่า AIIB (Asian Infrastructure Investment Bank) สนับสนุนโครงการเมกะโปรเจกต์ดังกล่าว

นอกจากนี้แล้ว จีนยังให้การสนับสนุนจัดตั้งศูนย์วิจัยเส้นทางสายไหมทางทะเลไทย-จีน ที่คลองกระ จัดสัมมนา เชิญนักวิชาการจีนมาพูดเรื่องผลประโยชน์ที่จะได้จากการขุดคอคอดกระ ให้งบประมาณสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการจัดตั้งสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาพัฒนา ตั้งพรรคการเมืองชื่อ "พรรคคลองไทย" โดยมี ดร.สายัณห์ อินทรภักดิ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นหัวหน้าพรรค ยังมีการล็อบบี้ผ่านบุคคลที่ติดต่อฝ่ายจีน ทั้งทหาร ข้าราชการ และนักการเมือง


กรณีที่ฮือฮาที่สุดคืออดีตนายกรัฐมนตรี นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. เสนอให้ฟื้นโครงการขุดคอคอดกระขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ถึงสองครั้งสองคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งที่สองที่แนะนำด้วยว่า ให้ปรึกษาทางจีนได้ และยังทิ้งวาทะด้วยว่า หากคอคอดกระถูกขุดขึ้นจริง ก็จะเป็นการพลิกแผ่นดินให้เป็นแผ่นดินทอง

และยังมีข่าวถึงขนาดที่ว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมลงนามใน MOU กับฝ่ายจีน ที่เมืองกวางโจว ในการศึกษาโครงการขุดคอคอดกระ แต่ต่อมาทั้งคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต กระทรวงการต่างประเทศของไทย และทางจีน ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เป็นแค่ข่าวลวงเท่านั้น

ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการไม่สนับสนุนการขุดคลองกระ โดยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "ต้องหารือกันก่อนว่ามีข้อดี-ข้อเสียอะไร โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคง จะมองแต่ประโยชน์ด้านเดียวไม่ได้ ต้องดูด้วยว่าโทษมีอะไรบ้าง ซึ่งประเด็นความมั่นคงที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปว่า หากแบ่งแยกดินแดนออกเป็นสองตอน จะคุ้มค่าหรือเปล่า และจะควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน ด้านนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องจีน ก็ระบุว่า ตลอดเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา มีราชการไปจีนหลายครั้งหลายครา จะได้รับการกระตุ้นจากเจ้าหน้าที่จีนในระดับต่างๆ ให้ช่วยเสนอรัฐบาลฟื้นโครงการขุดคลองกระขึ้นมาให้ได้

การกระตุ้นแบบนี้เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ และต่างบุคคล เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่จีนทั้งในและนอกวงวิชาการ และเกิดขึ้นโดยชักแม่น้ำทั้งห้าว่า ประโยชน์จะมีมากมายเพียงใดหากคอคอดกระจะถูกขุดขึ้นมาจริง ประโยชน์นี้ใช่แต่ประเทศไทยจะได้รับ แม้แต่นานาประเทศก้ได้รับด้วย


ท่านผู้ชมครับ มีความพยายามที่จะด้อยค่าแลนด์บริดจ์ ซึ่งแน่นอน มาจากทีมงานที่เป็นกองเชียร์คลองไทย พยายามสร้างวาทกรรมที่ผิดๆ มาอีกหลายอย่าง เช่น การขนส่งทางเรือ ถ้าผ่านช่องแคบมะละกา หรือหากขุดคลองกระไทย จะใช้เรือลำเดียว ไม่ต้องเสียเวลา ขนถ่าย ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนถ่ายใดๆ แต่ถ้าหากเป็นแลนด์บริดจ์ ต้องใช้เรือ 2 ลำ ทั้งยังต้องขนของลงและขึ้นรถไฟ รถบรรทุก 2 รอบ เสียเวลาอีก เพื่อไปยังท่าเรืออีกฝั่ง โดยอ้างว่า ย้ำว่านี่คือความฉิบหายแห่งชาติ จะเกิดขึ้นจากการหลอกลวง ไม่พูดความจริงกัน

ท่านผู้ชมครับ ผมอยากจะบอกว่าใครกันแน่ที่ไม่พูดความจริง มาอ้างโน่นอ้างนี่ว่าแลนด์บริดจ์ต้องยกสินค้าขึ้น-ลง ใช้เรือ 2 ลำ ไม่คุ้มค่าเท่าขุดคลองไทยที่ใช้เรือแค่ลำเดียว ท่านผู้ชมครับ โลกมันไปถึงไหนแล้ว คุณคิดว่าคนที่ออกแบบโครงการนี้เขาไม่คิดเหรอ เขาไม่คำนวณหรือว่าจะคุ้มทุนหรือไม่คุ้มทุน

แล้วจะทำอย่างไร มูลค่าโครงการอุตสาหกรรม ภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ? มันสามารถจะเดินหน้าไปได้ ซึ่งเขาคำนวณไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ที่สำคัญเขาคำนวณและวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์เอาไว้ด้วยว่า เมกะโปรเจกต์ที่ใช้เงินลงทุนตั้งอาจจะถึง 5 ล้านล้านบาท ทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม มากมายมหาศาลอย่างไม่มีวันคืนทุนได้เลย คือ การขุดคลองไทย หรือคลองกระ นั่นเอง ที่พวกที่กำลังมัวเมาอยู่ กำลังเชียร์อยู่


ผมเอาต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์แลนด์บริดจ์ กับ คลองไทย มา จะเห็นได้ว่าต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ต่างกันตั้งสิบเท่า พวกที่เชียร์คลองกระนั้น ออกมาพูดอ้างโน่นอ้างนี่ว่ารถไฟ รถบรรทุก ระบบการคมนาคมแลนด์บริดจ์จะไม่เพียงพอ ต้นทุนจะไม่คุ้มค่า

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม่ว่านี่คือการบริหารจัดการ เขาสามารถจะดำเนินการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขอยู่ตลอด ขบวนรถไฟไม่พอก็เพิ่มขบวน รางไม่พอก็เพิ่มราง ถนนไม่พอก็เพิ่มถนน warehouse โกดังเก็บของ เครนท่าเรือ ถ้าต้องการเพิ่มตามปริมาณที่ต้องการ เขาก็เพิ่มได้ ทุกอย่างมันสามารถจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ท่านผู้ชมครับ นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง

ท่านผู้ชมครับ เรามาถึงบทสรุปวันนี้ ผมกำลังจะพูดว่าทำไมต้องแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่คลองไทย

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีนักวิชาการ หรือนักวิชาเกิน บางคนที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นอาจารย์ เป็นกูรู ออกมารับลูกนโยบายของจีนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ โดยออกมาต่อต้านให้ล้มโครงการแลนด์บริดจ์ และเชียร์ให้กลับไปขุดคลองไทย ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่กล่าวหาผมมาตลอดเวลาว่าผมเชียร์จีนมาตลอดเวลานั้น ท่านผู้ชมเข้าใจผิดแล้ว ผมเชียร์จีนในการสู้กับอเมริกา แต่อะไรถ้าเป็นผลประโยชน์ของประเทศไทย ผมยืนข้างประเทศไทยตลอด

คนที่มาต่อต้านแลนด์บริดจ์นั้น บอกว่าไม่คุ้มค่า คลองไทยจะทำให้เศรษฐกิจไทยรุ่งเรืองอีกครั้ง บอกประเทศโน้นประเทศนี้มีเกาะแยกออกไป อย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็มีเกาะแก่ง ไม่เห็นจะมีปัญหา คนพวกนี้เข้าใจผิด มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นเกาะแก่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นี่เรากำลังจะสร้างเกาะแก่งของเราขึ้นมาเอง


ประเด็นอยู่ที่ สิ่งเหล่านี้ที่คนโจมตีโครงการแลนด์บริดจ์ แต่ไม่ยอมพูดถึงจุดอ่อนและจุดตายของโครงการคลองไทย หรือคลองกระ เลย คือ หนึ่ง การขุดคลองไทยจะใช้งบประมาณมากมายมหาศาล ศึกษาเบื้องต้นต้องใช้เงินประมาณ 2 ล้านล้านบาท อาจจะบานปลายไปถึงเกือบ 5 ล้านล้านบาท ตามผลการศึกษาของจุฬาฯ เมื่อปี 2565 งบประมาณดังกล่าวไม่คิดรวมผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมต่างๆ ดังที่กล่าวไปแล้วว่าจะต้องมีการเวนคืนที่ดิน การเคลื่อนย้ายคลองไทย มีระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร กว้าง 300-400 เมตร ความลึก 25-35 เมตร ที่สำคัญคือ การขุดคลองไทยจะก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนอย่างมากมาย ผลกระทบต่อเส้นทางไหลของน้ำ ทั้งน้ำบนบกและน้ำในมหาสมุทร ผลกระทบต่อภาคการประมง การจับสัตว์น้ำ การเลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ

เทคโนโลยีที่ใช้ขุดคลองกระ ที่เคยศึกษาเมื่อหลายสิบปีก่อน คือถ้าขุดแบบเครื่องจักรกล ต้นทุนจะแพงมาก แต่ถ้าขุดโดยใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ต้นทุนจะอยู่ราวครึ่งหนึ่ง ผลกระทบที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวเมื่อมีการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ระดับล้านล้านบาท ระหว่างการก่อสร้าง เป็นเวลาสิบปี จะทำลายภาคการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งใกล้เคียงกับการก่อสร้างโดยปริยาย

ทั้งนี้และทั้งนั้น อย่าว่าแต่การขุดคลองไทยเลย แม้แต่การสร้างท่าเรือน้ำลึก หรือนิคมอุตสาหกรรมริมชายฝั่งทะเลต่างๆ หลายแห่ง ก็มีชาวบ้านออกมาชุมนุมต่อต้านอยู่เรื่อยๆ ประเด็นที่สำคัญคือการตัดคลองไทยนั้น ในเชิงสัญลักษณ์เท่ากับการตัดแบ่งแยกแผ่นดินออกจากกัน อาจจะส่งผลกระทบประเด็นความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาการแบ่งแยกดินแดน

นักวิชาการไทยผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน อย่างอาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล ก็ยังระบุว่า การขุดคอคอดกระไม่ได้ช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งได้มากนัก แต่ที่สำคัญคอคอดกระจะกลายเป็นปัญหาความมั่นคงจนทำให้แผ่นดินไทยอาจจะลุกเป็นแผ่นดินไฟ แผ่นดินเพลิงได้จากขบวนการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้

ท่านผู้ชมครับ ไม่เพียงจีนเท่านั้นที่ต้องการเข้ามาแผ่อิทธิพลผ่านนโยบาย "1 แถบ 1 เส้นทาง" แต่อเมริกาและขาติตะวันตกก็รุกหนักเช่นกัน ถ้าท่านผู้ชมจำได้ว่าหลังการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2566 มีความเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกรัฐปาตานีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แทรกซึมเข้าไปสู่ขบวนการนักศึกษาโดยอ้างว่าทดลองทำประชามติแบ่งแยกรัฐปาตานี โดยอ้างถึงสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตัวเองของสหประชาชาติ เรื่องนี้ผมเคยชำแหละอย่างละเอียดแล้วหลายตอน ไปชม ไปฟังดู


แล้วท่านผู้ชมทราบหรือเปล่าว่ามันมีการเผยแพร่แผนที่ออกมาว่ารัฐปาตานีที่เขาคิดกันไว้ว่าจะตั้งเป็นรัฐเอกราชนั้นครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แต่มันมีแผนที่อีกชิ้นหนึ่งที่เคยถูกเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ เป็นแผนที่ใหญ่กว่า

นี่คือแผนที่อาณาเขตรัฐปาตานีที่จัดทำมานานแล้วโดยขบวนการเบอร์ซาตู ซึ่งเป็นองค์กรร่ม หรือองค์กรกลางขบวนการแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 4 กลุ่มสำคัญที่อยู่ในองค์กรนี้ ได้แก่ บีอาร์เอ็น พูโล บีไอพีพี และ มูจาฮีดีนปัตตานี พยายามอ้างสิทธิเหนือดินแดนให้ขยายออกไปเหนือพื้นที่ของปัตตานีเดิม คือได้อ้างพื้นที่ด้านบนสุดไปถึงระนอง ชุมพร ซึ่งประจวบเหมาะกับเป็นจุดที่คอคอดกระได้เคยถูกวางแผนเอาไว้พอดีเลย


ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเห็นได้ชัดว่าการขุดคลองไทย หรือคลองกระ ไม่ได้เป็นปัญหาของไทยเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนโดยตรงเพียงเท่านั้น หากยังสร้างประเด็นปัญหาที่ไทยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนตอนใต้ รวมถึงปัญหาทางจุดยุทธศาสตร์ ทางภูมิรัฐศาสตร์ของการเมืองในระดับโลกด้วย

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ทราบกันดี ปัญหาทะเลจีนใต้นั้นเรื้อรังกันมาหลายสิบปี ประเทศที่มีคู่พิพาท ได้แก่ จีน เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ซึ่งมีการเชื้อเชิญชาติตะวันตก เช่น อเมริกา เข้ามาพัวพันด้วย ปัญหานี้โดยทางตรงประเทศไทยเราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ถ้าเราขุดคลองกระเมื่อไรปั๊บ พื้นที่นี้มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นจุดปะทะใหม่ เหมือนกับช่องแคบมะละกา หรือคลองสุเอซ ที่ในอดีตเคยเป็นทั้งเส้นทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จนนักล่าอาณานิคมตะวันตกต่างแย่งชิงและรุมทึ้งเพื่อหวังจะยึดครองมาก่อน

ท่านผู้ชมครับ คลองไทยจะกลายเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงที่ถูกมหาอำนาจโจมตี จีน รัสเซีย สหรัฐฯ อินเดีย ออสเตรเลีย จะรุมทึ้งไทย จะเป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ทำให้เกิดช้างสารชนกันเหนือจุดยุทธศาสตร์นี้ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง หญ้าแพรกอย่างไทยก็มีแต่จะแหลกราญเพียงแค่นี้

ผมสรุปเรื่องนี้ ท่านผู้ชมครับ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแลนด์บริดจ์เท่านั้น แลนด์บริดจ์จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยอย่างสูงสุด แต่คลองกระ หรือคอคอดกระนั้น จะก่อประโยชน์ให้จีนอย่างสูงสุด ประเทศไทยจะรับแต่ความพินาศฉิบหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนที่สุด

"เฉลิม" กวนโอ๊ย "ทักษิณ" ไม่ให้ตำแหน่ง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะพูดนัก แต่ความที่ผมรู้จักคนๆ นี้มานานแล้ว แล้วคนๆ นี้มีฉายาที่ทุกคนทราบดี มีชื่อว่า "เหลิมดาวเทียม"


วันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา คุณเฉลิม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีรายงานข่าวระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร พูดแบบใหญ่โตว่าตนเองเป็นคนกวนโอ๊ย ทั้งพ่อทั้งลูก เลยไม่ให้ตำแหน่ง โดยคุณเฉลิม บอกว่า นายทักษิณ เข้าใจผิด ตนไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับคุณ ตนมีความสุข พูดอะไรระมัดระวังบ้าง คุณใหญ่โตได้ในพรรคคุณ นายทักษิณ ไล่ตนเองสิ นึกถึงวันแก้คดี 80 คดีให้คุณแล้ว ตนคิดว่านายทักษิณ จะเปลี่ยนนิสัย แล้วใช้คำพูดถึงตน อย่าเอ่ยมือเอ่ยเท้า เพราะไม่สุภาพ และตนก็มีมือมีเท้าจะเอ่ยเหมือนกัน ตนจะหันหลังให้นายทักษิณตลอดชีวิต"

เฉลิม พูดต่อว่า "ที่พูดมาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต ที่ผ่านมาผมไม่ได้สนิทกับครอบครัวนายทักษิณ ผมสนิทเพียงนายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เท่านั้น แต่หลังจากนี้แล้วคงไม่ต้องพูดกันอีก มันสายเกินไปแล้ว"

ส่วนลูกชายหัวแก้วหัวแหวน นายวัน อยู่บำรุง อดีต ส.ส. เพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยเป็นเนื้อเพลงของวงไมโคร ระบุว่า "บอกมาเลย ให้รู้กันไป จะให้อยู่หรือไปก็บอกมา #บอกมาคำเดียว"


ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ? ผมรู้จัก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มานาน นานกว่าที่หลายๆ คนทราบ สมัยก่อน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ชอบแวะเวียนไปที่บ้านผม ไปกินไวน์ ไปสูบซิการ์ ไปเข้าห้องซาวน่า ตอนที่เขาได้รับตำแหน่ง เขามาถามผมว่าเขาควรจะรับตำแหน่งอะไรดี ผมบอกว่าคุณน่าจะอยู่กระทรวงยุติธรรม เพราะว่ากระทรวงยุติธรรมนั้นเป็นกระทรวงที่ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะเป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่าคุณไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเลย แล้วเขาก็เชื่อฟังคำพูดผม ไปอยู่กระทรวงยุติธรรม เขาก็ได้ไปสร้างชื่อสร้างเสียงในกระทรวงยุติธรรม จนทุกวันนี้ยังมีผู้พิพากษาอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในยุคนั้น ที่ยังไม่เกษียณ ยังจำได้ว่าคุณเฉลิม เป็นนักเลง พูดจาคำไหนคำนั้น ช่วยเหลือกระทรวงยุติธรรมในเรื่องงบประมาณอย่างมากมายมหาศาล

คุณเฉลิม อายุเท่าผม แต่สุขภาพไม่เท่าผมเลย ผมเข้าใจว่าคุณเฉลิมอาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บบางประการ วันนี้ผมจะพูดอะไรบางอย่างก็แล้วกัน


สมัยก่อนที่ผมประท้วงในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คุณเฉลิม ก็อยู่เบื้องหลังในการต่อต้านพวกผม จำได้ไหมท่านผู้ชมที่เคยประท้วงกับผมที่ตรงสะพานมัฆวานฯ แล้วมีรถตำรวจจอดอยู่อีกฟากหนึ่งของสะพานมัฆวานฯ แล้วใช้การส่งสัญญาณมารบกวนการปราศรัยของพวกเรา อันนั้นก็ฝีมือคุณเฉลิมเหมือนกัน ถ้าถามถึงวิชามารที่คุณเฉลิมมี เยอะมั้ย ? ต้องบอกว่าเป็นขั้นปรมาจารย์เลย ครอบครัวคุณเฉลิม ผมรู้จักดีทุกคน ไม่ว่าจะนายโต้ง นายหนุ่ม นายวัน อยู่บำรุง และนายชาย แต่ผมไม่ได้เจอคุณเฉลิมมาหลายสิบปีแล้ว เส้นทางทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมืองมันไม่เหมือนกัน ผมไม่เคยรับตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น และผมก็เฝ้าดูคุณเฉลิม โลดแล่นในวงการเมือง ใช้ฝีปากที่คุณเฉลิมคิดว่าคมกริบ แต่ว่าพูดกี่ครั้งก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีอะไรใหม่


คุณเฉลิมเหมาะที่จะเป็นสายบู๊ เพราะคุณเฉลิมเสียงดัง ชอบพูดอะไรดังๆ เวลาพูดอะไรก็ชอบตบโต๊ะ ขู่ขวัญคนอื่นให้กลัว ในฐานะคนที่เคยรู้จักคุณมาตั้งนมนานแล้ว ผมจะเตือนอะไรคุณอย่าง และผมจะแนะนำคุณด้วยความหวังดี ว่าจริงๆ แล้วคุณอย่าไปโกรธทักษิณ ชินวัตร เขาเลย เพราะคุณกับทักษิณ ชินวัตร เป็นมนุษย์พันธุ์เดียวกัน ไม่เคยระลึกถึงบุญคุณใครทั้งสิ้น เอาตัวเองรอด แต่คุณทักษิณ ชินวัตร เขามีภาษีเหนือกว่าคุณเยอะ เพราะเขาดันทะลึ่งไปเป็นเจ้าของพรรค ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทุกคนก็รู้ว่าคุณทักษิณ ต้องการอะไรจากพรรคเพื่อไทย ก็ย่อมได้ดังใจที่ปรารถนา


ถ้าผมเป็นคุณ คุณเฉลิม สุขภาพไม่ค่อยจะดี เดินก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว พูดจาก็ไม่ได้คล่องไหลลื่นเหมือนสมัยก่อน มีปัญหาเยอะแยะในเรื่องการเรียบเรียงความคิดของคุณ แต่ก็ยังคงเอาไว้ซึ่งคารมคมคายเหมือนเดิม ยุคนี้ คุณเฉลิมครับ หรือแม้กระทั่งนายวัน อยู่บำรุง หรือนายหนุ่ม มันไม่ใช่ยุคของคุณสองคนแล้ว เชื่อผมสิ ถอยออกมาดีกว่า เอาล่ะ ทักษิณด่าคุณว่ากวนโอ๊ย คุณก็ด่าเขากลับไปแล้ว ผมขอเถอะ ให้คุณจบเพียงแค่นี้ เพื่อเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ ที่เราเคยรู้จักกันมาก่อน คุณพักผ่อนได้แล้ว คุณเฉลิม มันไม่ใช่ยุคของคุณจริงๆ ให้ตาย


แล้วการที่คุณหนุ่ม-วัน อยู่บำรุง พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ในพื้นที่ของตัวเองที่เคยครองความเป็นใหญ่ มันก็พิสูจน์ชัดแล้ว อย่าโกรธผม ว่าประชาชนลึกๆ แล้วส่วนใหญ่เขาไม่เอาคุณ ในพื้นที่คุณเอง เขากลับไปเอาพรรคก้าวไกล

ทำไมประชาชนถึงลงคะแนนเสียงให้รัชนก ทั้งๆ ที่รัชนกเองก็เป็นคนที่มีปัญหา คุณไม่คิดในความเป็นจริงบ้างหรือว่าเขาเบื่อคุณ มันไม่ใช่ยุคของคุณที่จะมากระโดดโลดแล่นต่อไปในวิถีทางการเมือง


คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านดีกว่า ล้างไม้ล้างมือ อาบน้ำ เอาน้ำมนต์หลวงพ่อที่ไหนก็ได้เอามารดตัวสักที แล้วบอกพอแล้ว ชีวิตนี้ พอแล้ว กลับไปพักผ่อน คุณก็มีหลานหลายคนนี่ ไปเลี้ยงหลานดีกว่า ใช้ชีวิตทางบั้นปลาย ที่สำคัญทบทวนข้อผิดพลาดในชีวิตของคุณว่ามีอะไรบ้าง แล้วตั้งหน้าตั้งตาอุทิศตัวเองทำคุณงามความดี ที่เป็นคุณงามความดีที่ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ให้กับชุมชน ให้กับสังคม เลิกได้แล้วครับ อย่ามากระโดดโลดแล่นในวงการเมืองอีกต่อไปเลย เชื่อผมสิ ให้ตายสิ เชื่อผม มันหมดยุคคุณไปแล้ว หมดจริงๆ คุณเฉลิม ถ้าผมพูดแบบสไตล์คุณก็ต้องบอกว่า เฮ้ย! หมดแล้วนะ! ถอยออกมาเถอะ

อดีตมันเหมือนลมที่พัดผ่านตัวเราไป ความยิ่งใหญ่ทั้งหลายวันนี้มันเป็นเรื่องสมมุติแล้ว แล้ววันที่คุณต้องตายไปก่อน ถ้าวิญญาณคุณพูดได้ก็จะบอกว่า เฮ้ย กูนี่โง่ฉิบหาย น่าจะเชื่อไอ้ธินานแล้ว เพราะชีวิตมันมีแต่ความว่างเปล่า วันนี้ไม่มีใครจำได้ว่าคุณได้เคยทำอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง เชื่อผมสิคุณเฉลิม กลับไปทำคุณงามความดีที่แท้จริงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่คุณจะตาย

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็มีเพียงแค่นี้ หวังว่าคงจะสนุกสนานกับข้อคิดของผม แล้วการอธิบายความต่างๆ ในเรื่องราวต่างๆ ในหลายๆ มิติ อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม พรุ่งนี้ วันเสาร์ที่ 7 เวลา 7 โมงเช้า ทำบุญตักบาตรกันเพื่อทำบุญรำลึกถึงพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 โมงเช้านะครับ แล้วก็ฟังพระสวดมนต์ให้พร แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่เสียชีวิตแล้วฟังคนบางคน ทีมงาน หรือผม ขึ้นไปพูดบนเวที แล้วค่อยพบกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น