xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เปิดเอกสารลับ 86 ปีคณะราษฎร 2475 เบียดบังที่ดินในหลวง - สงครามโลกล้างอิสราเอล - เด็กไร้ปัญญา ไม่หาความรู้ - 6G จีนล้ำหน้าชาวโลก - จีนปลด 2 บิ๊ก ถ้าผิดใหญ่แค่ไหนก็โดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 27 ต.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็น

- ความลับ 86 ปี ผลสอบสวนคณะราษฎร 2475 ฮุบที่ดินทรัพย์สิน
- สงครามโลกล้างอิสราเอล
- เด็กไร้ปัญญา กล่าวหาพระราชาไม่เคยปลูกข้าวให้ประชาชน
- ซอฟต์พาวเวอร์ไทย อย่าผักชีโรยหน้า
- จีนปลดฟ้าผ่า 2 รัฐมนตรี ใหญ่แค่ไหนก็ต้องโดน
- อนาคตซูเปอร์เน็ตเวิร์ก 6G ในมือจีน

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.212



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 213 [27 ต.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน :SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube :Sondhitalk

เว็บไซต์:www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK



สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 และขอสวัสดีท่านผู้ชมที่กำลังดูรายการสดอยู่ที่ Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok วันนี้เรามีเรื่องหลายเรื่อง ที่เป็นเรื่องสั้นๆ ก็หลายเรื่อง เรื่องที่น่าสนใจยาวหน่อยก็หลายเรื่้อง รวมทั้งเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งผมจะพยายามมีให้ทุกๆ อาทิตย์ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนปัญญาและองค์ความรู้ให้กับท่านผู้ชมทราบว่า วันนี้เทคโนโลยีของจีนได้ก้าวกระโดดไกลไปถึงไหนแล้ว ด้วยข้อมูลที่หาดูที่อื่นไม่ได้เลย

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้จะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของไทย คือ "มวยไทย" ที่ได้รับการยืนยันจากเจ้าหนูอเมริกันคนหนึ่ง มาดูรายละเอียดกันก็แล้วกันนะครับ แม้กระทั่งบัวขาว บัญชาเมฆ ก็สนใจเด็กคนนี้ ก็บอกว่ามาเถอะ เดี๋ยวเขาจะสอนมวยไทยให้

เรื่องที่สอง เป็นการติดตามความคืบหน้าของสงครามระหว่างฮามาสกับอิสราเอล ซึ่งมีโอกาสมากที่จะพัฒนาไปสู่สงครามโลก ผมเอาข้อความและการสนทนาระหว่างคุณทนง ขันทอง และคุณนงวดี ถนิมมาลย์ สองกูรูทางด้านข่าวต่างประเทศในเครือข่ายของ News1 และ Sondhi App มาเล่าให้ฟัง แล้วผมจะเพิ่มเติมอะไรหลายอย่างให้

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่เขาก็งงกันเป็นแถว เพราะเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีนปลดคนระดับรัฐมนตรีติดกันถึงสองคน คนแรก คือ นายฉิน กัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อีกคนหนึ่งคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถูกปลดเช่นกัน

เรื่องที่สี่ อาทิตย์ที่แล้วผมพูดเรื่อง 5G และ 5.5G ของหัวเว่ย ที่เอามาแสดงความสามารถของ 5.5G ที่เอเชียนเกมส์ วันนี้ผมจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังของ 6G ที่กำลังพัฒนาอยู่ และอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ 5-6 ปี เราจะได้ใช้กันแล้ว และมันจะเปลี่ยนโลก ถ้าเราคิดว่า 5G เปลี่ยนโลก 6G จะไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลก แต่เปลี่ยนจักรวาลทั้งหมดเลย ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องที่เราเตรียมมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้พูด อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมกำลังจะพูดถึงเรื่อง "ความลับของ คณะราษฎร 2475" ซึ่งผมเรียกว่า "คณะโจร" ปรากฏว่าเราได้ค้นพบเอกสารลับชิ้นหนึ่งซึ่งไม่เคยมีใครมีมาก่อน และในเอกสารลับนี้ระบุชัดเจนเลย ระบุชื่อให้เสร็จเลยว่าใครบ้างที่เอาของไปแล้วจำเป็นต้องเอามาคืน บางคนไม่ยอมคืน มีชื่อให้เสร็จเรียบร้อยทั้งหมดประมาณ 14 ราย

เรื่องสุดท้าย คือเรื่องของการแสดงความคิดเห็น เนื่องจากว่ามีดรามาของเด็กสมัยหนึ่ง เมื่อปี 2563 ถือป้ายด้อยค่ารัชกาลที่ 9 กล่าวหาว่าชาวนาเป็นคนทำข้าวให้กิน แต่รัชกาลที่ 9 ไม่เคยปลูกข้าวให้ประชาชนกิน แต่เป็นชาวนา ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ค่อนข้างจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เดี๋ยวผมจะเอามาฉีกเป็นชิ้นๆ ให้ดู และลึกๆ แล้วมันมีนัยที่มีมิติที่ลึกไปกว่านั้น ก็คือว่า เราต้องมาพูดกันว่า การแสดงความเห็นนั้น ยุคนี้สมัยนี้มันสำคัญกว่าการแสวงหาความรู้ ใครๆ ก็แสดงความคิดเห็นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วแสดงความคิดเห็นโดยที่ไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านผู้ชมครับ มาเรื่องของ "พระสยามพุทธาธิราช" ผมได้เกริ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เดือนพฤศจิกายนนี้ ผมและทีมงานจะเริ่มไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ เหมือนที่ทำเป็นประจำทุกปี แล้วเงินทอดกฐินนั้นเป็นเงินที่พี่น้องชาว FC และพี่น้องทั้งหลายที่จองพระกันเข้ามานั้น เป็นเงินที่เอาไปทอดกฐินให้ทุกบาททุกสตางค์

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน วัดป่าไชยชุมพล อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน วัดบึง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน วัดป่าวังศิลา อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน วัดธรรมสถิต อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน วัดป่าดอยลับงา อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน วัดป่าพุทธนิมิตร อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร
วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน วัดป่าหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นวัดเก่าที่พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อสุธรรม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดนี้


ท่านผู้ชมที่สนใจร่วมทำบุญยังสามารถโอนเงินเข้ามาร่วมทำบุญได้ที่บัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำภู ชื่อบัญชี มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เลขบัญชี 008-2-78777-1 หรือใครสนใจทำบุญโดยผ่านการจองพระ ก็รีบจองเข้ามา ยังพอจองได้อยู่ พระพุทธรูป "พระสยามพุทธาธิราช" ให้เช่าบูชาองค์ละ 1 แสนบาท ส่วนเหรียญชุดนั้น ชุดละ 2,000 บาท สนใจ ติดต่อไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน @tambun

ท่านผู้ชมครับ แจ้งข่าวนิดหนึ่ง "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" โดยผม สนธิ ลิ้มทองกุล และ คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ พร้อมแขกรับเชิญสุดพิเศษ มีหลายคนทักเข้ามาว่าอยากไปรำลึกถึงบรรยากาศรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ยุคแรกที่แท้จริง เราเลยตัดสินใจย้าย ขอเป็นสถานที่เก่าที่เคยทำ เราก็เลยย้ายไปที่หอประชุมธรรมศาสตร์ (หอประชุมเล็ก) ซึ่งเป็นจุดแรกของการจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" นอกสถานที่เป็นครั้งแรก


ตกลงเราจะจัดวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567 เวลา 13.00 น. ราคาบัตร 2,000 กับ 1,500 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดและจองบัตรได้ที่ LINE @sondhitalk

ท่านผู้ชมครับ โอกาสสุดท้ายสำหรับท่านผู้ชมที่ต้องการภาพแผนผังสมุฏฐานวินิจฉัยจักรา ของอาจารย์ปานเทพ แผนภูมินี้อาจารย์ปานเทพทำขึ้นมาเอง พิมพ์จำนวนจำกัด อาจารย์ปานเทพเอาความรู้ทางด้านแพทย์แผนไทยในพระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยมาเรียบเรียงอยู่ในวงกลม เรียงไปตามจักรราศีของโหราศาสตร์ไทย ท่านผู้ชมที่ซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" 6 กล่อง จะได้แผนภูมิสมุฏฐานวินิจฉัยจักรา ของอาจารย์ปานเทพ คนละ 1 ชุด จะแจกถึงสิ้นเดือนนี้เท่านั้น วันนี้วันที่ 28 แล้ว เหลืออีกแค่ 2-3 วันเอง ติดต่อที่ LINE ID @sunherb


ท่านผู้ชมครับ แวะไปที่ SUN PAN เสียหน่อยแล้วกัน ที่ราบ 1 ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สัปดาห์ที่ผ่านมาผมแนะนำเมนูโอเลี้ยงสูตรบดน้ำแข็งที่ทำจากโอเลี้ยงให้เป็นเกล็ดน้ำแข็ง เติมน้ำโอเลี้ยงลงไป ปรากฏว่ามีคนเข้าไปถามหาซื้อที่ร้านกันเยอะเลย ตอนนี้ SUN PAN ก็เลยพัฒนาเมนูต่างๆ เพิ่มออกมาอีกหลายเมนู ทั้งเบเกอร์รี่ เครื่องดื่ม ใครสนใจลองแวะไปดูที่ร้านได้นะครับ


โซเชียลเทใจโหวต "เจ้าหนูมะกัน" ฝึกมวยที่ไทย

ท่านผู้ชมครับ กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ทันทีเมื่อเด็กชายชาวอเมริกากำลังเรียนอยู่เกรด 7 หรือเทียบกับมัธยมต้นของเมืองไทย ชื่อ นายรีด แฮร์ริงตัน อยากลดน้ำหนัก และมักจะเปิดประเด็นให้ผู้ติดตามอินสตาแกรมของเขาเสนอแนวทางมาได้เลย และเขาจะทำตามทุกอย่าง


28 กันยายน ที่ผ่านมา เจ้าหนูรีด แฮร์ริงตัน ใช้ชื่อบัญชีว่า @reed_harrington23 โพสต์คลิปวิดีโอระบุว่า ถ้ายอดฟอลโลว์ของผมถึง 2 แสน ผมจะทำตามคอมเมนต์ที่มียอดไลก์มากที่สุด ซึ่งในเวลาอันรวดเร็วมีคนแห่กดติดตามกันเพียบ ทะลุ 3 แสนคน มีผู้ใช้บัญชีชื่อ fiven9nekid คอมเมนต์ว่า "นายจงบินไปเมืองเล็กๆ ในประเทศไทย จากนั้นทำให้ผู้คนยอมรับนายซะ เรียนภาษาไทย ฝึกฝนมวยไทยเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง และลงแข่งทัวร์นาเมนต์ก่อนหยิบแชมป์ จากนั้นค่อยกลับมาบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วม UFC (คือมวยทุกประเภทที่เอามารวมอยู่ในการชก ไม่ว่าจะเป็นเข่า ศอก) จงสร้างสถิติไร้พ่ายในรุ่นพิกัดของคุณ จากนั้นก็เลิกมันซะ ให้สัมภาษณ์ว่าทั้งหมดคือเหตุผลที่นายต่อสู้มาอย่างหนัก


ปรากฏว่าคอมเมนต์นี้มีคนกดไลก์ถึง 2.7 ล้านคน ถือเป็นสถิติการกดถูกใจความเห็นมากที่สุดนับตั้งแต่ที่อินสตาแกรมเคยมีมา

นอกจากนี้ คลิปดังกล่าวยังมีผู้เข้าไปชมแล้วกว่า 31 ล้านครั้ง ทำให้หลายฝ่ายให้ความสนใจอย่างมาก รวมทั้งตัวนายรีด แฮร์ริงตัน ก็พร้อมจะเดินทางมาประเทศไทยตามที่รับปากไว้ จะทำตามคอมเมนต์ที่มีคนกดไลก์มากที่สุด งานนี้พอเป็นกระแสขึ้นมา ก็มีคนเข้ามาสนใจเด็กคนนี้กันเยอะเลย


นอกจากนี้ บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยไทยที่มีแฟนคลับทั่วโลก ก็ออกมาตอบรับทันทีว่า ให้เจ้าหนูเดินทางมาฝึกที่ค่ายมวยบัญชาเมฆ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทันที พร้อมรับปากว่าจะดูแลเป็นอย่างดี

บัวขาว บอกว่า "สวัสดี ผมบัวขาวนะ ผมและกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไทยคุยกันแล้วว่าเรายินดีต้อนรับคุณและจะดูแลคุณอย่างดี หากคุณมาที่นี่ รายละเอียดทั้งหมดผมจะทักใน Direct Message เข้าไป"


ขณะที่มีนักแสดงตลกคนอเมริกาคนหนึ่ง ชื่อ Kushpapi ชาวอเมริกัน และนักดนตรีโลกโซเชียล ได้โพสต์ข้อความบอกเจ้าหนูรายดังกล่าวว่า ฉันจะจ่ายค่าตั๋วไปประเทศไทยให้นายเอง

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของซอฟต์พาวเวอร์


อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่น่าสนใจมาก สาวจีนปั่นจักรยาน 4,000 กิโลเมตร มาขอเรียนมวยไทยกับบัวขาว ไม่ใช่แค่ชาวตะวันตก ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ใน Weibo โลกออนไลน์ของจีน ได้เผยแพร่เรื่องราวของสาวจีน ชื่อ หลี่ เจิน เชียง จากเมืองเหมียนหยาง ในมณฑลเสฉวน ขอขี่จักรยานเป็นระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร เพื่อมาฝึกซ้อมมวยไทยที่เมืองไทยกับบัวขาว บัญชาเมฆ


เฟซบุ๊กของบัวขาวได้ลงเผยแพร่เรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2566

ท่านผู้ชมครับ ผมเอาสองเรื่องนี้มาพูดให้ฟัง ผมต้องการสะท้อนให้เห็นถึงซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักประเทศไทยและกีฬามวยไทยเพิ่มมากขึ้น และนี่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยในสายตานานาชาติ ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์มานานมากแล้ว ล่าสุดเพิ่งพูดถึงเรื่องมวยไทยว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ล้ำค่าของประเทศ ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 208 หัวข้อ "จุดเปลี่ยนมวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ล้ำค่า สู่ตลาดโลก" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566

ท่านผู้ชมคิดเหมือนผมไหมว่า ของอะไรถ้ามันดีจริง มันจะโด่งดังด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปยัดเยียด บังคับ เพียงแต่ภาครัฐต้องสนับสนุนให้ถูกจุด สนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ทำแบบผักชีโรยหน้าเพื่อสร้างเป็นผลงาน

ในการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์เหล่านี้ให้แข็งแกร่งมากขึ้น ไม่ใช่สนับสนุนแบบสะเปะสะปะ ยกตัวอย่าง ในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เสนอว่าซอฟต์พาวเวอร์ของไทยควรจะเพิ่มในหมวดของการสร้างนักกีฬาที่เป็นสัตว์เลี้ยง อย่างเช่น การแข่งขันนกพิราบ เพราะจะเป็นการดึงนักท่องเที่ยวได้ คนจะเอาไปเป็นประเด็นตลกโปกฮากันทั้งโซเชียล


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้บอกว่าไอเดียคุณสมศักดิ์นั้นโหลยโท่ย หรือเป็นไอเดียที่ใช้ไม่ได้นะครับ แต่เมืองไทยเรามีซอฟต์พาวเวอร์ด้านอื่นๆ ที่ทรงพลัง ควรผลักดัน สนับสนุน ไม่เฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเพิ่มเติม อาหารไทย สมุนไพรไทย แพทย์แผนไทย นวดแผนไทย เชื่อมโยงไปกับศิลปวัฒนธรรมอีกหลากหลายอย่าง ยกตัวอย่างง่ายๆ อาหารไทย อย่างเช่นทุกวันนี้มีสาเหตุมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบ้านเรา ด้านหนึ่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้อิทธิพลจากจีน อีกด้านหนึ่ง ทางตะวันตกของเราคืออินเดีย คือติดมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอันดามัน เพราะฉะนั้นแล้ว อาหารไทยหลักๆ จึงเป็นส่วนผสมผสานระหว่างจีนกับอินเดียแล้ว ในยุคสองสามาร้อยปีหลังมีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นโปรตุเกส ยุโรป หรืออะไรก็แล้วแต่

ท่านผู้ชมครับ การผสมผสาน หลอมรวม หรือฟิวชั่น คนไทยหรือต่างชาติที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย ก็มีการตัดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ของท้องถิ่นออกไป และเสริมสิ่งที่พึงประสงค์เข้ามาแทน เช่น แกงกะหรี่ไทย ก็ทำอย่างอ่อน ไม่ได้ทำอย่างแขกอินเดียที่เข้มข้น หรือแม้แต่อาหารจีนในประเทศไทยก็มีส่วนผสมระหว่างอาหารจีนกับอินเดีย กลายเป็นเอกลักษณ์อาหารจีนแบบไทยไป กลายเป็นการบูรณาการทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ เป็นเอกลักษณ์อาหารไทยไปในที่สุด

ท่านผู้ชมครับ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเหล่านี้เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งจริงๆ เป็นของดีที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษและสั่งสมมาอย่างยาวนาน ผ่านการแลกเปลี่ยน ผสมผสาน หลอมรวมทางวัฒนธรรมมาเป็นนับร้อยๆ ปี

ผมได้คุยกับทีมงานและอาจารย์ปานเทพแล้วว่าจะเรียบเรียงเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน ว่าการจะส่งเสริมหรือการจะสนับสนุนให้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยกลายเป็นจักรกลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนนั้น ควรจะทำอย่างไร ท่านผู้ชมครับ ผมจะรวบรวม เรียบเรียง นำเสนอในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในเร็วๆ นี้

สงครามโลกล้างอิสราเอล

ท่านผู้ชมครับ ความสูญเสียในสงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ผ่านมา 21 วัน บนพื้นที่กาซา ที่เล็กมาก แค่ 365 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าอัฟกานิสถานถึง 1,800 เท่า


การยิงถล่มทางอากาศและปฏิบัติการล้างแค้นที่เกินขอบเขต เกินกว่าเหตุของอิสราเอล ส่งผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์ได้ก่อกระแสการต่อต้านลุกลามไปทั่วโลก แม้ว่าในประเทศไทยข่าวคราวเรื่องสงครามจะเริ่มสร่างซาบ้าง เพราะสื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่จะเล่นข่าวไปตามกระแสชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น มิหนำซ้ำอาจจะลุกลามไปสู่สถานการณ์สงครามครั้งใหญ่ที่กลายเป็นวิกฤตของภูมิภาค รวมทั้งอาจจะลุกลามใหญ่กลายเป็นสงครามโลกไปได้ง่ายๆ เช่นกัน

ในประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น มาเลเซีย ชาวมุสลิมมารวมตัวใหญ่ประท้วงอิสราเอล และสนับสนุนปาเลสไตน์ แม้กระทั่งนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยังต้องเข้าร่วมด้วย


สถานการณ์สงครามในเวลานี้เป็นอย่างไร ? เมื่อไร ? แล้วอิสราเอลจะยกกำลังเข้าพื้นที่ฉนวนกาซา เข้าไปกวาดล้างกลุ่มฮามาสตามที่ขู่เอาไว้ตลอดเวลา

ผมพูดง่ายๆ อย่างนี้ดีกว่าท่านผู้ชม ถ้าไม่นับการโจมตีทางอากาศแบบปูพรมของอิสราเอล ซึ่งเป็นการกระทำฝ่ายเดียวที่โหดเหี้ยมแล้ว ถ้าเปรียบเทียบการต่อยมวยและสถานการณ์ขณะนี้ เหมือนต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันอยู่ โดยข้อมูลเชิงลึก อิสราเอลได้พยายามลองเชิงด้วยการส่งหน่วยรบพิเศษบุกเข้าไปแล้ว แต่ล้มเหลวในการจัดการกับกลุ่มฮามาสซึ่งขุดอุโมงค์เอาไว้เป็นเครือข่ายใยแมงมุม

หน่วยรบพิเศษของอิสราเอลเคยบุกกาซา แต่คว้าน้ำเหลว ล่าสุดทหารอิสราเอลหน่วยรบพิเศษกลุ่มหนึ่งอยากลองของ เคลื่อนตัวบุกผ่านชายแดนเข้าไปในวงล้อมของเขตกาซา บางส่วนถูกสังหาร ที่เหลือถูกนักรบฮามาสกักตัวไว้ 222 นาย ขังไว้ในคุกที่คุมขังใต้ดิน


จากนั้นนักรบฮามาสก็โผล่ออกมาจากฐานทัพใต้ดิน ยิงจรวดใส่เมืองมัฟไคน์ อัชเคลอน และ Beersheba ทางภาคใต้ของอิสราเอล เกิดระเบิดขึ้นหลายครั้ง ยังปล่อยโดรนพลีชีพ 2 ลำ ใส่ฐานทัพของอิสราเอล กองทัพอิสราเอลทำอะไรไม่ได้ก็เลยทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาล เด็ก ผู้หญิง ทำลายระบบสาธารณสุขของปาเลสไตน์ นอกจากนี้ ยังพยายามที่จะใช้อาวุธโจมตีใส่ด่านราฟาห์ ซึ่งอยู่ติดพรมแดนอียิปต์ เป็นด่านที่เปิดเพื่อให้มีการส่งขบวนรถขนส่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปช่วยของสหประชาชาติ และกาชาดสากล ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไป 20 ราย จากนั้นไม่นาน ขบวนช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมก็ฝ่าวงล้อมระเบิดอิสราเอลเข้าไปในกาซาอีกเรื่อยๆ

ส่วนภาคกลางของรัฐปาเลสไตน์ เขตเวสต์แบงก์ที่อิสราเอลยึดเป็นอาณานิคม ก็มีการปะทะกันด้วยอาวุธปืนและระเบิดในเมืองเบธเลเฮม เจลิโก เฮบรอน รามัลเลาะห์ และตุลคาม

กองทัพเยอรมนีส่งหน่วยรบพิเศษ GSG9 ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการปลดปล่อยตัวประกัน เดินทางไปไซปรัส หวังบุกเขตกาซา แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้

นอกจากนั้นแล้ว กองทัพฮามาสยังเผยแพร่คลิปภาพอาวุธของฝ่ายพันธมิตรนาโต เช่น เครื่องยิงระเบิด M136, M141 ของสหรัรฐฯ ระบบต่อต้านรถถัง NLAW ของอังกฤษ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าล็อตผลิตอาวุธเทพทั้งหมดนี้ จริงๆ แล้วมันถูกส่งไปให้ยูเครนใช้ จากนั้นถูกขโมยออกมาขายในตลาดมืด เลยกลายเป็นคลังแสงมหึมาของฮามาส กองทัพอิสราเอลอ่อนใจมาก จะบุกเข้าไปก็กลัวถูกสวนด้วยคลังแสงอาวุธดีๆ ของนาโต ก็เลยเกิดไอเดียบรรเจิด ทิ้งใบปลิวลงในกาซาเพื่อวิงวอนขอร้องให้ชาวปาเลสไตน์เป็นสายลับให้หน่อย ให้ข้อมูลสถานที่ของเชลยที่ถูกจับ แลกกับการไม่ทิ้งระเบิดใส่พลเรือน เด็ก ผู้หญิง และให้เงินรางวัล

ผมวิเคราะห์อย่างนี้ครับ อิสราเอลจะไม่ทุ่มกำลังทัพไปทางเหนือสู้กับกองทัพฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน เพราะว่ายิ่งสู้ ยิ่งบอบช้ำทางสงคราม ทางเศรษฐกิจ เป็นศึกที่ไม่มีวันจะเอาชนะได้ เพราะว่าอิหร่านจะคอยเติมอาวุธที่ขาดไปให้ตลอดเวลาอีกนานแสนนาน


ท่านผู้ชมครับ เรามาพูดถึงเรื่องแรงงานไทยนิดหนึ่ง นายทุนยิวใช้เงินล่อแรงงานไทยให้อยู่พื้นที่อันตราย ไม่ให้กลับบ้าน

วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 กระทรวงการต่างประเทศของไทยแจ้งสถานะคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในอิสราเอล มีเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน รวมคนไทยเสียชีวิตเพิ่มในการขัดแย้งครั้งนี้ 31 คน บาดเจ็บ 18 แล้วยังถูกควบคุมตัวโดยฮามาสอีก 19 คน แต่ที่น่าตกใจคือข่าวที่นายทุนอิสราเอลพยายามดึงแรงงานไทยให้อยู่ทำงานต่อในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยอ้างว่า เลื่อนการจ่ายเงินไปเป็นเดือนพฤศจิกายน หรือจะเพิ่มค่าจ้างให้หากอยู่ต่อ ก็เลยทำให้แรงงานไทยที่จำเป็น อยากได้เงิน ตัดสินใจอยู่ต่อโดยไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง

จากการใช้เงินล่อแรงงานไทยของนายจ้างยิว ทำให้จำนวนผู้ขอเดินทางกลับมาไม่แสดงตัวที่สนามบิน ทั้งๆ ที่ลงชื่อไปแล้ว คนที่ลงชื่อไปแล้วแต่ไม่เดินทางกลับมา มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์


ผมได้ข้อมูลว่าทางการไทยนั้นทุ่มงบประมาณในการพาคนไทยกลับเต็มที่ ถึงขั้นจองโรงแรมให้แรงงานเป็นที่พักพิงก่อนกลับ 7 แห่ง เครื่องบินที่นำกลับตอนนี้ก็เหลือพอแล้ว การที่นายทุนอิสราเอลใช้เงินมาล่อ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง บ่งชี้ให้เห็นว่านี่คือธาตุแท้ของคนอิสราเอลที่ต้องการเอาคนไทยเป็นเหยื่อสงคราม ใช่หรือเปล่า

มีคนชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของเหตุการณ์ 9/11 ที่เครื่องบินโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อ 22 ปีที่แล้ว ได้เปลี่ยนแปลงโลกและส่งผลกระทบต่อความเสื่อมสลายของดุลอำนาจอเมริกา ณ วันนี้ ฉันใด เหตุการณ์ 11 กันยายน ของชาวอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา และสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่เกิดขึ้น ก็จะส่งผลต่อโลกไปอีกนับสิบๆ ปีเช่นเดียวกัน


เรามาดูความเห็นของนาย Fyodor Lukyanov บรรณาธิการนักข่าวผู้เชี่ยวชาญเรื่องต่างประเทศชาวรัสเซีย เขาวิเคราะห์ว่า การลุกขึ้นของกลุ่มฮามาสเข้าจู่โจมอิสราเอลซึ่งเหนือกว่าทุกๆ ด้าน ไม่ว่าด้านอาวุธ กำลังทหาร การเงิน ถึงขั้นว่าอิสราเอลนั้นเป็นมหาอำนาจทางการทหารของภูมิภาค ยังไม่ต้องคำนึงถึงผู้สนับสนุนเบื้องหลังอิสราเอล คือมหาอำนาจของโลก อย่างเช่นอเมริกา นาย Fyodor Lukyanov ระบุว่า นี่คือการฆ่าตัวตายของกลุ่มฮามาส แต่เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ก็สะท้อนให้เห็นว่าการดำรงอยู่ของมหาอำนาจในภูมิภาคอิสราเอล หรือมหาอำนาจทางโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถจะหยุดยั้งการเติบโตของเจตจำนงเสรี หรือ Free will ของกลุ่มหรือรัฐอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือรัฐที่มีขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็กขนาดฮามาส


นาย Fyodor Lukyanov พูดทิ้งประเด็นน่าสนใจว่า ช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่าการสั่นคลอนของอเมริกาไม่เพียงเกิดขึ้นเฉพาะเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 แต่เป็นผลกระทบระยะยาวจากนโยบายและการตอบโต้ของอเมริกา ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน อันนำมาสู่ความถดถอยและเสื่อมทรุดของจักรวรรดินิยมอเมริกา

และเช่นกัน เหตุการณ์ 9/11 ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา จะนำมาสู่ความโหดร้ายของความสิ้นสุดของยุคสมัยของการเป็นเจ้าโลกของมหาอำนาจอย่างอเมริกาเช่นกัน

ในสงครามนั้นไม่มีความเป็นกลาง มีแต่การเลือกข้าง ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าประชาชนในหลากหลายประเทศทั่วโลกได้เลือกข้างแล้ว คือ ไม่เอาอิสราเอล การประท้วงในประเทศต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณเตือนว่าภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การลุกฮือของกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อสนับสนุนอิสรภาพของชาวปาเลสไตน์ จากการกดขี่ แย่งชิงดินแดนของอิสราเอลที่สนับสนุนโดยอเมริกาและชนชาติผิวขาวในกลุ่มอียู สะท้อนถึงความเป็นอิสระของหน่วยต่างๆ ในประเทศต่างๆ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ต้องกลัวใคร เพราะนักเลงโตอเมริกาคุมใครไม่ได้อีกแล้ว (ดูภาพต่างๆ เหล่านี้แล้วกันนะครับ)


ประท้วงอิสราเอลที่กรุงเม็กซิโก ซิตี โบกธงประท้วงที่เมืองมิลาน อิตาลี ถือป้ายประท้วงว่า แผ่นดินที่คุณต้องฆ่าเพื่อให้ได้มานั้นมันไม่ใช่แผ่นดินของคุณ แต่แผ่นดินที่คุณพร้อมจะตายเพื่อมัน นั่นล่ะถึงจะใช่ ประท้วงที่กรุงลอนดอน มีผู้เข้าร่วมประท้วงเกือบสองแสนคน บูคาเรสต์ โรมาเนีย ก็มีประท้วงเช่นกัน บอกว่า ปลดปล่อยปาเลสไตน์


ชาวมุสลิมในเคนยาถือป้าย โบกธงปาเลสไตน์ ร้องเพลงสโลแกน เดินขบวนเพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์ กรุงบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถาน เมื่อเร็วๆ นี้


อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องชี้ให้เห็นคือ อเมริกาพยายามเป็นตัวเชื่อมให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอิสราเอล แต่สถานการณ์ ณ วันนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสนธิสัญญาดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ส่วนพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดในปากีสถานพร้อมจะร่วมรบกับฮามาส ขอให้ประเทศในอาหรับเปิดทางให้กองทัพปากีสถานเข้าร่วม นอกจากนี้ มีข่าวลือว่อนไปทั่วว่ารัฐบาลกาตาร์ซึ่งสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ เปรยๆ กับกลุ่มประเทศอียูว่าถ้าชาติใดในอียูสนับสนุนอิสราเอล กาตาร์จะดำเนินการระงับการส่งก๊าซ โดยหลังจากสงครามในยูเครนได้เกิดการแซงก์ชันรัสเซีย ยุโรปหันมาพึ่งพาก๊าซจากกาตาร์และอเมริกา เพื่อชดเชยการขาดแคลนก๊าซจากรัสเซีย

สงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งที่ทำให้โลกต้องเปลี่ยนขั้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2566 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า ปัจจุบันอิสราเอลไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิดกัน สาเหตุที่อิสราเอลชะลอการบุกฉนวนกาซาออกไป เพราะกลัวจะเกิดสงครามที่ขยายวงกว้าง หรือสงครามใหญ่ เพราะถ้าอิสราเอลเข้ากาซา มีโอกาสสูงมากที่อิหร่าน หรือกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือแม้กระทั่งประเทศอย่างตุรกี จะเข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัว


ท่านผู้ชมครับ ปฏิบัติการของฮามาสใช้วิธีระดมยิงจรวด 5,000 ลูก ภายใน 20 นาที เข้าไปในอิสราเอล จนสามารถเจาะทะลุระบบป้องกันขีปนาวุธ โดมเหล็ก หรือที่เรียกว่า ไอออนโดม (Iron Dome) ที่อิสราเอลภูมิอกภูมิใจนักหนา พิสูจน์ให้เห็นว่าระบบนี้ไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างที่คุยโวเอาไว้ และน่าจะถูกทดสอบในวันนี้ แม้ว่าอเมริกาจะพยายามนำจรวดและระบบเข้ามาเติมเต็มช่องว่างแล้วก็ตาม ประเด็นที่ทั้งอิสราเอลและอเมริกากำลังกลัว คือการกระโดดเข้ามาร่วมสงครามนี้อย่างเต็มตัวของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่้งกลุ่มนี้มีกำลังแข็งแกร่งกว่าฮามาสหลายสิบหรือเป็นร้อยเท่า ว่ากันว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์มีจรวดอยู่ในคลังแสงกว่า 150,000 ลูก เพราะฉะนั้นสงครามครั้งนี้ กับสงคราม 6 วัน หรือสงครามอาหรับ-อิสราเอล เมื่อวันที่ 5-10 มิถุนายน 2510 หรือเมื่อ 56 ปีที่แล้ว เป็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน ซีเรีย และอียิปต์นั้น มีบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะอิสราเอลไม่ได้มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าชาติอาหรับต่อไปอีกแล้วในวันนี้


นอกจากนี้ นักรบชาติอาหรับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮามาสในกาซา ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ก็ได้รับแรงหนุนจากโลกอาหรับอย่างมาก ทั้งอิหร่าน และเลบานอน อาวุธของอิสราเอลไม่ได้มีมากมายเหมือนอย่างที่คิดกันไว้ ในตะวันออกกลางนั้น อเมริกา ผมเคยพูดไปแล้ว ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ อาทิตย์ที่แล้ว อเมริกาเก็บอิสราเอลไว้เป็นตัวป่วนในตะวันออกกลาง ด้วยการส่งงบประมาณ ส่งอาวุธ ส่งกองหนุนเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง และนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ อเมริกาถึงส่งเข้าไปสนับสนุนอิสราเอล คือ ยูเอสเอส ดไวท์ดี ไอเซนอาวร์ และ ยูเอสเอส เจอราลด์ ฟอร์ด เพื่อกันไม่ให้อิสราเอลถูกรุมกินโต๊ะจากชาติอาหรับ


อย่างไรก็ตาม นายฮุซัยน์ อะมีร อับดุลลอฮิยอน รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้กล่าวเตือนผ่านสำนักข่าวอัลจาซีรอ ส่งสารถึงอิสราเอลว่า ถ้าพวกเขาไม่หยุดการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนในกาซา อิหร่านอาจจะไม่ยืนดูเฉยๆ เขาบอกว่า ถ้าขอบเขตสงครามขยายวงกว้าง ความเสียหายอย่างหนักหน่วงก็จะเกิดขึ้นกับอเมริกาด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าอเมริกาพยายามที่จะใช้เหตุนี้เพื่อทำลายอิหร่าน แต่ดูเหมือนว่าอิหร่านก็รู้ว่าตัวเองเป็นเป้า 

นายฮุซัยน์ อะมีร อับดุลลอฮิยอน
เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่าใน 10-20 ปีที่ผ่านมา อิหร่านไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเตรียมตัวที่จะรบกับอเมริกา ฉะนั้นถือได้ว่าการจะเคี้ยวอิหร่านได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่นายเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้คุยโวว่าจะทำลายอิหร่านให้หมดไปจากแผนที่โลกนี้มันไม่ใช่ง่ายเหมือนอย่างที่คุย เพราะลำพังแค่ฉนวนกาซา ตัวเองยังไม่กล้าที่จะเข้าไปเลย

นายเนทันยาฮู
ท่านผู้ชมครับ ผมจะพูดถึงเรื่องควันหลงของสงครามนี้ ถ้าท่านผู้ชมได้ดูรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในตอนที่ 129 ปีที่แล้ว ศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ผมตั้งชื่อเรื่องว่า "จุดสิ้นสุดเปโตรดอลลาร์" ในรายการผมได้พูดเตือนถึงเปโตรดอลลาร์กำลังจะล่มสลายว่า อเมริกาอาจจะแก้เกมด้วยการก่อสงคราม ด้วยเหตุผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือเศรษฐกิจยามสงคราม ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า War Economy เนื่องจากอเมริกาต้องการได้ประโยชน์ยิ่งกว่าเดิม ความหมายคือ เมื่อโลกแบ่งข้างชัดเจน การซื้อน้ำมันปิโตรเลียม/ก๊าซ จากตะวันออกกลางจะยากขึ้น อเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่เช่นกัน ก็จะสามารถขายสินค้าพลังงานได้ในราคาที่สูงกว่าเดิม

ท่านผู้ชมครับ ล่าสุดแม้แต่กองทัพปลดแอกประชาชนจีนยังต้องส่งเรือรบ 6 ลำ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ลำ ประกอบด้วย เรือพิฆาต เรือฟรีเกต 1 ลำ และเรือเสบียง 1 ลำ เข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อคุ้มครองเรือขนส่งน้ำมันและเรือสินค้าจีนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากสงคราม


กลุ่มแรก คือเรือจื่อโป๋ว เป็นเรือพิฆาตติดขีปนาวุธวิถี Type 052D เรือฟรีเกตจิงโจว และเรือเสบียงบูรณาการ เซียนเต่าหวู กลุ่มที่สอง ถูกส่งมาเสริม มาจากกองบัญชาการ Northern Thearte ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ประกอบด้วย เรือพิฆาตอุรุมฉี เรือฟรีเกตหลินอี๋ และเรือเสบียงตงผินหู แต่เรือพวกนี้ไม่ได้เข้าใกล้พื้นที่ขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพียงแต่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวอ่าวเปอร์เซีย คูเวต และโอมาน

ที่วงไว้ในแผนที่ สี่เหลี่ยมคือพื้นที่ขัดแย้งอิสราเอล ปาเลสไตน์คือวงกลมสองจุด คือจุดที่กองเรือจีนเข้าประจำการ


ท่านผู้ชมครับ สงครามวันนี้ไม่เหมือนสงคราม 6 วันแล้ว เรื่องของเทคโนโลยี ยุทโธปกรณ์ และพันธมิตรที่สนับสนุนฮามาส ปัจจัยที่เป็นตัวชี้ขาดคือเทคโนโลยีสมัยก่อนใครกล้าใหญ่คนนั้นชนะ แต่ตอนนี้ทุกคนมีกล้ามกันหมดแล้ว หัวเว่ยเพียงบริษัทเดียวยังสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะเทคโนโลยีคือการยึดประเทศโดยไม่ใช้อาวุธ เมื่อระเบียบโลกเก่าถูก disrupt ตอนนี้อเมริกากำลังสูญเสียรายได้มหาศาล ทั้งเรื่องดอลลาร์ พลังงาน น้ำมัน อาวุธ อเมริกาถึงอยากให้เกิดสงครามตะวันออกกลาง เพราะจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องดอลลาร์ พลังงาน น้ำมัน อาวุธ ได้ทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาอเมริกาทำแบบนี้

เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ ในสถานการณ์สงครามจะลงทุนอะไรดี ? เรามาดูย้อนตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ราคาทองคำแท่งในประเทศชนิด 96.5 เปอร์เซ็นต์ ได้ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ราคาทองต่ำสุดเดือนมกราคม 2566 อยู่ที่ 29,650 บาท ก่อนจะค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ กลายเป็นในที่สุดเป็น 31,000-32,000 บาท


จนปัจจุบันเดือนตุลาคม ราคาทองคำสูงสุดอยู่ที่ 34,250 บาทต่อ 1 บาท โดยเฉพาะช่วงนับตั้งแต่กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอล ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้ว 6 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมหลายท่านชอบถามว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจผันผวนนี้ หุ้นบางวันก็ตกไปถึงต่ำกว่า 1,400 จุด ค่าเงินบาทผันผวน ควรจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี ? ผมบอกอย่างนี้ดีกว่าครับ แม้ราคาทองจะพุ่งขึ้นแรงมาก ตอนนี้ลดลงมาหน่อยแล้ว แต่ผมยังยืนยันให้ท่านผู้ชมซื้อทองคำเก็บ ถือยาวๆ แต่ผมไม่สนับสนุนการลงทุนซื้อทองคำในลักษณะที่เป็นแผ่นกระดาษ หมายความว่า ถ้าจะซื้อทอง ให้ซื้อทองคำที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ เป็นทองแท่ง ทองรูปพรรณไปเลย แต่ท่านต้องมีที่เก็บที่ปลอดภัยนะครับ

ส่วนพวกกองทุนหุ้น กองทุนทองคำ หลีกเลี่ยงได้ หลีกเลี่ยงไปเลย เพราะมีความเสี่ยงสูง และไม่ได้ถือครองจริง ถ้ามีสงครามแล้วมันเจ๊ง ทองคำกระดาษที่ถือก็เจ๊งตามไปด้วย มันก็คือหุ้นประเภทหนึ่ง

ระหว่างที่ถือทองคำนี้ จะต้องมีขึ้นมีลงบ้าง อย่าไปสนใจ เชื่อผมสิครับ สถานการณ์โลก และความเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจนั้น จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จะมีความขัดแย้งไปเรื่อยๆ และจะผลักดันให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นกว่านี้อีก ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดมานานแล้ว ถ้าท่านผู้ชมจำได้ เป็นสิบๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ผมทำรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ผมบอกให้ซื้อทองคำเอาไว้ วันนี้จีนเทขายพันธบัตรอเมริกา หลายประเทศเทขายพันธบัตรอเมริกา แล้วหันไปซื้อทองคำ


ท่านผู้ชม ผมจะพูดเรื่องอะไรบางอย่าง ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ แล้วคิดตามผมว่ามหัศจรรย์ไหม ? ท่านผู้ชมจำหลวงตามหาบัวได้ไหม ที่ท่านดำเนินการระดมทองคำเพื่อช่วยชาติ ท่านเป็นคนพูด ท่านเทศน์เลยว่าให้ถือทองคำเอาไว้ ทองคำดีที่สุด ตอนแรกท่านให้ระดมทั้งดอลลาร์และทองคำ แต่ตอนหลังท่านบอกให้ซื้อทองคำ เอาทองมาบริจาค ผมเชื่อในพ่อแม่ครูอาจารย์ของผม พระอรหันต์จะมีฌานพิเศษ ที่ท่านดูรู้เลยว่าในอนาคตนั้นสิ่งที่คนควรจะถือเป็นสมบัตินั้นคือทองคำ ท่านถึงเกิดกระบวนการระดมทองคำเพื่อช่วยชาติ หลวงตามหาบัว พระอรหันต์ พูดไม่ผิดหรอกครับ วันนี้ก็พิสูจน์ชัดเจนแล้ว ชัดยิ่งกว่าชัด ท่านผู้ชมถือไปเถอะครับ ทองคำ สงครามยังมีต่อไป ไม่หยุดเพียงแค่นี้ วันนี้ยูเครนแพ้แล้ว นาโตแพ้แล้ว อเมริกาและอิสราเอลกำลังจะแพ้ในตะวันออกกลาง เพราะฉะนั้นแล้ว ประเทศอย่างอเมริกาจะต้องใช้บทบาทในการสร้างสงครามให้ใหญ่กว่านี้อีก เพื่อจะปรับโลกทั้งโลกใหม่หมด แล้วอเมริกาจะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม

จีนปลดฟ้าผ่า 2 รัฐมนตรี

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา 24 ตุลาคม พ.ศ. 2566 มีการประชุมคณะกรรมาธิการประจำสภาผู้แทนประชาชนจีน ที่ประชุมมีมติปลดผู้นำชั้นสูง คือ หนึ่ง ปลด พล.อ.หลี่ ช่างฝู ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตำแหน่งมนตรีแห่งรัฐ สอง ปลดนายฉิน กัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกจากตำแหน่งมนตรีแห่งรัฐ


อนึ่ง พล.อ.หลี่ ช่างฝู เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีน และถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยบรรดานักการทูตและผู้สังเกตการณ์ เพราะ พล.อ.หลี่ มีตำแหน่งเป็น 1 ใน 5 มนตรีแห่งรัฐ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า State Counsellor เช่นเดียวกับนายฉิน กัง โดยตำแหน่งมนตรีแห่งรัฐ ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สูงกว่ารัฐมนตรีทั่วไป

พล.อ.หลี่ ช่างฝู เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในเดือนมีนาคม 2566 ทว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2566 เขาหายหน้าไปจากสื่อและสาธารณชน ซ้ำยังไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันชาติจีนที่จัดขึ้นในวันที่ 28 กันยายน ขณะเดียวกัน มีข่าวลือว่า พล.อ.หลี่ ช่างฝู อาจจะมีการเอี่ยวในเรื่องคดีคอร์รัปชันของกองทัพ


เมื่อสองเดือนที่แล้ว พล.อ.หลี่ ช่างฝู หายตัวไปหลังจากจีนเพิ่งสั่งปลดนายฉิน กัง ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และยังมีการเปลี่ยนผู้นำระดับสูง 2 นาย ของกองกำลังจรวด ก็คือคนที่ดูแลควบคุมจรวดขีปนาวุธของจีน และควบคุมการปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยปลดนายพล หลี่ ยู่เชา และนายพลสี จงโปว แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ออก ให้นายพลหวังโฮ่วปิน และนายพลสีว์ซีเซิ่ง ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน พล.อ.หลี่

พล.อ.หลี่ ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมด้านความมั่นคงกับกลุ่มประเทศแอฟริกาที่กรุงปักกิ่ง ก่อนหน้านั้นถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจที่รัสเซีย และเบลารุส

สำหรับ พล.อ.หลี่ ช่างฝู ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำตั้งแต่ปี 2561 อ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้ออาวุธจาก Rosoboron Export ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย

เจ้าหน้าที่จีนเคยออกมาย้ำหลายครั้งว่า ต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกคว่ำบาตร พล.อ.หลี่ เพื่อขจัดอุปสรรคในการเจรจาพูดคุยกันระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย


ขณะที่ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยพยายามขอพูดกับ พล.อ.หลี่ ระหว่างที่ทั้งสองมีการประชุมร่วมกันด้านความมั่นคงที่สิงคโปร์ ในเดือนมิถุนายน 2566 แต่สุดท้ายก็ได้แค่จับมือกันเท่านั้นเอง

เรามาดูประวัติของนายพลหลี่ ช่างฝู เกิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2501 อายุ 65 ปี เกิดที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน เป็นเมืองที่สวยงามมาก เป็นเมืองในตำนานของสามก๊ก บรรพบุรุษเป็นคนมณฑลเจียงซี พ่อของ พล.อ.หลี่ คือ หลี่ จ้าวจู เป็นทหารผ่านศึกของกองทัพแดง และอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพปลดแอกประชาชน เคยดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการกองบัญชาการตะวันตกเฉียงใต้ของกองรถไฟแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน พ่อของนายพลหลี่ มีผลงานสำคัญคือการสร้างบำรุงทางรถไฟระหว่างสงครามกลางเมืองของจีน และสงครามเกาหลี

หลี่ ช่างฝู เข้าร่วมกับกองทัพโดยเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีป้องกันประเทศแห่งชาติ ปี 2521 หลังจากที่สำเร็จการศึกษาในปี 2525 ก็เริ่มทำงานที่ศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชาง มณฑลเสฉวน ในตำแหน่งช่างเทคนิค โดย พล.อ.หลี่ ทำงานที่ศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชาง ยาวนานถึง 31 ปี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ นานถึง 10 ปี

พล.อ.หลี่ ช่างฝู เป็นคีย์แมนคนสำคัญในด้านอวกาศของจีน โดยปี 2550 หรือสิบหกปีที่แล้ว เขารับผิดชอบภารกิจ "ฉางเอ๋อ 1" ซึ่งเป็นการปล่อยยานอวกาศไร้คนขับลำแรกของจีนไปโคจรรอบดวงจันทร์


2553 ดูภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของยาน "ฉางเอ๋อ 2" พล.อ.หลี่ มีส่วนร่วมในโครงการอวกาศของจีน ซึ่งรวมถึงการพัฒนายานอวกาศ "ฉางเอ๋อ 4" ของจีน ที่ลงจอดบนด้านมืดของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นบริเวณดวงจันทร์ที่ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน เมื่อเดือนมกราคม 2562 นอกจากนี้แล้ว เขายังเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการภารกิจอวกาศที่มีคนขับเสิ่นโจว 12 ซึ่งมีการส่งนักบินอวกาศ 3 นาย ไปยังสถานีอวกาศเทียนกง ในเดือนมิถุนายน 2564

2556 พล.อ.หลี่ ได้รับเลือกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ และได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทั่วไปของกองทัพปลดแอกประชาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของจีนที่รับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและการกำกับดูแล การออกแบบ การพัฒนา การผลิต และการจัดซื้อระบบอาวุธ


พล.อ.หลี่ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาทฤษฎีการควบคุมและวิศวกรรมควบคุม จากมหาวิทยาลัยฉงชิ่ง ซึ่งก็เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ในมณฑลเสฉวน เคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการสนับสนุนเชิงกลยุทธ์ของกองทัพจีน และรองผู้บัญชาการแผนกอาวุธยุทโธปกรณ์ทั่วไป ต่อมาเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกพัฒนาอุปกรณ์ของคณะกรรมาธิการทหารกลาง ตั้งแต่ปี 2560-2565 เขาได้รับยศนายพลในเดือนกรกฎาคม 2562 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางในเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว


ส่วนนายฉิน กัง เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา และถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับ สี จิ้นผิง โดยฉิน กัง ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว (2565) ตอนนั้นเขาเป็นดาวรุ่งที่โลกกล่าวขวัญและจับตามอง จนกระทั่งช่วงปลายเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา นายฉิน กัง หายหน้าไปจากประเทศนับเดือน ท่ามกลางข่าวลือหึ่งเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวกับนักข่าว/พิธีกรสาวคนดัง คือ ฟู่ เสี่ยวเถียน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับสองหน้า โดยเธอทำงานให้จีนและยังแปรพักตร์ไปทำงานให้สหรัฐฯ ด้วย ทั้งสองคนมีบุตร 1 คน

นายฉิน กัง
เรื่องนี้ผมเคยพูดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 200 เมื่อสามเดือนที่แล้ว ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2566 ปัจจุบันตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนมีนายหวัง อี้ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกกรรมการประจำกรมการเมือง คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และผู้อำนวยการสำนักกิจการต่างประเทศของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายการต่างประเทศของจีน เหนือกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหวัง อี้ ได้กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แทนนายฉิน กัง

นายหวัง อี้
การที่บุคคลระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนมากได้ถูกปลดหรือดำเนินคดีในยุคของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้สะท้อนความจริงต่อนโยบายปราบคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงแค่ไหน หากฉ้อฉล ละเมิดวินัย ล้วนแล้วแต่ต้องถูกจัดการทั้งสิ้น ฉิน กัง เป็นคนสนิทสนมของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังโดนเล่นงาน

ค่ำวันอังคารที่ 24 ตุลาคม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ลงนามคำสั่งปลดนายพลหลี่ ช่างฝู ออกมา แล้วก็แต่งตั้งรัฐมนตรีคนอื่นๆ ด้วย บางกรณีเป็นการสับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อความเหมาะสม ที่ไม่ได้มีความผิดอย่างไร

ในกรณีของหลี่ ช่างฝู และ นายฉิน กัง ทั้งคู่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งไม่กี่เดือนเอง ก็เลยถูกปลด จึงน่าจะเกี่ยวข้องกับความผิดบางประการ เพียงแต่รัฐบาลจีนยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน

สื่อตะวันตกวิจารณ์ว่าจีนขาดความโปร่งใสทางการเมือง และคาดเดาไปไกลกว่านี้ว่า นี่คือผลพวงของการชิงอำนาจ

เราต้องไม่ลืมนะท่านผู้ชมว่าจีนมีระบบการปกครองของตัวเอง คือ "สังคมนิยมแบบจีน" แต่ต่างชาติใช้กรอบความคิดตัวเอง คือระบอบประชาธิปไตยที่เละเทะ ที่เมืองไทยเอามาลอกเลียนแบบ มาใช้กับจีน และหลายประเทศเอามาลอกเลียนแบบ

ตามรัฐธรรมนูญจีนแล้ว การปลด/แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องผ่านการลงมติของคณะกรรมการประจำสภาประชาชนจีน หรือที่้เรียกว่ารัฐสภาจีน จากนั้นประธานาธิบดีจึงลงนามในคำสั่ง

นี่เป็นการตรวจสอบสองขั้น แตกต่างจากหลายประเทศที่การปลด/แต่งตั้ง โยกย้าย สามารถทำได้ด้วยอำนาจนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียว ไม่จำเป็นต้องผ่านการลงมติของรัฐสภา

เป็นคำตอบที่บอกว่า นายฉิน กัง ถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนั้น เพิ่งจะถูกปลดจากตำแหน่งมนตรีแห่งรัฐ ส่วน พล.อ.หลี่ ช่างฝู วัย 65 ปี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมตั้งแต่เดือนมีนาคม และถูกปลดในเวลาต่อมาไม่กี่เดือน


ในประเทศจีนนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่ระดับสูงหายหน้าไปเป็นเวลานาน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกสอบสวนในความผิดบางอย่าง พล.อ.หลี่ ช่างฝู เติบโตมาจากกองขีปนาวุธ หรือกองกำลังจรวด ซึ่งเป็นกองทัพที่ 4 จีนนั้นมี 3 เหล่าทัพ นี่คือเหล่าทัพที่ 4 มีบก เรือ อากาศ เขาเคยรับผิดชอบเรื่องการจัดหาอาวุธของกองทัพจีน ซึ่งอาจจะทำให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตบางอย่างในตำแหน่งงานนี้ ยังทำให้เขาถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากกรณีซื้ออาวุธจากรัสเซีย

กองกำลังขีปนาวุธยังเผชิญกับมรสุม หลังจากมีข้อมูลการพัฒนาขีปนาวุธของจีนรั่วไหลไปให้สหรัฐฯ แบบละเอียดยิบจนน่าตกใจ สี จิ้นผิง ในฐานะผู้นำสูงสุดของกองทัพ จึงจำเป็นต้องไล่จัดการกับความไม่ชอบมาพากลในกองกำลังขีปนาวุธ นายพล ผู้บัญชาการของกองกำลังนี้ถูกปลดออกไปหลายราย และอาจจะลุกลามไปจนถึงการจับกุม พล.อ.เว่ย เฟิ่งเหอ ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกลาโหม

เมื่อเดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์เจี่ยฟางรื่อเป้า สื่อของกองทัพจีน ได้ออกบทความเตือนเจ้าหน้าที่ให้เคร่งครัดในจริยธรรมและระมัดระวังการคบคน แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อใคร ซึ่งคนวงในก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

หลังจากการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 18 สี จิ้นผิง เป็นผู้นำจีนเมื่อสิบปีก่อน ได้ออกนโยบายปราบปรามการคอร์รัปชัน 3 ประการ คือ ไม่กล้าโกง ไม่คิดโกง และ ไม่สามารถโกง

ไม่กล้าโกง เพราะมีโทษหนัก ไม่คิดจะโกง เพราะมีจริยธรรม ไม่สามารถโกง เพราะสร้างระบบตรวจสอบที่ทำให้การทุจริตเกิดขึ้นได้ยาก ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงแค่ไหนก็ไม่ถูกยกเว้น ในอดีต นายโจว หย่งคัง เป็นถึงอดีตกรมการเมือง หรือ Politburo ซึ่งเป็นองค์กรจำนวนคนไม่เกิน 10 คน สูงที่สุด ปกครองประเทศจีน


โจว หย่งคัง มีอำนาจสูงสุดด้านความมั่นคงและกฎหมาย ในยุคประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ได้ถูกดำเนินคดีข้อหาคอร์รัปชัน ลบล้างคำกล่าวในอดีตว่า สมาชิก Politburo ไม่เคยถูกดำเนินคดี คล้ายๆ กับวลีของคนบ้านเราที่ว่า "คนรวยไม่ต้องติดคุก"

นอกจากนี้แล้ว ยังมีรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง และนายพลในกองทัพจำนวนมาก ถูกดำเนินคดีจากกรณีคอร์รัปชัน หลายคนถูกดำเนินคดีถึงแม้ว่าจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว หรือเกษียณไปแล้วก็ตาม

ข้าราชการระดับสูงของจีนนอกจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังต้องถูกควบคุมโดยวินัยของพรรคคอมมิวนิสต์ การกระทำบางอย่างที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ผิดระเบียบวินัย ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การมีเมียน้อย หรือลูกนอกสมรส ก็ถือว่าเป็นความผิด เพราะกฎหมายจีนระบุให้มีผัวเดียวเมียเดียว หรือการโยกย้ายทรัพย์สินไปต่างประเทศ ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะได้มาเพราะคอร์รัปชัน หรือสุจริต ก็เป็นความผิดทั้งนั้น เพราะจีนมีกฎหมายการควบคุมการปริวัตรเงินตรา เจ้าหน้าที่ระดับสูง ขนาดพาสปอร์ตยังต้องถูกอายัดไว้ จะเดินทางไปต่างประเทศยังต้องขออนุญาต จะซุกกิ๊ก ซุกลูก ซุกทรัพย์สิน อาจถือเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงในบางประเทศ หรือในประเทศไทย ที่อ้างว่าไม่ได้กระทบต่อหน้าที่การงาน แต่สำหรับประเทศจีนแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ เพราะว่าถ้าผู้นำองค์กรประพฤติผิดระเบียบวินัยเสียเอง แล้วจะควบคุมระเบียบวินัยองค์กรได้อย่างไร

ถ้าผู้นำองค์กรมีสิทธิพิเศษเหนือกฎหมายแล้ว จะให้ประชาชนเข้าใจว่ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร จีนจึงไม่ลังเลที่จะจัดการกับคนที่ประพฤติผิดกฎหมาย ละเมิดวินัย แม้ว่าจะเป็นถึงขั้น Politburo หรือรัฐมนตรี ก็จะถูกดำเนินคดีหรือตรวจสอบวินัย ถ้าทำผิดจริงต้องไปนอนคุกจริงๆ จะไม่มีข้ออ้างอื่นเลย

ท่านผู้ชมครับ และนี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ผมต้องเอามาเล่าให้ฟังถึงกรณีการปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายหลี่ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มุขมนตรีของประเทศจีน นายฉิน กัง

อนาคตซูเปอร์เน็ตเวิร์ก 6G ในมือจีน

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดเรื่องเทคโนโลยีของหัวเว่ย ที่หัวเว่ยพัฒนาจากรุ่น 5G มาเป็น 5.5G แล้วเอามาใช้เฉพาะที่เอเชียนเกมส์ ผมอธิบายถึงความหลากหลายของความสามารถของ 5.5G ทีนี้ผมเคยพูดแล้วว่าอาทิตย์นี้ผมจะพูดถึงเรื่องรุ่น 6G ซึ่ง 6G เป็นเทคโนโลยีที่น่าจะฮือฮามาก และเป็นเทคโนโลยีที่หัวเว่ยนำทุกๆ ชาติในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป หรืออเมริกา ญี่ปุ่น อย่างชนิดไม่เห็นฝุ่นเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โอกาสสูงมาก เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่หัวเว่ยจะพัฒนา 6G ได้สำเร็จก่อนทุกๆ เจ้า ที่กำลังขะมักเขม้นอยู่ สังเกตได้จากสิทธิบัตรในเรื่องเทคโนโลยี 6G ที่หัวเว่ยจดทะเบียนเอาไว้ในโลกนี้ ปริมาณสิทธิบัตรสูงกว่าทุกๆ ชาติ รวมกันแล้วยังสู้สิทธิบัตรของหัวเว่ยคนเดียวไม่ได้

6G คืออะไร ? จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกได้อย่างไร ? ท่านผู้ชมครับ 40 ปีที่ผ่านมา มีการสื่อสารไร้เครือข่ายเป็นต้นมา จะมีการเปลี่ยนผ่านระบบโครงข่ายไร้สาย ก็คือ Wireless Network เฉลี่ยแล้วทุกๆ สิบปี


เอาประวัติศาสตร์มาพูดกันนิด ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ ทศวรรษที่ 1980 หรือสี่สิบปีที่แล้ว Generation แรก คือ 1G ยังอยู่ในยุคแอนะล็อก มีการคิดค้นโครงข่ายไร้สายมาเพื่อตอบสนองการติดต่อกันด้วยเสียงเป็นหลัก แอนะล็อกสมัยก่อนนี้ต้องพึ่งสาย สายทองแดง ทุกอย่างต้องเชื่อมต่อที่บ้าน ไม่มีสายก็ใช้ไม่ได้

พอมาทศวรรษที่ 1990 สามสิบปีที่แล้ว ก็เข้าสู่รุ่น 2G โครงข่ายนอกจากรองรับการติดต่อด้วยเสียงได้แล้ว ก็รองรับการส่งข้อความ Short message ข้อความสั้นๆ ที่เราเคยชินเรียกกันว่า SMS

ทศวรรษที่ 2000 ประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น 3G โครงข่ายรองรับการสื่อสารการส่งข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้แล้ว

ทศวรรษที่ 2010 ประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว จาก 3G พัฒนาขึ้นมาเป็น 4G เป็นโครงข่ายสามารถรองรับการสื่อสารและการส่งผ่านข้อมูลระดับบรอดแบนด์ หรือเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สามารถจะรับ-ส่งข้อมูลได้จำนวนมาก

เครือข่ายไร้สายรุ่น 4G มีความรวดเร็ว ส่งข้อมูลได้ทัดเทียมอินเทอร์เน็ตแบบมีสาย ทำให้การรับชมวิดีโอระดับ HD สามารถทำได้อย่างลื่นไหล ไม่กระตุก นอกจากนี้ โครงข่าย 4G ยังรองรับการทำงานหรือใช้งานต่างๆ ผ่านระบบแอปพลิเคชันที่มาพร้อมเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนได้อย่างลื่นไหล ไม่ติดขัด

ท่านผู้ชมครับ มาถึงวันนี้เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคของโครงข่ายไร้สายรุ่นที่ 5 หรือ 5G ที่ถูกพัฒนาและเริ่มใช้ในช่วงปี 2561 เป็นต้นมา


5G ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงรองรับการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูลบุคคลแต่เพียงอย่างเดียวต่อไป มีวัตถุประสงค์ที่จะรองรับความต้องการในการติดต่อสื่อสาร และอุปกรณ์ และสรรพสิ่งในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ หรือที่เขาเรียกว่า IoT : Internet of Things หรืออินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบกล้องวงจรปิด ระบบกันขโมยในบ้าน ระบบควบคุมไฟฟ้า สมาร์ทวอทช์ เซ็นเซอร์ต่างๆ ไปจนถึงของใหญ่ๆ อย่างเช่นยานพาหนะ และรถยนต์ ไปจนถึงระบบเมืองอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นไฟจราจร ระบบควบคุมโครงข่ายไฟฟ้า น้ำประปา ระบบเตือนภัยไฟไหม้ น้ำท่วม ที่ล้วนแล้วสามารถเชื่อมต่อเข้าโลกอินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่เกิน 6-7 ปี หรือ พ.ศ. 2572/2573 โลกเราจะก้าวสู่ยุคเครือข่ายไร้สาย 6G

เทคโนโลยี 6G จะไปไกลกว่าแค่การสื่อสาร จะทำหน้าที่เป็นโครงข่ายประสาทเทียมแบบกระจายกันเอง จัดให้มีการเชื่อมโยงความสามารถในการสื่อสาร การตรวจจับ การประมวลผลแบบบูรณาการ เพื่อหลอมความสามารถทางกายภาพ ชีวภาพ และโลกไซเบอร์ นำไปสู่ยุคที่ฉลาดอย่างแท้จริงของทุกๆ สิ่ง


ท่านผู้ชมครับ เทคโนโลยี 6G จะสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อยอดจาก 5G จากผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันไปจนถึงความฉลาดที่เชื่อมโยงกันโดยพื้นฐานแล้วจะนำความฉลาดมาสู่ทุกคนทั้งบ้านและธุรกิจที่นำไปสู่ขอบเขตใหม่ของนวัตกรรม ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้นำในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา อย่างที่ผมบอก ใน 6G ที่จะปรากฏอย่างจริงจังในเชิงพาณิชย์ คือบริษัทหัวเว่ย ของจีนนั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ ช่วงหลังนี้ผมพูดแต่หัวเว่ย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ครับ เพราะในโลกนี้มีอยู่เจ้าเดียวที่ก้าวกระโดดในเรื่องเทคโนโลยีทางเครือข่ายไร้สาย และเป็นเจ้าราชาแห่งการพัฒนาเครือข่าย อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าหัวเว่ยจะพัฒนาเครือข่าย 6G ได้เสร็จก่อนคนอื่น คนอื่นสู้ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Nokia, Ericsson หรือบริษัทต่างชาติ


ยุทธศาสตร์เครือข่าย 6G เป็นยุทธศาสตร์ที่สร้างความหวั่นไหวและความกังวลแก่โลกตะวันตก ถ้าท่านผู้ชมคิดว่า 5G ก้าวหน้าแล้ว หรือ 5.5G ก้าวหน้าแล้ว ต้องคิดใหม่ เพราะว่าเครือข่าย 6G นั้นก้าวล้ำด้วยความเร็วสูงชนิดพิเศษมากกว่ารุ่น 5G ถึง 100 เท่า พร้อมด้วยการส่งข้อมูลในระดับ "เทราเฮิร์ตซ" 5G มีความเร็วในการส่งข้อมูลระดับ "กิกะเฮิร์ตซ" แต่สำหรับ 6G ความเร็วในการส่งข้อมูลจะมากกว่า 5G ถึง 100 เท่า จะทำให้ 6G กลายเป็น "ซูเปอร์เน็ตเวิร์ก" ซูเปอร์เครือข่าย นำพาเราไปสู่โลกอัจฉริยะยุคปฏิวัติเทคโนโลยีสื่อสาร ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัล และบ้านเมืองอัจฉริยะ ในอีกไม่เกิน 7 ปีนี้ ผมเชื่อว่าในช่วงที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยังไม่ตายหรอก และในช่วงลูกๆ ในช่วงหลานๆ ของเรา จะเจริญเติบโตเป็นหนุ่มเป็นแน่นในยุคที่ 6G กำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างมหาศาล

กระบวนทัศน์ในการวิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยีหัวเว่ย ยิ่งพัฒนายิ่งมีอนาคต หัวเว่ยได้เริ่มวิจัยเทคโนโลยีสื่อสารเคลื่อนที่ล้ำยุค 6G ตั้งแต่ช่วงปี 2561 หรือห้าปีที่แล้ว เปิดตัวโครงการ 6G อย่างเป็นทางการในปี 2562 ร่วมกับแวดวงอุตสาหกรรมและวิชาการในยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งอเมริกา ตอนนั้น (2562) เน้นไปที่การสื่อสารเครือข่ายไร้สายด้วยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่เชื่อมแถบความถี่ระดับเทราเฮิร์ตซ์ แบบบูรณาการทั้งภาคพื้นดินและอวกาศที่ผ่านดาวเทียม ตลอดจนการผสมผสานการคำนวณการสื่อสาร การตวรจจับเซ็นเซอร์ ซึ่งจะเปิดประตูไปสู่แอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมอย่างมากมาย อย่างเช่น บริการ Cloud ระบบอัจฉริยะ ระบบตอบโต้แบบสัมผัส แสดงผลแบบโฮโลแกรม เครือข่ายปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เปลี่ยนแปลงจาก AI ที่อยู่บน Cloud ลงมาเป็น AI ที่อยู่ในระบบเครือข่ายข้างล่าง ใกล้ชิดกับผู้ใช้ปลายทาง ลดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล


6G จึงเป็นระบบการสื่อสารเคลื่อนที่ยุคถัดไปที่ก้าวหน้าไปไกลกว่าที่คิด จะทำหน้าที่เป็นโครงข่ายประสาทเทียมแบบกระจาย ให้การเชื่อมโยงเข้ากับความสามารถด้านการสื่อสาร การตรวจจับ การประมวลผล เพื่อหลอมรวมโลกทางกายภาพ ชีวภาพ และไซเบอร์ ต้องถือว่าเป็นการเปิดศักราชแห่งความฉลาดของทุกสิ่งอย่างแท้จริง

6G จะสร้างต่อยอดจาก 5G นำความอัจฉริยะมาสู่ทุกคน บ้าน ธุรกิจ ซึ่งจะไปสู่ขอบเขตใหม่ของนวัตกรรม

นวัตกรรมของ 6G บ่งบอกถึงการก้าวกระโดดแบบควอนตัมที่ทรงพลังระดับ Disruption Techonology คือ หนึ่ง สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วเป็นพิเศษ เป็นร้อยเท่ากว่าของเดิม เป็นความเร็วปานสายฟ้าแล่บ สอง ใช้สเปกตรัมความถี่สูง เช่น คลื่นมิลลิเมตรเทราเฮิร์ตซระดับเทราบิตต่อวินาที หรือละเอียดกว่ากิกะบิต 1 พันเท่า เทียบเคียงได้กับการสื่อสารผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสง ทำให้การเชื่อมต่อได้รวดเร็วกว่า ส่งข้อมูลได้มากกว่า และสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมๆ กันมากกว่า 10 ล้านชิ้น ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร หรือมากกว่า 5G ได้ถึงสิบเท่า


สาม ความหน่วง หรือระยะเวลาในการส่งถ่ายของ 6G จะลดลงจาก 5G โดยทำให้ความหน่วงลดลงเหลือเพียงระดับไมโครวินาที เทียบกับ 5G ซึ่งอยู่ในระดับมิลลิวินาที ไมโครวินาทีเท่ากับอะไร ? 0.000001 วินาที (คือ 10 ยกกำลัง 6) มิลลิวินาที คือ 0.001 วินาที (10 ยกกำลัง 3) จะเห็นได้ชัดครับระหว่าง 10 ยกกำลัง 3 ของ 5G กับ 10 ยกกำลัง 6 ของ 6G มันต่างกันอย่างมหาศาล กล่าวง่ายๆ ว่าเครือข่าย 6G จะมีความหน่วงน้อยกว่าเครือข่าย 5G ตั้ง 1 พันเท่า

ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของ 6G มีความหน่วงต่ำ ส่งข้อมูลที่มีความจุขนาดใหญ่มหาศาล และซับซ้อนจำนวนมาก ทำให้ 6G เหมาะสำหรับใช้งานแบบ realtime เช่น การแพทย์ทางไกล การผ่าตัด ระบบการสื่อสารทางไกล การขับขี่อัตโนมัติในรถยนต์ไฟฟ้า และระบบขนส่งต่างๆ อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง IoT โดยเทคโนโลยีใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฮม เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต 6G มาใช้กับอุปกรณ์ภายในบ้าน ระบบความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา สมาร์ทกริด (smart grid) คือกระบวนการส่งไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบส่งไฟฟ้า ทำให้การซื้อขายไฟฟ้าเป็นไปอย่างเสรี ไฟฟ้ามีราคาถูกลง สามารถตรวจสอบจุดที่มีปัญหาได้ smart warable อุปกรณ์สวมใส่ที่มีฟังก์ชันที่มากกว่านาฬิกาปกติ เช่น บันทึกข้อมูลสุขภาพ การส่งต่อข้อมูลได้แบบ realtime สมาร์ทซิตี้ นำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับสิ่งต่างๆ ภายในเมืองเพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย ให้ข้อมูลป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการจราจรบนท้องถนน


ยิ่งกว่านั้น 6G ยังเหมาะกับเครือข่ายธุรกิจที่ต้องรับ-ส่งข้อมูลความจุมหาศาล โดยเสาอากาศขนาดใหญ่และการปรับเข้ารหัสได้หลายมิติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสเปกตรัมและในเชิงพื้นที่ เพราะฉะนั้น 6G จึงถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเป็นเลิศในเครือข่ายแบบครบวงจรที่ครอบคลุมพื้นที่ ทั้งภาคอากาศและภาคพื้นดิน ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียมในโดรน และแพลตฟอร์มระดับสูงที่มีการเชื่อมต่อทั่วโลกได้ราบรื่นชนิดที่ไร้รอยต่อ แม้ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ท้าทาย โดยเฉพาะ 6G มีความเป็นเลิศในความสามารถที่จะตรวจจับภาษาการสื่อสาร และการตรวจจับต่างๆ

นอกจากนี้ เทคโนโลยี 6G ยังมีความโดดเด่นต่างกว่า 5G มีการจดจำที่ฉลาดเชิงลึก สามารถปรับ interface ทางอากาศที่มีการเชื่อมโยงต่อระหว่างอุปกรณ์กับผู้ใช้ มีการบูรณาการ การคำนวณ การสื่อสาร การตรวจจับ คุณสมบัตินี้ปลดล็อกแอปพลิเคชันในระบบ Cloud ได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควบคู่ไปกับการเป็นอัจฉริยะของเครือข่าย G คือความท้าทายทางเทคนิค เช่น ปัญหาการจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ การใช้พลังงาน และความปลอดภัย ปัญหาด้านสังคม เรื่องละเมิดความเป็นส่วนตัว ปัญหาประเด็นความขัดแย้งทางจริยธรรม ที่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพราะความปลอดภัยของไซเบอร์คือความท้าทายที่ทุกคนในโลกต้องเผชิญพร้อมกัน โดยมีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 6G เพราะอะไร ? เพราะข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย 6G จะมีการเข้ารหัสข้อมูลที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computing) ถอดรหัสข้อมูลที่รับ-ส่งเหล่านั้น ซึ่งคนที่จะทำได้คือผู้ให้บริการเครือข่าย หรือรัฐบาลในประเทศนั้นๆ จะต้องเป็นผู้ดูแลเครือข่าย 6G เพราะฉะนั้นแล้ว เครือข่าย 6G ไม่ใช่แค่การปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารเท่านั้น ยังรวมมิติความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไว้ด้วย มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตประจำวันของเราในรูปแบบการทำงาน กระบวนทัศน์ ค่านิยม รับ 6G เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น


ท่านผู้ชมครับ โดยสรุป ไม่เพียงแต่บริษัทเอกชนของจีนที่ชื่อหัวเว่ยเท่านั้นที่ดำเนินการพัฒนาเรื่องเทคโนโลยี 6G ไปล่วงหน้าแล้ว แม้แต่ภาครัฐ คือรัฐบาลกลางจีน ท่านผู้ชมรู้ไหม ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2566 หรือ 3-4 เดือนที่ผ่านมา เขาได้มีการอนุมัติการใช้คลื่นความถี่ใหม่ คือคลื่น 6 กิกะเฮิร์ตซ เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนา 6G ไปเรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า จีนเป็นประเทศในโลกที่ให้บริการคลื่นความถี่ย่าน 6 กิกะเฮิร์ตซ โดยเป็นการจัดเตรียมทรัพยากรย่านความถี่กลางที่เพียงพอต่อการพัฒนา 5G และ 6G ทางการจีนระบุว่า คลื่นความถี่ย่าน 6 กิกะเฮิร์ตซ เป็นทรัพยากรคุณภาพสูงชนิดเดียวกับที่มีปริมาณการรับ-ส่งข้อมูลขนาดใหญ่ (Bandwidth) ในย่านความถี่กลาง ทั้งมีความครอบคลุมและมีความได้เปรียบด้านความจุ พร้อมเสริมว่า คลื่นความถี่ดังกล่าวนั้นเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับใช้งานระบบ 5G และ 6G ในอนาคต

ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า นอกจากรัฐบาลกลางแล้ว รัฐบาลท้องถิ่นของจีนยังให้ความสำคัญกับอนาคตการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี 6G ไม่นานมานี้สำนักงานเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศเทศบาลนครปักกิ่ง เผยแพร่ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ส่งเสริมการลงทุนระบบ 6G และเทคโนโลยีล้ำยุคอื่นๆ ระหว่างดำเนินแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 คือปี 2564-2568


ในส่วนของภาคเอกชน ปัจจุบันมีบริษัทผู้ประกอบการสัญชาติจีนจำนวนมากที่ได้มีการร่วมทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 6G นอกจากหัวเว่ยแล้ว ยังมี ZTE, Unisoc, Vivo, DT Mobile เป็นต้น

ท่านผู้ชมครับ ระยะเวลาสิบปีของการเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยี 3G ไปสู่ 4G จาก 4G ไปสู่ 5G และที่กำลังเกิดขึ้นคือ 5G ไปสู่ 6G นั้นรวดเร็วมาก มีการคาดการณ์ว่า ด้วยการสอดประสานระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ รวมทั้งความพร้อมในหลายๆ ด้าน จีนจะเป็นประเทศแรกที่น่าจะสามารถนำเทคโนโลยี 6G มาปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ก่อน หรือภายในอีก 6 ปีข้างหน้าเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าก่อนหน้าประเทศอื่นๆ ที่จะนำ 6G มาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ อย่างเร็วที่สุดก็คือ 2573 ล้าหลังไปกว่าจีนอย่างน้อยหนึ่งปีเต็มๆ นี่มองโลกในแง่ดีนะครับ ซึง่ถ้ามองโลกในแง่ความขับเคลื่อนของทางตะวันตก น่าจะช้ากว่าหนึ่งปี น่าจะช้ากว่าจีน 2-3 ปี คือจีนเริ่มแล้ว อีก 2-3 ปี ชาติต่างๆ ทางตะวันตกอาจจะเริ่มได้

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ท่านผู้ชมเคยสังเกต ได้เคยลองถามตัวเองไหมว่า ตั้งแต่มีการพัฒนาเข้าสู่ยุคสมัยของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายมาตรฐานรุ่น 5 (5G) ประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา โลกเราได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม วิถีชีวิต รวมทั้งการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรบ้าง ถ้ามองย้อนหลังไปแล้ว ผมอยากให้ท่านผู้ชมมองไปข้างหน้าบ้าง ว่าอีกไม่กี่ปีที่จะถึงนี้ เมื่อเทคโนโลยี 6G ก้าวเข้ามา การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะเพิ่มความรุนแรง และอัตราความเร็วมากขึ้นขนาดไหน แล้วท่านผู้ชมลองพิจารณาถึงเทคโนโลยี 6G ซึ่งถ้าจีนพัฒนาเสร็จก่อนคนอื่นเขา ใช้ได้ก่อนคนอื่นเขาเป็นเวลา 2-3 ปี หรือ 3-4 ปีล่วงหน้า Apple จะมาใช้ 6G ที่เมืองจีนได้อย่างไร จะกลายเป็นโทรศัพท์หัวเว่ยเป็นคนที่ครองตลาดจีน ตลอดจนครองตลาด 6G ที่หัวเว่ยจะไปพัฒนาในแต่ละประเทศต่างๆ อ๋อ แน่นอนที่สุด ทางตะวันตกก็คงจะบอยคอตหัวเว่ยเหมือนเดิม ซึ่งในที่สุดผลลัพธ์ก็คือ จะต้องล้าหลังกว่าหัวเว่ยอีกมากมาย

ความลับ "คณะราษฎร2475"

ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วผมกับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และทีมงาน ได้เตรียมข้อมูลในเรื่องนี้ไว้นานพอสมควรแล้ว พวกผมตั้งใจจะเอาเอกสารฉบับหนึ่งที่ไม่เคยถูกเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเอกสารนี้มันเป็นความลับที่ถูกซุกซ่อนมา 85 ปี ผมเอามาเปิดเผยให้ทุกคนรับรู้ รับทราบ เป็นเอกสารชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ เรื่อง ข้อเท็จจริงและผลการสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ เป็นรายการที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2480 หรือ 86 ปีที่แล้ว เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎร ซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ปี 2475 ในการยักยอก ขู่เข็ญ และปล้นสมบัติของราชวงศ์จักรี และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้อง


หลักฐานชิ้นนี้เห็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ข้อมูลทางการ ข้อมูลที่ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร ชัดเจนถึงความฉ้อฉลระยำต่ำช้าของกลุ่มบุคคลที่หลอกลวงสังคมไทยมาตลอดว่าเป็นฮีโร่ เป็นปูชนียบุคคลที่ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และนำระบอบประชาธิปไตยเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งหมดนี้ จนกระทั่งเด็กรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นม็อบสามนิ้ว ม็อบปลดแอก แก๊งทะลุวัง แก๊งทะลุแก๊ส หรือแก๊งทะลุถุงยางอะไรก็แล้วแต่ นำไปเป็นต้นแบบ โดยเฉพาะนายเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำนักศึกษากลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ถึงกับเชิดชู จอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่าเป็นฮีโร่ วีรบุรุษประชาธิปไตย โดยไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ เลยว่า จอมพล ป. และคนใกล้ชิดอย่าง ขุนนิรันดรชัย นั้นล้มเจ้า แต่กลับทำตัวเป็นเจ้าเสียเอง รวมทั้งขโมยทรัพย์สินของราชวงศ์จักรีไปมากมายอย่างหน้าด้านๆ


บังเอิญช่วงนี้มีข่าวน่าสนใจเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับประเด็นเรื่องที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นประเด็นที่คาราคาซังมาหลายปีแล้ว

ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เคยนำเสนอเรื่องนี้ไปแล้ว เกือบสามปีที่แล้ว คือคดีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และบริษัทในเครือของตระกูล คือบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งมีส่วนพัวพันกับกรณีการให้สินบนเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรณีที่ดินย่านชิดลม


จากคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 จนถึงวันนี้ ผ่านไปแล้ว 3 ปี คำพิพากษาจำคุก 3 ปี ติดคุกจนออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่คนที่ให้สินบนกลับยังสามารถลอยนวลได้อยู่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าลอยนวลอยู่ได้อย่างไรเป็นเวลาตั้งหลายปี จนกระทั่งปี 2563 ผมต้องออกรายการจี้ว่า กรณีของคุณสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ใช่หรือไม่ว่าคลับคล้ายคลับคลากับกรณีของบอส อยู่วิทยา (วรยุทธ อยู่วิทยา) ลูกหลานกระทิงแดงที่ทำผิด แต่เนื่องจากเป็นคนรวยระดับอภิมหาเศรษฐี มีเส้นสายเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง จึงวิ่งกันตีนขวิดเพื่อช่วยเหลือกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ในตอนนั้น ในชั้นตำรวจก็ไม่ได้สอบสวน พอถึงชั้นอัยการ ก็บอกว่าตำรวจไม่ได้กล่าวหามาตั้งแต่แรก เลยไม่ได้สั่งฟ้อง ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงก็คือ เมื่อมีคนรับสินบน และศาลพิพากษาไปแล้วว่ารับสินบน ก็ต้องมีคนให้สินบนอย่างแน่นอน แล้วใครล่ะเป็นคนให้สินบน ?


คดีดังกล่าวหลังจากที่เกิดการยืดเยื้อคาราคาซังมาเกือบ 4 ปี ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2566 คดีของนายสกุลธร ก็เลยมีความคืบหน้าแล้ว คือ 19 กันยายน 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟย่านตลิ่งชัน ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีที่พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นน้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ข้อหา ในความผิดฐานที่ หนึ่ง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นและขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้กระทำการและประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ และสอง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นให้ ข้อให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล

โดยการที่นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีพฤติการณ์กระทำความผิดติดสินบนเจ้าพนักงานและนายหน้า เป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และย่านชิดลม โดยนายสกุลธร พร้อมทนายความ เดินทางมาศาล ภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นายสกุลธร ได้ออกจากห้องพิจารณาแล้วเดินกลับขึ้นรถยนต์จากศาล ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น


คดีนี้พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 ได้เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นจำเลย กรณีที่นายสกุลธร ติดสินบนจำนวนเงิน 20 ล้านบาท แก่เจ้าหน้าที่และนายหน้าในการเช่าที่ดินจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์รวม 2 แปลง อัยการได้ยื่นฟ้องนายสกุลธร 31 สิงหาคม ที่ผ่านมา และได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี ศาลได้นัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าหน้าที่คดีในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 จะนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 13 ธันวาคม เวลา 09.30 น.

นี่ไงครับท่านผู้ชม ผมเคยบอก เคยเล่า เคยย้ำให้ฟังแล้วว่า กงล้อประวัติศาสตร์หมุนกลับมาซ้ำรอยเดิมเสมอ 80-90 ปีก่อนคณะราษฎร 2475 พยายามล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยอ้างว่าเพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย มาถึงวันนี้เก้าสิบกว่าปีแล้ว นายใหญ่ของคณะก้าวหน้า ที่อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล กับเด็กสามนิ้วทั้งหลายที่อ้างประชาธิปไตย ปากก็พร่ำบอกว่าสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ น้องชายกลับต้องคดีความในการประพฤติมิชอบในการฮุบที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อนำมาแสวงหาประโยชน์และแสวงกำไรเข้าตัวเองเช่นกัน

นายเลียง ไชยกาล - นายไต๋ ปาณิกบุตร
ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2480 หลังการปฏิวัติ 2475 ได้ราว 5 ปี มี ส.ส. จังหวัดอุบลราชธานี ท่านหนึ่ง ชื่อ นายเลียง ไชยกาล ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่องที่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร รวมถึงข้าราชการ ประมาณ 30 คน ได้แห่รุมซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ หลังจากตั้งกระทู้ถามแล้ว นายไต๋ ปาณิกบุตร ส.ส. จังหวัดพระนคร ก็ได้เข้าชื่อเพื่อการอภิปรายกรณีเดียวกัน เพื่อรุกไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

การอภิปรายครั้งนั้น นายเลียง ไชยกาล พาดพิงไปถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ซึ่งเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการ ได้ขายที่ดินส่วนตัวของพระองค์ คือโรงเรียนการเรือน ในราคาแพงๆ คือตารางวาละ 35 บาท ให้กับสำนักพระคลังข้างที่ ทั้งๆ ที่ราคาที่ดินใกล้เคียงมีราคาแค่ตารางวาละ 15 บาท เท่านั้นเอง

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
ปรากฏว่ารุ่งขึ้น วันที่ 28 กรกฎาคม 2480 พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งต่อที่ประชุม 2 เรื่อง คือ เรื่องที่หนึ่ง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แจ้งใคร่ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่าเพราะถูกพาดพิงในสภาฯ มาก เป็นผลทำให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก 2 ท่าน ลาออกด้วย คือ ท่านเจ้าพระยายมราช และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน เรื่องที่สอง พันเอก พหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ได้ลาออกทั้งคณะ

ต่อมา 4 สิงหาคม สภาฯ ก็ได้ลงมติให้คณะผู้สำเร็จราชการกลับมาดำรงตำแหน่งเหมือนเดิม

7 สิงหาคม 2480 สภาฯ ลงมติให้ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเดิม

สรุปก็คือว่า ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม


ต่อมา 11 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และอภิปรายต่อเรื่องคดีการรุมซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ ของอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร และข้าราชการ โดยที่ยังไม่มีการแก้ไขใดๆ

ท่านพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ก็เลยได้ยืนยันว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา โดยไม่ใช่คนของรัฐบาล แต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นที่ประชุมก็เลยมีมติเสียงข้างมากไว้วางใจรัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นนี้

พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
ต่อมา 12 สิงหาคม 2480 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่ 5 ท่าน หนึ่ง ท่านเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เป็นประธานกรรมการ ต่อมาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ หรือ จิตร ณ สงขลา ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นประธานฯ คณะรัฐมนตรีเลยแต่งตั้งพระยานลราชสุวัจน์ หรือ ทองดี นลราชสุวัจน์ เป็นประธานแทน ผ่านไปอีก 8 เดือน พ้นจากปี 2480 ข้ามไปปี 2481 ผลการสอบก็ยังไม่ถูกเผยแพร่ออกมา ปรากฏว่าวันที่ 8 มีนาคม 2481 นายเลียง ไชยกาล ส.ส. จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตั้งกระทู้ถามพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ซึ่งพระยาพหลฯ ก็ได้แต่บ่ายเบี่ยง อ้างว่าคณะกรรมการฯ วินิจฉัยหมดแล้ว และคณะกรรมการฯ ก็ดำเนินการตามคำวินิจฉัยเกือบหมดแล้ว หมายถึงว่าคืนที่ดินกลับเกือบหมดแล้ว

พระยานลราชสุวัจน์ หรือ ทองดี นลราชสุวัจน์
นายเลียง ไชยกาล จึงเรียกร้องให้โฆษณาเผยแพร่รายงานการสอบ พระยาพหลฯ อ้างว่า เนื่องจากรายงานต่อสภาฯ แล้ว จึงแล้วแต่สภาฯ ก็ปรากฏว่าท่านพระยามานวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ตัดบทแจ้งว่าจะไม่แจกรายงานฉบับเต็มนี้ในที่ประชุม โดยอ้างว่าให้อ่านแบบสรุปตามที่รัฐบาลได้ลงไปในหนังสือพิมพ์เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเผยแพร่รายละเอียดแล้ว

พระยามานวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร อ้างต่อว่า ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นประธานสภาฯ ข้าพเจ้าได้รับรายงานก่อนใครๆ หมด เมื่อกรรมการพิจารณาเสร็จแล้ว รัฐบาลชุดเก่าได้ส่งมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้อ่านเสร็จแล้ว ก็เก็บใส่กุญแจไว้ ด้วยเหตุนี้รายงานทั้งหมดเป็นความลับมานานถึง 8 ทศวรรษ หรือ 85 ปี ตั้งแต่ปี 2481 จนถึง 2566 ก็เลยไม่มีใครได้เห็นเอกสารผลการสอบสวนของคณะกรรมการอีกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต เพราะภายหลังที่ผมและอาจารย์ปานเทพ เผยแพร่หนังสือเรื่อง "ศึกชิงพระคลังข้างที่ ๒๔๗๕ จากปล้นพระราชทรัพย์ถึงคดีสวรรคต ร.๘" ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่สองปีที่แล้ว (2564)


เราได้พยายามเสาะแสวงหาผลการสอบสวนชิ้นนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะว่าไม่เคยมีการเผยแพร่มาก่อนเลย เพราะถ้าไม่มีเอกสารชิ้นนี้ ประวัติศาสตร์การปล้นแย่งชิงทรัพย์สมบัติของพระมหากษัตริย์ให้กลายเป็นของส่วนตัวในกลุ่มอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร ก็จะสูญหายไปเช่นกัน ก็คือคนที่ทำผิดจะต้องลอยตัวไป แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต อาจารย์ปานเทพ ได้ทำงานร่วมกับ พล.ท.สรภฎ นิรันดร บุตรชายที่เหลืออยู่ของ ขุนนิรันดรชัย ซึ่ง พล.ท.สรภฎ นิรันดร ได้สารภาพตามเจตนารมณ์ของขุนนิรันดรชัย ว่าแย่งชิงทรัพย์สมบัติของพระมหากษัตริย์มาเป็นของตัวเอง และปรากฏอยู่เป็นหลักฐานในเอกสารชิ้นสำคัญนี้ได้อยู่ในมือผมแล้ว


ผมจะเปิดคำแถลงการณ์ส่วนที่มีการลงโฆษณาโกหก แต่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียด เก็บเอาไว้ ลั่นกุญแจทิ้งเอาไว้ เอกสารชิ้นนี้เราได้มาจากหอสมุดดำรงราชานุภาพ กรมศิลปากร เอกสารของสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2480 เอาไว้ว่า ก่อนจะมีการตั้งกระทู้ทวงถามในสภาผู้แทนราษฎรอีก 3 เดือนต่อมา ก็คือวันที่ 8 มีนาคม 2481 ความที่ลงโฆษณาอย่างเป็นทางการว่า คำแถลงการณ์เรื่องผลการสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่ ด้วยตามที่ได้มีกระทู้ถามขึ้นในสภาผู้แทนราษฎร เรื่องการซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่ คณะรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการรขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาเรื่องนี้แล้วนั้น บัดนี้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเสร็จสิ้นลงแล้ว คณะกรรมการฯ จึงส่งรายงานซึ่งแสดงผลของการพิจารณามายังคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามแนะนำของคณะกรรมการฯ ไปทุกประการแล้ว คือในส่วนเกี่ยวกับข้าราชการซึ่งต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ก็ได้สั่งให้ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ออกจากราชการไปแล้ว ส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์นั้น ผู้ที่ซื้อไปก็ได้ขอคืนทุกรายแล้ว นอกจากนี้ผู้ที่ขายที่ดินให้แก่พระคลังข้างที่ก็ได้ขอรับกลับคืนด้วย ทั้งนี้ ได้แจ้งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ทราบแล้ว สำนักนายกรัฐมนตรี วันที่ 4 ธันวาคม 2480"


ผมจะตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยตามสามัญสำนึก ก็คือ โจรปล้นทรัพย์ที่ไหนที่เอาของมาคืนเพราะถูกจับได้ แล้วไม่มีความผิดบ้าง ? จะมีก็คือคณะราษฎร 2475 นี่ล่ะ ผมถึงเรียกคณะราษฎร 2475 ว่า "คณะโจร" ยังเบาไป น่าจะเป็นคณะมหาโจร

คนที่ปล้นทรัพย์แล้วถูกจับได้แต่ไม่ผิด ถ้าจะมี คงจะมีเฉพาะมาตรฐานที่เกิดขึ้นได้คือ อดีตผู้ก่อการคณะราษฎรเท่านั้น และที่ผมบอกว่าที่ลงหนังสือพิมพ์วันนั้นก็มีการโกหกอย่างหน้าด้านๆ เพราะในเวลาต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบดู ผลปรากฏว่ามีทรัพย์สินหลายแปลงยังไม่ได้รับคืนตามที่แถลงข่าวออกไป

ท่านผู้ชมครับ ผมขออธิบายความหมายเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้น นักการเมือง อดีตสมาชิกคณะราษฎรที่ก่อรัฐประหารในปี 2475 พร้อมด้วยข้าราชการ ได้เร่งซื้อโอนที่ดินตัดหน้าก่อนที่พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ปี 2479 ที่จะประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2480


เพราะการโอนหรือจำหน่ายที่ดินพระคลังข้างที่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่นี้ จะต้องทำโดยพระบรมราชานุญาต พระบรมราชานุมัติ เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เท่านั้น มิใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกอดีตผู้ก่อการของคณะราษฎร และคณะโจรพวกนี้

ท่านผู้ชมครับ เหล่านักการเมืองและข้าราชการที่มีพฤติกรรมเยี่ยงโจร ก็เลยใช้วิธีตัดหน้าซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวในราคาถูกๆ ก่อนที่กฎหมายใหม่ฉบับนี้จะออกประกาศบังคับใช้

ท่านผู้ชม ถ้ายังจำได้ ใครไม่รู้เรื่องตัวอย่างการปล้นที่ดินของสถาบันพระมหากษัตริย์ แถวๆ รอบพระราชวังสวนจิตรลดา ให้ไปเปิดดูหลักฐานที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วอย่างละเอียด ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 156 ตอน "คณะโจรปล้นสมบัติเจ้า ภาค 2" ออกอากาศในวันศุกร์ที่ 23 กันยายน เมื่อปีที่แล้ว

ในช่วงเวลานั้น พระมหากษัตริย์คือในหลวง รัชกาลที่ 8 ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อำนาจทั้งหลายจึงขึ้นอยู่กับคณะผู้สำเร็จราชการ ซึ่งแต่งตั้งมาโดย ส.ส. ที่มี ส.ส. ประเภท 2 ที่คณะราษฎรผู้ก่อการรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาเอง เปรียบกับ ส.ว. ยุคปัจจุบันที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร คสช. ดูแล้วที่แท้ก็มีต้นแบบมาจากคณะราษฎร 2475 ที่เหล่าด้อมส้มทั้งหลายเทิดทูน

โดยรายงานการสอบดังกล่าวได้ระบุไว้ในหน้าที่ 7 ในรายงานบางความน่าสนใจมาก ระบุว่า มีกรณีที่พระคลังข้างที่ให้ขายที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไป รวม 28 ราย ได้มีบัญชาให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ขายแล้ว แต่ยังมิได้กระทำการโอนทะเบียนการซื้อขายรวม 10 ราย รวมแล้วมีคนที่มีความผิดสำเร็จไปแล้วมากถึง 28 ราย และยังมีเกือบจะสำเร็จอีก 10 ราย รวมคณะโจรที่ยังไม่เปิดเผยชื่อและสกุลมาก่อนในประวัติศาสตร์จำนวน 38 ราย คงมีพระคลังข้างที่ที่รับซื้อไว้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 รายเท่านั้น คือ ซื้อจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา รายหนึ่ง กับซื้อจากนายจิตตะเสน ปัญจะ อีกรายหนึ่ง

ความในบางตอนในหน้าที่ 7 ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือในกรณีพระคลังข้างที่เป็นผู้ขาย ปรากฏว่าผู้ซื้อได้ถวายหนังสือขอพระราชทานพระมหากรุณายื่นต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้อความในหนังสือเป็นในทำนองเดียวกัน คือปรารภถึงความจำเป็นในส่วนตัวและหน้าที่ราชการว่าต้องมีที่อยู่เป็นหลักฐาน และขอซื้อที่ดินนั้น บางรายเสนอราคาขึ้นไป บางรายก็ไม่ได้เสนอราคา ขอไปในทำนองเดียวกันเลยว่าจะผ่อนใช้ราคาเดือนหนึ่งไม่ต่ำเท่านี้เท่านั้น หรือปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าเท่านี้เท่านั้น

ความบางตอนระบุไว้หน้าที่ 8 ในรายงาน บอกว่า เมื่อเรื่องพร้อมด้วยคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่และความเห็นของนายกรัฐมนตรีขึ้นไปถึงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ทุกเรื่อง ได้มีบัญชาสั่งให้เป็นทำนองเดียวกัน ความว่า ผู้ขอพระมหากรุณาเป็นผู้มีความดีความชอบในราชการแผ่นดิน และนายกรัฐมนตรีได้ถวายความเห็นว่าควรอยู่ในข่ายพระมหากรุณา จึงให้ขายที่ที่ขอพระราชทานเป็นราคาเท่านี้เท่านั้น คือราคาที่เจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่ตีขึ้นมาเองตามที่ตกลงกันไว้

ทีนี้ข้อสำคัญ ที่สำคัญอยู่ตรงนี้ ท่านผู้ชมจำให้ดีๆ ข้อความสำคัญระบุว่า และเกือบทุกรายให้ลดราคาลงหนึ่งในสาม ในฐานะพระมหากรุณา แล้วให้โอนโฉนดให้ไป ส่วนราคาให้ผ่อนใช้ตามส่วนที่ขอพระราชทานขึ้นมา คือถ้าใครขอผ่อนใช้กี่ปีก็ต้องให้เป็นไปอย่างนั้น รายเดือนก็ให้เป็นไปอย่างนั้น


ท่านผู้ชมเห็นเนื้อหาที่ผมอ่านให้ฟังไหม หนึ่ง ทรัพย์สิน ที่ดินพระคลังข้างที่ของพระมหากษัตริย์ถูกลดราคาลงไปถูกๆ ลดราคาให้ถึง 66 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้พวกนักการเมือง อดีตคณะราษฎร หรือคณะโจร และข้าราชการ แห่ซื้อกันในราคาถูกๆ สอง ผู้ซื้อทั้งหมดไม่ต้องซื้อเงินสด มิหนำซ้ำ ได้รับโอนที่ดินมาก่อน สามารถทยอยผ่อนทีหลังตามที่เสนอ โอ้โห นี่มันร่วมกันปล้นแล้ว ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร มหาโจรจริงๆ

และปรากฏต่อมาบางรายเมื่อโอนที่ดินให้แล้วมีการไม่ผ่อนด้วย คือได้รับโอนที่ดินมาแล้ว แล้วข้อตกลงที่ว่าจะต้องผ่อน ก็ดันทะลึ่งไม่ผ่อนอีก ผมไม่เคยเจอผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่หน้าด้านมากขนาดนี้

นอกจากนั้น ในรายงานหน้าที่ 9 ยังระบุด้วยว่า เรื่องนี้ดำเนินการไปอย่างลับและด่วน

การซื้อขายที่ดินได้กระทำกันภายในเดือนกรกฎาคมนั้น ได้ความตามคำเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังว่า เอกสารข้าราชการที่มีใบมาเกี่ยวข้องแก่การนี้เกือบทุกฉบับมีคำว่า "ลับ" และ "ด่วน" และปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ยังได้มีบัญชาสั่้งมาตามสำนักพระราชวัง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม อีกด้วยว่า โดยที่วันนี้มีเรื่องขอพระมหากรุณาเสนอขึ้นมาหลายรายรวมกัน และอนุญาตให้ขายตามที่ขอพระมหากรุณาขึ้นมา ว่าด้วยตามทางการแล้ว เมื่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีมติแล้ว จะต้องทำหนังสือส่งพระคลังข้างที่ แต่ทั้งนี้เพื่อจะให้เรื่องนี้ดำเนินไปโดยรวดเร็ว ก็ให้ราชเลขานุการในพระองค์ เชิญบัญชาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทั้งนี้ ไปให้เลขาธิการสำนักพระราชวังเพื่อดำเนินการต่อไป ในบัญชาฉบับนี้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนาม 2 ท่าน คือ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน เจ้าพระยายมราชท่านไม่ลงนามด้วย

การสอบสรุปว่าการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในครั้งนั้น ปรากฏว่าไม่มีผู้รับสอบพระบรมราชโองการ ทำให้การโอนที่ดินกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยในรายงานฉบับดังกล่าว หน้าที่ 65-69 ระบุว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 ว่าพระบรมราชโองการที่โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อและขายนั้น จะต้องมีรัฐมนตรีนายหนึ่งลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบ ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ ปรากฏว่าในช่องคำสั่งนั้นมีรัฐมนตรีนายหนึ่ง คือ พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง เขียนคำว่า "ทราบ" เฉยๆ ลงไปคำเดียว แล้วลงนาม แล้วที่หน้าบันทึกเรื่องแทนที่จะลงนามต่อท้ายพระปรมาภิไธยเป็นแบบแผนเหมือนกับทุกพระราชบัญญัติ คณะกรรมการพิจารณาลงความเห็นในหน้า 67 ว่า การลงนามว่า "ทราบ" หน้าบันทึกเรื่อง ของพระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรี ไม่ถือว่าเป็นการรับสนองพระบรมราชโองการ ผลทางกฎหมายจึงทำให้การซื้อขายที่ดินเหล่านี้ยังหาได้มีพระบรมราชโองการ ซึ่งจะเป็นผลสมบูรณ์ในทางกฎหมายในการซื้อขายได้ไม่

มิหนำซ้ำแล้ว คณะกรรมการชุดนี้ ที่พิจารณาเรื่องนี้ ยังลงความเห็นต่อหน้า 68 ด้วยว่า ในกรณีที่พระคลังข้างที่ขายที่เหล่านี้ไม่ต้องด้วยลักษณะการซื้อโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิขย์ มาตรา 1330, 1332 และ 1333 จึงเห็นว่าผู้ซื้อทุกคนไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนรับซื้อ และเห็นว่าเจ้าของทรัพย์สิน คือพระมหากษัตริย์ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะติดตามเอาคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และข้อความสุดท้ายที่คณะกรรมการที่ตรวจสอบเรื่องนี้ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีพระยาพหลฯ ตั้งขึ้นมา ได้ปิดท้ายในรายงานหน้าที่ 71 เอาไว้ว่า ข้อที่ให้มีการสนองพระบรมราชโองการนี้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนอีกด้วย สัญญาซื้อขายที่กระทำแล้วนั้น จึงเป็นการเสียเปล่า ไม่บังเกิดผลผูกพันแก่ฝ่ายใดเลย คู่กรณีย่อมคืนสู่ฐานะเดิม ลงนามวันที่ 26 ตุลาคม 2480 โดยท่านประธานกรรมการ นลราชสุวัจน์ อรรถการีย์นิพนธ์ สิทธิ จุลนานนท์ กรรมการ แม้น อรุณลักษณ์ กรรมการ พลางกูรธรรมพิจัย (เผดิม พลางกูร) กรรมการ พระยาสารคามคณาพิบาล ทิพย์ โรจนประดิษฐ์ กรรมการ

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมจะเปิดรายงานสรุปรายชื่อสกุล บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ รายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องมีมากถึง 38 ราย เพื่อความง่ายต่อการแบ่งหมวดหมู่ ผมขอบันทึกรายละเอียดเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรก คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้ว และยังไม่ได้คืนที่ดินให้เลย จำนวน 12 ราย

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้ซื้อ ได้รับโอนที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้ว กระทำความผิดสำเร็จไปแล้ว ต่อมาได้ยอมถวายคืน หรืออยู่ในระหว่างคืน จำนวน 14 ราย

กลุ่มที่สาม คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่า ได้เตรียมซื้อที่ดินเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับโอนที่ดิน จำนวน 10 ราย

เอาล่ะ เรามาดูกลุ่มแรกกัน กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ระบุว่ายังไม่ยอมคืนที่ดิน จำนวน 12 ราย


รายที่หนึ่ง แน่นอนที่สุด เจ้าเก่า ขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร) มีการซื้อที่ดิน 2 ครั้ง ครั้งแรกซื้อจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2176 เนื้อที่ 400 ตารางวา ริมถนนราชวิถี อำเภอดุสิต ซื้อราคา 4,000 บาท ผ่อนใช้เดือนละ 100 ซึ่งในรายงานระบุไว้ชัดเจน หน้า 10 ว่า ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน เท่าที่ทราบ ที่ดินผืนนี้ถูกเอาไปพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ระดับชั้นสูงแล้ว โดยลูกหลานตระกูลนิรันดร ปัจจุบันคือพื้นที่โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต บริเวณหัวมุมหน้าพระราชวังสวนจิตรลดา

ครั้งที่ 2 ขุนนิรันดรชัย ซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2306 เนื้อที่ 191 ตารางวา ริมถนนราชวิถี อำเภอดุสิต ซื้อในราคา 3,915 บาท ผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท ในรายงานระบุว่าผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน

ขณะที่เกิดเหตุ ขุนนิรันดรชัย เป็นอดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารบก เป็นคนสนิท มิหนำซ้ำยังเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้หลวงพิบูลสงคราม หรือ จอมพล ป. นั่นเอง ขณะเกิดเหตุนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการในพระองค์ของคณะผู้สำเร็จราชการ

ท่านผู้ชมครับ ผ่านไปแล้ว 87 ปี จนถึงปัจจุบัน แม้ พล.ท.สรภฎ นิรันดร บุตรชายขุนนิรันดรชัย จะทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษและต้องการถวายที่ดินคืน แต่จนวันนี้บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เห็นว่าที่ดินนี้มีราคาแพง ไม่ยอมมอบคืนให้ คัดค้านกัน

ในข้อเท็จจริง ท่านผู้ชมครับ และบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคุณเยาวณี หรือใครก็ตาม ลูกหลานท่าน ขอให้ทราบว่าผู้ครองกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ต้องทำหน้าที่ทวงคืนตามกฎหมาย


รายที่สอง คือ เรือเอกวัน รุยาพร อดีตสมาชิกคณะราษฎร สายทหารเรือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ เขาได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 603 เนื้อที่ 361 ตารางวา ผ่อนใช้เงินไม่น้อยกว่าปีละ 800 บาท รายงานคณะกรรมการตรวจสอบระบุว่ายังไม่ถวายคืน

ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 9 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ฟ้องร้องคดีความแพ่งกับ เรือเอกวัน รุยาพร เพื่อทวงคืนที่ดินกลับมา ขณะที่คำพิพากษาศาลฎีกาได้ตัดสินคดีความแพ่ง 784/2516 ว่า ให้คืนทรัพย์สินของนายเรือเอกวัน รุยาพร ให้ทรัพย์สินของนายเรือเอกวัน รุยาพร ที่มีอยู่นั้นเป็นโมฆะ ต้องคืนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะไม่มีการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

ท่านผู้ชมลองคิดดูนะครับ เรือเอกวัน รุยาพร อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร มาทำงานเป็นข้าราชการในวัง แต่หน้าด้านถือครองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จาก 17 มกราคม 2480 จนถึงคำตัดสิน คำพิพากษาศาลฎีกา วันที่ 18 เมษายน 2516 เป็นเวลา 36 ปี

ผมกำลังหาทางว่าทำอย่างไรให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์น่าที่จะฟ้องร้อง เรียกที่ดินคืนจากตระกูลนิรันดรชัย ให้เรียกคืนจากทรัพย์สินที่รัชกาลที่ 9 ฟ้องไปแล้ว คนพวกนี้ไปหลงเข้าใจผิดว่าที่ดินเป็นของตัวเอง อวดร่ำอวดรวยกัน ไม่รู้ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นยังอยู่สบายดีกันไหม หลักฐานแบบนี้ทำไมไม่ดำเนินการฟ้อง เพราะว่าได้มีการฟ้องมาแล้วสมัยรัชกาลที่ 9 แล้วศาลท่านพิพากษามาแล้วให้นายเรือเอกวัน รุยาพร คืนที่ดินให้ ตระกูลนิรันดรชัยก็ต้องโดนฟ้องเช่นเดียวกัน ผมอยากให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ช่วยปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังหน่อย ในฐานะที่เป็นข้าราชบริพารของราชวงศ์จักรี อย่าลืมนะครับ ฟ้องไปเลย เพราะพิสูจน์ชัดเจนแล้ว อ้างคำพิพากษาของศาลฎีกา


รายที่สามคือ ท่านดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ไป 2 ครั้ง ครั้งแรก ซื้อโฉนดเลขที่ 6609 เนื้อที่ 247 ตารางวา ราคา 7,000 บาท ตำบลคลองตัน ผ่อนใช้เดือนละ 300 บาท ต่อมาก็ได้คืนที่ให้พระคลังข้างที่ เมื่อวันที่ 20 เพื่อเปลี่ยนขอพระราชทานซื้อที่ดินเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นที่ดินที่ราคาแพงกว่า

ครั้งที่สอง วันที่ 10 กรกฎาคม 2480 พระยาดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ (ยม สุทนุศาสน์) ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2486 เนื้อที่ 403 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตึกสองชั้น ห้องแถวสามห้อง โรงรถสองชั้น ที่ถนนรองเมือง อำเภอปทุมวัน ในราคา 14,000 บาท ลดราคาจาก 26,475 บาท ผ่อนชำระในราคาปีละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท ในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบระบุไว้ในหน้าที่ 13 ว่า ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน


รายที่สี่ นายพันตำรวจตรีนาม ประดิษฐานนท์ อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 4238 เนื้อที่ 720 ตารางวา ซื้อในราคาตารางวาละ 8 บาท ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่ตีมาว่าราคาตารางวาละ 10 บาท ในรายงานคณะกรรมการตรวจสอบก็บอกว่ายังไม่ได้คืน


ห้า นายวิลาส โอสถานนท์ อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน และเป็น ส.ส. ประเภทที่สอง ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โฉนดเลขที่ 3845 เนื้อที่ 784 ตารางวา ริมถนนงามดูพลี ตำบลสาทร อำเภอบางรัก มีเรือนใหญ่หนึ่งหลัง มีครัวกับเรือนคนใช้หนึ่งหลัง ราคา 6,000 บาท ลดราคาจากที่ตั้งไว้ 9,000 บาท โอนที่ดินก่อน ให้ผ่อนชำระปีละ 1,200 บาท ทั้งๆ ที่พระคลังข้างที่ปล่อยให้เช่าได้อยู่แล้วเดือนละ 100 บาท นายวิลาส โอสถานนท์ จึงเหมือนได้ที่ดินพระคลังข้างที่มาเป็นทรัพย์สินโดยมีผู้เช่าเป็นคนผ่อนให้ ในรายงานฯ หน้าที่ 17 บอกว่า นายวิลาส โอสถานนท์ (ผู้ซื้อ) ยังไม่ได้ถวายคืน


รายที่หก นายนาวาตรี หลวงนิเทศกลกิจ ร.น. (กลาง โรจนเสนา) ผู้ก่อการคณะราษฎร และ ส.ส. ประเภทสอง ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 586 เนื้อที่ 224 ตารางวา ริมถนนดินสอ ตำบลสำราญราษฎร์ อำเภอพระนคร มีเรือนปั้นหยาสองชั้นหนึ่งหลัง กับครัวเป็นห้องแถวชั้นเดียวสองห้องหนึ่งหลัง ราคา 7,000 บาท ลดจากราคาที่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ 11,480 บาท ให้ผ่อนชำระเดือนละ 50 บาท และก็เหมือนกัน ที่ดินผืนนี้มีคนเช่าอยู่แล้ว เดือนละ 50 บาท ก็เท่ากับว่าคนที่ซื้อไปนอกจากได้ลดราคาแบบบ้าเลือดแล้ว ยังไม่ต้องผ่อนอีก เพราะมีคนเช่าที่อยู่แล้ว ในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบระบุไว้หน้าที่ 19 ว่า ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน


รายที่เจ็ด นายเอก สุพโปฎก ข้าราชการพลเรือน อดีตรองราชเลขานุการในพระองค์ ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1336 เนื้อที่ 474 ตารางวา ตำบลบางไส้ไก่ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี ราคา 2,844 บาท พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ 4,288 บาท ลดไปเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยระบุว่า หากนายเอก สุพโปฎก ยังรับราชการอยู่ ให้ผ่อนปีละ 600 บาท ถ้าไม่รับราชการประจำ ให้ผ่อนได้ไม่น้อยกว่า 300 บาท ยิ่งไปกว่านั้น นายเอก สุพโปฎก ได้ขอกู้เงินจากพระคลังข้างที่ 6.000 บาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย เพื่อสร้างบ้านใหม่บนที่ดินเดียวกัน และให้ผ่อนใช้คืนได้อีกเดือนละ 50 บาท โดยในรายงานคณะกรรมการตรวจสอบระบุเอาไว้ในหน้าที่ 19 ว่า ผู้ซื้อยังไม่ได้คืนให้


รายที่แปด นายเรือเอกกุหลาบ กาญจนสกุล (กำลาภ กาญจนสกุล) ผู้ก่อการคณะราษฎรสายทหารเรือ นายเรือเอกกุหลาบ ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โฉนดเลขที่ 429, 490, 560 และ 2469 เนื้อที่ 190 ตารางวาครึ่ง หลังตึกถนนหลวง ตำบลสามยอด อำเภอสำเพ็ง ป้อมปราบฯ พระนคร มีสิ่งปลูกสร้างคือเรือนปั้นหยาสองชั้นหนึ่งหลัง เรือนทรงโบราณหนึ่งหลัง ห้องชั้นเดียวหนึ่งหลัง โรงรถหนึ่งหลัง ราคา 6,734 บาท ลดจากราคาพระคลังข้างที่ 10,100 บาท ให้ผ่อนชำระปีละ 500 บาท คณะกรรมการตรวจสอบบอกว่ายังไม่ได้คืนให้


รายที่เก้า นายสอน บุญจูง ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โฉนดเลขที่ 2383, 2395 และ 2400 เนื้อที่ 524 ตารางวา ถนนซอยจากถนนรองเมือง ตำบลปทุมวัน มีเรือนสองชั้นใหญ่หนึ่งหลัง เรือนสองชั้นหนึ่งหลัง เรือนชั้นเดียวหนึ่งหลัง โรงรถหนึ่งหลัง ในราคา 4,584 บาท ลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตั้งราคาไว้ 8,734 บาท ในรายงานไม่ได้แจ้งว่ามีการคืนหรือไม่ได้คืน


รายที่สิบ นายร้อยเอก กระวี สวัสดิบุตร ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โฉนดเลขที่ 380 เนื้อที่ 264 ตารางวา ของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อยู่ถนนจักรพรรดิพงษ์ เชิงสะพานโสมนัส อำเภอนางเลิ้ง พระนคร มีเรือนสองหลังแฝด มีนอกชานระหว่างเรือนกับครัว ในราคา 5,480 บาท ราคาที่ตั้งเอาไว้คือ 8,220 บาท ที่ดินของรายที่สิบนี้ พระคลังข้างที่ได้ซื้อมาในมูลค่า 16,000 บาท ในรายงานก็ไม่ได้บอกว่าผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืนหรือไม่


รายที่สิบเอ็ด นายนาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) ซึ่งต่อมาได้เป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1909 ริมถนนองครักษ์ ตำบลบางกระบือ อำเภอบางซื่อ ในราคา 10,030 บาท ลดราคาจาก 14,000 กว่าบาท ในรายงานไม่ได้กล่าวว่าจะถวายคืนหรือยัง


รายที่สิบสอง นายเคลื่อน ณ นคร นายอำเภอราษฎร์บูรณะ ธนบุรี ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1825 เนื้อที่ 249 ตารางวา เชิงสะพานเทเวศร์ ตำบลบางขุนพรหม ลดราคาจาก 5,335 บาท ให้เหลือเพียง 1,557 บาท

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่บันทึกรายงานว่าเคยได้ที่ดินพระคลังข้างที่มาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวมาแล้ว ต่อมาได้คืนแล้ว และยังไม่ได้คืนอีก 14 ราย

เอาเฉพาะกลุ่มแรกที่ผมเล่าให้ฟังนั้น เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุด กลุ่มคนพวกนี้เป็นคนที่ลูกหลานที่เจริญเติบโตต่อมาทีหลัง ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้เจตนาจะให้ร้ายใครแต่นี่คือหลักฐานที่ชัดเจน หาได้จากบันทึกของการตรวจสอบ และได้มีการฟ้องร้องเป็นตัวอย่างไปแล้วในสมัยรัชกาลที่ 9 และได้ชนะคดี

ผมคิดว่า อยู่มานานแล้วจนกระทั่งลืมไปว่าที่ดินนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่ของตัวเอง ต้นตระกูลตัวเองไปปล้นเอามาจากเจ้า ไม่ว่าจะนามสกุลยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม ในข้อเท็จจริงมันเป็นเช่นนี้ ขนาดผมเป็นลูกเจ๊กลูกจีน ผมก็ยังรู้สึกทุเรศมากเลย นี่เป็นถึงนายทหารบ้าง เป็นข้าราชการพลเรือน เป็นศักดินาระดับใหญ่ มีตำแหน่งเป็นพระยา เป็นพระ แล้วปรากฏว่าลูกหลานช่วงหลังก็ร่ำรวยกันมหาศาล ท่านผู้ชมนึกดูที่ดินอยู่กลางสำเพ็ง ผมถึงจะขอว่าท่านคณะกรรมการ หรือท่านประธานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นท่าน พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล หรือเปล่า ถ้าท่านอยากได้เอกสารชุดนี้ เดี๋ยวผมจะเอาให้

เมื่อได้มีการฟ้องร้องเป็นตัวอย่างแล้วสมัยรัชกาลที่ 9 แล้วศาลฎีกาพิพากษาให้คนที่ยึดทรัพย์ของพระเจ้าอยู่หัวไป เอามาคืนซะ เป็นตัวอย่างแล้ว ทำไมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ฟ้องร้องบ้าง จะฟ้องร้องทรัพย์สินของขุนนิรันดรชัย เป็นตัวอย่างก็ได้ เพราะลูกหลานก็อวดร่ำอวดรวยกันทุกคน โคตรรวยเลย มีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน แต่มันบาดแผลที่สร้างเอาไว้ ความผิดพลาดของต้นตระกูลตัวเอง มีแค่ พล.ท.สรภฎ เท่านั้นเองที่รู้สึกสำนึกและพร้อมจะคืนให้ แต่บรรดาลูกหลาน ญาติพี่น้องตัวเอง ไม่ยอมคืนให้ อย่างนี้ผมไม่รู้ว่าพูดคำว่า มันเกินกว่าความหน้าด้านไปแล้วใช่ไหม ท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ และนี่ไง คณะราษฎร 2475 ที่พวกม็อบสามนิ้วเชิดชูว่าเป็นฮีโร่ และผมก็เป็นคนแรกที่ออกมาตระหน้าพวกนี้ว่า คณะราษฎร แท้ที่จริงแล้วก็คือคณะโจร

วันนี้มีเอกสารที่ตอกฝาโลงปิดให้เรียบร้อยแล้ว ว่าสิ่งที่ผมพูดว่าคณะราษฎรนั้น แท้ที่จริงเป็นคณะโจรนั้น เป็นคำพูดที่พูดไม่ผิด ผมอยากให้ผู้บริหารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ลงมาพิจารณาเรื่องนี้จริงจัง ทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง อะไรถ้าเป็นสมบัติของพระมหากษัตริย์ ให้เรียกคืนให้หมด

เด็กไร้ปัญญา พระราชาไม่เคยปลูกข้าวให้ประชาชน

ท่านผู้ชมครับ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีคน inbox ภาพๆ หนึ่งมาให้ผม เป็นภาพที่อ้างว่าเป็นนิสิตคณะเกษตรฯ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็คือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั่นเอง ถือป้ายเขียนว่า "เกษตรศาสตร์ คือศาสตร์ประชาชน ไม่ใช่ศาสตร์พระราชา พระราชาไม่เคยปลูกข้าวให้ประชาชน ประชาชนต่างหากที่ปลูกข้าวให้พระราชากิน" สืบค้นไปสืบค้นมามันเป็นภาพเมื่อปี 2563 คือสามปีที่แล้ว เอามาแชร์กันใหม่อีกครั้งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะวันที่ 13 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9


พอได้เห็นภาพที่คนส่งมาแล้ว ผมก็อดไม่ได้ ของขึ้นทันที เพราะภาพๆ นี้สะท้อนถึงความโง่เขลาเบาปัญญาอย่างบัดซบของคนรุ่นใหม่บางส่วนได้ดี หลายคนในคนรุ่นใหม่เป็นคนไร้ราก คิดอยากจะสร้างอนาคตใหม่ แต่กลับไม่รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ นอกจากไม่รู้แล้วยังไม่แสวงหาความรู้ด้วย สิ่งที่พูดออกมาก็เลยบิดเบี้ยว พวกนี้ พวกระยำตำบอนพวกนี้มันคิดว่าเขียนแล้วเท่ แต่มันไม่รู้หรอกว่าที่มันเขียนออกมานั้นคือความโง่บัดซบของพวกมันล้วนๆ

ยิ่งถ้าเด็กในภาพเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จริง หรือแม้กระทั่งจะเรียนคณะเกษตรฯ ที่มหาวิทยาลัยแห่งไหน ก็แสดงว่าพวกมันไม่ได้เข้าใจรากเหง้าของวิชาและสถาบันที่ตัวเองเรียนแม้แต่นิดเดียวว่า รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเป็นผู้บุกเบิกให้ชาวนาปลูกข้าว พัฒนาพันธุ์ข้าว โดยเฉพาะข้าวไทยพันธุ์ดี

ทุเรศบัดซบมากพวกนี้ มันมีความรู้มาจากไหน ถ้าผมเป็นคณบดี หรือผมเป็นอาจารย์ ผมให้มันสอบตกไปแล้วนะ

ทำไมผมรู้เรื่องนี้ดี ? พี่ชายผมีคนหนึ่งชื่อคุณสุเทพ ลิ้มทองกุล เขาเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบรุ่นเดียวกับภรรยาผมด้วย คืออาจารย์จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล

อาจารย์จันทน์ทิพย์ ก็จบที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ พี่ชายผม สุเทพ ลิ้มทองกุล รับราชการในกระทรวงเกษตรฯ ทำเรื่องข้าวมาชั่วชีวิต เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยข้าว กระทรวงเกษตรฯ ตอนนี้กลายเป็นกรมการข้าวไปแล้ว นอกจากนี้ คุณสุเทพยังได้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร จนเกษียณอายุในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ


ถ้าเด็กเวรพวกนี้ใส่ใจในการแสวงหาความรู้ได้สักหนึ่งในสิบของความกระตือรือร้นที่อยากแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์จริงๆ ก็จะรับรู้และรับทราบได้ไม่ยากว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องข้าวเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ และอาชีพทำนาก็ยังเป็นอาชีพหลักของชาวไทยอีกจำนวนมาก พระองค์จึงทรงค้นหาวิธีนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาทำนา เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของข้าวให้สูงขึ้น

2503 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งว่างเว้นไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วง 2479-2502 เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวนา


2504 ทรงมีพระราชดำริในการจัดทำพันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทานขึ้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้นำข้าวพันธุ์นางมลไปปลูกที่พระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อนำไปใช้ในพระราชพิธีพืชมงคล ในปีถัดไป นับเป็นครั้งแรกที่ชาวนามีพันธุ์ข้าวดีจากวังกระจายให้ชาวนาได้ปลูก โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว และทรงขับรถไถนา หรือควายเหล็ก ด้วยพระองค์เอง

ซึ่งภายหลังพระราชวังสวนจิตรลดายังเป็นแหล่งผลิตข้าวพระราชทาน ได้แก่ ข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ข้าวสังข์หยดพัทลุง นอกจากนี้ ยังมีข้าว กข 41 กข 6 ข้าวดอกพยอม และข้าวลืมผัว นั่นคือข้าวเหนียวพื้นเมืองสีดำเนื้อนุ่ม เพื่อพระราชทานให้กับกรมการข้าวนำไปขยายพันธุ์ให้ชาวนา


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าพันธุ์ข้าวเหล่านี้ถูกนำมาใช้และหว่านในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ชาวนาแย่งกันเก็บเมล็ดในพระราชพิธีที่ท้องสนามหลวงด้วย เมื่อก่อนที่พักของผมอยู่ถนนสุโขทัย ติดกับพระราชวังสวนจิตรลดา ถ้าท่านผู้ชมเคยเดินออกกำลังรอบๆ วังสวนจิตรฯ ท่านผู้ชมจะเห็นคอกวัว คอกควาย เห็นบางส่วนของแปลงนา เวลาฝนตกหรือไม่ตกก็ตาม ท่านผู้ชมจะได้กลิ่นดิน กลิ่นขี้วัว ขี้ควาย ลอยออกจากรั้ววัง

มีฝรั่งเคยถามผมว่า นี่คือพระราชวังสวนจิตรลดาที่พระมหากษัตริย์ของไทยอาศัยอยู่หรือ ทำไมถึงมีกลิ่นขี้วัว ขี้ควาย ลอยออกมาอย่างนี้ ฝรั่งตกใจครับ เพราะไม่มีพระราชวังที่ไหนในโลกหรอกที่จะเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เลี้ยงปลา ปลูกข้าว ทดลองทำการเกษตร ทฤษฎีต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคิดขึ้นมาและทดลองเพื่อให้เห็นผลจริง เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนำไปสานต่อ คนไทย ชาวนาไทย เกษตรกรไทย ไปทำต่อ หาเลี้ยงชีพได้


จริงๆ แล้วเรื่องข้าวเป็นแค่หนึ่งในโครงการในพระราชดำริ 4 พันกว่าโครงการที่พระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขความอดอยากยากจนของคนไทยตลอดพระชนม์ชีพ รวมไปถึงฝนหลวง เขื่อน ประตูระบายน้ำ โคนม ปลานิล หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การแก้ปัญหาดินเปรี้ยว ดินเค็ม โครงการเกษตรหลวงที่ดอยอ่างขาง เพื่อให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น มาปลูกพืชผลและดอกไม้

นอกจากนี้ ยังมีโครงการธนาคารโค กระบือ ให้เกษตรกรยืมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเกษตร โครงการชั่งหัวมัน แปลงทดลองเกษตรวิถีใหม่ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน เพื่อพัฒนาอาชีพการประมงและการเกษตร ในเขตที่ดินชายฝั่งทะเล และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน


ท่านผู้ชมครับ การที่เด็กๆ มหาวิทยาลัยเกษตรฯ หรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็ตาม ออกมาเขียนป้ายว่า "เกษตรศาสตร์ คือศาสตร์ประชาชน ไม่ใช่ศาสตร์พระราชา พระราชาไม่เคยปลูกข้าวให้ประชาชน ประชาชนต่างหากที่ปลูกข้าวให้พระราชากิน" นอกจากนั้น มีเด็กระยำอีกบางส่วนที่ตอนประท้วงเมื่อหลายปีก่อนยังเขียนป้ายด้วยว่า "ถ้า 4,000 กว่าโครงการดี ผ่านมา 70 ปี ทำไมเป็นแค่ประเทศด้อยพัฒนา" ท่านผู้ชมครับ พวกระยำพวกนี้มันชอบแสดงความคิดเห็นผ่านป้าย ความคิดเห็นผ่านป้ายนั้นมันแสดงให้เห็นถึงความโง่เง่าเบาปัญญาของคนเขียนโดยแท้ ส่วนคนที่นำไปแชร์ต่อ ต้องบอกว่า บัดซบยกกำลังสิบ นอกจากไม่รู้ว่าตัวเองโง่ ไม่มีความรู้แล้วยังไม่แสวงหาความรู้ จิตใจเต็มไปด้วยความอคติเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่างหาก


ท่านผู้ชมครับ ผมจะยกคำสอนทางพุทธศาสนาขึ้นมาเตือนใจผู้คน พ่อแม่ผู้ปกครองในยุคนี้ เพราะเยาวชนยุคหลังมันไม่สนใจธรรมะของพุทธศาสนา อาจจะไม่สนใจที่ผมพูดก็ได้ ถ้าท่านผู้ชมที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง มีลูกหลานที่พอจะพูดคุย อบรมได้ ผมอยากฝากเรื่องนี้เอาไว้ เป็นเนื้อหาที่ท่านประยุทธ์ ปยุตโต เคยสอนเอาไว้ตั้งแต่ท่านเป็นพระธรรมปิฎก หัวข้อเรื่อง การแสดงความคิดเห็นต้องคู่กับการแสดงความรู้ โดยท่านกล่าวว่า การศึกษาปัจจุบัน เดี๋ยวนี้พูดกันบ่อยว่าเด็กไทยไม่ค่อยชอบแสดงความคิดเห็น จะต้องแสดงให้เด็กไทย สนับสนุนให้เขามีความคิดเห็น อย่าลืมว่าการแสดงความคิดเห็นนั้นต้องตั้งอยู่บนฐานความรู้ ประเทศที่เจริญต้องเน้นการหาความรู้ ให้มีความใฝ่รู้บนฐานความรู้นั้น จึงจะแสดงความคิดเห็นได้เป็นหลักเป็นฐาน ถ้าไม่มีความรู้ ไม่รู้เรื่องราว ก็ได้แค่แสดงความคิดเห็นไปตามชอบใจ/ไม่ชอบใจ ไม่ใช่ความคิดเห็นที่เกิดจากความรู้ความเข้าใจ เหมือนกับความเห็นบนเฟซบุ๊ก เยอะแยะไปหมดเลยที่สักจะออกความเห็น แต่พวกคุณไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว และสิ่งที่ผมพย่ายามทำมา ขึ้นปีที่ห้าแล้ว คือการสร้างองค์ความรู้ให้ท่านผู้ชมที่เข้ามาดูรายการนี้

เอาล่ะ กลับมาถึงคำพูดของท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านเทศน์ว่า เพราะฉะนั้น การแสดงความคิดเห็นต้องมาคู่กับการหาความรู้ ให้ความคิดเห็นเกิดจากความรู้ความเข้าใจ และเป็นไปเพื่อพัฒนาปัญญา ไม่ใช่เป็นแค่ความคิดเห็นที่มาจากความชอบใจหรือไม่ชอบใจอะไร ถ้าเอาแค่ชอบใจ/ไม่ชอบใจ ก็พูดไปอย่างนั้นว่าฉันต้องการอะไร แต่ถ้าจะก้าวต่อไปว่า ที่ฉันต้องการนั้นควรจะได้หรือไม่ และแค่ไหน ตอนนี้ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ จะเอาแต่ชอบใจ/ไม่ชอบใจ ไม่ได้

ฉะนั้นการศึกษาทั่วไปจะเอาแค่ส่งเสริมให้เด็กชอบแสดงความคิดเห็น เดี๋ยวก็แสดงความคิดเห็นเหลวไหล ไร้สาระ เอาแค่พูดแข่งกัน ข่มกัน ทะเลาะกันไม่เป็นเรื่อง

แล้วนี่คือปัญหาใหญ่ของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพรรคก้าวไกล ที่ชอบพูดว่าการศึกษาต้องให้เด็กแสดงคิดเห็นอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นหยก หรือบุ้ง พวกนี้ เด็กมีสิทธิมีโอกาสแสดงความคิดเห็น ก็มึงแสดงความคิดเห็นไม่ใช่บนพื้นฐานความรู้ แต่แสดงความคิดเห็นบนความชอบหรือไม่ชอบ มึงไม่ชอบสถาบันกษัตริย์ มึงก็แสดงความคิดเห็นที่ใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์ โดยที่ไม่มีราก ไม่เข้าใจเรื่องราว

เอาล่ะ กลับมาที่คำสอนของท่านประยุทธ์ การที่จะให้มีการแสดงความคิดเห็น ก็เพราะต้องการจะส่งเสริมสติปัญญา เพื่อให้ได้ประโยชน์ ให้ได้แก่นสาร เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการส่งเสริมการหาความรู้ขึ้นมาเป็นคู่กัน โดยเฉพาะการส่งเสริมลักษณะนิสัย ให้มีคุณสมบัติเป็นผู้ใฝ่รู้ ในประเทศที่คนไม่มีความใฝ่รู้แต่ชอบแสดงความคิดเห็นนั้น จะไม่มีแก่นสารอะไร ข้างในกลวงหมด เป็นเรื่องใหญ่ที่ว่า ถ้าการศึกษาไปเน้นในด้านการแสดงความคิดเห็น ก็จะเป็นการข้ามขั้นตอน และนี่ ลักษณะกรอบการศึกษาเมืองไทยตอนนี้ เน้นเหลือเกิน ต้องให้เด็กแสดงความคิดเห็น มันต้องเติมด้วยการแสดงความคิดเห็นบนพื้นฐานของความรู้ ไม่ใช่ว่ากูชอบอันนี้ กูแสดงความคิดเห็นว่ากูชอบ กูไม่ชอบ ก็บอกว่ากูไม่ชอบอันนี้

ท่านประยุทธ์ พูดต่อ เวลานี้เป็นปัญหาของสังคมไทยอยู่แล้วที่ว่าคนมักชอบแสดงความคิดเห็นก้นมากโดยไม่หาความรู้ และเมื่อได้แสดงความคิดเห็นแค่ชอบใจหรือไม่ชอบใจแล้ว ก็เลิกกันไป หรือทะเลาะกัน ขัดใจกัน ไม่ได้ความรู้ความเข้าใจ และไม่หาความรู้อีกต่อไป

พระพุทธเจ้าตรัสเริ่มด้วยเรื่องอินทรีย์สังวรว่า ให้รับรู้ดูฟังด้วยสติ ทำให้ได้ความรู้ ได้ปัญญา ท่านให้มองอะไรด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่มองด้วยความชอบใจหรือไม่ชอบใจ เรื่องนี้เป็นหลักขั้นต้นของพุทธศาสนิกชนว่า จะมองอะไรไม่ใช่มองแค่ชอบใจ/ไม่ชอบใจ แต่ต้องมองด้วยความรู้ความเข้าใจและใช้มองด้วยความรู้ความเข้าใจ ก็ต้องมองตามเหตุปัจจัย

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็จบลงเพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้าถ้าทำข้อมูลได้ทัน ผมจะเอาเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ที่เป็นแพกเกจทั้งหมดเลยมานั่งฝากข้อคิดให้ท่านผู้ชมได้ร่วมกันคิดกับผมว่า ที่ผมเสนอมานี้มีเหตุผลไหม ไม่ได้ต้องการที่จะไปเตะตัดขาคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่มีอยู่ แต่ผมมีความรู้สึกว่าคณะกรรมการชุดนี้ค่อนข้างจะเลอะเทอะมากๆ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น