xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : ยิวคุมอเมริกา - อิสราเอลไม่มีวันชนะ - จากเด็กกำพร้าลูกชาวนาจนมาเป็น BYD - สงครามยูเครนมันจบแล้วครับนาย - นับถอยหลังสงครามโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 3 พ.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- 7 ฉากทัศน์สงครามอิสราเอล-ฮามาส นับถอยหลังสงครามโลก
- สงครามที่อิสราเอลไม่มีวันชนะ
- ยิว-ไซออนนิสต์คุมอเมริกา
- สงครามยูเครนมันจบแล้วครับนาย
- "หวัง ชวนฝู" จากเด็กกำพร้าลูกชาวนายากจน มาเป็นผู้นำ BYD ครองตลาดโลก

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.213



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 214 [3 พ.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ผมขอทักทายท่านผู้ชมที่ดูสดรายการนี้ทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ด้วยนะครับ

วันนี้มีหลายเรื่อง แต่ก่อนจะเปิดรายการนั้น เล่าให้ฟังว่าเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน คือเมื่อวานนี้ ศาลท่านได้นัดฟังคำสั่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีดำเลขที่ อ 4924/55 ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ร่วมชุมนุมกันที่หน้ารัฐสภา แล้วอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ฟ้องผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ และอดีตแนวร่วมฯ อีก รวมทั้งหมด 21 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร


ก็คือเมื่อฟ้องไปแล้ว คดีนี้ วันที่ 4 มีนาคม 2562 สี่ปีที่แล้ว ศาลอาญาท่านพิเคราะห์แล้วบอกว่าการชุมนุมของพวกเรานั้นเป็นการสัญลักษณ์ ปราศรัยที่สมเหตุสมผล ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 63 การชุมนุมไม่ปรากฏมีความรุนแรง หรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำทรัพย์สินเสียหาย พันธมิตรฯ เป็นฝ่ายถูกกระทำ ตำรวจเองทำเกินกว่าเหตุ ศาลเลยพิพากษายกฟ้อง


อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษพวกผม ก็ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ องค์คณะทั้งสามท่านก็อธิบายแต่ละข้อๆ ที่อัยการฟ้องมา โดยหักล้างข้อกล่าวหาของอัยการ คือฝ่ายโจทก์ เป็นข้อๆ จนในที่สุดแล้วท่านผู้พิพากษาทั้งสามในองค์คณะนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า พิพากษายกฟ้องตามที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษามา ก็ปรากฏว่ามีผู้พิพากษาคนหนึ่งในยุคนั้น สมัยนั้น ที่พิจารณาคดีนี้อยู่ระหว่างศาลอุทธรณ์ ท่านเป็นอดีตประธานศาลอุทธรณ์ ตอนนี้ท่านน่าจะถูกย้ายไปเป็นหัวหน้าองค์คณะศาลฎีกา หรืออะไรทำนองนี้ ท่านทำความเห็นแย้ง ท่านบอกว่าอยากจะให้ลงโทษพวกผม เอาไว้ผมจะเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ฟัง อาทิตย์หน้าแล้วกัน รายละเอียดผมคิดว่า ผมถือว่าความเห็นแย้งของท่านประธานศาลอุทธรณ์คนนั้นไร้เหตุผล และมีอคติมากกับพวกผม ทั้งๆ ที่ท่านผู้พิพากษาทั้งสามคนในองค์คณะนั้นมีความเห็นพ้องต้องกันทุกคน เรียกได้ว่าชนะ 3-0 ว่าให้ยกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ท่านก็ได้ชี้แจงแต่ละข้อๆ ที่อัยการฟ้องมาเป็นข้อๆๆๆ แล้วก็หักล้างได้หมดทุกเรื่อง ผมเพียงแต่เสียใจ แล้วอาทิตย์หน้าผมจะเปิดให้ฟังว่าประธานศาลอุทธรณ์คนนั้นชื่ออะไร


ท่านผู้ชมครับ ผม 75 ปีแล้ว เป็นไงเป็นกัน ผมไม่แคร์ ผมขอให้สังคมไทยได้รับทราบเหมือนกัน ผมจะเอาสปอตไลต์ส่องท่านอดีตประธานศาลอุทธรณ์คนนี้ ที่ทำความเห็นแย้ง ที่ทำติ่งไว้เพื่อให้อัยการฎีกาต่อไป ผมไม่แน่ใจว่าท่านรับงานอะไรใครมาหรือเปล่า แต่ผมคิดว่างานนี้การแสดงออกของท่านนั้น เป็นการแสดงออกที่มีอคติมากๆ กับจำเลย ซึ่งผมได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งต้น ทั้งอุทธรณ์ ว่าไม่ผิด แล้วอาทิตย์หน้าเรามาฟังกัน ไม่ต้องกลัว ท่านผู้ชม ผมไม่กลัวละเมิดอำนาจศาลหรอก ติดคุกเป็นติดคุก อายุขนาดนี้แล้วไปกลัวทำไม ไม่กี่วันก็ตายแล้ว แต่ถ้าสู้เพื่อความยุติธรรมแล้ว ถ้าผู้พิพากษาคนไหนใช้ไม่ได้ หรือเหลวไหล ผมก็จำเป็นต้องพูดออกมาเหมือนกัน แล้วรอฟังผมต่อไปนะครับ

อาทิตย์นี้ประเด็นรายการผมจะนับถอยหลังสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ว่ามันมีโอกาสไปสู่สงครามโลกหรือเปล่า

เรื่องที่สอง ผมได้เคยพูดเรื่องยิวไซออนิสต์มาแล้ว แต่วันนี้ผมจะอธิบายให้ฟังว่า ยิวไซออนิสต์ หรือประเทศอิสราเอล มันเกิดขึ้นมาได้เพราะกลุ่มที่เขาเรียกว่า คริสเตียนไซออนิสต์ แล้วผมจะเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ฟัง แล้วผมจะชี้ให้เห็นว่าตอนนี้คนเชื้อสายยิวคุมอเมริกา คนไม่กี่คนเอง แต่ว่าเป็นคนกำหนดนโยบายอเมริกาหมดทุกเรื่อง โจ ไบเดน เป็นแค่ตัวตลก ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเซเลนสกี เท่าไรนักหรอก เลอะเทอะไปหมด ก็ฟังดูแล้วกันครับ

ข้อที่สาม เป็นเวลานานแล้วที่เราไม่ได้พูดเรื่องสงครามยูเครน ผมจะเล่าให้ฟังว่า มันจบแล้วครับนาย มันจบจริงๆ นับวันได้เลยว่าสงครามจะปิดฉากอย่างแน่นอนที่สุด ด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของรัสเซีย

เรื่องที่สี่ ผมจะพูดถึงเรื่องสงครามล้างปาเลสไตน์ และผมจะอธิบายว่าสงครามนี้ทำไมอิสราเอลถึงไม่มีวันชนะได้

เรื่องสุดท้าย ท่านผู้ชมจำรถไฟฟ้า BYD ได้ไหม ชัยชนะรถยนต์จีน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า นายหวัง ชวนฝู ซีอีโอของ BYD นั้น ที่มาที่ไปเขาเป็นอย่างไร ลูกกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิต พี่สะใภ้กับพี่ชายเลี้ยงดูมา ลูกชาวนาจนๆ ปากกัดตีนถีบ จนกระทั่งเป็นผู้นำรถยนต์ที่ส่งออกสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ ชนะแม้กระทั่งเทสล่า


ท่านผู้ชมครับ เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว ผมและทีมงานจะเริ่มไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ เหมือนที่ทำเป็นประจำทุกปี เงินทอดกฐินนั้นก็มาจากเงินที่พี่น้องเช่าพระกันเข้ามา โดยในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายนนี้ จะไปที่วัดป่าภูแปกญาณสัมปันโน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และวันที่ 5 ก็จะมีตัวแทนไปที่วัดป่าไชยชุมพล อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน ไปที่วัดบึง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันอาทิตย์ที่ 12 ไปที่วัดป่าวังศิลา อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย วันอาทิตย์ที่ 12 เช่นกัน วัดธรรมสถิต อำเภอเมือง จังหวัดระยอง วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน วัดป่าพุทธนิมิตร อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร วันอาทิตย์ที่ 19 วัดป่าหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร อาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน (วันเดียวกัน) วัดป่าดอยลับงา อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

ท่านผู้ชมที่สนใจจะร่วมทำบุญกับพวกเรา โอนเงินเข้ามาได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เลขที่บัญชี 008-2-78777-1 หรือถ้าท่านผู้ชมอยากทำบุญโดยผ่านการจองพระ ก็รีบจองเข้ามา ยังพอมีเหลือจองอยู่ได้บ้าง แต่ไม่มากแล้ว


พระพุทธรูป "พระสยามพุทธาธิราช" 1 แสนบาท ส่วนเหรียญชุดละ 2 พันบาท สนใจติดต่อไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน @tambun

ท่านผู้ชมครับ อย่าลืม "2 ทศวรรษ รายการเมืองไทยรายสัปดาห์" โดยผม สนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ พร้อมแขกรับเชิญสุดพิเศษ ท่านผู้ชมที่อยากจะระลึกถึงความหลังในการจัด "เมืองไทยรายสัปดาห์" ยุคแรก เราจัดที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567 เวลา 13.00 น. ราคาบัตร 2,000 บาท และ 1,500 บาท ถ้าสนใจรีบมาจองบัตรกันได้ สอบถามรายละเอียดและจองบัตรได้ที่ไลน์ @sondhitalk


ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้ฤดูฝน คนเป็นหวัดเยอะมาก ควรมีฟ้าทะลายโจรเฉพาะใบ ของอาจารย์ปานเทพ พกติดตัว ติดบ้านไว้ เวลาเริ่มมีอาการเหมือนเป็นหวัด เช่น ไอ ไม่เฉพาะคันคอไอ ถ้าคันคอแล้วไอ ทานน้ำสักพักก็หาย แต่ถ้าไอ รู้สึกระคายคอ และไอต่อไปเรื่อยๆ รีบกินเลย 4 เม็ดต่อมื้อ 4 มื้อต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน ยิ่งกินเร็วยิ่งดี หรือเวลาเดินทาง ต้องไปอยู่ในที่คนเยอะๆ ก็กินได้เลย วันเสาร์นี้ผมจะเดินทางไปวัดป่าภูแปกฯ ขึ้นเครื่องบินไปที่เลย ผมบอกพรรคพวกแล้วว่าให้อัดฟ้าทะลายโจรไปเลย ตอนเช้า 4 เม็ด เที่ยงอีก 4 เม็ด เย็นอีก 4 เม็ด ก่อนนอนอีก 4 เม็ด กลับมาแล้วทุกวันกินให้ครบ 5 วัน

ส่วนคนที่ยังไม่ป่วย ให้เจริญด้วยธาตุไฟเสริมภูมิคุ้มกันไว้ ด้วยการกิน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ทุกวัน เพราะตามคัมภีร์การแพทย์แผนไทย ระบุว่า ถ้าเป็นผู้สูงวัย ในช่วงฤดูฝนให้กินยารสร้อน ขม และ หอมเย็น ทั้งหมดอยู่ในตำรายาลมฯ นี้ของอาจารย์ปานเทพ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ถ้าท่านสนใจ พิมพ์ไลน์ไอดี @sunherb


สุดท้ายนี้ เทศกาลเจที่ผ่านมา ปรากฏว่าขนมปังเจมันม่วงญี่ปุ่น ขนมปังเจฟักทองญี่ปุ่น และขนมปังเจใบเตยกะทิ ได้รับความนิยมมาก มีคนถามซื้อกันเยอะ ทางร้าน SUN PAN เลยตัดสินใจผลิตออกมาเป็นสินค้าประจำร้าน ไม่ได้ขายเฉพาะเทศกาลแล้ว สามารถหาซื้อได้ตลอดเวลาที่หน้าร้าน ส่วนโอเลี้ยงเจ้าเก่ายังมีอยู่ตลอด ใครสนใจลองแวะดูที่ร้านได้ ร้านอยู่ที่ปั๊ม ปตท. ราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีฯ


ท่านผู้ชมครับ แก้วที่ระลึกครบรอบ 4 ปี รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ (SONDHI TALK) ความจุ 350 ml. เก็บได้ทั้งร้อนและเย็นถึง 7-8 ชั่วโมง รายได้มอบให้มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล แก้วตอนนี้เหลือเพียงร้อยกว่าใบเท่านั้น เราสั่งมา 1 พันใบ ท่านที่สนใจรีบสอบถามเข้ามาทางกล่องข้อความ (inbox) รายการนี้ อย่าช้านะครับ ถ้าช้า หมด ไม่มีอีกแล้วนะครับ

ฉากทัศน์ ศึกยิว-ฮามาส นับถอยหลังสงครามโลก

ท่านผู้ชมครับ สงครามอิสราเอลกับปาเลสไตน์จะกลายเป็นสงครามโลกได้หรือเปล่า ? มาถึงวันนี้ รบกันมาสี่อาทิตย์แล้ว เกือบครบเดือน ผิดความคาดหมายของวงการมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตะวันตก อเมริกา ที่คิดว่าอิสราเอลน่าจะปราบพวกฮามาสได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หลายคนเปิดหูแต่ไม่เปิดใจ เน้นฟังข่าวจากสื่อโฆษณาชวนเชื่อจากโลกตะวันตกเป็นหลัก ก็ยังเข้าใจว่าเรื่องราวของสงครามครั้งนี้จะจบเร็ว เพราะเชื่อในพลานุภาพของแสนยานุภาพของกองทัพอิสราเอลที่ได้รับการหนุนหลังจากอเมริกา ที่ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส เจอรัลด์ ฟอร์ด ซึ่งถือว่าเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน กับเรือ ยูเอสเอส ดไวท์ ดี ไอเซนอาวร์ ไปคุมเชิง คอยเป็นแบ็ก แข็งแกร่งมาก


เมื่อกองทัพอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้น นำรถถัง นำทหารที่อ้างว่าระดมมาแล้วสามแสนนาย บุกเข้าไปในพื้นที่ฉนวนกาซา ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยในเวลาไม่นาน เพราะเปรียบเทียบความพร้อมทางด้านทรัพยากรระหว่างสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี งบประมาณ ต้องเรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว

แต่คนพวกนี้ ที่เชื่อทางตะวันตก กลับลืมคิดไปว่า ทางฝ่ายฮามาส กับปาเลสไตน์ และฝ่ายสนับสนุนนั้น ก่อนจะเปิดปฏิบัติการในวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม เขาได้มีการคิดอย่างถี่ถ้วนและจำลองฉากทัศน์ หรือ scenario ต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียดแล้วว่า ถ้าเกิดสถานการณ์เช่นนี้ อะไรจะตามมา จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง การจำลองฉากทัศน์สำหรับสงครามครั้งนี้มีหลายคนให้ความเห็นเอาไว้ แต่ผมเห็นว่ารายงานชิ้นหนึ่งของแคสเปียนรีพอร์ต ที่เพิ่งเผยแพร่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เขาทำได้ดี เข้าใจได้ง่ายมาก น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้ฟังที่สนใจในเรื่องสงครามครั้งนี้ และผลกระทบที่อาจจะขยายวงจนอาจก่อให้เกิดสงครามในระดับภูมิภาค หรือระดับโลก น่าจะรับรู้รับทราบเอาไว้ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับท่านผู้ชม


ฉากแรก ภายหลังการจู่โจมวันที่ 7 ตุลาคม ของกลุ่มฮามาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งอิสราเอลและชาวต่างชาติ ประมาณ 1,400 คน ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ถูกจับไปเป็นตัวประกันกว่า 200 คน อิสราเอลก็โจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่องกับฉนวนกาซา ปัจจุบันนี้ทิ้งระเบิดมาเดือนหนึ่งแล้ว มีการประเมินว่าไม่ถึง 7 วัน อิสราเอลทิ้งระเบิดในกาซาไปแล้ว 6,000 ลูก คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 4,000 ตัน เทียบเท่ากับระเบิดที่อเมริกาเคยทิ้งไว้ที่อัฟกานิสถานทั้งปี ทั้งๆ ที่พื้นที่ฉนวนกาซาเล็กมาก แค่ 365 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศอัฟกานิสถาน 1,800 เท่า


การยิงถล่มทางอากาศและปฏิบัติการล้างแค้นที่เกินขอบเขตและเกินกว่าเหตุของอิสราเอล ส่งผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เด็กเล็ก ผู้หญิง คนแก่ ต้องเสียชีวิต เป็นชาวปาเลสไตน์ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านลุกลามไปทั่วโลก แม้แต่การยิงขีปนาวุธซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นขีปนาวุธที่อิสราเอลเป็นคนยิงใส่โรงพยาบาล อัล-อาลีห์ ในกาซาซิตี มีคนเสียชีวิต 500 คน อิสราเอลก็ยังเดินหน้าทำให้เกิดภาพลบที่รุนแรงต่ออิสราเอล แต่อิสราเอลยังเดินหน้าใช้การปูพรมโจมตีทางอากาศกับพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าคนตายเพราะความกระหายเลือดของประเทศอิสราเอลนั้น 1 หมื่นคนแล้ว ครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง เด็ก และคนแก่


อย่างไรก็ตาม การโจมตีทางอากาศแต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดกลุ่มฮามาสให้สิ้นซากได้ ตามคำประกาศลั่นของนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล รวมถึงนายโยอาฟ กัลแลนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ที่กระหายเลือดเหมือนผีดิบ

ทั้งหมดนี้นำไปสู่การปฏิบัติการในเฟสต่อไป หรือฉากที่สอง คือภาคพื้นที่ของกองทัพอิสราเอลต้องบุกเข้าไปในพื้นที๋ฉนวนกาซาเพื่อจัดการกับกลุ่มนักรบฮามาส ซึ่งเชื่อว่าอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน


อุโมงค์ใต้ดินของกลุ่มฮามาสอยู่ลึกลงไปจากผิวดิน 20-30 เมตร บางส่วนลึกไปถึง 70 เมตร อุโมงค์ดังกล่าวมีความสูงเฉลี่ย 2 เมตร กว้าง 1 เมตร เพื่อป้องกันการเจาะทำลายจากขีปนาวุธ โดยได้ประเมินว่าปัจจุบันอุโมงค์ดังกล่าวนั้นถูกสร้างเป็นเครือข่ายราวกับใยแมงมุม และมีความยาวรวมกันกว่า 500 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้ปฏิบัติการทางพื้นดินเพื่อรุกเข้าไปยังพื้นที่ฉนวนกาซาเพื่อจัดการกวาดล้างกลุ่มฮามาสนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อาจจะเป็นฝันร้ายของทหารจากกองทัพอิสราเอลก็ว่าได้


วันที่ 17 ตุลาคม หลังจากการบุกของฮามาส 10 วัน จอห์น สเปนเซอร์ ประธานการศึกษาเกี่ยวกับการสงครามในเมือง ที่สถาบันสงครามสมัยใหม่ แห่งโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ ของอเมริกา เขียนบทความเรื่อง "ฝันร้ายใต้ดิน อุโมงค์ฮามาส และปัญหาน่าปวดหัวที่กองทัพอิสราเอลต้องเผชิญ" ผมสรุปมาให้ท่านผู้ชมฟังสั้นๆ ว่า

เมื่อต้องการตั้งรับ นักรบฮามาสจะใช้อุโมงค์เพื่อหลบหนีการสังเกตการณ์และการโจมตีของทหารอิสราเอล ความสามารถทางทหารใดๆ ก็ตามของฮามาสที่รอดพ้นจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดินกันทั้งสิ้น ฮามาสจะบรรจุผู้นำ นักรบ สำนักงานใหญ่ การสื่อสาร อาวุธ เสบียงต่างๆ เช่น น้ำ อาหาร กระสุน ไว้ในอุโมงค์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีภาคพื้นดินโดยกองกำลังอิสราเอล อุโมงค์ดังกล่าวจะช่วยให้นักรบฮามาสสามารถเคลื่อนที่ไปมาระหว่างตำแหน่งการต่อสู้ต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย แม้ว่ากองทัพอิสราเอลจะทิ้งระเบิดมูลค่าหลายพันปอนด์ใส่พวกเขาก็ตาม อุโมงค์ฮามาสมักจะมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การระบายอากาศ ท่อน้ำ และคลังอาหาร ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้นักรบกลุ่มฮามาสสามารถรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว เมื่อจนแต้ม ผู้นำและนักรบฮามาสจะใช้อุโมงค์ดังกล่าวเพื่อเคลื่อนที่ เพื่อหลบหนีจากพื้นที่สู้รบทั้งหมด เมื่อเขามีความรู้สึกว่าเขากำลังจะถูกปิดล้อมและพ่ายแพ้อย่างแน่นอนที่สุด ที่สำคัญ ฮามาสยังได้ขุดอุโมงค์ส่วนใหญ่ไว้ใต้และเชื่อมต่อกับสถานที่พลเรือน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล หรือมัสยิดในเขตเมืองอันหนาแน่น


เมื่อต้องรุกกลับ เมืองที่อยู่ใต้อุโมงค์นั้น นอกจากจะเอื้อต่อการตั้งรับและป้องกันแล้ว ในเชิงการจู่โจมอุโมงค์ดังกล่าวยังช่วยให้เขาบุกเข้าจู่โจมกองกำลังทหารอิสราเอลได้อย่างฉับพลัน นักรบฮามาสขุดอุโมงค์เพื่อแทรกซึมเข้าไปยังตำแหน่งด้านหลังของกองทัพอิสราเอลเพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับกองกำลังอิสราเอลที่อาจจะไม่ได้เตรียมพร้อม หรือมีอุปกรณ์สำหรับการสู้รบที่ดีพอ

อุโมงค์ที่เชื่อมต่อกันภายใต้เขตเมืองจะช่วยให้กลุ่มฮามาสเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วระหว่างตำแหน่งแห่งการโจมตีที่เตรียมพร้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นปืนไรเฟิลซุ่มยิง หรือที่เรียกว่า สไนเปอร์ อาวุธต่อต้านรถถัง เครื่องยิงระเบิด รวมทั้งอาวุธและกระสุนอื่นๆ

อุโมงค์ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การรบแบบกองโจรของฮามาส นักสู้จะตั้งจากทีมนักล่า นักฆ่า ขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ใต้ดิน แล้วจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาโจมตีและกลับเข้าไปในอุโมงค์อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้แล้ว ฮามาสยังใช้อุโมงค์เพื่อซ่อน เคลื่อนย้ายจรวด ซึ่งจรวดเหล่านี้สามารถจุดชนวนจากระยะไกล หรือขนส่งไปยังจุดปล่อยที่แอบซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งยากที่จะตรวจจับล่วงหน้าได้


ขณะเดียวกัน กลุ่มฮามาสยังมีอุโมงค์หลายแห่งที่ติดตั้งระเบิดน้ำหนักหลายร้อยปอนด์ไว้ เพื่อใช้เป็นระเบิดอุโมงค์ใต้ถนนสายหลักและอาคารต่างๆ ที่กองทหารอิสราเอลถูกล่อลวงเข้าไป

การเข้าไปปฏิบัติการในอุโมงค์เหล่านี้ถือเป็นความท้าทายทางยุทธวิธีอย่างยิ่งยวด จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ อย่างเช่น อุโมงค์บางจุดไม่มีอากาศหายใจที่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้ถังออกซิเจน เนื่องจากความลึกของอุโมงค์และข้อจำกัดของระบบระบายอากาศ นอกจากนั้นแล้ว แว่นตามองกลางคืนก็ไม่สามารถทำงานได้เมื่อไม่มีแสงเลย ส่วนอุปกรณ์นำทางและสื่อสารทางทหารใดๆ ที่ต้องอาศัยดาวเทียมหรือสัญญาณแนวสายตาก็ทำงานไม่ได้อย่างสิ้นเชิงในอุโมงค์แห่งนี้

นอกจากนี้แล้ว อาวุธที่ยิงกันในอุโมงค์ขนาดกะทัดรัด แม้แต่ปืนไรเฟิลก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนกับผู้ยิง และกองพลฝ่ายเดียวกัน ด้วยเหตุนี้นักรบฮามาสเพียงคนเดียวจึงมีศักยภาพในการยึดอุโมงค์แคบเอาไว้เพื่อต่อกรกับกองกำลังที่มีจำนวนและศักยภาพที่เหนือกว่าได้


ด้วยเหตุปัจจัยนี้เองที่ปฏิบัติการบุกเข้าไปในฉนวนกาซาของกองทัพอิสราเอลจะกลายเป็นนรกสำหรับเหล่าทหารอิสราเอลที่ต้องรับมือกับการรบแบบกองโจรของนักรบฮามาส ไม่ต่างกว่าทหารอเมริกาซึ่งเคยเผชิญหน้ากับนักรบเวียดกงในอุโมงค์สมัยสงครามในเวียดนาม

นอกจากนี้แล้ว หากย้อนประวัติการสู้รบครั้งใหญ่ๆ ที่ผ่านมาระหว่างอิสราเอลกับฮามาส จำนวน 4 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในปี 2549, 2551, 2555 และหลังสุดคือ 2564 ทุกครั้งอิสราเอลต่างจัดการกองกำลังฮามาสไม่ได้ ทั้งๆ ที่ศักยภาพและกำลังรบนั้นแตกต่างกันอย่างลิบลับ


มาถึงฉากที่สาม สถานการณ์สงครามหรือแนวรบนั้นไม่ได้จำกัดวงเฉพาะอิสราเอลกับฮามาสเท่านั้นแล้ว ที่ปรากฏในฉนวนกาซา พื้นที่ที่อยู่รอบทางใต้ของอิสราเอล (ผมจะเอาแผนที่ขึ้นมาให้ดู กรอบสี่เหลี่ยมหมายเลข 1 ในภาพ) แต่ยังมีแนวรบทางด้านเหนือของอิสราเอลที่ติดกับประเทศเลบานอน และที่ราบสูงโกลันในประเทศซีเรียด้วย (กรอบสี่เหลี่ยมหมายเลข 2 และหมายเลข 3) แนวรบนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งตั้งอยู่ในทั้งสองประเทศทางตอนเหนือ


สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ส่งผลให้มีรายงานว่า ในประเทศเลบานอนนั้น ผู้คนทางใต้ของเลบานอนได้ขนข้าวของอพยพหนีไปทางตอนเหนือเพื่อหนีตายจากภาวะสงครามจนถนนแออัด ด้วยหวั่นเกรงว่าสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ซึ่งก่อตัวขึ้นในฉนวนกาซา กำลังจะขยายวงกลายเป็นความขัดแย้งและทำให้เป็นสงครามใหญ่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ท่านผู้ชมครับ เรามารู้จักพรรคฮิซบอลเลาะห์กัน ฮิซบอลเลาะห์ เป็นพรรคของพระเจ้า ตัวเปลี่ยนเกมสงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือแปลความหมายว่า พรรคของพระเจ้า คือองค์กรทางการเมือง สังคม และการทหารของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงในประเทศเลบานอน


ฮิซบอลเลาะห์เกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือของอิหร่าน ในช่วงที่อิสราเอลเข้าไปยึดครองเลบานอนในต้นศตวรรษที่ 1980 หลังจากที่อิสราเอลถอนทหารออกจากเลบานอนเมื่อยี่สิบสามปีก่อน ฮิซบอลเลาะห์ยังยืนยันไม่ยอมวางอาวุธ ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรในสายทหารหรือกองกำลัง Islamic Resistance ต่อไป ซึ่งในบางด้านกองกำลังฮิซบอลเลาะห์มีศักยภาพสูงกว่ากองทัพเลบานอนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอำนาจการยิงของอาวุธต่างๆ

ผมเคยเกริ่นให้ฟังแล้วว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์นั้นเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมากกว่ากลุ่มฮามาสมาก โดยกองกำลังของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์นั้นมีความแข็งแกร่งเทียบเท่า หรือเหนือกว่าประเทศบางประเทศเสียด้วยซ้ำ จนกล่าวได้ว่านักรบฮิซบอลเลาะห์นั้นฝึกซ้อมเยี่ยงทหารและติดอาวุธดั่งกองทัพสหรัฐฯ


ฮิซบอลเลาะห์มีกำลังพลที่เป็นทหารถึง 1 แสนนาย ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสงครามในซีเรีย อิรัก หรือเยเมน ที่สำคัญกลุ่มฮิซบอลเลาะห์มีจรวดอยู่ในคลังแสงประมาณ 130,000-150,000 ลูก จรวดจำนวนมากในนั้นไม่ใช่จรวดที่ผลิตขึ้นง่ายๆ เหมือนกับที่กลุ่มฮามาสใช้ แต่เป็นขีปนาวุธที่มีความแม่นยำสูง ว่ากันว่าขีปนาวุธและแหล่งเงินทุนสนับสนุนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์มาจากประเทศอิหร่าน ที่จัดสรรเงินงบประมาณมหาศาลปีละ 700 ล้านดอลลาร์ หรือ 25,000 ล้านบาท ให้ทุกปี ด้วยเหตุนี้ พูดได้ว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์มีศักยภาพในการสู้รบกับกองทัพอิสราเอลได้สมน้ำสมเนื้อกว่ากลุ่มฮามาสมากมาย


ทั้งนี้ จากการปฏิบัติการภาคพื้นเพื่อบุกเข้าไปยึดฉนวนกาซาของกองทัพอิสราเอลดำเนินต่อไป ถึงขั้นกลุ่มฮามาสใกล้เพลี่ยงพล้ำ หรือว่าเกิดเหตุการณ์รุนแรง บีบให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ต้องกระโดดเข้ามาร่วมสงครามครั้งนี้อย่างเต็มตัวแล้วล่ะก็ อิสราเอลจะต้องรับมือกับแนวรบใหญ่ๆ พร้อมกัน 3 ทาง หนึ่ง สู้กับฮามาสที่ฉนวนกาซา สอง สู้กับฮิซบอลเลาะห์ ทางตอนเหนือติดกับเลบานอน และสาม สู้กับฮิซบอลเลาะห์ทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับซีเรีย บริเวณที่ราบสูงโกลัน และนี่คือเหตุผลว่าทำไมกองทัพอากาศของอิสราเอลถึงถล่มกรุงดามัสกัสของซีเรีย เหมือนกับรู้ว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์จะใช้ซีเรียเป็นพื้นที่ในการเริ่มการปฏิบัติการ


ที่ราบสูงโกลันสำคัญอย่างไร ? เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง มีพื้นที่ประมาณ 1,800 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างพรมแดนอิสราเอลและซีเรีย โดยอิสราเอลได้เข้าไปยึดครองพื้นที่นี้มาตั้งแต่กลุ่มประเทศอาหรับพ่ายแพ้สงครามให้อิสราเอลตั้งแต่สงคราม 6 วัน เมื่อปี 2510

จากแผนที่เราจะเห็นได้ว่าอิสราเอลยึดครองที่ราบสูงโกลันอยู่ประมาณ 1,200 ตารางกิโลเมตร ไม่ใช่ยึดได้ทั้งหมด อีกประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร ยังเป็นของซีเรีย อย่างไรก็ตาม ส่วนที่อิสราเอลสามารถเข้ายึดครอง ถือว่าเป็นดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์การทหาร และมีความอุดมสมบูรณ์


ตามแผนที่้ด้านบนเราจะเห็นได้ว่าที่ราบสูงโกลันถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญของอิสราเอล น้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่นี้จะไหลลงมาเพิ่มน้ำให้แก่แม่น้ำจอร์แดน อันเป็นแหล่งน้ำที่อิสราเอลใช้อุปโภคบริโภค และเป็นแหล่งน้ำ 3 ใน 4 ของทรัพยากรน้ำที่อิสราเอลมีอยู่ทั้งหมด

ด้วยความสำคัญทางยุทธศาสตร์เช่นนี้ ทำให้อิสราเอลย่อมมิอาจทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อไปยึดครองฉนวนกาซาได้ ยังต้องแบ่งกำลังมารับมือกับกองกำลังของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่อาจจะจู่โจมจากพื้นที่ตอนเหนือทั้งสองทิศทาง

เอาล่ะครับท่านผู้ชม ผมพูดถึงฉากที่หนึ่ง ฉากที่สอง ฉากที่สามแล้ว ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Scenario ตอนนี้มาฉากที่สี่


ด้วยจำนวนขีปนาวุธที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์สะสมมานาน อาจจะมากถึง 150,000 ลูก เป็นที่คาดเดาได้เลยว่า ถ้าสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์เปิดฉากขึ้น จะต้องมีจรวดจากทางฝั่งเลบานอน และซีเรีย ยิงปูพรมข้ามพรมแอนมาอิสราเอลเหมือนห่าฝน เพราะยุทธวิธีถล่มไอออนโดม (Iron Dome) ด้วยจรวด 5,000 ลูก ในเวลา 20 นาที ของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการเจาะระบบไอออนโดมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วถ้หากขีปนาวุธของฮิซบอลเลาะห์เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ของอิสราเอล ทางฝั่งกองทัพอิสราเอลคงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องยิงขีปนาวุธตอบโต้ รวมทั้งใช้แสนยานุภาพทางอากาศ กองทัพอากาศ ถล่มกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและซีเรียคืนบ้าง โดยกองทัพอากาศของอิสราเอลอาจจะดำเนินการโจมตีลึกเข้าไปในกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน หรือกรุงดามัสกัส ซึ่งได้ทำไปแล้วในเมืองหลวงของซีเรียเลยทีเดียว


เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้แล้ว กองทัพซีเรียและกองทัพอิหร่านซึ่งอยู่เบื้องหลังกลุ่มฮิซบอลเลาะห์อาจจะต้องเข้ามาร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และที่น่ากลัว ถ้าสถานการณ์เดินไปถึงจุดนั้น สงครามจะยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เพราะจะไม่ได้กลายเป็นสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์อีกแล้ว แต่ยกระดับกลายเป็นสงครามของภูมิภาคตะวันออกกลางไปโดยปริยาย


เอาล่ะ ท่านผู้ชม เรามาฉากที่ห้า scenario ที่ห้า เมื่อสถานการณ์ได้พัฒนาไปถึงจุดที่สงครามขยายวง จนอิหร่านและซีเรียต้องเข้ามาร่วมด้วย แน่นอนว่าพี่ใหญ่ของอิสราเอลอย่างอเมริกา ก็ต้องกระโจนเข้าร่วมวงอย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดการปฏิบัติการจากกองเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ ที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว คือ ยูเอสเอส เจอรัลด์ ฟอร์ด และ ยูเอสเอส ดไวท์ ดี ไอเซนอาวร์ ที่ลอยลำรออยู่แล้วในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

กองเรือบรรทุกฯ แต่ละลำนั้นมีเครื่องบินขับไล่อยู่ 70-80 ลำ มีเรือรบติดขีปนาวุธ 5 ลำ เรือพิฆาต 4 ลำ เรือลาดตระเวนพร้อมลูกเรือ 4,000-5,000 คน ซึ่งตอนแรกสหรัฐฯ ใจจริงแล้วไม่ได้อยากให้สถานการณ์ลุกลามไปถึงขั้นสงครามทั้งตะวันออกกลาง ก็ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปกั๊กไว้ 2 ลำ แต่ถ้าสงครามพัฒนาไปถึงจุดนั้นจริง อเมริกาหนีไม่พ้นต้องกระโดดเข้าร่วมวงช่วยอิสราเอลไม่ให้โดนรุมกินโต๊ะจากบรรดาชาติพันธมิตรชาติอาหรับ ซึ่งผมพูดประเด็นนี้ไปแล้วในตอนต้นๆ ในการวิเคราะห์ข่าวสงครามนี้ ผมบอกว่าอเมริกาส่งเรือบรรทุกเครื่องบินมากั๊กเอาไว้ ช่วยอิสราเอลทางอ้อม และถ้าอิสราเอลนั้นดูทีท่าจะเพลี่ยงพล้ำ พวกนี้ก็จะยื่นมือเข้าไปปกป้องอิสราเอลไม่ให้เพลี่ยงพล้ำหรือพ่ายแพ้

อย่างไรก็ตาม สงครามในรอบนี้จะแตกต่างไปจากสมัยสงคราม 6 วัน เมื่อปี 2510 หรือห้าสิบหกปีที่แล้ว อย่างสิ้นเชิง รวมทั้งไม่เหมือนสงครามปี 2549 ในกรุงเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน กินเวลาประมาณหนึ่งเดือนในตอนนั้น ฮิซบอลเลาะห์ยิงถล่มจุดต่างๆ ในอิสราเอลด้วยจรวดและขีปนาวุธ 4,000 ลูก ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน แต่สุดท้ายเจ๊ากัน ไม่มีใครชนะใคร


อย่างไรก็ตาม บทเรียนผ่านสงครามเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้สั่งสมกำลังและสั่งสมขีปนาวุธเพิ่มเติมจากเดิมกว่าสิบเท่า โดยจรวดขีปนาวุธที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่เพียงเพิ่มแค่ปริมาณ แต่มีพัฒนาการในเรื่องคุณภาพจรวด เป็นจรวดนำวิถี ซึ่งว่ากันว่ามีความแม่นยำในระดับ 10 เมตร ของเป้าหมายเลยทีเดียว ยังไม่นับเทคโนโลยีอันใหม่ อย่างเช่นโดรน อากาศยานไร้คนขับ ที่เราเห็นมาแล้วในสงครามยูเครน ในการจู่โจมอิสราเอลอย่างฉับพลันของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา


ท่านผู้ชมครับ เรามาถึงฉากที่หก scenario ที่หก ในการรับมือหยุดยั้งขีปนาวุธห่าฝนและโดรนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กองทัพป้องกันอิสราเอลหนีไม่พ้น ต้องขับเคลื่อนกองกำลังภาคพื้นบุกเข้าไปในเลบานอนและซีเรีย เพื่อบุกยึดพื้นที่พร้อมกัน ทั้งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องเคลื่อนกำลังทางอากาศจากกองเรือบรรทุกเครื่องบินทั้งสองลำที่ลอยลำอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าสนับสนุนปฏิบัติการยึดพื้นที่ในเลบานอนและซีเรียของกองทัพอิสราเอล แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย ลักษณะของภูมิประเทศ รวมถึงความเชี่ยวชาญในการสู้รบแบบกองโจร และความชำนาญในพื้นที่ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ จะทำให้ฮิซบอลเลาะห์ไม่ได้ด้อยไปกว่าการบุกของอิสราเอล มิหนำซ้ำ อาจจะยันกองทัพอิสราเอลได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้แล้ว ในเชิงอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ปัจจุบันยังครอบครอง มีศักยภาพ ยิงตอบโต้เรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกาได้อีก นั่นก็จะทำให้สงครามขยายวงออกไปอีกอย่างมากมาย

ท่านผู้ชมครับ เรามาถึงฉากสุดท้าย ฉากที่เจ็ด scenario ที่เจ็ด ในความหวั่นเกรงอีกประการหนึ่งของความเป็นไปได้ในสงครามในตะวันออกกลาง จะขยายเป็นสงครามที่ใหญ่และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปทั่วโลก คือในการสู้รบครั้งนี้มีการยิงถล่มสาธารณูปโภคสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่อาจจะตกเป็นเป้าหมายสำคัญ คือโรงงานผลิตและเก็บอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล ทางตอนเหนือของอิสราเอล มีอยู่ 3 แห่ง ที่เมืองท่า Haifa, Yodefat และ Elabun


ถ้าอิสราเอลถูกโจมตีจุดยุทธศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์จริง ก็อาจจะต้องมีการตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ของฝ่ายอิสราเอลและอเมริกาในการโจมตีจุดยุทธศาสตร์ทางนิวเคลียร์ของอิหร่านได้เช่นกัน

และถ้าสงครามอิสราเอล-ฮามาส-ปาเลสไตน์ ณ วันนี้ พัฒนาขยายวงไปสู่สงครามอิสราเอล-ฮิซบอลเลาะห์ และพัฒนาถึงจุดที่ผมพูดถึงข้างต้นเมื่อกี้นี้ ยังไม่ต้องพูดถึงตัวละครสำคัญๆ อื่นที่อาจจะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตุรกี รัสเซีย กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย หรือประเทศโลกมุสลิมอื่นๆ ด้วย มีแนวโน้มสูงว่าสงครามจะยกระดับกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงไปได้ทั่วโลกจริงๆ

อิสราเอลไม่มีวันชนะ

ท่านผู้ชมครับ แล้วสงครามระหว่างยิวกับปาเลสไตน์ ใครจะชนะ ? มีนักวิเคราะห์ที่ผมติดตามมาตลอด เป็นนักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำมากๆ ได้วิเคราะห์เรื่องสงครามในยูเครนออกมาตั้งแต่ต้นแล้ว ที่สื่อตะวันตกบอกว่ารัสเซียแพ้แน่นอน ปรากฏว่าเขาวิเคราะห์ให้เห็นเป็นฉากๆ ว่าอย่างไรยูเครนก็แพ้ และวันนี้ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่ายูเครนแพ้


ผมจะเอาคนแรกมาเล่าให้ฟัง คนนี้ชื่อ สกอตต์ ริตเตอร์ เขาเป็นนักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมัยก่อนเขาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของนาวิกโยธินสหรัฐฯ เขาเป็นอดีตผู้ตรวจสอบอาวุธของคณะกรรมการพิเศษแห่งสหประชาชาติ ได้วิเคราะห์สถานการณ์สงครามฉนวนกาซาอย่างน่าติดตามมาก

คลิปที่เขาออกชื่อ Monumental Oversight: Unveiling a Colossal Miscalculation สกอตต์ ริตเตอร์ เปรียบเทียบยุทธการในการทำสงครามของกองทัพยูเครนกับกองทัพอิสราเอลว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน ประการแรกที่เห็นคือ ยูเครน ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ต้องพึ่งพาเงินและอาวุธจากอเมริกาและชาติตะวันตกที่หนุนหลังให้สู้กับรัสเซีย ซึ่งรัสเซียเป็นกองทัพที่มีอาวุธเพียบพร้อมด้วยอาวุธทันสมัย ทั้งเครื่องบิน ขีปนาวุธ รถถังต่อต้านอากาศยาน ทหารราบจำนวนมาก โดยในการทำสงครามกับยูเครนนั้นเป็นการสู้รบตามแบบฉบับของการทำสงครามแบบแผนขนาดใหญ่อย่างแท้จริง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Conventional warfare ก็คือมีรถถัง ยิงปืนใหญ่ เข้าไปถล่มก่อน ส่งเครื่องบินไปถล่ม เอาทหารราบไล่ตามไป ยิงขีปนาวุธไปถล่มจุดต่างๆ นั่นคือที่เขาเรียกว่าสงครามแบบแผนขนาดใหญ่ Conventional warfare


อย่างที่สอง สกอตต์ ริตเตอร์ บอกว่า ถ้าเราหันมาดูสงครามฉนวนกาซาระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอลนั้น เป็นสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) โดยฮามาสใช้ยุทธวิธีและกลยุทธ์แบบสงครามกองโจรที่ติดอาวุธเบา โจมตีด้วยจรวด ระเบิดฆ่าตัวตาย มีเครือข่ายกลุ่มฮามาสซ่อนอยู่ในอุโมงค์ลับที่ต้านทานแรงระเบิดได้ ทำให้การทิ้งระเบิดของอิสราเอลไม่ได้มีผลกระทบต่อกลุ่มฮามาสในสงครามฉนวนกาซา

นอกจากนี้แล้ว กลุ่มฮามาสยังท้าทายอิสราเอล บอกว่าอย่าๆๆ อย่าช้า ให้รีบเข้ามาปฏิบัติการพิเศษยึดกาซาเลย เขาต้องการจะล่อลวงให้กำลังพลอิสราเอลมาติดกับดักของเครือข่ายนักรบกลุ่มฮามาสที่ฝึกอบรมและเตรียมตัวมาเป็นเวลาเป็นปีแล้ว ให้มา ที่ฮามาสเตรียมรับศัตรูด้วยอาวุธครบมืออยู่ในอุโมงค์ลับใต้ดิน ทุกอย่างที่อิสราเอลทำตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนฮามาสทั้งหมด ก็คือเดินตามแผนฮามาสเลยโดยที่ไม่รู้ตัว


ขณะที่กองทัพอิสราเอลที่มีแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือชั้นกว่า บุกโจมตีปาเลสไตน์แบบสุดโต่ง ใช้แนวทางการทหารรบแบบแตกหัก ชนิดทนได้ทนไป ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มด้วยปืนใหญ่ จ่อปฏิบัติการทางทหารบุกภาคพื้นดิน ตามสูตรเดิม ทำลายล้างปาเลสไตน์แบบเหมารวม สังหารผู้บริสุทธิ์ เด็กและผู้หญิงปาเลสไตน์จำนวนมากนับพันๆ คน ปิดล้อมฉนวนกาซาและขับไล่ชาวปาเลสไตน์นับล้านให้อพยพออกไป ยิงระเบิดใส่โรงพยาบาล ถล่มตึกรามบ้านช่องในฉนวนกาซาที่มีคนอยู่จำนวนมาก

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การทำสงครามสองแบบจึงไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ระหว่างสงครามยูเครน กับสงครามฉนวนกาซา ต้องดูที่ปฏิกิริยานายกรัฐมนตรีอิสราเอล นายเบนจามิน เนทันยาฮู ที่แสดงชัดเจนว่าต้องการทำลายกระบวนทัศน์เกี่ยวกับรัฐปาเลสไตน์ในข้อตกลงตามสนธิสัญญาอับราฮัม ปี ค.ศ. 2020 ที่ลงนามในปี 2563 ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นตัวตั้งตัวตี


ได้สร้างความแตกแยกขัดแย้งกันเองในระหว่างชาติอาหรับที่เป็นพันธมิตรอิสราเอล กับรัฐที่ไม่ใช่อาหรับ แต่เป็นประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง ทั้งอิหร่านและตุรกี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำตุรกี ประธานาธิบดีแอร์โดอัน ที่สนับสนุนรัฐปาเลสไตน์ ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาของยิวและอเมริกาว่ากลุ่มฮามาสเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย

ในอดีต การต่อต้านนโยบายอิสราเอลในตะวันออกกลาง เห็นได้จากปฏิกิริยาชาวอาหรับโกรธแค้นอิสราเอลที่เข้ามาทำสงครามกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนเมื่อปี 2549 และการที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซา ทั้งในปี 2551-2552 ในปี 2555 และปี 2557 แต่นายเนทันยาฮู ยังแสดงทีท่าชัดเจนว่าต้องการจะผนวกดินแดนเวสต์แบงก์และกวาดล้างเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป


ข้อตกลง Abraham Accords ปี 2020 ได้ทำลายแผนสันติภาพอาหรับที่เสนอโดยรัฐอาหรับเมื่อปี 2545 ที่ระบุเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่า รัฐอาหรับจะยอมรับสถาปนาความสัมพันธ์อิสราเอลก็ต่อเมื่ออิสราเอลได้คืนดินแดนที่ยึดครองของอาหรับในสงคราม 6 วัน พร้อมทั้งมีการอนุญาตให้รัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้นอย่างถูกต้องและมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่

นี่เป็นการทำลายแนวทางแก้ปัญหา เรียกว่าแนวทางสองรัฐ (Two States Solution) แต่ความจริงแล้วอิสราเอลไม่มีวันให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ ตราบใดที่ยังมีพวกไซออนิสต์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสื่อมวลชน ควบคุมอยู่ อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังไปแล้วในเรื่องประวัติศาสตร์ของคริสเตียนไซออนิสต์

อิสราเอลคิดและทึกทักเอาเองว่าจะสามารถชนะกลุ่มฮามาสได้ แต่โลกกำลังเห็นความจริงของการกระทำเกินขอบเขตอันโหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรมของผู้นำอิสราเอลที่กระทำการโจมตี ทิ้งระเบิดทำลายชีวิตและทรัพย์สินผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์ และมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านการกระทำของอิสราเอลที่มุ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา

ท่านผู้ชมครับ สกอตต์ ริตเตอร์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ต้องทำความเข้าใจว่ากลุ่มฮามาสต้องรู้ว่าพวกเขาต้องการให้เกิดอะไรขึ้น ถ้ากองทัพอิสราเอลเริ่มเปิดฉากยุทธการภาคพื้นดินเคลื่อนกำลังพลทางบกเข้าไปในฉนวนกาซาแล้ว ขณะที่กลุ่มฮามาสได้เตรียมพร้อมในสมรภูมิรบที่เขาชำนาญ ฝึกซ้อมมานานเป็นปี เพื่อเอาชนะสงครามในฉนวนกาซา และเขาเตือนสหรัฐฯ อย่าก้าวเข้ามาร่วมในสงคราม ชี้ว่าตัวต้นเหตุก่อสงครามคือบรรดานักการเมืองไซออนิสต์ที่ทรงอิทธิพล มีบทบาทสำคัญ คนพวกนี้คือคนที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุร้ายแรงในวันที่ 7 ตุลาคม แต่ไร้ความสามารถจะดับสงครามในวันที่ 7 ตุลาคม ได้

ตอนนี้น่าสนใจอย่างหนึ่ง ประชาชนชาวอิสราเอลเริ่มไม่ไว้วางใจนักการเมืองเหล่านี้อีกต่อไป เพราะตราบใดที่อิสราเอลและอเมริกายังมีนักการเมืองไซออนิสต์ ก็จะไม่มีสันติภาพในตะวันออกกลางอีกต่อไป พวกนักการเมืองไซออนิสต์เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียวต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ


สกอตต์ ริตเตอร์ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้อิสราเอลพ่ายแพ้ ไม่ใช่พ่ายแพ้เชิงยุทธศาสตร์ที่ทุกคนถูกฆ่าตายหมด แต่เป็นการพ่ายแพ้ที่ทำให้เกิดสันติภาพร่วมกัน ชาวยิวต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสงบสุข ปลอดภัย สกอตต์ ริตเตอร์ พูดว่า ผมต้องการให้อิสราเอลรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ยอดมนุษย์ ซูเปอร์แมน และไม่ได้วิเศษวิโสกว่าคนอื่น ก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดเนื้อและเจ็บปวดเหมือนกัน แต่ความบ้าและหลงตัวเองของยิวที่คิดว่าตนเองเก่ง ฉลาดกว่านั้น ไม่จริง สกอตต์ ริตเตอร์ ชี้ให้เห็นจากกรณีหน่วยข่าวกรองมอสสาดล้มเหลวด้านข่าวกรองก่อนเกิดเหตุวันที่ 7 ตุลาคม ความอวดดีคิดว่าตัวเองเหนือกว่าและรู้ทุกเรื่อง ไม่ได้ผ่านการใส่ใจทำงานหาข่าวกรองอย่างหนัก แม้แต่ mindset แนวความคิด ชุดความคิดของหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยุคนี้กลับไปพึ่งพาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากในอดีตความสำเร็จของ AI ระหว่างปฏิบัติการต่อต้านฉนวนกาซาในปี 2564 ทำให้มอสสาดของอิสราเอลพึ่งพาอัลกอริทึมที่ใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปในการปฏิบัติงานและวิเคราะห์ ทำงานเพียงแค่กดปุ่มควบคุมปืนใหญ่ออกจากห้องทำงาน และสังหารผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์

สกอตต์ ริตเตอร์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำไมคนในวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ ไม่มีใครสักคนตะโกนให้หยุดยิง เพราะถ้าใครทำอย่างนั้นจะโดนไล่ออก จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกโปรฮามาส และภารกิจของอิสราเอลต้องไม่หยุด ต้องฆ่ากลุ่มฮามาส ซึ่งเนทันยาฮู พูดว่า ฮามาสคือคนที่ตายไปแล้ว

แล้วอิสราเอลจะเอาชนะอย่างไรล่ะ ? สกอตต์ ริตเตอร์ ชี้ช่องว่า อิสราเอลสามารถชนะสงครามนี้ได้ด้วยการหยุดยิงก่อน ปล่อยให้ความช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ด้านมนุษยธรรมจากทั่วโลกเข้าไปในฉนวนกาซา รวมทั้งอาหาร น้ำ เชื้อเพลิง และเวชภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ต้องเปิดเจรจาโดยตรงกับกลุ่มฮามาสเกี่ยวกับการปล่อยตัวนักโทษ

นายเบอร์นีย์ แซนเดอร์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวในสภาฯ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ว่าต้องใช้วิธีนี้เช่นกัน แต่อิสราเอลไม่สามารถทำตามคำขอร้องของตนได้ แถมยังได้รับงบประมาณสนับสนุนในการช่วยเหลือการทำสงครามจากนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิวเช่นกัน


แต่ถ้าอิสราเอลปฏิบัติการทางรุกภาคพื้นดิน และล้มเหลวในภารกิจนี้ อิสราเอลอาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่จากมหกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ท่านผู้ชมครับ เรามาฟังดันเอกดักลาส แมคเกรเกอร์

พันเอกดักลาส แมคเกรเกอร์ เป็นอดีตที่ปรึกษาอาวุโสรัฐมนตรีกลาโหมยุครัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ ดักลาส แมคเกรเกอร์ กล่าวกับนายเคลย์ตัน มอร์ อดีตผู้สื่อข่าวของฟอกซ์นิวส์ ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการในยูทูบ ว่า สหรัฐฯ ไม่เข้าใจสถานการณ์ตะวันออกกลางได้เปลี่ยนไปมากแล้ว รัฐอาหรับได้เข้มแข็งขึ้น เป็นเอกภาพมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ จะนำอิสราเอลไปสู่ทุ่งสังหาร ทำลายล้าง และสงครามตะวันออกกลางจะลุกลามบานปลาย และจะต้องปะทะกับอิหร่านและตุรกี

นอกจากนี้ วันที่ 26 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ รายการของนายทัคเกอร์ คาร์ลสัน อดีตพิธีกรชื่อดังของฟอกซ์นิวส์ ได้สัมภาษณ์พันเอกแมคเกรเกอร์ ด้วย เป็นประเด็นวิเคราะห์จุดเสียเปรียบและได้เปรียบในกรณีกองทัพสหรัฐฯ ต้องปะทะกับอิหร่านโดยตรงในสงครามฉนวนกาซา


พันเอกดักลาส แมคเกรเกอร์ ได้พูดว่า ประการแรก อเมริกาจะเสียเปรียบในเรื่องการวางตำแหน่งกำลังพล ซึ่งปัจจุบันทหารอเมริกามีอยู่ 450,000 คน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในสมรภูมิสงครามยูเครน-รัสเซีย ถ้าโยกย้ายกำลังพลจากยุโรปมาตะวันออกกลาง จำเป็นต้องพึ่งกำลังนาวิกโยธินในพื้นที่ 2,000 นาย รวมทั้งหน่วยรบพิเศษ ซึ่งไม่นานมานี้มีข่าวว่าถูกระดมยิงจนต้องถอนตัวออกจากการเข้าปฏิบัติการกับกลุ่มฮามาสในพื้นที่ฉนวนกาซา

ประการที่สอง พันเอกดักลาส แมคเกรเกอร์ ยืนยันว่าอิหร่านมีความแข็งแกร่ง แม้จะโดนสหรัฐฯ คว่ำบาตรยาวนาน แต่อิหร่านสามารถฝ่าวิกฤตมาได้ด้วยการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่พึ่งตัวเอง ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางการทหาร อิหร่านพัฒนาขีปนาวุธของตัวเอง โดรนพิฆาตรุ่นใหม่ รวมถึงโดรนกามิกาเซ่รุ่นต่างๆ ที่รัสเซียเอามาใช้เพื่อเข่นฆ่าทหารฝ่ายนาโตและยูเครน

ประการที่สาม อเมริกาส่งเรือบรรทุกเครื่องบินมา 2 กองเรือ ไปประจำการในทะเลสาบเมดิเตอร์เรเนียน แต่ในยุทธภูมิตะวันออกกลาง อิหร่านมีระบบขีปนาวุธที่แม่นยำที่ติดตั้งไปกับโดรนพิฆาตรุ่นใหม่ ล่าสุดเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมานี้ รัฐบาลอิหร่านได้เปิดตัวโดรนพิฆาต ชื่อ Mohajer-10 สามารถบินได้โดยไม่หยุดพัก ที่ระดับความสูง 7,000 เมตร พิสัยทำการไกลถึง 2,000 กิโลเมตร ซึ่งหมายความว่าจากอิหร่าน โดรนนี้สามารถไปถล่มเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ ของสหรัฐอเมริกาได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย ถ้าส่งไปสัก 100 ลำ


โดรนดังกล่าวของอิหร่านสามารถบินถึงอิสราเอล ซึ่งอยู่ห่างจากอิหร่านประมาณ 1,720 กิโลเมตร ซึ่งโดรนนี้บินได้เกินกว่า 2,000 กิโลเมตร และสามารถยิงโจมตีใส่กองเรือสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำ จะทำให้กองเรือสหรัฐฯ ตกอยู่ในอันตรายอย่างมากมา ย

เพราะฉะนั้นแล้ว ดักลาส แมคเกรเกอร์ มีความเห็นว่า อเมริกาไม่ควรเข้ามาร่วมสงครามในฉนวนกาซา เพราะเสี่ยงที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับอิหร่าน รวมทั้งตุรกี และที่สำคัญคือรัสเซียด้วย

พันเอกดักลาส พูดอย่างนี้ครับ เรากำลังยกระดับสถานการณ์ในทุกทิศทาง ดูเหมือนสหรัฐฯ คิดว่าการเพิ่มอัตรากำลังพลและอาวุธได้ผล สหรัฐฯ เคยลองวิธีนี้แล้วในยูเครน ยิ่งสหรัฐฯ สนับสนุน ยิ่งทวีความรุนแรง ทำให้สถานการณ์บานปลายเหมือนกับวันนี้ที่ยูเครนกำลังตกอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง

ดักลาส แมคเกรเกอร์ พูดว่า ผมกลัวมากว่าถ้าสงครามในภูมิภาคนี้เกิดขึ้นอย่างที่ผมจินตนาการไว้ สุดท้ายแล้ว ดักลาส แมคเกรเกอร์ บอกว่า จะไม่มีประเทศอิสราเอลหลงเหลืออยู่เลย นี่คือคำเตือนสุดท้ายของ พันเอกดักลาส แมคเกรเกอร์ อดีตที่ปรึกษาอาวุโสด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิด อิสราเอลไม่ได้พ่ายแพ้สงครามในสนามรบ แต่อิสราเอลกำลังพ่ายแพ้ทางการเมือง เพราะเป็นครั้งแรกที่ทั่วโลกเริ่มเข้าข้างกลุ่มฮามาส มีคนพูดว่าอิสราเอลจะไม่มีวันเอาชนะฮามาสได้ เพราะฮามาสเป็นอุดมการณ์ ยิ่งฆ่ายิ่งโต วิธีที่จะชนะฮามาสได้คือนั่งลงเจรจาหยุดยิง เปิดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้ไหลเข้าสู่กาซา และยอมรับข้อเท็จจริงว่า รัฐปาเลสไตน์จำเป็นต้องเกิดขึ้นและคงอยู่ แล้วต่างคนต่างอยู่

ท่านผู้ชมครับ นี่คือบทวิเคราะห์ที่ผมคิดว่าน่าจะลึกซึ้งที่สุดตั้งแต่มีคนวิเคราะห์เรื่องนี้มา

ยิวคุมอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยคิดว่าผมจะอธิบายเรื่อง "ยิวไซออนิสต์" ให้ฟัง เพราะท่านผู้ชมหลายท่านอาจจะได้ฟังมาเยอะ แต่ไม่รู้ความหมายของมัน แต่เผอิญผมได้มีโอกาสอ่านบทความชิ้นหนึ่งของรุ่นน้องคนหนึ่ง โรงเรียนอัสสัมชัญ ชื่อคุณธราพงษ์ รุ่งโรจน์ เป็นนักบิน ชื่อกัปตันนัท เป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญ หมายเลขประจำตัว 232684 ผมก็อยู่อัสสัมชัญศรีราชา ถ้าเป็นยุคที่ผมอยู่ หมายเลขประจำตัวก็ 1 พันกว่าเอง แสดงว่าถ้าเป็นอัสสัมชัญกรุงเทพฯ หมายเลขประจำตัวผมน่าจะอยู่ที่หลักหนึ่งพันหรือสองพันกว่า สำหรับผมเป็นรุ่นอา หรือรุ่นพ่อของกัปตันนัท แต่ไม่เป็นไรครับ


กัปตันนัท เขาเขียนในเพจของเขาชื่อเพจ นัทแนะ เขาอธิบายให้ฟังเรื่องของคริสเตียนไซออนิสต์ ว่ามันคือตัวพ่อของยิวไซออนิสต์ แต่ผมอ่านแล้วผมเห็นด้วยเยอะเลยในหลายประเด็น ผมก็เลยจะเอาข้อเขียนของกัปตันนัท และความรู้ส่วนตัวผมในเรื่องพวกนี้เอามาอธิบายให้ฟัง

กัปตันนัทบอกว่าจริงๆ แล้วมันมีคริสเตียนไซออนิสต์ มันมีเนื้อหาว่า กลุ่มคนที่สนับสนุนให้ชาวยิวไปตั้งประเทศในอิสราเอลนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่ชาวยิว แต่เป็นชาวคริสต์ ที่เรียกว่า คริสเตียนไซออนิสต์


คำว่าไซออนิสต์ (Zionist) มีความหมายว่า คนที่สนับสนุนการตั้งรัฐชาวยิว หรือรัฐอิสราเอล ทำให้บ่อยครั้งมีคนเข้าใจผิดว่ากลุ่มคนที่เป็นไซออนิสต์นั้นเป็นชาวยิวทั้งหมด ไม่ใช่ครับ การเป็นคนยิวเป็นเรื่องหนึ่ง การสนับสนุนให้ตั้งรัฐอิสราเอลนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยังมีคนยิวอีกเยอะที่ไม่ได้สนับสนุนการตั้งรัฐยิวในประเทศอิสราเอล ชาวยิวกลุ่มนี้เป็นพวกหมอสอนศาสนาชาวยิว หรือที่เรียกกันว่า rabbi เคร่งครัดมาก เขามองว่าการที่ชาวยิวต้องเร่ร่อนมาหลายพันปีนั้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการลงโทษชาวยิว




และมีคนที่ไม่ได้นับถือศาสนายิวอีกมากมาย เช่น คริสเตียนไซออนิสต์ ที่เป็นชาวคริสต์ แต่กลับสนับสนุนให้ชาวยิวตั้งรัฐอิสราเอลได้สำเร็จ พวกคริสต์ไซออนิสต์พวกนี้ เป็นชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์กลุ่มหนึ่งที่ชาวยิวรู้จักกันในนามว่า Evangelical คือพวกที่บ้าระห่ำ เคร่งครัดในคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อทุกอย่างในคัมภีร์ไบเบิลหมด ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่ไถ่บาปอย่างแท้จริง คือพวกนี้จะเชื่อสิ่งต่างๆ ที่เขียนในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นเรื่องจริงและเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในตอนท้ายๆ ที่ไบเบิลเล่าถึงมหาสงครามอารมาเกดโดน (Armageddon) ที่จะเป็นสงครามสุดท้ายระหว่างฝ่ายมนุษย์ที่เป็นคนบาป กับกองทัพสวรรค์ของพระเจ้า จากนั้นพระเยซูจะลงมาที่โลกจริงๆ เพื่อพิพากษาคนบาปจริงๆ ที่เขาเรียกว่า Day of Judgement ก็คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าใครไม่ได้นับถือ ไม่อ่านไบเบิล ไม่ถือพระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นคนบาปหมดทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิม หรือชาวพุทธ ไม่ละเว้นเลย ท่านผู้ชมว่ามันสุดโต่งไหม ? โคตรจะสุดโต่งเลย

ดังนั้น เมื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลเขียนว่าชาวยิวจะได้กลับไปตั้งรัฐอิสราเอล ซึ่งเป็นแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาจะมอบให้ชาวยิว นั่นคือที่มาของเพลง The Exodus ที่มีท่อนหนึ่งบอกว่า God gave this land to me คือ ดินแดนนี้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้มอบให้ เพราะเขายึดถือคัมภีร์ไบเบิล

พวกคริสเตียนกลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องทำให้รัฐอิสราเอลเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าของเขาประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น และนี่คือเหตุผลที่เกิด "คริสเตียนไซออนิสต์" ขึ้นมา

คริสเตียนไซออนิสต์ มีอยู่เป็นจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะพวกที่เคร่งศาสนาในนิกายโปรเตสแตนต์ คริสเตียนไซออนิสต์ในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 70 ล้านคน ขณะที่ชาวยิวทั่วโลกมีแค่ 14 ล้านคน คือแปลว่าอเมริกานั้นมีคนที่สนับสนุนรัฐอิสราเอลมากที่สุดในโลก

บรรดาโบสถ์ของพวกคริสเตียนไซออนิสต์นั้น มักจะจัดกิจกรรมระดมทุนเพื่อหาเงินส่งไปช่วยอิสราเอล เช่น โบสถ์คอร์เนอร์สโตน ในรัฐเทกซัส โบสถ์นี้แห่งเดียวระดมเงินไปช่วยอิสราเอลได้ถึง 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้บาทหลวงที่บริหารโบสถ์และสมาคมชาวคริสต์ที่สนับสนุนอิสราเอลนั้น กลายเป็นผู้มีอิทธิพลไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น บาทหลวงจอห์น ฮากี ซึ่งถ้าฟังไปแล้วจะเคลิ้มตามไปว่าชาวยิวคือคนของพระเจ้า จนลืมไปว่าโลกใบนี้มีชาติอื่น ศาสนาอื่นเหมือนกัน


อีกธุรกิจหนึ่งที่โบสถ์เหล่านี้นิยมทำกันเป็นล่ำเป็นสัน คือจัดทัวร์ไปอิสราเอล คำถามคือ ไปแล้วทำไม ? และไปทำไม ? คำตอบคือบาทหลวงพวกนี้จะพาลูกทัวร์คริสเตียนไซออนิสต์ไปชมสถานที่ต่างๆ ที่ถูกระบุในพระคัมภีร์ไบเบิล โดยมีไฮไลต์อยู่ที่เนินเขาลูกหนึ่งชื่อ เนินเขา มากิดโด ซึ่งเป็นที่มาของ อารมาเกดโดน สงครามล้างโลก


บาทหลวงที่พาไปทัวร์ อธิบายอย่างเร้าใจ ออกรสออกชาติว่า ที่เนินเขาลูกนี้เป็นสถานที่เกิดมหาสงครามอารมาเกดโดน เป็นที่ๆ กองทัพสวรรค์ของพระเจ้าจะลงมาจัดการกับพวกซาตาน ทูตสวรรค์ปลอม กองทัพชาวโลกที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ ก็คืออย่างผมที่นับถือศาสนาพุทธ หรือชาวอิสลามที่นับถือพระอัลเลาะห์ จากนั้นพระเยซูจะกลับมาบนโลกเพื่อตัดสินให้คนบาปเหล่านั้นไปลงนรก

ทีนี้มีคำถามว่าแล้วเมื่อไรจะเกิดสงครามอารมาเกดโดนเสียที คำตอบคือ ในไบเบิลเขียนว่า มหาสงครามจะเกิดขึ้นหลังจากที่ชาวยิวตั้งรัฐอิสราเอลได้สำเร็จ ดังนั้นเหตุผลที่คริสเตียนไซออนิสต์สนับสนุนการตั้งรัฐอิสราเอลนั้น ไม่ใช่เพราะรักชาวยิว แต่เขาต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามคัมภีร์ไบเบิล เพื่อที่จะให้พระเยซูกลับลงมาบนโลกอีกเป็นครั้งที่สอง จุดหักมุมอยู่ที่ว่า ในวันพิพากษาโลกโดยพระเยซูนั้น ชาวยิวสองในสามต้องล้มตาย ส่วนชาวคริสต์ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าชาวยิวคิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เวลานี้อิสราเอลได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจากการที่มีชาวคริสต์ ไซออนิสต์คอยสนับสนุนอยู่


นอกจากจะระดมเงินทุนแล้ว คริสเตียนไซออนิสต์ยังพยายามช่วยล็อบบี้ผ่านทาง ส.ส. หรือฝ่ายนิติบัญญัติของอเมริกา เพื่อให้รัฐบาลอเมริกันสนับสนุนทั้งการเงินการทอง นโยบายต่างประเทศ เพราะฉะนั้นแล้ว อิสราเอลเลยเป็นชาติอันดับหนึ่งในโลกนี้ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากอเมริกาอย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างที่ผมเล่าให้ฟังแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนอิสราเอลเป็นประจำปี มากถึงปีละเกือบ 140,000 ล้านบาท จึงไม่มีใครเอาผิดอิสราเอลที่สหประชาชาติระบุมา

กลับมาถึงข้อมูลต่อไปเพิ่มเติม เมื่อเรามองในแง่การเมืองแล้ว ในเมื่อมีชาวอเมริกันซึ่งเป็นคริสเตียนไซออนิสต์มากถึง 70 ล้านคน พรรคการเมืองทั้งเดโมแครต และรีพับลิกัน จึงไม่สามารถละเลยคนกลุ่มนี้ เพราะเป็นเสียงโหวตขนาดใหญ่มาก มีถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรสหรัฐอเมริกา เราจะเห็นได้ว่านโยบายสหรัฐฯ ที่สนับสนุนอิสราเอลอยู่เรื่อยๆ ออกมาตลอดเวลา

ทีนี้เรามาดูให้ใกล้ชิดนิดหนึ่ง เราจะได้เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เรามาดูรัฐมนตรีและทีมงานรอบกายโจ ไบเดน ถ้าเราจะพูดถึงอิทธิพลชาวยิวในแวดวงการเมือง และการกำหนดนโยบายสหรัฐฯ แล้ว ผมอยากจะเสริมกัปตันนัทไว้ตรงนี้ว่า เมื่อไปค้นข้อมูลเรื่องชาวอเมริกันเชื้่อสายยิวที่ทำงานอยู่รอบๆ ตัวนายโจ ไบเดน นายโจ ไบเดน เป็นคนเชื้อสายไอริช


จากข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ jewishvirtuallibrary.org เขาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงว่า ชาวยิวเชื้อสายยิวที่อยู่ในรัฐบาลชุดโจ ไบเดน มีประมาณห้าสิบกว่าคนที่มีเชื้อสายยิว ซึ่งผมยกตัวอย่างบุคคลสำคัญๆ ในระดับรัฐมนตรีและสตาฟฟ์ที่มีบทบาทสูงที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ สัก 20 คน มาให้ดู

หนึ่ง นายรอน เคลน หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Chief of Staff ในช่วงปี 2564-2566 เป็นคนสนิทมากของโจ ไบเดน มานานนับสิบๆ ปี ตั้งแต่ยังคงเป็นวุฒิสมาชิกอยู่ นั่นคือชาวอเมริกันเชื้อสายยิว สอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เราเคยได้ยินชื่อ คือ นางเจเน็ต เยลเลน ก่อนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เธอได้เป็นผู้ว่าธนาคารกลางของอเมริกา หรือ เฟด เจเน็ต เยลเลน เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว


สาม นายอเลฮานโดร มายอร์กาส ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) สี่ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านผู้ชมไม่เคยคิดใช่ไหม เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว คนที่ห้า อัยการสูงสุด เมอร์ริก การ์แลนด์ คนอเมริกันเชื้อสายยิว คนที่หก นายจาเร็ด เบิร์นสไตน์ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ คนอเมริกันเชื้อสายยิว เจ็ด เวนดี เชอร์แมน รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว แปด แอนน์ นูเบอร์เกอร์ รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว

เก้า ท่านผู้ชมไม่ต้องประหลาดใจ รองผู้อำนวยการ CIA เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA จริงๆ ก็คือผู้ที่ปฏิบัติการตัวจริง เพราะผู้อำนวยการ CIA จะมาจากตำแหน่งทางการเมือง แต่รองผู้อำนวยการ CIA คือคนที่วางแผนและสั่งสายลับให้ทำโน่นทำนี่้ ก็เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว


สิบ แอวริล เฮนส์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ คนอเมริกันเชื้อสายยิว สิบเอ็ด แกรี่ เกนสเลอร์ ประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ อเมริกันเชื้อสายยิว สิบสอง มาร์ก กิเทนสไตน์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหภาพยุโรป อเมริกันเชื้อสายยิว

สิบสาม โจนาธาน แคปแลน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสิงคโปร์ คนอเมริกันเชื้อสายยิว สิบสี่ แดน ชาปิโร เป็นที่ปรึกษาโจ ไบเดน ด้านประเทศอิหร่าน อเมริกันเชื้อสายยิว สิบห้า มิเชล เทย์เลอร์ ผู้แทนสหรัฐฯ ประจำคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ คนอเมริกันเชื้อสายยิว สิบหก สจวร์ต ไอเซนสแตก ที่ปรึกษาพิเศษเกี่ยวกับประเด็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว สิบเจ็ด เอริค แลนเดอร์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คนอเมริกันเชื้อสายยิว


สิบแปด เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกันเชื้อสายยิว สิบเก้า เอลเลน เจอร์แมน ทูตพิเศษสหรัฐฯ ด้านประเด็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คนอเมริกันเชื้อสายยิว ไม่น่าประหลาดใจเลยเมื่อมีมติของสหประชาชาติเพื่อจะประณามอิสราเอลในเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คนพวกนี้ที่เอ่ยชื่อเมื่อกี้ ทำงานประเด็นด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็จะออกมาคัดค้านเพื่อช่วยอิสราเอลตลอดเวลา


ยี่สิบ เอ็ดเวิร์ด ซิสเกล ที่ปรึกษาทำเนียบขาว เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว

ยี่สิบเอ็ด คนนี้ตัวแสบเลย วิคตอเรีย นูแลน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายกิจการการเมืองที่มีบทบาทสำคัญและเป็นผู้จุุดประเด็นสงครามในยูเครน และมีความตั้งเป้าอย่างมั่นหมายที่จะทำลายรัสเซียให้ได้


ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังเรื่องคริสเตียนไซออนิสต์นี้ มาจากกัปตันนัท มีบทความข้อเขียนที่น่าสนใจอีกหลายชิ้น ใครสนใจไปติดตามอ่านดูนะครับ แต่สรุปง่ายๆ แล้วท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า คนที่แวดล้อมโจ ไบเดน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เจเน็ต เยลเลน ตลอดจนรองผู้อำนวยการ CIA ผู้ที่กำหนดนโยบายและเป็นคนที่คุมเรื่องปฏิบัติการของ CIA ทั่วโลก ก็เป็นคนอเมริกันเชื้อสายยิว

ผมสรุปได้อย่างนี้ครับ และค่อนข้างจะตรงตามที่นักวิเคราะห์ต่างๆ ในโลกนี้ที่ไม่ใช่ยืนข้างตะวันตกวิเคราะห์ ว่า โจ ไบเดน คือคนแก่อายุ 80 ที่เพี้ยน หลงๆ ลืมๆ ผมมีคลิปๆ หนึ่งแต่ผมขี้เกียจเปิดให้ดู 2564 ตอนที่โจ ไบเดน ไปพบกับกษัตริย์ชาร์ลส ในคลิปนั้นถ่ายออกมาให้เห็นว่าโจ ไบเดน มีเสียงตดออกมา ตดแบบแรงและยาวมาก จนกระทั่งนักข่าว ABC ของอเมริกาเอามาตีแผ่ คือเป็นคนที่หลงๆ ลืมๆ ไปแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว นโยบายความก้าวร้าว ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับยูเครน ที่จะต้องรบกับรัสเซียให้ตายกันไปข้างหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายยูเครนตายหมดทั้งประเทศ หรือกรณีที่อิสราเอลต่อสู้กับฮามาส และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์นั้น มาจากคนที่รอบตัวโจ ไบเดน ทั้งนั้นเลย ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจหรือยังครับ

สงครามยูเครน มันจบแล้วครับนาย

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ สรุปง่ายๆ สั้นๆ แล้วกันเป็น 2 บรรทัด "สงครามยูเครนมันจบแล้วครับนาย" ตอนนี้รัสเซียจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด


หลายวันที่ผ่านมานี้ มีคนถามผมว่าตอนนี้เหตุการณ์ในโลกนี้วิ่งตั้งเป้าไปที่ตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเองกับกลุ่มฮามาส ปาเลสไตน์ กำลังเดือดพล่าน มีท่าทีว่าจะขยายความขัดแย้งกลายเป็นสงครามใหญ่ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ในซีเรีย กลุ่มกบฏฮูติในเยเมน รวมทั้งอิหร่าน ประเทศอาหรับต่างๆ อาจจะชักธงรบกับชาติตะวันตก นำโดยอเมริกา ได้ทุกเมื่อ แม้แต่ในตุรกี ชาติสมาชิกนาโตที่มีกองกำลังใหญ่อันดับสองของนาโต ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่กรุงอิสตันบูล พรรคการเมือง AKP ของประธานาธิบดีแอร์โดอัน จัดการชุมนุมใหญ่เพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์ มีคนเข้ามาร่วมชุมนุมถึง 1.5 ล้านคน


นายแอร์โดอัน ออกไปนำประชาชนสวมผ้าพันคอเป็นลายธงชาติตุรกี และธงปาเลสไตน์

การชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดในปาเลสไตน์นี้ ผู้นำตุรกีกล่าวโจมตีอิสราเอลและผู้สนับสนุนชาวตะวันตกบนเวทีปราศรัยอย่างรุนแรงว่า ผู้ร้ายหลัก เบื้องหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา คือชาติตะวันตก พร้อมกับประกาศว่ากลุ่มฮามาสนั้นไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นกลุ่มปลดปล่อยมูจาฮีดีนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนและผู้คนของเขา ผู้นำตุรกีประกาศลั่น ถ้ามองภาพกว้างโดยไม่ถูกข้อมูลของสื่อตะวันตกลวงตา เราจะเห็นได้ชัดว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก็มีแนวโน้มจะเป็นสงครามทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจจะขยายวงเป็นสงครามโลกครั้งที่สามได้ง่ายๆ ทุกวัน ทุกเวลา


แต่มีคำถมถามต่อว่า แล้วยูเครนล่ะ ? ที่รัสเซียเปิดฉากชกมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 20 เดือน จะเป็นอย่างไรต่อไป ? ผมเคยเกริ่นให้ฟังแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 211 วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 เมื่อสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ที่ปะทุขึ้นนั้น แทบจะทำให้สงครามยูเครนเรียกได้ว่าถึงจุดจบโดยปริยาย เพราะอเมริกาผู้อยู่เบื้องหลังทั้งยูเครน และอิสราเอล ไม่พร้อมที่จะทำสงครามทั้งสองภูมิภาคพร้อมๆ กัน แม้ว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รวมทั้งนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนกรานว่าอเมริกาสนับสนุนได้ทั้งสองสงคราม

ความจริงในเรื่องนี้ นายเซเลนสกี ผู้นำตัวตลกแห่งยูเครน ก็รู้ดี ทำให้วันอังคารที่ 10 ตุลาคม ภายหลังจากเหตุการณ์ฮามาสบุกเข้าช็อกโลกในอิสราเอลและกองทัพอิสราเอลต้องตอบโต้กลับขนานใหญ่ได้เพียง 3 วัน เซเลนสกีออกมาแสดงความเห็นประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะทำให้ประชาคมโลกหันความสนใจไปจากสงครามยูเครน โดยพยายามเปรียบเทียบกลุ่มฮามาสว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายไม่ต่างกว่ารัสเซีย


เสียงนายเซเลนสกี แทบจะไม่มีผลอะไร เพราะความสนใจของผู้นำโลก โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรปนั้นกำลังเหไปทางอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของชาติตะวันตก มากกว่ายูเครน อย่างเปรียบเทียบไม่ได้เลย

วันที่ 5 ตุลาคม 2566 ก่อนเหตุฮามาสบุกอิสราเอลได้ 2 วัน ระเหว่างการประชุมประจำปีของชมรมวัลโดคลับ ครั้งที่ 20 ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย กลุ่มวัลโด ก็คือ World Economic Forum ของรัสเซียนั่นเอง


ปูตินบอกว่า เศรษฐกิจยูเครนจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากภายนอก งบประมาณยูเครนในสมัยก่อนอยู่ในภาวะสมดุล มองเศรษฐกิจในระดับมหภาคก็พอจะอยู่รอดไปได้ แต่สิ่งที่ค้ำยันเศรษฐกิจยูเครน ณ วันนี้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือมหาศาลจำนวนหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ โดยทุกเดือนจะมีเงินสนับสนุนให้ยูเครน คิดเป็นมูลค่าราว 4-5 พันล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเงินกู้ เงินให้เปล่า หรือเงินช่วยเหลือต่างๆ

"ถ้าเงินสนับสนุนเหล่านี้หยุดลง หรือขาดตอน ทุกอย่างก็จะไหลชะลูดอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับระบบป้องกันประเทศของเขา กับความช่วยเหลือหยุดลง ยูเครนจะอยู่รอดได้เพียงสัปดาห์เดียว เพราะพวกเขาจะหมดกระสุนแล้ว" ประธานาธิบดีปูติน กล่าวเพิ่มเติม


ท่านผู้ชมครับ วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ระหว่างการเดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ประธานาธิบดีปูตินให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวนานาชาติ ว่า สหรัฐฯ นั้นดึงผู้คนมากขึ้นๆ เข้าสู่ความขัดแย้ง พวกเขามีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ มันชัดเจนมาก และไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เราคิดว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับความขัดแย้งทางตะวันออกกลาง ความขัดแย้งกำลังร้อนแรงขึ้น ดูซิว่าเขาสั่งเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ เข้าประจำการที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สิ่งที่ผมพูดเวลานี้ สิ่งที่ผมบอกพวกคุณ ไม่ใช่เป็นการข่มขู่ แต่ผมได้สั่งให้กองทัพอากาศและกองทัพอวกาศของรัสเซียเริ่มทำการลาดตระเวนอย่างถาวรในน่านฟ้าสากลเหนือทะเลดำ เครื่องบินขับไล่ MIG-31 จะติดตั้งขีปนาวุธ Kinzhal ก็คือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก มันจะมีระยะทำการได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตร ด้วความเร็ว 9 มัค


ประเด็นทั้งหมดนี้อยู่ที่ไหน ? คำให้สัมภาษณ์ของปูติน หมายความว่าอย่างไร ? แม้นจะบอกว่าไม่ได้เป็นคำขู่ แต่จริงๆ แล้วคือคำขู่ ที่ว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ ของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้น อย่าคิดว่าใหญ่ คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ เพราะรัสเซียนั้นมีขีปนาวุธ เครื่องบิน และติดขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก

ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ถ้าสั่งยิงแล้ว ปล่อยออกไปแล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินก็ไม่ต่างกว่าเป้านิ่ง จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น เพราะความเร็วของขีปนาวุธนั้นมันเร็วกว่า 9-10 มัค หรือกว่า 10,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


เรากลับไปที่ยูเครนนิด จากการเก็บสถิติงบประมาณช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ ให้กับยูเครนในช่วงเวลา 18 เดือน ตั้งแต่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ถึง 31 กรกฎาคม 2566 สถาบันคีลเพื่อเศรษฐกิจโลก พบว่าประเทศอเมริกาให้เงินช่วยเหลือยูเครนคิดเป็นมูลค่าสูงสุดถึงเกือบๆ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกเดือนละเกือบ 4,300 ล้านดอลลาร์ หรือ 153,000 ล้านบาท งบประมาณส่วนใหญ่ที่ส่งไปสนับสนุนนั้น ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงิน 1.7 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณทางการทหาร เพื่อซื้ออาวุธจากตะวันตก เงินช่วยเหลือส่วนใหญ่ที่อเมริกามอบให้ยูเครนนั้นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร เงินช่วยเหลือทางกลาโหม 24 เปอร์เซ็นต์ อาวุธยุทโธปกรณ์ 31 เปอร์เซ็นต์ เงินช่วยเหลือและเงินกู้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ 6 เปอร์เซ็นต์


การช่วยเหลือทางการเงินของสหรัฐฯ ที่ใช้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจยูเครนผ่านเงินให้เปล่า เงินกู้ และเงินสนับสนุนอื่นๆ อยู่ประมาณ 34 เปอร์เซ็นต์ ส่วนงบประมาณช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ต่อยูเครน 5 เปอร์เซ็นต์เอง แม้กระทั่งอเมริกา และอีก 40 กว่าประเทศจะให้ความช่วยเหลือแก่ยูเครน กับนายเซเลนสกี ทุกวิถีทาง แต่ผลลัพธ์ปรากฏว่า ณ วันนี้ คือประเทศยูเครนประสบความย่อยยับ แม้อเมริกาและชาติสมาชิกนาโตจะทำสงครามตัวแทน โดยใช้ยูเครนเป็นหมากเบี้ยทำสงครามแทน แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะหรือทำให้รัสเซียสั่นคลอนได้ มิหนำซ้ำยังทำให้กองทัพรัสเซีย รวมทั้งภาวะผู้นำของนายปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แข็งแกร่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน เกิดผลสะท้อนกลับต่อภาวะการนำของมหาอำนาจของอเมริกา โดยเฉพาะรัฐบาลนายโจ ไบเดน ที่ตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก นับตั้งแต่การถอนกำลังอเมริกาจากประเทศอัฟกานิถสาน แล้วมาสนับสนุนสงครามในยูเครน เรื่อยมาจนกระทั่งถึงนโยบายในตะวันออกกลางที่ผิดพลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่สงครามใหญ่ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และโลกมุสลิม

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันที่ 27 ตุลาคม 2566 ศาสตราจารย์ John Mearsheimer ปรมาจารย์ด้านการต่างประเทศชาวอเมริกัน จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่ได้เคยกล่าวเตือนเรื่องสงครามยูเครนกับรัสเซียมาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้นในช่วงต้นปี 2565 ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Judging Freedom ผ่านช่องทาง YouTube


Prof. John Mearsheimer ท่านบอกว่าสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ตอนนี้คนทั่วโลกได้ลืมยูเครนและลืมคนที่ชื่อเซเลนสกีไปแล้ว ปฏิบัติการโต้กลับที่ทางยูเครนและอเมริกาคุยนักคุยหนาว่าจะเอาคืนรัสเซียเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2566 ตอนนี้จบเห่แล้ว ถือเป็นความล้มเหลวครั้งมโหฬารและหายนะสำหรับยูเครน ว่ากันว่าข้อมูลหลายแห่งยืนยันว่า ยูเครนและนาโตเสียกำลังทหารไปถึง 90,000 คน นี่คือเสียชีวิต ยังไม่นับบาดเจ็บอีกมากมาย สาหัสสากรรจ์

ตอนนี้รัสเซียยังไม่รีบร้อนจะรุกคืบเข้าไปในยูเครน นัยคือ ยูเครนในสายตารัสเซียเวลานี้เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด แต่ผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่ปะทุขึ้นนั้น ส่งผลดีต่อรัสเซียและจีนอย่างชัดเจน เพราะแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในเชิงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายโจ ไบเดน ในการขจัดปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในนโยบายการต่างประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ด้วย Prof. John Mearsheimer สรุปโดยเปรียบว่าสหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในหลุมโคลนลึกของปัญหาด้านการต่างประเทศที่ยากจะถอนตัว

อีกคนหนึ่ง นายเมดเวเดฟ ชี้สหรัฐฯ และชาติตะวันตกถึงจุดเสื่อมถอยตกต่ำจนยากจะหวนคืน


20 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย และอดีตประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ได้ทวีตผ่านบัญชี X ของเขา เขาบอกว่าโลกที่มีอเมริกาเป็นผู้นำกำลังถลำเข้าสู่หุบห้วงเหวลึก การตัดสินใจต่างๆ ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยทางจิตใจอย่างถาวรเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของมโนธรรม การตัดสินใจเหล่านี้ ทั้งเรื่องใหญ่ๆ หรือเรื่องเล็กๆ ล้วนแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ชัดเจนของอาการป่วยทางสังคม โดยหนึ่ง ไบเดน เรียกร้องของบประมาณเพื่อสังหารบุคคลอื่นในดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากอเมริกา ว่าเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด ไม่ว่าเป็นการจัดหาอาวุธเพิ่มเติมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครน หรืออิสราเอล


สอง ระบอบการปกครองของเคียฟ ได้ตัดสินใจสั่งห้ามคริสตจักรออร์ทอดอกซ์แห่งยูเครน ดังนั้นจึงตัดชาวคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ออกจากแหล่งกำเนิดของโบสถ์แม่

สาม รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสประณามดาราฟุตบอลคนหนึ่งอย่างไม่ลังเลที่โพสต์สนับสนุนปาเลสไตน์ รัฐมนตรีมหาดไทยกล่าวหาว่า Karim Benzema อดีตดาวเตะมุสลิมทีมชาติฝรั่งเศส และทีมรีลมาดริด เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ประจำปีที่แล้ว (2565) ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่ลีกซาอุฯ มีความเกี่ยวพันกับผู้ก่อการร้ายมุสลิมบราเธอร์ฮุด


ข่าวหลักนี้มีความหลากหลาย แต่ทั้งหมดพูดถึงความเสื่อมโทรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงสร้างของสังคมตะวันตก การเรียกขาน การทุ่มลงทุนไปเพื่อการล่าสังหารผู้คนที่ตัวเองไม่พึงประสงค์ ว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดและดีงาม มันเกินคำบรรยาย มันอยู่เหนือความดี-ความชั่ว ไม่ใช่แค่โรคสมองเสื่อมของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปรัชญาชีวิตของรัฐชาติทั้งหมดของพวกเขาที่มีมาหลายศตวรรษด้วย นายเมดเวเฟ ได้พูดออกมา

ประเด็นครับ จากข่าวสารวงในความมั่นคงของรัสเซียที่ผมได้นั้น ศักยภาพในการรบของกองทัพยูเครนนั้นร่วงโรยลงทุกวัน งบประมาณและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่อุดหนุนจากชาติตะวันตก แนวโน้มลดเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยได้รับปกติ ถ้าหากอ้างอิงจากตัวเลขที่ปูตินบอก จาก 4,300 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ก็จะเหลือแค่ 400-500 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน


และท่านผู้ชมครับ สถานการณ์อัปเดตล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย กล่าวในที่ประชุมความมั่นคงเชียงซาน ครั้งที่ 10 ที่กรุงปักกิ่ง เขาเปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน เท่านั้น คือนับตั้งแต่เริ่มยุทธการตีโต้กลับของยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก เคียฟได้สูญเสียบุคลากรทางการทหารไปแล้วกว่า 90,000 นาย ไม่ว่าจะจากการเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ สูญเสียรถถังไปแล้ว 600 คัน รถหุ้มเกราะ 1,900 คัน โดยไม่ประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญทางยุทธวิธีใดๆ (รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียกล่าว)

ขณะเดียวกัน นิตยสารไทม์ ซึ่งเป็นปากกระบอกเสียงสำหรับทางตะวันตก ในที่สุดก็ได้ตีพิมพ์ขึ้นปกสงครามยูเครน พาดหัวว่า ไม่มีใครเชื่อในชัยชนะของเราเหมือนผม เจาะลึกการต่อสู้ของโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เพื่อรักษายูเครนเอาไว้ เขาบอกว่านี่คือการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวของเซเลนสกี ซึ่งเมื่ออ่านในบทสัมภาษณ์ของนิตยสารไทม์ เซเลนสกีบอกชัดเจนเลยว่า เขารู้สึกว่าถูกชาติตะวันตกหักหลัง เพราะคนรอบตัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองเขาเป็นคนหลงผิด จิตหลอน เพราะคิดไปเองว่ายูเครนจะมีโอกาสชนะรัสเซีย ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสเป็นไปได้


เซเลนสกีพูดว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือส่วนหนึ่งของโลกเคยชินกับสงครามในยูเครน ความเหนื่อยล้ากับสงครามนั่นม้วนตัวเข้ามาเหมือนเกลียวคลื่น คุณสังเกตได้จากปฏิกิริยาในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป เราเห็นได้ว่าพอพวกเขาเริ่มเหนื่อยหน่าย เรื่องในยูเครนกลายเป็นเหมือนละครสำหรับพวกเขา ซึ่งเขากำลังบอกว่า ฉันไม่อยากจะดูหนังเรื่องนี้ฉายซ้ำอีกเป็นครั้งที่สิบ

การเยือนสหรัฐฯ ครั้งหลังสุดของนายเซเลนสกี เมื่อเดือนกันยายน 2566 นั้น มีความแตกต่างจากการเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือนธันวาคม 2565 อย่างชัดเจน การเยือนสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดของนายเซเลนสกี เขาถูกจี้ถาม และพบว่านักการเมืองสหรัฐฯ มีความไม่พอใจเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตในรัฐบาลยูเครน อีกทั้งนายเซเลนสกียังไม่ได้รับเชิญให้ขึ้นปราศรัยกับฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภาสหรัฐฯ อีกด้วย


แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของอเมริกา ให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนยูเครนตราบนานเท่านาน ภาษาอังกฤษเรียกว่า as long as it takes แต่สภาคองเกรสกลับไม่ได้ข้อสรุปในร่างกฎหมายเรื่องการช่วยเหลือยูเครนฉบับใหม่ โดยเพียงแค่สิบวันหลังจากนายเซเลนสกีเดินทางกลับจากการเยือนสหรัฐฯ รัฐสภาสหรัฐฯ ดำเนินการผ่านร่างกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดตัวของหน่วยงานภาครัฐ โดยที่รัฐบาลไบเดน ยอมที่จะตัดงบประมาณช่วยเหลือยูเครนจำนวน 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกไป ก็คือว่าเงินหายไปแล้ว ที่เคยได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้ 6,000 ล้านดอลลาร์ ไม่มีแล้ว


ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีการวิเคราะห์ว่า สุดท้ายแล้วยูเครนน่าจะมีทางเลือก 2 ทางเท่านั้นเอง หนึ่ง ต่อสู้แล้วกองทัพยูเครนก็สิ้นสภาพโดยปริยาย หรือมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ สอง ลงประชามติหยุดรบ และเจรจายอมจำนน ซึ่งวิธีนี้นายเซเลนสกีและพลพรรคไม่มีทางยอม

สิ่งที่เราพูดกันนี้ ทั้งหมดทั้งมวลจะปรากฏชัดเจนในช่วงฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ยูเครนนั้นแพ้แน่นอนอยู่แล้ว เหลือแต่ว่าจะพ่ายแพ้ในรูปใดเท่านั้นเอง

ท่านผู้ชมครับ ขอเสริมเติมอีกนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมที่ติดตามเรื่องยูเครนกับผมมานานแล้ว ท่านผู้ชมจะสังเกตได้ว่าผมพูดเรื่องอะไรบ้าง ที่สำคัญมาก ผมพูดว่าสื่อมวลชนเมืองไทยนั้นไปหลงใหลสื่อมวลชนตะวันตก รายงานข่าวตามสื่อมวลชนตะวันตก และสื่อมวลชนตะวันตกนั้นก็เต้าข่าวจากทางตะวันตกและจากทางยูเครนว่าตัวเองกำลังได้รับชัยชนะ ปล่อยข่าวลวง ข่าวลือ เฟกนิวสต์ ออกมาว่าปูตินหนีไปแล้ว นายพลหลายคนลาออก จะมีการปฏิวัติในรัสเซีย โน่นนี่นั่น และยูเครนกำลังจะได้ชัยชนะ รัสเซียเสียหายอย่างมากมายมหาศาล

ท่านผู้ชมครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ พิสูจน์ชัดแล้วว่าสื่อมวลชนทางตะวันตกและยูเครนนั้นโกหกชาวโลก ด้วยเหตุว่าตัวเองคุมแพลตฟอร์มของสื่อเอาไว้แทบจะทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook, YouTube หรือสื่อกระแสหลักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์กไทมส์ วอลล์สตรีทเจอร์นัล BBC หลายๆ สื่อ พากันเต้าข่าวตามที่ขบวนการกลุ่มองค์กร CiA กำหนดว่าต้องลงข่าวแบบนี้ มาวันนี้ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่า ยูเครนแพ้แล้ว ไม่มีทางไปแล้ว อ้าว แล้วที่คุยกันตอนต้น ที่สื่อมวลชนประเทศไทย พิธีกรข่าวเอย ไม่ว่าจะใครก็ตาม ที่ลอกเลียนมาจากสื่อตะวันตก แล้วก็บอกว่ารัสเซียแพ้แล้ว บุกเข้าไม่กี่วันก็ทำได้เพียงแค่นี้ วันนี้จะว่าอย่างไรกันล่ะ ท่านผู้ชมครับ ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว ให้จำเอาไว้ อาจจะใช้เวลานิดหนึ่ง เพราะมันเป็น "ธรรม" ธรรม คือความจริง แต่ในที่สุดแล้วธรรมย่อมชนะอธรรม และชนะอวิชชา และความจริงวันนี้ปรากฏมาชัดเจนแล้วว่ายูเครนแพ้อย่างราบคาบแล้ว ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ถ้าเห็นด้วยช่วยฝากบอกบรรดาสื่อมวลชนกระแสหลักในประเทศไทยที่จำขี้ปากสื่อตะวันตกมา แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันน้ำลายฝอยฟูเฟื่อง วันนี้พวกคุณจะว่าอย่างไร

วันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่าสิ่งที่คุณจำตะวันตกมา คือคุณเป็นตัวสื่อการโกหกของสื่อตะวันตก เอามาโกหกคนไทยต่อไป ท่านผู้ชมครับ ที่นี่ ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว

จากเด็กกำพร้า ลูกชาวนา จนมาเป็น BYD

ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้คนที่สนใจรถไฟฟ้า จะไม่มีใครไม่รู้จักรถไฟฟ้ายี่ห้อ BYD และมิหนำซ้ำแล้ว ขณะนี้ยอดขายรถ BYD ยอดขายดีเอาๆ อย่างเช่นรุ่นล่าสุดที่จะออกมา คือ BYD รุ่น SEAL เอามาแข่งกับ Accord และ Camry ราคาถูกกว่า Accrod และ Camry มาก แรงม้าสูงถึง 550 แรงม้า เรียกว่าเทียบได้ หรือชนะระดับ Porsche ได้เลย ในราคาแค่ล้านกว่าบาทเอง


BYD หรือชื่อเต็มว่า Build Your Dream สร้างความฝันของคุณเอง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังความสำเร็จของ BYD นั้นอยู่ที่ไหน และเป็นผู้ใด

บริษัท BYD นั้นกำลังถูกเขียนเรื่องประวัติรถไฟฟ้านั้น ต้องพูดว่า BYD เป็นตัวผลักดันตัวสำคัญเลย


วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังถึงผู้ก่อตั้งวัย 57 ปี ชื่อ หวัง ชวนฝู เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า เราไม่ใช่ BYD แต่เราเป็นรถยนต์จีน เพราะเขาต้องการพ้นจากกระบวนทัศน์เก่าๆ และคำปรามาส ถูกดูถูกว่าภาพพจน์รถยนต์จีนนั้นได้ก้าวสู่ขอบเขตอันก้าวไกล และก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำของโลกได้สำเร็จ ส่วน know how ที่ล้ำหน้าของแบตเตอรี มอเตอร์ ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยชิปที่ผลิตโดย BYD เซมิคอนดักเตอร์ ที่เชี่ยวชาญการผลิตชิปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานสะอาด Made in China 2025 อีกสองปี ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน

ท่านผู้ชมครับ อุตสาหกรรมรถยนต์โลกกำลังเปลี่ยนแปลงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อปีที่แล้ว รถยนต์จีนส่งออกชนะเยอรมนีเป็นครั้งแรก ปีที่แล้ว (2565) จีนส่งออกรถถึง 3.11 ล้านคัน เปรียบเทียบกับเยอรมนีที่ส่งออกรถแค่ 2.61 ล้านคัน

นอกจากนี้แล้ว ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จีนได้ส่งออกรถถึง 2.3 ล้านคัน แซงหน้าญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ทำให้จีนขึ้นแท่นกลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกไปโดยปริยาย


เรามาดู BYD ที่ตอนนี้แซงเทสล่า กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อพิจารณาจากแบรนด์รถยนต์ในปีที่แล้ว ปี 2565 บริษัท BYD กลายเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงเทสล่า ปีที่แล้ว BYD ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเกือบ 1.9 ล้านคัน แบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด หรือที่เขาเรียกว่า PHEV ราวครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อย่างเดียว


ปีที่แล้วเทสล่าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 1.3 ล้านคัน เป็นอันดับสองของโลก แต่เทสล่ายังเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย สร้างรถยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานแบตเตอรี่ล้วนๆ จำนวนมากที่สุด

ส่วนโฟลก์สวาเกน, GM, Stellantis ครองรายชื่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากเป็นอันดับที่ 3, 4 และ 5

เมื่อเร็วๆ นี้ วันที่ 9 สิงหาคม ปีนี้เอง มีการฉลองครบรอบ 20 ปี ที่ BYD บรรลุความสำเร็จผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BYD คันที่ห้าล้าน ทำให้แบรนด์ BYD เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า EV แห่งแรกของโลกที่บรรลุเป้าหมายที่สำคัญนี้ ท่ามกลางผู้ร่วมงาน 800 คน ระหว่างพิธีมอบรางวัล นายหวัง ชวนฝู ผู้ก่อตั้ง BYD ในฐานะเป็นประธานและซีอีโอ ได้กล่าวสุนทรพจน์ด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้นมาก เขาเล่าถึงความเป็นมาการสร้างแบรนด์ BYD ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ และช่วงท้าย หน้าจอใหญ่เขาแสดงความภาคภูมิใจในเกียรติภูมิอันโดดเด่นว่า "เราเป็นรถยนต์จีน" นั่นคือชูประเทศจีนขึ้นไปเลย


ท่านผู้ชมครับ ท่ามกลางความสงสัยและการดูถูกซ้ำเติม ภาพลักษณ์ของรถยนต์จีน หวัง ชวนฝู ผู้ก่อตั้ง BYD ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่ารถยนต์จีนสามารถใช้พลังงานใหม่ที่เป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างดี และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หลังจากผ่านปัญหาอุปสรรคใหญ่ ก้าวกระโดดสู่รถยนต์ชั้นนำระดับโลก

ณ สิ้นปี 2562 เมื่อสี่ปีที่แล้ว BYD ได้เปิดซีรีส์รถยนต์ทั้งหมด 20 ซีรีส์ ตั้งแต่ปี 2553-2562 เป็นระยะเวลาถึงสิบปี BYD ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปแล้ว 176 รุ่น ตั้งชื่อรุ่นให้เหมือนกับราชวงศ์ต่างๆ เช่น ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ซ่ง หรือภาษาแต้จิ๋วเรียกว่าราชวงศ์ซ้อง ราชวงศ์ถัง และราชวงศ์หยวน ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ชาวมองโกลปกครองประเทศจีนอยู่

นายหวัง ประธาน/ซีอีโอของ BYD พูดว่า ปี 2562 เป็นปีที่ยากที่สุดสำหรับ BYD ในเวลานั้น เป้าหมายเดียวของเราคือการเอาชีวิตรอดจากความขมขื่นและความท้าทาย แม้ว่าเส้นทางนี้จะยากลำบาก แต่เรายืนหยัดมายี่สิบปี นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวการผลิตของรถยนต์ BYD แต่สะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางของแบรนด์จีนในอุตสาหกรรมยานยนต์ แบรนด์จีนจำนวนมาก เช่น BYD ต้องเผชิญกับการถูกดูถูก ถูกเหยียดหยาม ถูกประเมินค่าต่ำ


หวัง ชวนฝู ยังจำได้แม่นว่าปี 2557 หรือประมาณเก้าปีที่แล้ว เมื่อส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์รถยนต์จีนต้องเผชิญกับการตลาดที่ลดลงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง เป็นการตกต่ำที่สุดต่อกันในประวัติศาสตร์ ทั้งผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และบริการของจีนไม่ได้รับการยอมรับ ทำให้รถแบรนด์จีนแทบจะทุกแบรนด์ แทบจะล่มสลายไปเลย และท่ามกลางความมืดมนที่สุดของการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีใครยอมรับ หวัง ชวนฝู ไม่ยอมแพ้ เขาได้เตรียมอาวุธทางปัญญาที่เกิดจากการลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนา

หนึ่ง ตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เขาเริ่มมีคนในแผนกวิจัย 10 คน และเติบโตมากจนวันนี้มีอยู่ 20,000 กว่าคน ในปี 2566 มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทางวิทยาศาสตร์สเตม มากกว่า 30,000 คน เข้ามาร่วมงานกับ BYD ท่านผู้ชมรู้ไหม 30,000 คน ที่เข้ามา 25,000 กว่าคน หรือ 81 เปอร์เซ็นต์ ทำงานด้านวิจัยและพัฒนา ปัจจุบันทีมงานวิจัยและพัฒนาทางเทคนิคของ BYD ประกอบด้วยบุคลากรมากถึง 90,000 คน และดำเนินงานในสถาบันวิจัยหลักถึง 11 แห่ง

ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบัน BYD ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรโดยเฉลี่ย 19 คำขอต่อวันทำงาน และได้รับอนุญาตสิทธิบัตรมาแล้ว 15 ฉบับ


ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่าระหว่าง BYD กับหัวเว่ย คล้ายๆ กัน หัวเว่ย โดยเหริน เจิ้งเฟย ไม่สนใจ ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ยอดโทรศัพท์หัวเว่ยตกต่ำมาก ตกต่ำลงจนแทบจะเจ๊ง แต่เหริน เจิ้งเฟย ประธานและซีอีโอของหัวเว่ยช่วงนั้น ตัดสินใจทุ่มเงินทั้งหมดลงไปที่การวิจัยและพัฒนาของหัวเว่ย แล้วปรากฏว่าผลของการทุ่มลงไปในวิจัยและพัฒนา ทั้งหัวเว่ย และ BYD ก็ก่อให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพให้เห็นถึงคุณภาพของแบรนด์หัวเว่ย และแบรนด์ BYD ซึ่งเป็นแบรนด์ของจีน China's Brand โด่งดังขึ้นมาในโลกด้วยคุณภาพทุกอย่างที่สู้กับทุกๆ คนในโลกนี้ได้


เพราะฉะนั้นแล้ว หัวเว่ยเป็นเจ้าแห่งเครือข่ายโทรคมนาคม ตลอดจนโทรศัพท์มือถือ ส่วน BYD เป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธเขาไม่ได้เลย

นายหวัง ชวนฝู ผู้ก่อตั้ง BYD หวัง ชวนฝู พูดว่า ผมเชื่อว่าแกนกลางความสำเร็จอยู่ที่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เราลงทุนเป็นหลายพันล้าน ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา งบลงทุนของ BYD แซงหน้ากำไรสุทธิของปีจำนวนมาก 3-4 เท่า

2560-2562 กำไร BYD ลดลง เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2562 ซึ่งเกือบจะทำให้ BYD ต้องเจ๊ง แต่กำไรในปี 2565 กำไรสุทธิ BYD อยู่ที่ 16,300 ล้านหยวน คิดเป็นเงินไทืยประมาณ 80,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2564 แค่ปีเดียว สูงกว่าปี 2564 ถึง 1,200 เปอร์เซ็นต์

เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพลังงานใหม่ อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนกำลังก้าวจากการที่เป็นลูกไล่ของบริษัทและชาติตะวันตก สู่การเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน จีนยืนหยัดในฐานะมหาอำนาจที่ไม่มีปัญหาในด้านยานยนต์พลังงานใหม่ มีตลาดพลังงานใหม่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของระดับอุตสาหกรรม จีนเป็นผู้นำการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ของการผลิต จีนมีส่วนสนับสนุน 70 เปอร์เซ็นต์ ของสิทธิบัตรที่เผยแพร่ทั่วโลกเกี่ยวข้องกับยานยนต์พลังงานใหม่ จีนมีส่วนจัดหาแบตเตอรี่พลังงานใหม่เกือบสองในสาม หรือ 63 เปอร์เซ็นต์ ถึงทั่วโลก

ด้วยความสำเร็จเหล่านี้จีนจึงประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า รถยนต์จีนเป็นยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์พลังงานใหม่ ถึงเวลายุคของรถยนต์จีนมาถึงแล้ว ขณะที่แบรนด์อย่างเช่น BYD, MG, Chery, Great Wall Motor. Geely รวมทั้งแบรนด์อื่นๆ ต่างประสบผลสำเร็จอย่างน่าทึ่งอย่างมากมายทั่วโลก


เราย้อนกลับไปปี 2554 หวัง ชวนฝู ผู้ก่อตั้ง BYD เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ก้าวขึ้นบนเวที เขาได้เล่าถึงเส้นทางชีวิตอันเจ็บปวดที่ต้องเผชิญความยากลำบาก ล้มเหลว มืดมนที่สุด ชนิดที่หายใจไม่ออก แต่ก็รอดได้เพราะพี่ชายและญาติช่วยให้เขาพ้นจากหลุมดำ และสู้ต่อจนทำความฝันให้เป็นจริงได้ เลยเป็นที่มาของ 'BYD' หรือ Build Your Dream

เรื่องราวชีวิตของหวัง ชวนฝู จากลูกชาวนากำพร้าที่ยากจน กลายมาเป็นมหาเศรษฐี ได้สร้างแรงบันดาลใจสู้ชีวิต จากลูกชาวนาที่มีชีวิตดุจผ้าขี้ริ้วที่ไร้ค่า ไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยเกินหมื่นล้านดอลลาร์ เขาร่ำรวยติดอันดับนิตยสาร FORBES ความสำเร็จของ BYD ทำให้ชื่อ หวัง ชวนฝู อยู่อันดับที่ 11 ใน 100 คนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีนด้วย เขามีทรัพย์สินมูลค่าถึง 17,000 ล้านดอลลาร์ เขามีคติพจน์ว่า "ทำมากขึ้น พูดให้น้อยลง" (แต่เมืองไทยนั้น พูดมาฉิบหาย แต่ไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว)


เรามาดูประวัติของ หวัง ชวนฝู การจะเข้าใจ BYD นั้น ต้องเข้าใจประวัติของผู้ก่อตั้ง หวัง ชวนฝู วันนี้อายุ 57 ปี ลูกชาวนาที่ยากจนในชนบท มณฑลอานฮุย (อานฮุย เป็นมณฑลที่ยากจนที่สุดในบรรดาทุกมณฑลในประเทศจีน) เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เล็ก คนที่เลี้ยงดูเขาแทนพ่อแม่คือพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขา กัดฟันทำทุกอย่างเพื่อประทังชีวิตให้รอดในแต่ละวัน ถึงกับขอข้าวปลาอาหารจากเพื่อนบ้านกินบางมื้่อในวันที่ต้องขอดน้ำตากิน

ท่านผู้ชมครับ ในอดีตประเทศจีน บทจะจนก็จนจริงๆ มีเรื่องราวมากมายที่รับทราบมา ผมเคยอ่านเจอว่าในบ้านหลังหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นบ้านดิน เอาดินมาก่อเป็นผนัง ในบ้านจะมีชุดอยู่ 2 ชุด ผู้ชาย 1 ชุด ผู้หญิง 1 ชุด ส่วนคนที่อยู่ในบ้านนั้นจะใส่กางเกงขาก๊วย ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ชุด 1 ชุดในบ้าน เอาไว้ให้คนที่จะออกไปทำธุระนอกบ้านใส่กัน แล้วมาหมุนเวียนกัน นี่คือความจนที่จนจริงๆ

แต่ยิ่งชีวิตยากลำบาก หวัง ชวนฝู ยิ่งมุ่งมั่นตั้งใจเรียน เขาขยัน มีความมานะ ความเพียร บางครั้งเขาจำเป็นต้องขอยืมเงินเพื่อนบ้านที่ใจดีเพื่อซื้อหนังสือ ลงทุนมาเรียนหนังสือ

ตอนเขาอายุ 22 ปี (2530) เขาเรียนจบด้านเคมีฟิสิกส์ แผนกโลหะวิทยา จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีจงหนาน เมืองฉางซา มณฑลหูหนาน อีกสามปีต่อมาเขาจบปริญญาโท สาขาวัสดุ ที่กรุงปักกิ่ง พอเรียนจบแล้วเขาได้เริ่มต้นทำงานกับหน่วยงานวิจัยรัฐบาลจีนที่ General Research Institute of Nonferrous Metals ประสบการณ์ทำงาน 5 ปี ของเขาในงานวิจัยในเรื่องโลหะที่มุ่งเน้นไปที่โลหะที่หายากและจำเป็นต่อแบตเตอรี่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ทำให้หวัง ชวนฝู เห็นโอกาสทางธุรกิจ เขาก็เลยลาออกมาตั้งบริษัท BYD


BYD เกิดจากแรงบันดาลใจของวลีที่ว่า "Build Your Own Dream" หวัง ชวนฝู ก่อตั้ง BYD เมื่อปี 2538 ที่เมืองเซินเจิ้น เวลานั้นเซินเจิ้นเป็นเมืองที่ตื่นทองของเหล่าสตาร์ทอัปจีน ปัจจุบันนี้ BYD มีบริษัทหลัก 2 แห่ง ได้แก่ BYD Auto และ BYD Electronics

แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ หวัง ชวนฝู ต้องดิ้นรนหาแหล่งเงินทุน ซึ่งเขาผิดหวัง ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในขณะนั้น เขาเลยชวนลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อ หลู่ เซี่ยงหยาง มาร่วมลงทุนด้วยเงินเริ่มต้น 5 ล้านหยวน ปัจจุบันนี้ นายหลู่ เซี่ยงหยาง ติดอันดับมหาเศรษฐี FORBES ประจำปี 2565 ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 15,700 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 567,000 ล้านบาท โดยถือเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 114 ของโลก


ปัจจุบันนี้ BYD มีอาณาจักรใหญ่ๆ 3 แห่ง หนึ่ง ธุรกิจประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ คิดเป็นสัดส่วน 41 เปอร์เซ็นต์ สอง ธุรกิจแบตเตอรี่ และธุรกิจเกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นสัดส่วน 8 เปอร์เซ็นต์ สาม ธุรกิจรถยนต์ ที่มีทั้งรถใช้น้ำมัน รถไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วน 51 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมี e-Bus และ Sky rail ด้วย

ธุรกิจ BYD Battery เริ่มจากการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นความรู้ดั้งเดิมของเขา ทำให้ธุรกิจของเขาพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วที่เซินเจิ้น และเป็นเมืองที่ร้อน เซินเจิ้นตอนนั้นเป็นเมืองที่ร้อนแรงไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมาย เช่น หัวเว่ย TenCent สินค้าในยุคแรกของเขาคือแบตเตอรี่ประเภทนิกเกิล แคดเมียม แบบชาร์จไฟได้ ช่วงแรกบริษัทเขาอาศัยวิธีวิเคราะห์ส่วนประกอบแบตเตอรี่ของ SONY และ SANYO แล้วก๊อปปี้ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกันออกมา จนถูกฟ้องร้องโดย SONY และ SANYO ในข้อหาขโมยทรัพย์สินทางปัญญา แต่ศาลญี่ปุ่นปฏิเสธคำร้องในคดี SONY ส่วนคดีของ SANYO ในสหรัฐอเมริกา สามารถยอมความนอกศาลได้


อย่างไรก็ตาม หวัง ชวนฝู ยังคงให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานใหม่ เขาทุ่มเม็ดเงินมหาศาลจนกระทั่งบริษัทสามารถพัฒนาสินค้าออกมาเองได้หลายรูปแบบ ทั้งแบตเตอรี่แบบ NIMH หรือ Nickel-metal hydride รวมทั้งแบตเตอรี่ที่สำคัญอย่างเช่น Lithium Ion เขาทำให้กับ Nokia บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่จากฟินแลนด์ เป็นเจ้าแรกในจีนด้วย และเป็นซัปพลายเออร์ผลิตแบตเตอรี่ให้กับ Motorola มือถือแบบพับรายแรกของโลกสัญชาติอเมริกัน และยังมีอีกหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Apple, DELL, TOSHIBA, Microsoft, SAMSUNG

หวัง ชวนฝู เป็นคนที่เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเขา ในฐานะที่เขาเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่โดยมีนโยบายว่าเขาจะไม่เรียกคืน เหล่านี้ทำให้ภายในสิบปี ในปี 2543 BYD กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ชาร์จไฟรายใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งแบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือได้กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้รายใหญ่ที่สุดของจีน บริษัท Shenzhen BYD Battery เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในปี 2545 หรือยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว

แต่ความฝันของหวัง ชวนฝู ไม่หยุดแค่ความเป็นเจ้าแบตเตอรี่ เขาบอกว่า ถ้าเขายังทำแบตเตอรี่อย่างเดียว สักวันคู่แข่งหน้าใหม่ก็จะมาช่วงชิง Market share ดังนั้น ในปี 2546 หรือยี่สิบปีที่แล้ว หวัง ชวนฝู ผู้มีวิสัยทัศน์ไกลทางด้านธุรกิจ ได้ตัดสินใจเดินตามฝัน ทุ่มทุนสร้างธุรกิจอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อบริษัท BYD Motor


BYD เทกโอเวอร์ซื้อกิจการของบริษัท Tsinchuan Automobile Company ผู้ผลิตรถยนต์จีนที่ฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ที่กำลังเจอวิกฤต เข้ามาเป็นบริษัทลูกในเครือ และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท BYD Auto ในปี 2549 สิบเจ็ดปีที่แล้ว

ในระยะแรก BYD Auto ยังผลิตรถยนต์สันดาป เลียนแบบแบรนด์ยุโรปและญี่ปุ่น แต่เขาเป็นคนมีกระบวนทัศน์และมีวิสัยทัศน์ เขาตั้งเป้าผลิตรถยนต์พลังงานสะอาด ทั้งรถยนต์ รถบัสผู้โดยสาร รถตู้ รถบรรทุก ช่วงแรกนักลงทุนไม่เห็นด้วยกับแนวทางของหวัง ชวนฝู อย่างยิ่ง จนทำให้ราคาหุ้น BYD ดิ่งลงไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2551 สิบห้าปีที่แล้ว เมื่อ BYD สามารถผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด PHEV เป็นคันแรกของโลกได้สำเร็จ ตั้งชื่อว่า BYD F3DM ปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้า เป็นรุ่นที่ขายดีมากในจีน การเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดครั้งนี้ทำให้หลายประเทศเริ่มรู้จักกับ BYD มากขึ้น


BYD ได้ค้นพบเทคโนโลยี Quick Charger สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วถึงระดับ 50 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาเพียง 10 นาที

ท่านผู้ชมสังเกตนะครับว่า BYD F3 มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับรถยนต์ยี่ห้อไหน ? รุ่นไหนที่ในไทยวิ่งกันอยู่ ? คำตอบก็คือรถยนต์โตโยต้า โคโรลล่า (TOYOTA COROLLA) นั่นเอง เพราะช่วงแรกๆ ของบันไดในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ หวัง ชวนฝู ใช้กลยุทธ์ C&D = Copy & Development ก๊อปปี้และพัฒนา ตัดสินใจใช้วิธีการง่ายที่สุด คือจำลองรุ่นรถเก๋งราคาย่อมเยาที่ขายดีที่สุดในตลาดจีนในเวลานั้น คือ โตโยต้า โคโรลล่า มาเป็นต้นแบบผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด รุ่น BYD F3 ทำให้ BYD F3 มีลักษณะคล้ายโตโยต้า โคโรลล่า เลยได้รับความนิยมอย่างมากหลังจากเปิดตัวในเดือนกันยายน 2548 หรือสิบแปดปีทีแล้ว ไม่ถึงหนึ่งปียอดขาย BYD F3 ทะลุแสนคัน สร้างสถิติแบรนด์รถยนต์อิสระที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในเวลานั้น


BYD F3DM กลายเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดคันแรกของโลกที่ผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์ไปทั่วโลก

ความสำเร็จรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของ BYD เป็นข่าวดังไปทั่วโลกในเดือนกันยายน ปีนั้นเอง

เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของมหาเศรษฐีนักลงทุน นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุ่มเงินเดิมพันบริษัทใหม่นี้มากถึง 332 ล้านเหรียญ เพื่อเข้าซื้อหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ของ BYD ทำให้โลกรู้จักศักยภาพรถยนต์จีน BYD ที่มีศักยภาพสูง โดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ชื่นชมหวัง ชวนฝู ว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งและซื่อสัตย์


นอกจากนี้แล้ว นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเล่าถึงความซื่อสัตย์ของนายหวัง ชวนฝู ว่าระหว่างดีลธุรกิจซื้อหุ้น BYD ต้องรอเวลาอนุมัติธุรกรรมจากรัฐบาลจีนนานถึง 11 เดือน ราคาหุ้น BYD พุ่งทะยานจากราคาหุ้นละ 8 ดอลลาร์ กลายเป็น 40 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่ง BYD อาจจะใช้เงื่อนไขนี้เพื่อถอนข้อตกลงได้ บัฟเฟตต์ บอกว่า แต่หวัง ชวนฝู ไม่ได้ทำ เขารักษาสัญญา ผมจึงกล้าเดิมพันกับผู้ชายคนนี้

วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีผู้ช่วยเป็นรองประธาน ชื่อชาร์ลี มังเกอร์ เขาเป็นหุ้นส่วนบริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ เพื่อนเก่าแก่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาพูดถึงหวัง ชวนฝู ผู้ก่อตั้ง BYD ไว้ในบทความของนิตยสาร FORTUNE เขาบอกว่า ผู้ชายคนนี้เป็นการผสมผสานระหว่างโทมัส แอดดิสัน นักประดิษฐ์คิดค้นชาวอเมริกา และ แจ็ก เวลช์ (Jack Welch) อดีตซีอีโอของ GE ซึ่งมีชื่อมากในเรื่องของการเป็นกูรูในเรื่องการบริหาร เขาบอกว่า หวัง ชวนฝู มีลักษณะนิสัยทั้งสองอย่างในคนเดียวกัน มีวิธีแก้ปัญหาบางอย่างด้วยเทคนิคที่น่าสนใจ เมื่อเขาต้องการทำอะไรสักอย่าง ไม่มีวันที่จะไม่สำเร็จ มันน่าชื่นชมมากหากทุกคนรู้ว่าเบื้องหลังชีวิตเขามันน่าขมขื่นแค่ไหน

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า สิบปีที่เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือหุ้น ตั้งแต่ปี 2551-2561 ราคาหุ้น BYD พุ่งสูงขึ้นกว่า 600 เปอร์เซ็นต์ เขาทยอยขายทำกำไรงดงามหลังจากหุ้นปรับราคาสูงขึ้น

ปัจจุบัน เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือหุ้นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดว่า ปัจจุบันราคาหุ้นของ BYD มีมูลค่ามากกว่าหุ้นของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งหมด มันไม่ใช่หุ้นราคาถูก แต่เป็นหุ้นของบริษัทที่น่าทึ่งมาก

ขณะที่ชีวิตต้องสู้ของหวัง ชวนฝู ทำให้ปีถัดมา BYD เริ่มผลิตรถบัสไฟฟ้ามาก เพราะมีคำสั่งจากมณฑลหูหนาน และเริ่มส่งออกไปยังต่างประเทศ


ระหว่างปี 2548-2558 BYD ส่งมอบรถบัสไฟฟ้าไปมากกว่า 50,000 คัน รถบรรทุกไฟฟ้ามากกว่า 12,000 คัน รถบัส BYD ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมากกว่ารถยนต์ตลาดต่างประเทศ เช่น อเมริกา เม็กซิโก อังกฤษ เยอรมนี ฮอลแลนด์ บราซิล ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ไทยเองก็ตาม ตอนนี้ BYD พยายามขยายตลาดไปทางตะวันออกกลางและแอฟริกาด้วย

เมื่อปลายปีที่แล้ว BYD เพิ่งเปิดตัวรถบรรทุกขยะพลังไฟฟ้าคันแรกของโลกที่เมือง Palo Alto แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นหลังบ้านของลบริษัทเทสล่า แทนที่จะเป็นในจีน

2563 BYD ประกาศเปิดตัวแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดใหม่ เรียกว่า Blade Battery เป็นที่ฮือฮากันอย่างกว้างขวางว่าแบตเตอรี่ชนิดนี้ได้เปลี่ยนมาตรฐานวงการรถยนต์ไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดด หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Game Changer ที่ทำลายอุปสรรคด้านระยะทางกับการชาร์จ แล้ววิ่งได้ไกลและปลอดภัย


รูปทรงของเซลล์แบตเตอรี่ BYD ถูกออกแบบมาเป็นลักษณะคล้ายกับใบมีด ถึงเรียกว่า Blade มีความบางและรูปทรงที่ยาวกว่าแบตเตอรี่ทั่วไปที่มีการซ้อนทับและมีลักษณะเป็นก้อนๆ โดยการออกแบบลักษณะนี้ทำให้เซลล์แบตเตอรี่ทาง BYD มีพื้นผิวในการระบายความร้อนที่สูงมาก จึงสามารถระบายความร้อนออกไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับเซลล์แบตเตอรี่แบบก้อนสี่เหลี่ยม และไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสม

ท่านผู้ชมครับ การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ของ BYD คือการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Blade Battery ที่เป็นทางเลือกซึ่งปราศจากโคบอลต์ เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบชาร์จไฟได้อื่นๆ ที่กล่าวกันว่าปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า BYD ไม่เพียงแต่คิดตั้งแบตเตอรี่ในรถยนต์ตัวเองเท่านั้น แต่ขายให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น รวมทั้งเทสล่าด้วย


อีกส่วนหนึ่งของกลยุทธ์คือการสร้างโมเดลราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่แพงกว่าคู่แข่ง อย่างเช่น Neo และ เอ็กซ์เผิง ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจีน ตั้งเป้าตลาดหรูหราด้วยรถยนต์ที่มีราคาสูงกว่าสินค้าส่วนใหญ่ของ BYD ขายในระหว่าง 13,000-46,700 เหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกับที่รถยนต์คู่แข่งอย่างเทสล่า เริ่มที่ประมาณ 50,000 ดอลลาร์ ก่อนจะมีการลดราคาครั้งหลังสุด BYD ยังมีประสบการณ์เชิงลึกในตลาดจีนที่มีการแข่งขันสูงและขยายตลาดไปต่างประเทศ เป็นครั้งแรก เมื่อเกือบ 1 ทศวรรษที่แล้ว ด้วยโรงงานรถบัสไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนีย

หวัง ชวนฝู ได้พูดให้ข้อคิดว่า ถ้าโมเดลรถยนต์ล้มเหลว อาจจะมีราคาที่ต้องจ่ายหลายร้อยล้านหยวน แต่ถ้าทิศทางกลยุทธ์ผิดพลาด อาจต้องใช้เวลา 3-5 ปี และเวลาเหล่านั้นที่สูญไปไม่สามารถซื้อขายได้ด้วยเงิน

ปัจจุบัน BYD มีฐานการผลิตมากกว่า 30 แห่งทั่วโลก รวมทั้งในไทยเอง BYD ก็มาลงทุนสร้างโรงงานผลิตเช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มผลิตได้ปีหน้า คือปี 2567 และมีเป้าหมายส่งออกรถยนต์จากไทยไปประเทศอาเซียนและยุโรป


ล่าสุด BYD กำลังเจรจากับฟอร์ดเพื่อซื้อโรงงานผลิตในเยอรมนี แหล่งข่าวบอกกับวอลล์สตรีทเจอร์นัล เมื่อเดือนที่แล้วว่า ข้อตกลงอันเก่าถือว่าเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในต่างประเทศสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในจีน

นอกจากนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า BYD ยังมีโครงการทำ Sky rail ที่ใช้เวลาพัฒนามา 5 ปี ใช้เงินวิจัยและพัฒนาไปราว 5,000 ล้านหยวน หรือ 25,000 ล้านบาท ธุรกิจที่ทำ Sky rail รถรางโมโนเรลไฟฟ้า BYD เปิดตัวครั้งแรกในปี 2559 เริ่มให้บริการครั้งแรกในปี 2560 ในเมืองหยินชวน มณฑลหนิงเซียะ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เป็นระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร

ปีนี้ BYD มีแผนสร้าง Sky rail อีกกว่า 20 เมืองทั่วจีน นักวิเคราะห์คาดว่า BYD น่าจะทำเงินจากโครงการ Sky rail ได้ราว 30,000 ล้านหยวน หรือ 1.5 แสนล้านบาท


แม้ว่า BYD จะทำธุรกิจหลายประเภท ทั้งแบตเตอรี่ โซลาร์เซลล์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์มือถือ การขนส่งทางรถไฟ แต่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นแหล่งรายได้หลักสำคัญของ BYD เป็นที่เรียบร้อย มีสัดส่วนทั้งหมดเทียบกับรายได้อื่นๆ ของ BYD แล้ว รถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง 51 เปอร์เซ็นต์

อย่างที่ผมพูดไปแล้ว ท่านผู้ชมครับ ปี 2566 BYD ขายรถไฟฟ้าแซงหน้าเทสล่าไปแล้ว กลายเป็นแบรนด์ที่ทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก นอกจากนี้แล้ว BYD ยังเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอันดับสองของโลก แซงหน้า LG Energy บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ ทำให้อันดับหนึ่ง อันดับสอง ของผู้ผลิตแบตเตอรี่ กลายเป็นบริษัทสัญชาติจีนไปแล้วเวลานี้ อันดับหนึ่งก็คือ CATL


หวัง ชวนฝู มักจะพูดเสมอว่า BYD ก็ยังสร้างความฝันของผมอยู่ ความพยายามและพัฒนาอยู่เสมอของเราทำให้ความฝันกลายเป็นจริง และผมจะพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง เพราะสิ่งที่ทำมันสามารถต่อยอด เชื่อมโยงเข้าหากันได้ทั้งหมด

ฟังเรื่อง BYD และชีวิตของนายหวัง ชวนฝู ประธานของ BYD แล้ว ที่เกิดจากครอบครัวที่ยากจน พ่อกับแม่ก็ไม่มี พี่ชายกับพี่สะใภ้เลี้ยง ตัวเองจะเรียนหนังสือยังต้องขอยืมเงินเพื่อนบ้านมาเรียน แต่ว่าตัวเองมีวิสัยทัศน์ เลือกเรียนคณะฟิสิกส์เคมีทางด้านวัสดุศาสตร์ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้

ผมมาดูเมืองไทยเราในวันนี้ คนรุ่นใหม่ที่ร่ำรวยขึ้นมาก็มีไม่น้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงฐานรากของครอบครัวคนรุ่นใหม่บ้านเรา ถ้าไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่ใช้เงินพ่อเงินแม่มาทำ อย่างน้อยที่สุดครอบครัวก็ยังมีฐานะอยู่ และสิ่งที่เราทำนั้น เทียบกับหวัง ชวนฝู ไม่ได้เลย เราทำอย่างมากก็แค่อาหารการกินแค่นั้น หรือทำเบียร์ขึ้นมา เอามาแข่ง หรือตระกูลของคุณเจริญ ก็มาทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา โดยมีพื้นฐานแห่งเงินทองที่สนับสนุนหนุนหลังให้

ไม่ว่าตระกูลอะไรก็ตามที่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยแล้ว ลูกหลานก็จะทำงานสำเร็จ เพราะว่ามีเงินมีทอง แต่หาประเภทลูกชาวนาที่จนจริงๆ ที่สำคัญ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ฮึดสู้ และที่สำคัญคือมีความฝันแล้วไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา เดินหน้าต่อไป และในที่สุดแล้วทำสิ่งของที่ตัวเองทำแล้วประสบผลสำเร็จ แล้วออกไปสู้ในต่างประเทศ เมืองไทยเรายังไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ให้ตายสิ 70 กว่าล้านคน ลูกเศรษฐีก็แฮปปี้อยู่เพียงแค่นี้ นึกจะเปิดร้านแล้วมีแฟรนไชส์ 5 แฟรนไชส์ 10-20-30 แฟรนไชส์ ก็ใช้เงินพ่อแม่ทั้งนั้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรม หาไม่เจอเลย และถ้าเจอจริงๆ ก็เป็นใหญ่แค่ในประเทศไทย ไม่ก้าวไกลไปกว่านั้น


ท่านผู้ชมรู้ไหม หลายสิบปีมาแล้ว ผมจะเล่าความเก่า ประวัติให้ฟัง ผมเจอซีอีโอของ SCG ยุคนั้น นานมาแล้ว อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย สนิทกัน ผมถามว่า พี่ครับ SCG เป็นบริษัทที่มีเงิน SCG ผูกขาดอุตสาหกรรมการก่อสร้าง กระเบื้องเอย โน่นนี่นั่นเอย เอ๊ะ ทำไมพี่ไม่ตั้งคณะวิจัยและพัฒนาขึ้นมาล่ะ พัฒนาออกมาเลย ไม่ต้องไปพึ่งซื้อกระเบื้องมาจากออสเตรเลีย สมัยนั้น หรือซื้อโน่นซื้อนี่ แล้วมาผลิตเลียนแบบเขา คิดของเราเองขึ้นมาได้ไหม ท่านซีอีโอท่านนั้นก็บอกว่า สนธิ ไม่คุ้ม สู้ซื้อ license ลิขสิทธิ์เขามา แล้วเอามาทำเองดีกว่า ถูกกว่า ง่ายกว่า

อาจจะเป็นเพราะว่า SCG ไม่ใช่ของเขา เขาขึ้นมาแล้วเขารักษายอดขายได้ เขาพอแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว บริษัทอย่าง SCG ก็อยู่เพียงแค่นี้ล่ะ อาจจะมีกำไรทุกปี แล้วยังไงล่ะ ? เป็นบริษัทที่พร้อมทุกอย่าง แต่ขาดแรงหนุน นี่ผมไม่ได้พูดเฉพาะ SCG นะ หลายๆ บริษัทขาดแรงหนุน ขาดวิสัยทัศน์ ขาดการผลักดันของคนที่เป็นซีอีโอ เพราะซีอีโอของบริษัทต่างๆ เหล่านี้ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นซีอีโอที่ถูกเลือกขึ้นมาแต่งตั้ง เพื่อประคับประคองให้บริษัทต่างๆ เหล่านี้มีกำไรเหมือนเดิม แต่นวัตกรรมใหม่ไม่มี


ผมเห็น SCG ผลิตกระดาษ ผลิตโน่นผลิตนี่ ผลิตทุกอย่าง แต่ไม่เคยมีอะไรที่สามารถจะออกไปต่อสู้ในโลกนี้ได้ ผมพูดถึงโลกนี้นะ ผมพูดถึงยุโรป ผมพูดถึงอเมริกา ผมพูดถึงหลายๆ ประเทศ เป็นสินค้าหลักที่จะออกไปแข่งขันได้ ที่สำคัญผมยังหา หวัง ชวนฝู ไม่เจอในประเทศไทย ไม่มี ถ้าจะมีก็มีแต่ลูกคนรวยทั้งนั้น แฮปปี้อยู่แค่นี้เอง ไม่เหมือนหวัง ชวนฝู กระโดดเข้าไปจับวัสดุศาสตร์ ทำแบตเตอรี่ขึ้นมา ที่ตัวเองชำนาญ รับจ้างทำแบตเตอรี่ให้กับมือถือของหลายเจ้า ทั้ง Nokia ทั้ง Motorola ทั้งโน่นทั้งนี่ ลอกเลียนแบบรถที่เป็นไฮบริดครั้งแรก โดยเลียนแบบมาจาก TOYOTA COROLLA และพัฒนาจากจุดนั้นไปเรื่อยๆ

ท่านผู้ชมครับ ธนาคารในบ้านเราก็ไม่ได้สนับสนุนคนที่ก่อร่างสร้างตัวแล้วมีนวัตกรรมสตาร์ทอัปแบบนี้ แต่คนจะทำสตาร์ทอัปแบบนี้ต้องใจสู้ ไม่ใช่ว่าพอล้มเหลวแล้ว ปล่อยวาง เศร้าหมอง มันต้องฮึดสู้ เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้คนเรา คนที่มีความคิด คนที่ฮึดสู้ แล้วรัฐบาลต้องหาทางสนับสนุนคนพวกนี้ให้ได้ เพราะเขาไม่ได้มีพ่อที่รวย เขาไม่ได้เป็นตระกูลอย่างเช่นจิราธิวัฒน์ หรือหลายๆ ตระกูลที่ร่ำรวยมา แล้วลูกหลานออกมาทำโน่นทำนี่ก็ประสบผลสำเร็จ ก็ใช่สิ คุณทำงานครั้งแรกคุณก็มีพื้นฐานเรื่องการเงินรองรับ มันไม่ใช่แค่ประสบผลสำเร็จอย่างเดียว คุณต้องก้าวออกนอกประเทศไทยด้วย ไม่ใช่คุณมีแฟรนไชส์ คุณมีสาขาอยู่ในประเทศไทยอยู่ประมาณ 120 สาขา แล้วคุณภูมิใจ ไม่ใช่ แล้วสินค้าของคุณก็เป็นสินค้าอาหารการกินทั่วๆ ไป เพราะว่าเราไม่สนใจเทคโนโลยี เราปล่อยมันผ่านพ้นไป เราก็เลยจมปลักอยู่กับเหล้าอยู่กับเบียร์ อยู่กับอาหารการกิน อยู่กับร้านขนมเค้ก อยู่กับชายสี่บะหมี่เกี๊ยว คุณมีแค่นี้เอง

หรือว่านักวิทยาศาสตร์ไทย หรือว่าลูกหลานคนไทย อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยนิยมเรียนทางด้านรัฐศาสตร์มาก ทางด้านกฎหมาย นิติศาสตร์บ้าง ทางด้านสังคมศาสตร์บ้าง ไม่ได้สนใจเหมือนกับทางจีนเขาเรียน STEM (S : Science = วิทยาศาสตร์, T = Technology, E = Engineering และ M = Mathematics คณิตศาสตร์)


ผมเห็นมีการคิดค้นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลาดกระบังคิดค้นสำเร็จ พระนครเหนือคิดค้นสำเร็จ แต่มันตายอยู่ตรงนั้นล่ะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีการพัฒนาต่อยอด ผมยกตัวอย่าง SCG ให้ฟัง ย้อนหลังกลับไป ถ้าวันนั้นเขากล้าทำในสิ่งที่เป็นความฝัน ซึ่งเขาไม่มีวันกล้าทำ เพราะเขาไม่ใช่เจ้าของบริษัท เขาถูกคัดเลือกขึ้นมาเพื่อประคับประคอง SCG ต่อไป เพราะฉะนั้น SCG ก็จะอยู่มันอย่างนี้ตลอดไป ตลอดชีวิต จนกว่าโลกจะล่มสลายไป ไม่มีอะไรใหม่ น่าเสียดาย อุปกรณ์ก็พร้อม ทรัพย์สินก็พร้อม เงินทองก็พร้อม แต่โครงสร้างของผู้บริหารไม่ใช่ เพราะโครงสร้างผู้บริหารจะเลือกเอาคนที่เข้ามาทำงานในนั้น เราขาดคนที่ริเริ่มก่อตั้งอย่าง หวัง ชวนฝู หรืออย่างเหริน เจิ้งเฟย หรืออย่างอีกหลายๆ คน นี่คือปัญหาใหญ่ของประเทศไทย ท่านผู้ชม


บอกผมมาสิ เรามีอาหารการกินโด่งดัง ออกไปขายต่างประเทศ แต่ก็เล็กๆ น้อยๆ กะทิชาวเกาะ ไม่มีอะไรพิเศษ เวียดนามก็ทำกะทิขึ้นมาได้ในอนาคต ทุกคนทำได้ แล้วเราก็ทำแค่ ลูกคนรวยก็ทำแค่เปิดโรงงานรับจ้างทำของ รับ NIKE ที่จะผลิตรองเท้า แล้ววันหนึ่ง NIKE ก็ถูกย้ายออกไปยังประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่าเมืองไทย โรงงานก็เลยต้องผลิตรองเท้ายี่ห้อของตัวเอง มีอยู่แค่นี้ แล้วถ้าจะผลิตรองเท้ายี่ห้อของตัวเองก็ไม่ยอมทุ่มเงินในเรื่องการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนารองเท้าตัวเองให้มันออกมาต่อสู้และเป็นคู่แข่งกับ NIKE ได้ ไม่มี มีความสุชกับการผลิตรองเท้ายี่ห้อนี้ แล้วพอขายได้ ถึงจะไม่ร่ำรวยมากนัก แต่มีกำไรทุกเดือน ทุกปี ก็จบเพียงแค่นี้ นี่คือข้อแตกต่าง

ท่านผู้ชมเคยถามว่าเมืองไทยทำไมไม่เจริญสักที มันอยู่ที่วัฒนธรรมของคนไทยนั่นเอง มันเป็นเช่นนี้แหล่ะท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมขอบเรื่องพวกนี้ บอกผมมา ผมจะหาข้อมูล และไม่มีอะไรเหมาะเท่ากับประเทศจีน เพราะประเทศจีนมีเศรษฐีรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นจากคนยากคนจน ปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ยากจน ลูกชาวนา จะกินก็ยังไม่มีจะกิน เรียนหนังสือต้องขอยืมเงินไปเรียนหนังสือ พวกนี้เป็นแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจ ถ้ารู้จักคิด

จริงๆ แล้วคนไทยไม่ได้จนมากเท่าคนจีนในสมัยโบราณ สมัยโบราณคนไทยมีกินมีญาติพี่น้อง มีชุมชน มีครอบครัว แต่คนจีนอยู่ในหมู่บ้านนั้นถ้าจนก็จนจริงๆ แต่ทำไมเขาหลุดพ้นจากความยากจนได้

ทีมงานผมบอกว่ามีอีกคนหนึ่งคือคนที่ก่อสร้างรถยนต์อันดับ 8 ของจีน ชื่อ Geely บอกชีวิตของคนๆ นี้น่าสนใจมาก ท่านผู้ชมสนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจเดี๋ยวผมค้นคว้ามาพูดให้ฟังครับ

ท่านผู้ชมครับ คิดอย่างไรกับ BYD แล้วเบื้องหลังที่มีผู้นำที่ทรหดอดทนมาก สู้ชีวิต ไม่ยอมพ่ายแพ้

ท่านผู้ชมครับ วันนี้มีเรื่องราวที่ให้ปัญญาทั้งสิ้น ทุกๆ ช่วง ทุกๆ คลิป ท่านผู้ชมหาที่ไหนไม่ได้หรอกครับ ท่านผู้ชมครับ รออาทิตย์หน้าเราจะมีเรื่องที่ทีเด็ดอีกเยอะ เตรียมเอาไว้ให้ท่านผู้ชม และอาทิตย์หน้าก็น่าจะพอรู้แล้วถึงสงครามอิสราเอลกับปาเลสไตน์ว่าพัฒนาลงไปสู่จุดที่เลวร้ายมากขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เอาแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น