xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ฉีกหน้ากากไอ้โม่ง “โคตรส่วยแม่สอด” - สื่อเสี้ยมสุ่มไฟขัดแย้ง จีน-ไต้หวัน - รุ่งหรือร่วง แจกดิจิทัลวอลเลต - ยิวอำมหิตล้างผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 17 พ.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น

- ฉีกหน้ากาก “ไอ้โม่ง” ผูกขาด “โคตรส่วยแม่สอด”
- รุ่งหรือร่วง แจกดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท
- สื่อเสี้ยมสุ่มไฟขัดแย้ง “จีน-ไต้หวัน” 
- ยิวอำมหิตล้างผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.215



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 216 [17 พ.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 สวัสดีท่านผู้ชมรายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok รายการวันนี้มีอยู่หลายๆ เรื่องที่น่าสนใจ บางเรื่องก็เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ว่าสื่อมวลชนทั่วไปไม่ได้พูดถึง มิหนำซ้ำยังไม่ให้ความสนใจเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

รายการวันนี้มีเรื่องที่ผมจะต้องอัปเดตสงครามอิสราเอลกับฮามาสก่อน เพราะว่าอาทิตย์ที่แล้วไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย

เรื่องที่สอง ผมจะเปิดหน้ากาก "ไอ้โม่ง" ผูกขาด "โคตรส่วยแม่สอด" เนื่องจากมีข่าวคราวมาว่าได้มีการร้องเรียนมา ระบุชื่อตำรวจชัดเจนว่าข้ามฝั่งจากแม่สอดเข้าไปที่เมืองเมียวดีของฝ่ายกะเหรี่ยงที่แม่สอด เพื่อไปรีดไถผู้ประกอบการ ซึ่งมีทั้งสีเทา สีเทาเข้ม และสีดำ

สื่อมวลชนไทยลงแต่ข่าว แต่ว่าไม่มีใครติดตามเบื้องหน้าเบื้องหลัง เนื่องจากผมเคยทำเรื่องนี้มาก่อน นานแล้ว ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะว่าแม่สอดคือดินแดนที่เหมือนกับปูด้วยทองคำ แตะไปที่ไหนก็เป็นเงินทองหมด ตำรวจแต่ละคนชั้นสัญญาบัตร มีตำแหน่งแห่งที่ ล้วนแล้วแต่ชอบเหลือเกินที่อยากจะไปอยู่แม่สอด หรืออยู่ที่จังหวัดตาก ถ้าเป็นระดับผู้บัญชาการต้องถือว่ากองบัญชาการภาค 6 ซึ่งดูแลแม่สอด และตากนั้น เป็นกองบัญชาการที่เข้าไปแล้วมีแต่แสงวิบวับของทองคำทั้งนั้น

เมื่อเร็วๆ นี้มีสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ส่งนักข่าวไป หรือทางไต้หวันจ้างไปก็ไม่รู้ ยังไม่ชัดเจน ไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไต้หวัน ซึ่งคนนี้เป็นตัวพ่อในแบล็กลิสต์ของจีนเลยที่ต้องการจะแยกไต้หวันออกจากจีนให้เป็นเอกราชของตัวเอง เรื่องนี้มีนัยและมีมิติที่ผมคิดว่าเรื่องนี้บอร์ดไทยพีบีเอสต้องเข้ามารับผิดชอบ เพราะว่า สรุปภาษาแถวบ้านเขาเรียกว่าเรื่องนี้เฮงซวยมาก ปล่อยอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วผมค่อนข้างจะดูถูกเหยียดหยามบอร์ดไทยพีบีเอสนี้มากๆ แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่าไทยพีบีเอสนั้นปัญหาเยอะเหลือเกิน แล้วก็ซ่อนปัญหา อาจจะถึงเวลาที่เราต้องทบทวนว่าเรายังจะใช้การหักภาษีสรรพสามิตบุหรี่และเหล้าเอามาให้กับไทยพีบีเอส ปีละประมาณสองพันล้านบาท คุ้มค่าหรือไม่

เรื่องที่สี่ คือเรื่องที่ผมจะพูดเป็นครั้งแรก คือเรื่องเกี่ยวกับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมพูดอย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นกลางที่สุด และอธิบายความเห็นและความจำเป็นของคนที่ทำ และฝ่ายค้าน ว่าอย่างไร


ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมและทีมงานเดินทางทุกสุดสัปดาห์ไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ ด้วยเงินทอดกฐินที่มาจากเงินที่พี่น้องทั้งหลายเช่าพระและร่วมกันทำบุญเข้ามา

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีงานกฐิน วันที่ 11 พฤศจิกายน ที่วัดบึง อำเภอท่าเรือ จังหวัดอยุธยา เราร่วมทำบุญกฐินไป 3 ล้านบาท ทางวัดสรุปยอดกฐินประจำปีได้มาถึง 7,848,217 บาท

12 พฤศจิกายน วันอาทิตย์ ผมไปทอดกฐินที่วัดป่าวังศิลา อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ทางวัดสรุปยอดกฐินประจำปีได้ 11,306,691.50 บาท และวันเดียวกัน ที่วัดธรรมสถิต อำเภอเมือง จังหวัดระยอง พวกเราได้ร่วมทำบุญกฐินไปแล้ว 1 ล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมทำบุญกับพวกเรา ขอให้กุศลผลบุญนี้ส่งผลให้ท่านสำเร็จกิจการทุกอย่าง มีสุขภาพที่แข็งแรง มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน และมีความสุขความสงบในครอบครัว


กำหนดการวัดที่จะทอดกฐินหลังจากวันนี้แล้ว ก็มีวันพรุ่งนี้ 18 พฤศจิกายน พวกเราจะไปวัดป่าพุทธนิมิต อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร อาทิตย์ที่ 19 เราจะไปวัดป่าหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และอาทิตย์ที่ 19 วันเดียวกัน เราจะส่งตัวแทนไปที่วัดป่าดอยลับงา อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

ท่านผู้ชมที่สนใจร่วมทำบุญยังสามารถโอนเงินมาร่วมทำบุญได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เลขบัญชี 008-2-78777-1 หรือใครสนใจทำบุญโดยผ่านวิธีการจองพระ ก็ให้รีบจองเข้ามา ยังพอจองได้อยู่ พระพุทธรูป "พระสยามพุทธาธิราช" ให้เช่าบูชาองค์ละ 1 แสนบาท ส่วนเหรียญชุด 2,000 บาท เหลืออยู่ไม่มากจริงๆ ถ้าสนใจ ติดต่อที่ไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน @tambun


เล่าให้ฟังนิดหนึ่ง เหรียญนี้เขาทำมาเสร็จแล้ว ยังไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก แต่ผมเอาเหรียญชุดนี้เอาไปให้พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านมีฌาน ให้ท่านแผ่เมตตาดู ท่านแผ่เมตตาดูท่านก็ตกใจ ท่านบอกว่า เหรียญนี้พุทธาภิเษกเมื่อไร ? ผมบอก ยังไม่ได้ทำ อ้าว ทำไมเหรียญนี้ขนาดยังไม่มีพุทธาภิเษกถึงมีพลังพุทธานุภาพและพุทธคุณสูงมาก ผมก็เลยเรียนให้ท่านผู้ชมฟังว่า เหรียญโลหะนั้น มวลสารที่เราได้มาเป็นเหรียญศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เราเอามาหล่อรวม อย่างเช่น เหรียญปี 2482 ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ผสมกับเหรียญ 2470 รุ่นแรกของหลวงพ่อเดิม แล้วก็มีเหรียญศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เหรียญจอบเล็ก จอบใหญ่ ผสมเข้าไป


ส่วนพระผงนี่ก็มีพระสมเด็จบางขุนพรหม ประมาณ 3,000-4,000 องค์ ที่เราเอามาบดสลายย่อยเอามาสร้างพระ ใส่ไปแม้กระทั่งองค์จตุคามรามเทพที่เราสร้างกันสมัยกู้ชาติ


ทั้งหมดนี้เนื่องจากว่าวัตถุดิบ มวลสารที่อยู่ในนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์หมด ก็เลยมีพลังในตัวโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกเลย ก็เลยเล่าให้ฟังเพื่อให้ทราบว่าผมมั่นใจว่าสององค์นี้จะเป็นเหรียญโลหะและเหรียญผงที่ศักดิ์สิทธิ์มาก

ผมต้องการที่จะแนะนำวัดที่วัดบวรฯ เป็นเจ้าของ วัดบวรฯ นั้นได้ไปสร้างอุโบสถ อาคารที่พัก ที่วัดพุทธเดชมงคล อำเภอมัสสึโมโต้ จังหวัดนางาโน ที่ญี่ปุ่น ท่านผู้ชมคงจำได้ เราเคยเล่าให้ฟัง


วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.00 น. จะมีพิธีเจริญพุทธมนต์สมโภชองค์กฐินสามัคคีที่จะเอาไปทอดที่วัดพุทธเดชมงคล ที่อำเภอมัสสึโมโต้ จังหวัดนางาโน ญี่ปุ่น

26 พฤศจิกายน 2566 ทำพิธีทอดถวายผ้ากฐินสามัคคี

ท่านผู้ชมที่สนใจจะร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคได้ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี พระสายันต์ ปัญญาวุโธ เลขบัญชี 430-0-90831-1 ถ้าสนใจติดต่อสอบถาม ขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พระครูสังฆสิทธิกร คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศฯ โทรศัพท์ 091-1999-599 หรือจะเข้าเฟซบุ๊ก/ไลน์ วัดพุทธเดชมงคล


ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า วัดนี้ อาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2566 มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล ร่วมกับพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวญี่ปุ่น ได้รวบรวมเงินทอดผ้าป่ากับทางวัด ได้ถึง 2,628,966 บาท ทางวัดได้นำปัจจัยจากการทอดผ้าป่าร่วมสมทบทุนจัดซื้อบ้านและที่ดินของคุณยายโอนิชิ ชาวญี่ปุ่น ที่ด้านหน้าวัด มีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางวา คุณยายได้ตัดสินใจขายให้กับทางวัด 15 ล้านเยน หรือ 3.8 ล้านบาท เป็นการทำบุญทอดกฐินในต่างประเทศวัดแรก

เรามาพูดคุยกันเรื่้องรายการ "2 ทศวรรษ รายการเมืองไทยรายสัปดาห์" ของผม สนธิ ลิ้มทองกุล และคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ พร้อมแขกรับเชิญพิเศษ ตอนนี้เราตัดสินใจจัดที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567 เวลา 13.00 น. ตอนนี้ที่นั่งแถวหน้าเต็มแล้ว เหลือโซนกลาง ใครสนใจก็จองเข้ามา ราคาบัตร 2,000 บาท กับ 1,500 บาท ถ้าสนใจรีบมาจองบัตรกัน สอบถามรายละเอียดและจองบัตรที่ไลน์ @sondhitalk


ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้อย่าเพิ่งลืมยาฟ้าทะลายโจร ของอาจารย์ปานเทพ และสเปรย์พ่นคอสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ท่านผู้ชมพกติดตัว ติดบ้านเอาไว้ ท่านผู้ชมไปงาน หรือไปสถานที่ที่มีคนเยอะๆ ไม่ว่าจะนั่งเครื่องบินไป เหมือนที่อาทิตย์ที่แล้วผมไปวัดป่าวังศิลา ก่อนขึ้นเครื่องตอนเช้า ฟ้าทะลายโจร 4 เม็ด รับประทานเข้าไป เที่ยงรับประทานอีก เย็นรับประทานอีก และก่อนนอนรับประทานอีก 4 เม็ด ทั้งหมด 16 เม็ด กลับมาแล้วก็ทานจนครบ 3 วัน ปรากฏว่าดูแล้วอาการเราไม่มีอะไรเลย ก็เลยหยุดทาน การที่ทานไว้ก่อนล่วงหน้าคือการป้องกัน

ส่วนคนที่ยังไม่ป่วยสามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้ด้วย "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ทุกวันเลย ทานตอนบ่าย เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้ที่สูงวัย ซึ่งเขาบอกว่าคนที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สมควรจะทาน วันละ 1 ซอง ตอนบ่าย ผมทานมาจะสี่ปีแล้ว สุขภาพแข็งแรงดี แล้วก็มีความรู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่า แล้วก็ไม่ได้อ่อนเพลีย ถ่ายเป็นปกติธรรมดา

ถ้าท่านผู้ชมสนใจ ทั้งฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ยาลม ๓๐๐ จำพวก และสเปรย์พ่นคอ ติดต่อซื้อได้ที่ LINE ID : @sunherb


ท่านผู้ชม ช่วงนี้ถ้าว่างแวะไปร้าน SUN PAN สักนิด ตอนนี้ SUN PAN ขายดีมาก มีขนมหลากหลายมาวางขาย นอกจากโชกุปัง เมนูหลักของทางร้าน ยังมีขนมปังมันม่วงญี่ปุ่น ขนมปังฟักทองญี่ปุ่น ขนมปังใบเตยกะทิ ตอนนี้ก็มีชีสเค้ก ซึ่งโฮมเมดมาวางขายเพิ่มเติม เอาของลงไม่ถึงชั่วโมงก็หมด รวมทั้งเครื่องดื่ม โอเลี้ยง ไอศกรีม หมูแท่ง ปลาแท่ง ก็มีอยู่ตลอด ใครสนใจแวะไปได้เลยครับ อยู่ที่ปั๊ม ปตท. ราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีฯ

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเข้ารายการผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง และเชิญชวนท่านผู้ชม FC ของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรืออดีตพันธมิตรฯ ทั้งหลาย วันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ เวลา 9 นาฬิกาตรง ที่ศาลอาญารัชดา อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กำลังจะขึ้นให้การต่อศาลอาญา รัชดาภิเษก ห้อง 910 ในฐานะที่อาจารย์ปานเทพ เป็นจำเลยที่ 18 ในคดีสนามบิน เกิดขึ้นเมื่อปี 2551


คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ ผมอยากให้ท่านสื่อมวลชน พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และท่านผู้สนใจ ถ้ามีเวลาอย่าพลาด ไปฟังเหตุผลที่ควรจะต้องฟังอย่างยิ่ง เพราะอาจารย์ปานเทพ ท่านเป็นคนลึกซึ้ง ข้อมูลท่านเพียบ และท่านสามารถจะเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ อธิบายความได้ชัดเจนว่า ที่มันเกิดขึ้นที่สนามบินนั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมถึงเกิดขึ้น ซึ่งไม่เคยมีใครอธิบายเรื่องนี้มาก่อน สมัยก่อนนั้นเราเคยพูดว่า เราต่อสู้โดยใช้มาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ว่ามาตรา 63 เป็นแค่หนึ่งมาตรา อาจารย์ปานเทพ จะชี้ให้ดูว่าสิ่งที่พวกเราทำกันในอดีตนั้น มันคือออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญ ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 68 มาตรา 70 มาตรา 71 ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 เป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น

ในเวลานั้นอาจารย์ปานเทพ ไม่ได้เป็นแกนนำก็จริง แต่เป็นสื่อมวลชนที่มีความรอบรู้ ทำหน้าที่สืบค้น รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และรายงานข่าวอย่างรอบด้านมาโดยตลอด ท่านผู้ชมที่ติดตามงานของอาจารย์ปานเทพ จะรู้ว่าอาจารย์ปานเทพเป็นนักวิชาการ มีความรู้ลึกซึ้งในศาสตร์หลายๆ แขนง ประเด็นอะไรที่สนใจ อาจารย์ปานเทพจะหาข้อมูลวิเคราะห์ วิจัย เจาะล้วงลึกถึงแก่นมาแล้วในหลายๆ ประเด็น และได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในสังคมไทย


ท่านผู้ชมครับ ตลอดชีวิตอาจารย์ปานเทพ ที่เคยโดนคดีมา ทั้งคดีชุมนุม คดีหมิ่นประมาท อาจารย์ปานเทพไม่เคยแพ้เลย มีแต่เรื่องจบก่อน ไม่เคยไปถึงศาลฎีกาแม้แต่คดีเดียว เพราะคดีชุมนุมของอาจารย์ปานเทพนั้น อาจารย์ปานเทพชนะทั้งหมด จบแค่ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น 3 คดี ในคดีหมิ่นประมาท เจออาจารย์ปานเทพแล้วถอดใจก่อน ท่านผู้ชมเชื่อไหม คดีหนึ่งโจทก์ไม่กล้าอุทธรณ์ อีกคดีหนึ่งโจทก์ถอนฟ้องไปเอง เพราะกลัวอาจารย์ปานเทพซักค้านโจทก์

ทีมทนายเห็นพ้องต้องกันว่า ควรให้อาจารย์ปานเทพเป็นผู้ขึ้นให้การสรุปปิดท้าย เพราะว่าเป็นผู้ที่รวบรวมข้อมูลเรื่องนี้มาหลายปี และเรียบเรียงข้อมูลได้เป็นระบบที่สุด ผมไม่อยากให้เกิดความลักลั่นในการตัดสินคดี เพราะว่าคดีสนามบินนั้น ผู้ต้องหาถูกแบ่งเป็นสองชุด การให้การของอาจารย์ปานเทพในวันที่ 21 จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาชุดที่หนึ่งได้ฟังคำให้การด้วย เพราะอาจารย์ปานเทพถูกแยกไปอยู่ชุดที่สอง เพราะฉะนั้นการให้การในครั้งนี้จึงมีความสำคัญและควรไปฟังอย่างยิ่ง ผมย้ำอีกครั้งนะครับ ท่านผู้ชม ไปฟังกันนิดหนึ่ง ไปให้กำลังใจอาจารย์ปานเทพด้วย วันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก


และผมขอเชิญท่านสื่อมวลชนทุกท่าน ถ้าสนใจ ไปฟังสักนิดหนึ่ง ผมมั่นใจว่าท่านฟังแล้วท่านจะเข้าใจเหตุการณ์ละเอียด เพราะไม่เคยมีใครพูดแบบนี้มาก่อน เพราะถ้าฟังแล้วจะรู้เรื่องดีและจะเข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมา ผมอยากให้ทั้งท่านสื่อมวลชนและท่านผู้ชมไปฟัง เพื่อเข้าใจทุกเรื่องและไปให้กำลังใจอาจารย์ปานเทพด้วยครับ

ยิวอำมหิต ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์

ท่านผู้ชมครับ ผมว่างเว้นจากการอัปเดตสถานการณ์สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์-ฮามาส มาสัปดาห์หนึ่งแล้ว เนื่องจากสงครามที่ยืดเยื้อมาเดือนกว่าทำให้สื่อไทยลดความสนใจต่อเรื่องนี้ลง แต่ผมตั้งใจไว้ว่าจะเกาะติดเรื่องนี้ จะพยายามอัปเดตให้ท่านผู้ชมได้รับทราบความคืบหน้าในรายการนี้ทุกสัปดาห์ เพราะสงครามครั้งนี้คือโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมนุษยชาติในรอบหลายสิบปี


ตัวเลขล่าสุด มีผู้เสียชีวิตที่ฉนวนกาซาราว 11,300 คน ท่านผู้ชมรู้ไหม น่าเศร้า โศกสลดมาก ถึงความเหี้ยมโหดของอิสราเอล ในจำนวนนี้ 70 เปอร์เซ็นต์ (ของ 11,300 คน) เป็นเด็ก คนแก่ และผู้หญิง ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ มีคนได้รับบาดเจ็บ 28,000 คน มีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาต้องพลัดถิ่นไป 1.4 ล้านคน นอกจากนี้ เวสต์แบงก์ยังมีผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 200 คน ในจำนวนนี้มีเด็กและผู้หญิง 50 คน ผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 2,500 คน


ทั้งนี้ ทางสื่ออย่างอัลจาซีรอได้ประเมินตัวเลขเหตุโศกนาฏกรรมในฉนวนกาซาไว้ (ทุกๆ ชั่วโมง) ดังนี้ อิสราเอลถล่มฉนวนกาซา จรวดเฉลี่ย 42 ลูก มีอาคารถูกถล่มเฉลี่ย 12 แห่ง ผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 15 คน (ในจำนวน 15 คน เป็นเด็ก 5 คน) ผู้ได้รับบาดเจ็บเฉลี่ย 35 คน


เหตุการณ์สงครามผ่านไปแล้วเกือบ 6 สัปดาห์ คิดเป็นเวลาหนึ่งพันกว่าชั่วโมง ท่านผู้ชมลองคำนวณดูว่ามีชาวปาเลสไตน์ มีผู้บริสุทธิ์ มีผู้หญิง มีเด็ก มีคนแก่ ต้องสูญเสียชีวิตจากสงครามนี้ไปแล้วกี่คน และยังจะต้องสูญเสียต่ออีกเท่าไร

ล่าสุด เหตุการณ์ที่กำลังเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้สงครามลุกลามออกไป คือการเคลื่อนรถถังยกพลบุกเข้าไปในโรงพยาบาลอัล-ชีฟา (Al-shifa) ในกาซาซิตี ของกองทัพอิสราเอล โดยโรงพยาบาลอัล-ชีฟา เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา เมื่อวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลบอกว่าการบุกเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อล่าสังหารนักรบฮามาสที่ซุกซ่อนอาวุธและตัวประกันไว้ภายในอาคาร และอ้างว่าสามารถสังหารนักรบฮามาสได้ 5 นาย


ขณะที่ปฏิบัติการดังกล่าวมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินงานของโรงพยาบาล มีผู้ป่วยอยู่ 700 คน บุคลากรทางการแพทย์อีก 500 คน ยังมีผู้ลี้ภัยที่พึ่งพิงอยู่ในโรงพยาบาลนี้อีก 1,500 คน

เหตุการณ์บุกโรงพยาบาลอัล-ชีฟา ของกองทัพอิสราเอลครั้งนี้ เป็นการละเมิดหลักมนุษธรรมอย่างร้ายแรง แต่อิสราเอลก็ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาให้ท้ายว่ากองทัพสหรัฐฯ มีข้อมูลข่าวกรองสนับสนุนเช่นกันว่ากลุ่มฮามาสมีศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ใต้โรงพยาบาลนี้ ซึ่งเป็นเรื่องโกหกพกลมที่สุด เพราะการอ้างนี้ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมในการบุกโรงพยาบาล กลุ่มฮามาสตอบโต้ว่าคำประกาศดังกล่าวเท่ากับเป็นการอนุมัติการบุกของอิสราเอล และไบเดน ต้องร่วมรับผิดชอบอาชญากรรมสงครามที่อิสราเอลก่อขึ้นในครั้งนี้

ส่วนข่าวเชิงลึกซึ่งผมเช็กมาจากหลายๆ แห่ง ระบุว่า สถานีวิทยุอิสราเอลยอมรับความผิดพลาดงานข่าวกรองว่าไม่มีวี่แววของเชลยที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา ในกาซา หลังจากทหารอิสราเอลเข้าจู่โจม และตรวจค้นโรงพยาบาลอัล-ชีฟา แล้ว


ด้วยเหตุนี้ ท่านประธานาธิบดีตุรกี ประธานาธิบดีแอร์โดอัน จึงประณามอิสราเอลต่อการกระทำครั้งนี้ว่าเป็นรัฐก่อการร้าย มีเจตนาการทำลายล้างกาซา พร้อมชาวปาเลสไตน์ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดทุกคน

ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่เริ่มสงครามมา จากการเก็บข้อมูลของอัลจาซีรอตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2566 ระยะเวลาเดือนกว่าๆ จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีสถานพยาบาล โรงพยาบาลในกาซา รวมไปจนถึงตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดการสื่อสารไปแล้วกว่า 270 แห่ง ทำให้โรงพยาบาล 21 แห่ง จาก 31 แห่งในกาซา หรือเรียกว่า 60 เปอร์เซ็ต์ ไม่สามารถทำงานได้ รถพยาบาลพังไปแล้ว 87 คัน คลินิกเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจายในพื้นที่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ 51 แห่ง จาก 72 แห่ง ไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้


แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตอนนี้อิสราเอลเริ่มใช้ยูเครนโมเดลแล้ว หันไปใช้กำลังทหารรับจ้างต่างชาติลุยกาซา

จากวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่เริ่มการปะทะกัน ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ผมว่ามันผิดสังเกตว่า แรงงานไทยที่ว่ากันส่วนใหญ่ไปรับจ้างทำการเกษตรในอิสราเอลกลับเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง ในวันจันทร์ที่ผ่านมามีคนไทยเสียชีวิตเพิ่ม 5 คน

13 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่ข้อมความผ่านแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ แสดงความเสียใจที่คนไทยเสียชีวิตเพิ่มจากการสู้รบในประเทศอิสราเอล โดยระบุว่า ขอแสดงความเสียใจ ... bla bla bla ว่าไป เป็นการประชาสัมพันธ์ปลอบโยน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าข่าวลือแพร่สะพัดมาสักพักแล้ว มีชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งซึ่งรวมถึงคนไทยด้วย เข้าไปเป็นทหารรับจ้างในอิสราเอลเพื่อรบกับกลุ่มปาเลสไตน์


ล่าสุด เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีข่าวชิ้นหนึ่งจากสเปน ยืนยันเรื่องนี้ว่า 3 พฤศจิกายน 2566 หนังสือพิมพ์เอล มันโด ของสเปน รายงานว่ากองทัพอิสราเอลได้ว่าจ้างทหารรับจ้างต่างชาติในการทำสงครามภาคพื้นดิน รุกรานแย่งชิงดินแดนกาซาในปาเลสไตน์ ยืนยันเรื่องนี้โดยนายเปโดร ดีอาซ ฟอเรซ ซึ่งเป็นทหารรับจ้างชาวสเปน ให้สัมภาษณ์เอง ตอนนี้นายเปโดร กำลังทำการรบอยู่แนวหน้าสงครามพร้อมกับทหารรับจ้างจากชาติอื่น มีทั้งยุโรป เอเชีย (น่าจะเป็นประเทศไทย) ที่แอบแฝงในคราบผู้ใช้แรงงาน เพราะว่าอิสราเอลจ่ายผลตอบแทนดี และยังมีการพบทหารรับจ้างไทยจำนวนหลักร้อยคนที่แอบแฝงเป็นทหารรับจ้างในกองทัพอิสราเอลด้วย

ถามว่าอิสราเอลให้ค่ารับจ้างดีแค่ไหน ? ท่านผู้ชมครับ อิสราเอลให้ค่าจ้างเป็นรายสัปดาห์ ถ้าออกไปรบ รอดชีวิตได้ครบสัปดาห์ จะได้เงินค่าจ้าง 3,900 ยูโร หรือประมาณ 150,000 บาท ถ้ารอดชีวิตได้ 1 เดือน ก็คือ 600,000 บาท สาเหตุที่มีการจ่ายเงินเป็นรายสัปดาห์เพราะสถานการณ์สู้รบมีความเปลี่ยนแปลงและผันผวนโดยตลอด

นอกจากนี้แล้ว ทหารรับจ้างที่เสียชีวิตทุกราย อิสราเอลก็สามารถอ้างได้ว่าเป็นกลุ่มนักรบฮามาสสังหารแรงงานต่างชาติ และยังพบว่ามีชาวต่างชาติถูกทหารฮามาสจับกุมตัวได้ขณะรุกรานแผ่นดินปาเลสไตน์ ถูกจับมัดและประหารชีวิต อิสราเอลเลยใช้ประโยชน์โดยนำภาพเหล่านั้นแถลง โยนแพะ ใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่กดดันรัฐบาลชาติที่พลเมืองถูกจับเป็นเชลย


นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า นายเบนจามิน เนทันยาฮู ฆาตกรฆ่ามนุษยชาติ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้เรียกประชุมเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำอิสราเอล พร้อมแบล็กเมลว่าพวกเขาต้องร่วมมือกับอิสราเอลกดดันคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้สามารถเข้าไปเยี่ยมเชลยราว 240 คน ที่ถูกคุมขังในกาซากว่า 100 คน เป็นชาวต่างชาติ แต่ผู้นำอิสราเอลไม่แยแสถึงกรณีที่อิสราเอลระดมปูพรมทิ้งระเบิดใส่พลเรือนหญิง เด็ก ชาวปาเลสไตน์ และคนแก่ในแนวหลัง ทิ้งระเบิด บุกโรงพยาบาล โรงเรียน ฆ่าผู้อพยพที่ไม่เกี่้ยวใดๆ กับสงคราม เสียชีวิตไป 12,000 ราย ราวกับว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ท่านผู้ชมครับ นายนัสเซอร์ คานาอานี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ได้แถลงว่า อิหร่าน ตัวกลางเจรจา ได้รับการร้องขอจากบางประเทศที่มีพลเมืองอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ที่ถูกอิสราเอลยึดครอง ขอให้ปลดปล่อยเชลยเหล่านี้ อิหร่านได้ส่งคำขอไปยังนายอิสมาอิล ฮานิเย หัวหน้าระดับสูงฮามาส พร้อมที่จะช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการ เนื่องจากอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่เชลยเหล่านั้นตลอดเวลา จนมีข่าววงในแจ้งว่าตัวประกัน 60 ราย ได้เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดไปแล้ว


อีกประเด็นที่น่าสนใจ น่าสังเกต จากกรณีข่าวหลุดออกมาว่า อิสราเอลจ้างนักรบต่างชาติเพื่อแลกผลตอบแทนเดือนละกว่า 600,000 บาท/คน แล้วจะเคลมได้อย่างไรล่ะว่าเป็นฝีมือรบกองทัพอิสราเอล ศักดิ์ศรีกองทัพที่เคยภูมิใจมาตลอด และเคยชนะสงคราม 6 วัน เป็นกองทัพที่อเมริกาบอกว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด แต่อับอายขายหน้ามากที่ไปจ้างนักรบต่างชาติ

ประเด็นถัดมา กองทัพฮามาสเรียกคนที่ถูกจับเข้าไปในดินแดนปาเลสไตน์ที่อิสราเอลยึดครองว่า "นักโทษ" หมายความว่าพวกเขาใช้อำนาจปกครองอธิปไตยเหนือดินแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ จับกุมผู้บุกรุกหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายและในจำนวนนั้นอาจจะเป็นทหารรับจ้าง ทหารอิสราเอลลองคิดดูว่าถ้าฮามาสจับตัวข้าศึกชาวต่างชาติได้พร้อมอาวุธปืนและเครื่องแบบของทหารอิสราเอล หรือภาพหลักฐานในโทรศัพท์มือถือในการร่วมงานกับกองทัพอิสราเอล ก็ย่อมถูกลงโทษจำคุก หรือประหารชีวิต จะปล่อยตัวโดยยังไม่ได้รับโทษได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ น่าสังเกต พลเมืองบางชาติถูกสังหาร จับกุม มากผิดปกติเพิ่มขึ้น บางคนขออนุญาตไปรัฐอิสราเอล แต่ไหงทะลึ่งเดินฝ่าตะลุยข้ามแดนเข้าไปทำอะไรไกลมากในเขตรัฐปาเลสไตน์ แนวหน้าสงครามสู้รบ จนถูกจับเป็นนักโทษและเสียชีวิตเพิ่ม มีอะไรแปลกๆ พิกลแน่นอน

และผมก็ยังเชื่อว่าคนไทยที่ยังไม่ยอมกลับ ทำไมไปตายเพิ่มอีก 4-5 คน น่าที่จะอนุมานได้ว่า คนไทยพวกนี้น่าเห็นใจ อยากได้เงิน เข้าไปรบเป็นทหารรับจ้าง ถ้าผ่านไปแล้ว 4 อาทิตย์ อาจจะได้ 600,000 บาท หรืออาจจะได้เงิน 600,000 บาท แล้วกลับเลย แต่บางคนโชคไม่ดี โดนควันหลงก็ต้องตายไปก่อน

ฉีกหน้ากาก "ไอ้โม่ง" ผูกขาด "โคตรส่วยแม่สอด"

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่เคยติดตามรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาตลอด ไม่ต้องถึง 4 ปีก็ได้ เอาแค่ 2-3 ปีที่ผ่านมา ท่านผู้ชมคงทราบว่าผมเป็นคนที่เกาะติดขบวนการผิดกฎหมายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งดูแลพื้นที่ 9 จังหวัด (พิษณุโลก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พิจิตร ตาก อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และ สุโขทัย)

ผมเคยบอกแล้วว่าพื้นที่ภาค 6 เป็นพื้นที่ขุมทองคำ ที่เป็นขุมทองคำเพราะว่ามันเป็นบ่อนการพนันฝั่งพม่า บ่อนออนไลน์ ยาเสพติด แรงงานเถื่อน ท่าข้ามแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเมียวดีของพม่า ใครเคยบอกว่าแม่สายเป็นขุมทอง มาเจอแม่สอด จังหวัดตาก นี่เด็กๆ ไปเลย เรียกได้ว่าเดินไปที่ไหนก็ปูด้วยทองคำ เปรียบเทียบคือมีผลประโยชน์ทุกจุด เป็นเงินเป็นทองทุกตำแหน่ง


เอาล่ะ วันนี้ผมมีเรื่องหนึ่งที่ผมส่งทีมงานลงพื้นที่ เจาะลึกมาละเอียดที่สุดให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ คือภาพต่อของ "โคตรส่วยชายแดนแม่สอด" เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ ตามผมมา

3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางการพม่า โดยหัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบชายแดน ได้ออกประกาศ ห้ามอนุญาตเดินทางผ่านไป-มาพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า หรือพม่า ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2566 ประมาณ 1 เดือน ประกาศที่ออกมาเป็นภาษาพม่า ระบุว่า สั่งปิด ไม่อนุญาตให้คนไทย จีน และชาวต่างชาติอื่นๆ จากเมือง Shwe Kokko Myaing (Yatai) ชายแดนไทย-พม่า เดินทางผ่านไป-มาชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 เดือน หากไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ จะถูกดำเนินการเอาเรื่องอย่างถึงที่สุด


จากประกาศดังกล่าวคำให้คนไทยและพม่าที่มีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านช่องทางตามด่านต่างๆ บริเวณตะเข็บชายแดนแม่สอด จังหวัดตาก กับจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า พากันพูดถึงกลายเป็นประเด็น Talk of the town ไปเลยตลอดทั้งวัน ทำไมล่ะครับ ? เพราะว่าท่าขนส่งสินค้าที่ถือเป็นช่องทางธรรมชาติจำนวน 49 ท่า ซึ่งคนไทยและพม่าต้องใช้สัญจรไป-มาระหว่างกันทุกวันถูกปิด การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่สองประเทศติดต่อมายาวนานจะต้องหยุดชะงักลงไป อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งเดือน


โดยเหตุผลการปิดท่าขนส่งทั้ง 49 แห่ง ตามเส้นทางด่านพรมแดนระหว่างบ้าน Shwe Kokko จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว หมู่ 4 ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และบ้านวังผา ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีกระแสข่าวมาจากความไม่พอใจที่มีบิ๊กทหารสัญชาติกะเหรี่ยง ชื่อ พันเอกซอชิดตู่ หรือคนไทยเรียกติดปากว่า หม่องชิดตู่ ผู้บัญชาการควบคุมพื้นที่ที่ 3 กองกำลัง BGF หรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ซึ่งเป็นพันธมิตรฝ่ายทหารพม่า และคุมกำลังทหารกะเหรี่ยง คอยดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนพม่า-ไทย ไม่พอใจในพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบางส่วนที่ข้ามพรมแดนเข้าไปเจรจาหาผลประโยชน์จากการขนส่งสินค้าตามท่าต่างๆ มากจนเกินไป


พันเอกซอชิดตู่ ซึ่งกำกับดูแลกำลังทหารกะเหรี่ยงจำนวน 1 กองพล หรือประมาณ 20,000 นาย เป็นผู้มีความสำคัญกับพื้นที่บ้าน Shwe Kokko ซึ่งกำลังเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศพม่าที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะตอนนี้รัฐกะเหรี่ยงกำลังรังสรรค์พัฒนาที่ดินบริเวณบ้าน Shwe Kokko ซึ่งในอดีตเป็นเพียงที่รกร้าง ให้กลายเป็นสวรรค์ของผู้ไปเยือน เนื่องจากขณะนี้เต็มไปด้วยการก่อสร้างตึกรามบ้านช่อง อาคาร สรรพสินค้า ศูนย์ประสานงานการค้า สถาปัตยกรรมคล้ายคอมเพล็กซ์ที่มีลักษณะเอาไว้ใช้ทำบ่อนกาสิโนที่เพื่อนบ้านรอบด้านเราล้วนเจริญเติบโตจากธุรกิจเหล่านี้


อาณาจักรกาสิโนเหล่านี้ที่มีอยู่รอบๆ บ้านเรา ล้วนแต่เป็นทำเลสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรคิงโรมัน พื้นที่ที่ลาว สีหนุวิลล์ พื้นที่ในกัมพูชา มาถึง Shwe Kokko ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า


ผมและทีมงาน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งไปทอดกฐินที่วัดป่าวังศิลา อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ทีมงานผมก็เลยได้ไปสอดแนมสังเกตการณ์แถวเชียงแสน ได้เห็นการพัฒนาพื้นที่ในฝั่งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ฝั่งตรงข้ามอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก็พบว่าน่าตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับฝั่งเชียงแสนของไทย มีตึกรามบ้านช่อง กาสิโน โรงแรม รีสอร์ต แม้แต่สนามบินนานาชาติ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมเคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว หลายครั้ง อธิบายให้ฟัง


เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 แห่งรอบๆ ชายแดนบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว พม่า กัมพูชา มีลักษณะเหมือนๆ กันคือใช้แรงงานหมุนเวียนกันภายใต้การบริหารการจัดการของกลุ่มทุนจิว (จิว = จีนสีเทา)


ช่วงที่ผ่านมาผมได้ส่งทีมงาน Sondhi Talk เดินทางไปพบแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้คนหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์ เป็นเครือญาติของ พันเอกซอชิดตู่ โดยแหล่งข่าวนี้เขามีธุรกิจส่วนตัวอยู่ทั้งในประเทศไทย และในพื้นที่บ้าน Shwe Kokko ประเทศพม่า ที่ผ่านมา ราวๆ 5-6 ปีที่ผ่านมา พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอย่างบ้าน Shwe Kokko ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้ามากมายขนาดนี้ จนกระทั่งมีทุนต่างชาติจากประเทศจีนภายใต้ชื่อ บริษัท Yatai International Holding Group จำกัด


ท่านผู้ชมครับ บริษัท Yatai ใช้งบประมาณเป็นหมื่นล้าน ถึงขั้นแสนล้าน กว้านซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อพัฒนาพื้นที่ ดึงดูดผู้มาเยือน จะเห็นได้ว่าตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา เกิดโครงการสร้างอาคาร ห้างร้าน และคอมเพล็กซ์มากมาย จนทำให้เม็ดเงินสารพัดธุรกิจหลั่งไหลเข้าสู่รัฐกะเหรี่ยงและประเทศพม่าเยอะจนกระทั่งประเมินค่าไม่ได้

แหล่งข่าวคนเดียวกันให้ข้อมูลว่า ทางฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ซึ่งตรงกับชายแดนแม่สอดของไทย มีลำน้ำเมยกั้นตรงกลาง ก็มีกฎหมายต่างๆ ออกมาบังคับใช้เรื่องการเดินทางเข้า-ออกของคน และบังคับใช้ในเรื่องการขนส่งสินค้า การค้าขาย ผลิตผลทางการเกษตร ต้องผ่านเข้า-ออกจากฝั่งบ้านเขาสู่บ้านเราเช่นกัน

ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยนั้น ทั้งตำรวจท้องที่ สังกัด บช.ภ. กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 หลายหน่วย สตม. ตรวจคนเข้าเมือง กองทัพภาคที่ 3 และกรมศุลกากร ก็ทำงานด้านรักษากฎหมายของฝ่ายประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ

ท่านผู้ชมครับ จะเรียกง่ายๆ ว่าเราต้องดำเนินการแบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ระหว่างกัน เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ด้วยการขนส่งสินค้าต่างๆ ผ่านพรมแดนไทย-พม่า ช่วงชายแดนแม่สอดนั้น จะมีด่านพรมแดนแม่สอด ช่วงจุดผ่านแดนถาวรริมเมย หรือชาวบ้านในพื้นที่นั้นเรียกว่า ด่านสะพานที่ 1 เป็นด่านหลัก ด่านทางการที่ใช้คนส่งพืชผลทางการเกษตร และคนเข้า-ออกราชอาณาจักรทั้งสองประเทศด่านนี้ เป็นเรื่องการบริหารจัดการระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่า


ท่านผู้ชมครับ ด่านสะพานที่ 1 หน้าตลาดริมเมย เป็นช่องทางหลักในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างกัน ยังไม่รวมถึงผู้คนทั้งไทยและพม่าที่ไปมาหาสู่ ทำธุรกิจร่วมกัน มีเด็ก เยาวชน จากฝั่งพม่าเข้ามาเรียนหนังสือในโรงเรียนฝั่งไทยตอนเช้า และต้องกลับสู่พม่าทุกวันตอนเย็น การบริหารจัดการด่านสะพาน 1 นี้ จึงเป็นภาพใหญ่ที่ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับพม่าทำงานร่วมกัน


แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ด่านหลัก แต่ดันเป็นด่านช่องทางธรรมชาติ หรือที่เขาเรียกว่าท่าขนส่งสินค้านอกเหนือจากด่านหลัก มีอยู่ 36 ท่า ตามแนวตะเข็บชายแดนระหว่างบ้าน Shwe Kokko จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว หมู่ที่ 4 ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และ บ้านวังผา ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก


ท่าขนส่งนี้ ด่านช่องทางธรรมชาติทั้งหมด 36 ท่า อันที่จริงแหล่งข่าวของเราระบุว่า มีอยู่ถึง 49 ท่า เพราะมีบางท่าอยู่ระหว่างการบริหารจัดการเพื่อเปิดเพิ่มเติม เป็นการบริหารจัดการของฝั่งเจ้าหน้าที่ไทยกับรัฐกะเหรี่ยง นำโดยพันเอกซอชิดตู่ ซึ่งเป็นแหล่งพม่าเดิม ที่มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนายพันคนหนึ่ง ยืนยันเป็นหนักแน่นว่า ที่ผ่านมาคนบริหารจัดการนั้น เป็นนายตำรวจไทยยศนายพัน

นายตำรวจไทยใหญ่ดังกล่าวเป็นเจ้าของฉายาที่เรียกกันว่า "ไสวใจร้าย" หรือ พันตำรวจเอก ไสว ครุธผาสุข ซึ่งล่าสุดได้รับการแต่งตั้งให้คุมงานสืบสวนระดับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 นั้น จะออกอาละวาดเรียกรับผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาตามแนวตะเข็บชายแดนมาแล้วตั้งแต่ตัวเองยังมียศแค่สารวัตรเท่านั้นเอง


ฉายา "ไสวใจร้าย" หรือ "ครูไหวใจร้าย" เป็นเครื่องยืนยันความเขี้ยวลากดินที่ทั้งตำรวจด้วยกัน และผู้ประกอบการในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ขนานนามเอาไว้ให้นายตำรวจคนนี้ มีการอ้างอิงชื่อจากละครไทยที่ชื่อ "ครูไหวใจร้าย" ที่เคยออกอากาศทางทีวีตั้งแต่ปี 2547 แต่ "ไสวใจร้าย" ในภาคชีวิตจริง เป็นข้าราชการตำรวจไทย จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นที่ 42 ชีวิตราชการวนเวียนอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ในตำแหน่งสำคัญๆ ด้านสืบสวนมานานนับหลายสิบปี เป็นเด็กปั้นของอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ที่เป็นนายตำรวจคนดังท่านนี้มีชื่อเล่นว่า จุ๋ม จบรั้วสามพรานรุ่น 36 ซึ่งนายจุ๋ม ปลุกปั้นจนไสวใจร้ายได้ดิบได้ดี มีคอนเนกชันมากมาย

สมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับการจนถึงรองผู้บังคับการ ไสวใจร้าย ก็เติบโตขึ้นในกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ส่วนผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้านประสานรับดูแลส่วนแบ่งทางธุรกิจสีเทาให้กับผู้บังคับบัญชา หัวหน้าสถานี ตลอดจนข้าราชการตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.6 ด้วยกัน เน้นเฉพาะกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก และจังหวัดข้างเคียง จนลงมาถึงกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์


ถ้าใครจำได้ ผมเคยพูดไปแล้วว่า บก.ภ.จว.นครสวรรค์ เป็นพื้นที่เดียวกับที่เคยมีข่าวอื้อฉาวดังระดับประเทศในกรณี "ผู้กำกับโจ้ถุงดำ" หรือ พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล ผมเคยเอาหลักฐานมาเปิดให้ดูแล้วว่าผู้กำกับโจ้นั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา จนมาดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีเงินเก็บอยู่ในบัญชีนับพันล้านบาท มีหลักฐานให้พิสูจน์ชัดเจน

ที่ผ่านมา ความอหังการของพันตำรวจเอก ไสว นั้นขึ้นชื่อลือชาจนติดอันดับนายตำรวจผู้ครอบครองส่วนแบ่งธุรกิจสีเทามากเป็นอันดับต้นๆ ของพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เพราะสามารถยึดครองตำแหน่งให้อยู่ในพื้นที่ ประชิดพรมแดนแม่สอด ตลอดจนเส้นทางราชการ มีเสียงร่ำลือ เสียงเล่าอ้างถึงวีรกรรมของ พันตำรวจเอก ไสว ว่านอกจากเชี่ยวชาญเรื่องวิ่งหาดีลงานกับผู้บังคับบัญชาแล้ว เจ้าตัวยังกล้าที่จะลงพื้นที่ไปยื่นผลประโยชน์ให้ตำรวจตามโรงพักต่างๆ ที่มีภารกิจตั้งด่านตรวจร่วมกับหน่วยงานทหาร กรมศุลกากร และป่าไม้ เพื่อเคลียร์เส้นทางการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวจากด่านช่องทางธรรมชาติชายแดนแม่สอด จังหวัดตาก เข้าสู่เมืองหลวงราชอาณาจักรไทย กรุงเทพมหานคร โดยมีค่าตอบแทนผู้มีส่วนควบคุมด่านให้เปิดไฟเขียว ราคาต่อหัว หัวละ 1,000 บาท

ข้อมูลแบบนี้จริงเท็จแค่ไหน ผมไม่ทราบ แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุค พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต้องไปสืบค้นความจริงให้ผมกับประชาชนคนไทยรับทราบนะครับ

แต่ก็มีบางส่วน เช่นเดียวกับที่ พันตำรวจเอก ไสว เกือบจบชีวิตราชการ ถูกสอยลงจากเก้าอี้ขณะครองตำแหน่งรองผู้บังคับการ เนื่องจากอดีตรอง ผบ.ตร. ดีท่านหนึ่งส่งทีมงานเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรม นำกำลังเข้าจับกุมฐานเอี่ยวผลประโยชน์สีเทา ครั้งนั้น พันตำรวจเอก ไสว ถูกลูบคม โดยจับคารถ ยานพาหนะถูกส่งกองวิทยาการเก็บ DNA และลายนิ้วมือแฝงในรถ ทำให้ต้องชะลอดีกรีด้านการตีกินไปพักหนึ่ง ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ พันตำรวจเอก ไสว ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บังคับการเสียที โดยมีระยะเวลาดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการถึง 9 ปี


จนวาระแต่งตั้งครั้งหลังสุด พันตำรวจเอก ไสว เข้าหลักเกณฑ์อาวุโส ถูกดันขึ้นตำแหน่งผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนในพื้นที่ทำเลทองของตัวเอง ซึ่งเวลาเดียวกัน มีพรรคพวกร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 42 ตบเท้าเข้ามาดำรงตำแหน่งที่เอื้อประโยชน์ต่อกันอีกหลายคน จนเป็นที่น่าจับตา ยกตัวอย่าง ท่าน พลตำรวจโท กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 คนปัจจุบัน บุตรชาย พลตำรวจเอก พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ อดีต ผบ.ตร. ในยุคทักษิณ ชินวัตร


ซึ่งเจ้าตัวถือว่าคนๆ นี้เป็นนายตำรวจสายตรงกับนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว ว่ากันว่า ตำแหน่งนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โทรศัพท์มาขอพี่ชายตัวเองบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ให้ พลตำรวจโท กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ มาเป็นผู้บัญชาการภาค 6


ยังมี พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ เกษมศิริ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พลตำรวจตรี สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

ท่านผู้ชมเชื่อไหม พวกนี้ที่ใหญ่ๆ ที่ผมเอ่ยชื่อนี้ เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 42 รุ่นเดียวกับ พันตำรวจเอก ไสว ทั้งสิ้น

ทั้งนี้ทั้งนั้น ความซวยระลอกเก่าเมื่อครั้งถูกอดีตรอง ผบ.ตร. น้ำดี เอ่ยชื่อก็ได้ คุณสุชาติ ธีระสวัสดิ์ ลากไส้ ซึ่งยังคาราคาซังอยู่ แต่กำลังจะเลือนหายไป เพราะอดีตรอง ผบ.ตร. คนนั้น (คือ สุชาติ ธีระสวัสดิ์) เกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่คราวนี้ พันตำรวจเอก ไสว ต้องถูกผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายความมั่นคงจากประเทศเพื่อนบ้านประโคมข่าวแฉพฤติกรรมซ้ำ

สุชาติ ธีระสวัสดิ์
หลังจากปรากฏชื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการ ตำแหน่งสำคัญล่าสุด ได้เพียงไม่กี่วัน แหล่งข่าวคนสำคัญของทีมงานของผม เพิ่มข้อมูลให้ว่า พันตำรวจเอก ไสว ได้ส่งลูกน้องเดินทางไปประสานกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นนายทุนสีเทา ทั้งฝ่ายไทยและฝั่งกะเหรี่ยง โดยขอรับเป็นหน้าที่หน้าเสื่อเคลียร์ยอดส่วนแบ่งให้ผู้บังคับบัญชาและหัวหน้าตำรวจต่างๆ เพื่อความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจสีเทาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่ทำกันอยู่ในพื้นที่ บช.ภ. 6 และเชื่อมโยงการเดินทางข้ามไปข้ามมาระหว่างพรมแดนช่องทางธรรมชาติด้านอำเภอแม่สอด บ้าน Shwe Kokko ทั้งท่าข้ามที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ถึง 49 ท่า

นอกจากนี้ ยังมีการขอเพิ่มตั๋วบวกยอด ที่จากเดิมเคยทำกันมาเจ้าละ 3-5 เท่า ไม่เว้นแม้กระทั่งการขนส่งสัตว์ข้ามไป-มาระหว่างแดน จะคิดค่าดำเนินการเพิ่มเป็นรายตัว กระทั่งเจ้ามือหวยรายเล็กๆ ที่เคยเสียอยู่เดือนละ 10,000 บาท จะถูกอัตราใหม่เก็บในราคา 30,000-50,000 บาท พูดง่ายๆ ว่า ไม่ว่าเป็นพวกสีเทาจาง เทาเข้ม หรือดำสนิท ตอนนี้รวมตัว รวมพลกัน ร้องโอดโอยกันระงม เพราะธุรกิจล้วนได้รับผลกระทบ

จากคำสั่งปิดด่านที่ทางการพม่า โดยหัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบชายแดน ได้ออกประกาศห้ามอนุญาตเดินทางผ่านไปผ่านมาในพื้นที่ชายแดนพม่า ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2566 เป็นระยะเวลา 1 เดือน ที่เป็นประเด็นตอนนี้ ที่ผมพูดไปแล้วตอนต้น ทำให้วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 พลตำรวจตรี กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ตอนนั้นได้รับแต่งตั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็เลยมารักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมาเช่นกัน ออกคำสั่งตำรวจภูธรภาค 6 เลขที่ 305/2566 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีใจความว่า

ด้วยตำรวจภูธรภาค 6 มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ 0021 (สง/21) ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีปรากฏทางสื่อออนไลน์ว่า พันเอก หม่องชิดตู่ ผู้บัญชาการควบคุมพื้นที่ 3 กองกำลัง BGF พื้นที่บ้าน Shwe Kokko รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว หมู่ที่ 4 ตำบลแมปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และ บ้านวังผา หมู่ที่ 4 ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประกาศปิดชายแดนตลอดแนวชายแดนทั้งหมด เนื่องจากไม่พอใจที่ พันตำรวจเอก ไสว ครุธผาสุข รักษาราชการแทนผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 ที่ได้ส่ง พันตำรวจโท สนั่น เหล็กบุญเพชร สารวัตรสืบสวน สภ.พะวอ จังหวัดตาก พร้อมลูกน้องจำนวน 10 นาย เข้าไปบริเวณช่องทางท่าข้ามธรรมชาติ ด้านตรงข้ามบ้านท่าวังผา หมู่ที่ 4 ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อขอเรียกเก็บเงินผลประโยชน์ในอัตราที่สูงขึ้น และไม่ได้โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ทำให้ พันเอก หม่องชิดตู่ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เลยตอบโต้ด้วยการปิดด่านเป็นเวลา 3 เดือน


ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รายละเอียดและหาหลักฐานเบื้องต้นว่ากรณีข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่ อาศัยตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 66 มาตรา 117 จึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน

เกิดอะไรขึ้น ? ปิดด่านวันที่ 3 วันที่ 4 มีเรื่อง วันที่ 5 ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 5 พฤศจิกายน 2566 พันตำรวจเอก สถาพร รอดโพธิ์ทอง รอง ผบก.ภ.จว.ตาก รักษาการ ผบก.ภ.จว.ตาก รับลูกทันควันเลย มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด เรื่อง ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ที่ พันตำรวจเอก ไสวใจร้าย ถูกกล่าวหามาจากผู้ประกอบการ ทั้งทุนสีเทาอ่อน สีเทาเข้ม และทุนสีดำ


วันที่ 7 พฤศจิกายน วันเดียวกัน มีภาพและข่าวสารความเคลื่อนไหวของ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ เกษมศิริ รักษาการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พฤติกรรมของ พันตำรวจเอก ไสว ประธานกรรมการท่านนี้จบนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่น 42 รุ่นเดียวกับท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 คนใหม่ และ ผบก.ภ.จว.ตาก คนใหม่ และ ผู้บังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รุ่นเดียวกัน ทำกันเอง ชงกันเอง ออกข้อสอบเอง ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อสอบ พอโดนกล่าวหาว่าโดนข้อสอบ เอาคนรุ่นเดียวกันมาตรวจสอบหมดเลย

พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ครับ คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ ก.ตร. ครับ พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์ ครับ ก.ตร. ผู้ซื่อสัตย์ตงฉิน ศึกษาเรื่องนี้หน่อยสิครับ


พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ติดตามดูสถานการณ์ ว่า ได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้มาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ทราบว่าไม่มีการปิดท่าขนส่งสินค้า และยังเปิดให้ขนส่งสินค้าไปตามปกติ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นมาตรการรักษาความสงบภายในเขตพม่า ท่านผู้ชมฟังตรงนี้ดีๆ นะครับ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ พูด "ส่วนเรื่องตำรวจไทยข้ามฝั่งไปเจรจากับผู้นำชาวพม่ากลุ่มกะเหรี่ยง ได้สอบถามแล้ว" ก็คุณสอบถามตำรวจตัวการ แล้วพวกเดียวกัน มันก็เลยตอบว่า "ไม่มีตำรวจไทยคนไหนข้ามไปฝั่งพม่าและเจรจารับผลประโยชน์ใดๆ" โคตรตลกเลย คุณอมรศักดิ์ ท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 คุณคิดว่าคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างผมนี่โง่บัดซบ ถึงเชื่อคำพูดคุณเหรอ

แล้วก็วันเดียวกันอีกล่ะ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ รักษาการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ประธานคณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรม ไสวใจร้าย กับพวก ออกแอกชั่นริมแม่น้ำเมย บอกสื่อปาวๆ ว่าไม่มีปัญหาอะไร ได้เจรจาผู้นำชนกลุ่มน้อยแล้ว ไม่พบว่าตำรวจลูกน้อง พันตำรวจเอก ไสว ข้ามช่องทางไปเจรจาเกี่ยวกับผลประโยชน์

เฮ้ย! คุณพูดให้ใครฟัง แล้วเขาจะเชื่อคุณหรือ ? คุณพล่ามของคุณอยู่คนเดียว ผมตรวจสอบแล้วไม่มีใคร ยืนยันว่าไม่มี เช็กแล้วไม่มี ติดต่อแล้วทางฝั่งนู้นบอกไม่มีมา ผมอยากถามจริงๆ นะคุณอมรศักดิ์ คุณถูกแต่งตั้งตามคำสั่ง เป็นประธานคณะกรรมการมาได้แค่ 3-4 วัน ยังไม่ทันจะสืบสอบข้อเท็จจริงอะไร แต่คุณกล้าออกมาการันตี ซุกขี้ไว้ในฝ่ามือตัวเองได้อย่างไร ถามว่าคุณได้พูดคุย สอบถามผู้นำรัฐกะเหรี่ยงคนไหน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อเท็จจริงกับใคร และเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า


เพราะอะไรรู้ไหม คุณอมรศักดิ์ ? เพราะขณะที่คุณกำลังปฏิบัติการกลบเกลื่อนขี้ โคตรส่วยมูลค่ามหาศาลกันอยู่นั้น แหล่งข่าวทีน่าเชื่อถือของพวกผมได้ประสานข้อมูลให้ทราบโดยตลอดว่า หลังจากที่ พันเอก ซอชิดตู่ หรือ หม่องชิดตู่ ออกประกาศปิดพรมแดนไปเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนนั้น เจ้าตัวพร้อมคณะทหารและผู้ทำงานรับใช้ใกล้ชิด พากันเดินทางออกจากพื้นที่บ้าน Shwe Kokko ไปทำธุระกับฝ่ายรัฐบาลที่กำลังมีข้อพิพาทระหว่างกองกำลังภายในในพื้นที่อื่นของประเทศพม่า ห่างจากบ้าน Shwe Kokko ไปประมาณ 200 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นแล้ว เขาเดินทางไปหลายวัน พันเอก ซอชิดตู่ รวมทั้งคณะทั้งหมด จึงไม่สามารถจะติดต่อกับใคร หรือสื่อสารกับผู้ใด ในประเด็นที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น แล้วคุณอมรศักดิ์ คุณเอาข้อมูลมาจากไหน ให้ข่าวสื่อมวลชนใหญ่ และก็มีสื่อมวลชนบางคน เดี๋ยวผมจะเอ่ยชื่อให้ฟัง เสือกรับงานมาเพื่อให้คุณเคลียร์ในรายการของคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์

ยังน่าฉงนไม่จบ คล้อยหลังจากนั้นไปอีก 1 คืน เช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน คุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ไลฟ์สดในรายการ "เจาะลึกทั่วไทย" อินไซด์ไทยแลนด์ ช่อง 9 พูดถึงประเด็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรม พันตำรวจเอก ไสว เหมือนกับสำทับข่าวที่ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ไปเล่นปาหี่ที่ริมแม่น้ำเมยอีกครั้ง คุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ กล่าวถึงในตอนท้ายๆ รายการ ชูประเด็น "ส่วยข้ามชาติแม่สอด-แม่ระมาด-บ้าน Shwe Kokko เมียวดี" ว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเพราะ พันตรี ซอวิน หรือ หม่องวิน เป็นนายทหารคนสนิทของ พันเอก ซอชิดตู่ ได้นำความเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยข้ามแดนไปเรียกรับส่วยเพิ่มเติม ฟ้องลูกพี่ ทำให้เกิดการปิดท่าข้ามช่องทางธรรมชาติเป็นเวลา 1 เดือน

คุณดนัย ผมรู้ว่าคุณสนิทกับ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่ทราบว่าเป็นการแนะนำหรือเปล่าให้คุณช่วยพูดเรื่องนี้แทนหน่อย เพราะรู้สึกจะมีคุณสุรเชษฐ์ หักพาล เท่านั้นเองที่จะขอคุณได้ แล้วคุณก็น่ารักฉิบหายเลย อะไรที่เป็นงานมา ผมไม่ได้ว่าคุณรับเงินรับทองนะ แต่คุณจะรับใช้อย่างเต็มที่เลย

ขณะที่ไลฟ์สด คุณดนัย ได้ต่อสายโทรศัพท์ถึง พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการว่า เมื่อวานเจ้าหน้าที่ไทยได้เชิญ นายพะแค ซึ่งอ้างว่าเป็นเลขานุการของ พันตรี ซอวิน ข้ามมาเจรจากับฝ่ายเราในประเทศไทย พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ได้บอกข้อมูลผ่านโทรศัพท์แบบสรุปรวดเดียว ว่า หลังจากที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว พบว่าด่านทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนแม่สอด และบ้าน Shwe Kokko มิได้มีการปิดแต่อย่างใด คือพูดง่ายๆ ว่า ที่ข่าวว่ามีการปิด คุณอมรศักดิ์ บอกว่าไม่มีปิด


ประเด็นที่สอง เรื่องกระแสข่าวที่ทำให้มีการประกาศปิดด่าน เนื่องจาก นายพะแค หรือชื่อ นายซอผาฮาน ให้ข้อมูลว่าตนเองเป็นน้องชายของ พันตรี ซอวิน ทำหน้าที่เป็นเลขานุการของพี่ชายด้วย เรื่องมีคำสั่งปิดด่านทีแรกที่มีหนังสือออกมา ตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน นั้น จุดประสงค์เพียงต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่บ้าน Shwe Kokko เนื่องจากตรวจสอบพบความเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษากลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่า ออกมาประท้วงทางการ จึงออกประกาศเพื่อควบคุมให้กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวเคลื่อนย้าย เคลื่อนไหว พาตัวเองออกจากพื้นที่ประเทศพม่าผ่านด่านพรมแดนแม่สอด บ้าน Shwe Kokko

ประเด็นนี้ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ให้ข้อคิดผ่านรายการของคุณดนัย ว่า ที่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะสื่อมวลชนบางสำนัก กับกลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่มตีความกันผิด นำหนังสือพม่าไปแปลข้อมูลกันผิดๆ คุณกำลังหมายถึงตัวผมด้วยหรือเปล่า พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ? คุณกับผมเจอกันแน่ ไม่ต้องห่วง ชีวิตนี้

ประเด็นที่สาม รายชื่อข้าราชการตำรวจที่มีการเปิดเผยออกมาตามสื่อมวลชนแล้วว่าใครถูกตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เรื่องนี้ นายพะแค ยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับตำรวจรายชื่อดังกล่าว ประกอบกับไม่ได้มีการเจรจาเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น อ๋อ แน่นอนที่สุด พูดออกมาแบบนี้ เด็กอมมือ เกิดมาเมื่อวานนี้ ก็ยังเข้าใจเลยว่าโกหกตอแหลกัน

เมื่อไม่มีการปิดด่าน แล้วจะไปเรียกร้องทรัพย์สินกันทำไม เรื่องนี้ผมขอความเมตตาจากพี่ดนัย ซึ่งได้รับการไหว้วานจากพี่สุรเชษฐ์ หักพาล ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่ผมชี้แจงแบบนี้ ผมไม่อยากให้องค์กรตำรวจเสียหาย โอ้โห คุณอมรศักดิ์ คุณหน้าด้านพูดได้เหรอว่าผมไม่อยากให้องค์กรตำรวจเสียหาย กลบเกลื่อนเรื่องเก็บส่วยในรายการของคุณดนัย

เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านผู้ชมครับ คุณอมรศักดิ์ ครับ ข้อมูลที่ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ ชี้แจงผ่านรายการของคุณดนัย ผมเองไม่ทราบว่าประเด็นไหนจริงหรือไม่จริง แต่ผมจะพูดให้ท่านผู้ชมฟังง่ายๆ แบบเข้าใจง่ายที่สุด คำตอบของ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ นั้น ไม่ make sense ไม่มีเหตุผล ไม่ได้ทำให้ข้อสงสัยถูกเปิดเผยอย่างสิ้นกระแสความ

ประเด็นแรก คุณอมรศักดิ์ บอกว่า ด่านหรือท่าข้ามทั้งหมดไม่มีการปิดหลังมีคำสั่งประกาศจาก พันเอก ซอชิดตู่ แต่ประการใด

ผมจะเรียนให้ท่านทราบ คุณอมรศักดิ์ ครับ ในช่วงเย็นวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา หลังจากที่คุณไปแสดงปาหี่ริมแม่น้ำเมยของคุณจบไปไม่นาน ทีมงานผมได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารไทยที่ไปทำหน้าที่ดูแลท่าข้ามบางท่าแล้ว พบว่าท่านผู้บัญชาการได้สั่งห้ามบุคคลทุกสัญชาติผ่านด่านทั้งหมด


โดยจะอนุญาตเฉพาะรถขนสินค้าทางการเกษตรที่มีใบอนุญาตจากศุลกากรไทยผ่านไปได้เท่านั้น เพื่อเป็นการลดความแออัด และย่นระยะทางจากการใช้ช่องทางสะพานที่ 1 เป็นจุดผ่านแดนหลัก เจ้าหน้าที่ทหารจะทำการตรวจสอบรถ จดหมายเลขทะเบียนรถ ประเภทสินค้าที่ส่งผ่านเข้า-ออกทุกวัน คุณอมรศักดิ์ คุณดูนะ คุณโกหกตอแหลผ่านคุณดนัย ซึ่งคุณดนัย ไม่สนใจ เพราะรับงานมาให้เคลียร์ภาพพจน์คุณ แต่ข้อเท็จจริงที่ผมไปเอามา ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง นี่คือข่าว Exclusive คนอื่นไม่มี


ประเด็นที่สอง เรื่องที่ผ่านมา พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ บอกว่ารัฐกะเหรี่ยงต้องการตอบสนองนโยบายรัฐบาลพม่าเรื่องการปิดพรมแดนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่บ้าน Shwe Kokko เนื่องจากตรวจพบความเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่าออกมาประท้วงทางการ

เรื่องนี้ คุณอมรศักดิ์ ท่านโคตรทุเรศเลย เพราะมีการแปลความหมายคำสั่งปิดพรมแดนจากภาษาพม่าเป็นไทยแล้วว่า พันเอก ซอชิดตู่ ประกาศห้ามทั้งคนไทย คนจีน และชาวต่างชาติอื่นๆ ไม่ให้ข้ามพรมแดน ไม่ให้สแกนเฉพาะนักเรียน นักศึกษาของพม่าแต่อย่างใด

ประเด็นที่สาม พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ อ้างว่า นายพะแค ยืนยันไม่รู้จักตำรวจที่ปรากฏรายชื่อถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน และไม่ได้มีเหตุการเรียกรับสินบาตรสินบนกันแต่อย่างใด เรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนในบริบทของเรื่องที่เกิดขึ้น

ก็ในเมื่อแนวทางการสืบสวนสอบสวน และการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของเรื่องนี้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การที่ พันเอก ซอชิดตู่ สั่งปิดพรมแดน เกิดจากการไม่พอใจที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยข้ามพรมแดนไปลูบคมเรียกร้องเงินส่วยเพิ่มเติมถึงในรัฐกะเหรี่ยง


ซึ่งเรื่องนี้ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ก็รู้ดีว่า พันเอก ซอชิดตู่ สามารถต่อสายร้องทุกข์ถึงอดีต ผบ.ตร. ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ พันตำรวจเอก ไสว ได้โดยตรง ประกอบกับ นายพะแค ที่เป็นแค่หัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบชายแดน และเป็นแค่น้องชายและเลขานุการของ พันตรี ซอวิน ไม่อยู่ในเหตุการณ์ระหว่างการเจรจา เพราะไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้ผลประโยชน์เพิ่มเติม จึงไม่น่าแปลกใจที่ นายพะแค จะบอกว่าไม่รู้จักกับตำรวจที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทั้งหมด

ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้แต่นั่งมอง พันตำรวจเอก ไสว ดิ้นพล่านจากการถูกน้ำร้อนลวกไปอย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่ทุกประเด็นเรื่องคอร์รัปชันระดับองค์กรภาครัฐต่างๆ หน่วยร่วมมือกันขนาดนี้ ทันทีที่เรื่องแดงขึ้น จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเสมือนแพะคอยรับบาป เพราะตำรวจจะคอยเป็นหัวเบี้ยทำหน้าที่บริหารจัดการประสานความร่วมมือส่วยระหว่างหน่วยงานข้างเคียงอยู่เสมอ อย่างเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา หลังจากเกิดประเด็นร้อนฉ่าเกือบหนึ่งสัปดาห์ พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กล่าวว่า กรณีมีข่าวปิดชายแดน และปัญหาคนข้ามแดนในพื้นที่จังหวัดตาก ท่านพูดสั้นๆ ว่า ที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง ได้เข้มงวดกวดขันในพื้นที่รับผิดชอบอยู่แล้ว โดยไม่ให้คนข้ามไป-มาตามท่าข้ามต่างๆ ยกเว้นสินค้าเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นการส่งเสริมของกองทัพภาคที่ 3 ที่ต้องการให้คนข้ามแดนไป-มาตามช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย คือเดินทางเข้า-ออกผ่านด่านพรมแดนถาวรแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 1 บ้านริมเมย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด


ท่านแม่ทัพภาค 3 พลโท ประสาน ยังบอกว่า ทางกองทัพภาคที่ 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเพิ่มความเข้มงวดกวดขันการข้ามแดนไป-มาของบุคคลตามช่องทางที่้ผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน จะส่งเสริมให้มีการข้ามแดนในช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเรา ทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ลงไปทำด้วยตัวเอง เราส่งนักข่าวหัวเห็ดลงไป 2 คน เจาะลึก เกือบ 2 อาทิตย์ ข้ามไปฝั่งเมียวดี คุยกับเจ้าหน้าที่ คุยกับคนใกล้ชิดของทางฝ่ายพม่าที่สั่งปิดด่าน คุยกับฝ่ายทหาร ซึ่งได้ข้อมูลลึก สรุปง่ายๆ ผมกล้าฟันธง กองบัญชาการภาค 6 เป็นกองบัญชาการที่มีแต่ผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีแต่คนอยากจะวิ่งไปเป็นผู้การจังหวัดตาก รองผู้บัญชาการ ผู้บัญชาการภาค 6 อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าคนที่เป็นผู้บัญชาการภาค 6 คนปัจจุบันนั้น เป็นคนสนิทของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6
งานนี้เดิมทีชื่อผู้บัญชาการภาค 6 ไม่ใช่คนนี้ เป็นคนอื่น แต่ท่านผู้บัญชาการภาค 6 คนปัจจุบันท่านพึ่งพาบารมีของคุณยิ่งลักษณ์ คุณยิ่งลักษณ์ น้องสาวสุดรักของคุณทักษิณ ชินวัตร และโผตำรวจนั้นจริงๆ แล้ว พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ แทบจะไม่มีบทบาทเลย บทบาทที่คนจัดโผตำแหน่งใหญ่ๆ นั้น ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ชั้นที่ 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ

ผมจะฝากเอาไว้กับหลายๆ ท่าน เมื่อ พลโท ประสาน แจ้งว่าทหารทำได้แค่ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการเข้า-ออกพรมแดนให้ถูกต้อง ท่านทำได้แค่นั้น ผมอยากจะฝากท่านผู้บัญชาการทหารบกให้กำชับ พลโท ประสาน ตอนนี้ต้องพึ่งทหารเป็นที่พึ่งแล้ว ให้ พลโท ประสาน เข้มงวดเรื่องจุดสกัด จุดตรวจต่างๆ ที่มีการส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติร่วมกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง อย่าไปยอมพวกตำรวจ และฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศุลกากร โดยเฉพาะด่านตรวจตามเส้นทางแม่สอด จังหวัดตาก ไล่ลงมาจนถึงนครสวรรค์ เพื่อที่จะมุ่งเข้าสู่ปริมณฑลกับกรุงเทพฯ ควรใช้มาตรการตรวจสอบที่รัดกุม เพราะฐานข้อมูลที่ทีมงานผมได้มาค่อนข้างชัดเจนว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการเดียวกับการขนส่งแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าสู่ประเทศไทย

ขบวนการนี้จะวางแผนให้เจ้าหน้าที่แนวหน้าที่รับงานตั้งแต่พรมแดนฝั่งไทยส่งสัญญาณนัดหมายเคลียร์ใจกับผู้ที่ทำงานตามด่านสกัดอย่างน้อย 3 ด่าน ให้เขาช่วยดำเนินการเปิดไฟเขียวปล่อยต่างด้าวผ่านจุดสกัดไปได้แบบสะดวกโยธิน มีการโยนเค้กไปแบ่งกันกินในราคาหัวละ 1,000 บาท 10,000 หัว ก็ 10 ล้านบาท ลองไปคิดไตร่ตรองกันดู

อีกประการหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ ท่านนายกรัฐมนตรีครับ คุณเศรษฐา ท่านต้องรู้นะ ท่านบ่นไม่ใช่หรือ ท่านผู้ว่าฯ ททท. ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดถึงท่าน ว่าคนจีนไม่ค่อยอยากจะมาเมืองไทย เพราะว่าคนจีนนั้นมาเจอทุนสีเทาจีนที่แพร่ระบาดหนักมาก แม่สอด จังหวัดตาก แม่สาย นั่นคือทางผ่านของพวกทุนจีนสีเทาทั้งสิ้น


ผมอยากให้ท่าน พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ท่านมีเวลาอยู่เพียงไม่ถึง 1 ปี ที่จะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านจัดการให้เด็ดขาดเสียทีได้ไหม อยากเป็นกันนักไม่ใช่หรือ ตำแหน่งใหญ่ๆ ที่ภาค 6 ตอนนี้มีเรื่องอยู่ ท่านสั่งโอนเรื่องการสอบสวนมาเลย ใช้อำนาจ ผบ.ตร. ให้กองปราบเป็นคนสอบสวน

ผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมทราบแล้วไม่ใช่หรือ ว่าตำรวจคนเดียวในน้อยคนมากที่ผมไว้ใจ ก็คือ พลตำรวจโท จิรภพ หรือผู้บัญชาการก้อง ท่านผู้ชมจำเรื่องกำนันนกได้ไหม วันนี้ผลงานของ พลตำรวจโท จิรภพ ชัดเจนแล้ว มีการสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว กำนันนกส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือตำรวจที่ให้ความร่วมมือ เป็นยวงเลย นี่ล่ะคือคนจริง พวกตำรวจภาค 6 ที่แดกเงินแดกทองเขาอยู่ ทำมาหากินกับสิ่งผิดกฎหมาย ใช้อำนาจ ป.วิ.อาญา และตำแหน่งที่รับผิดชอบ พวกคุณอายเขาบ้างหรือเปล่า คุณคือส่วนหนึ่งในการก่อให้เกิดการกำเนิดการเคลื่อนไหวของทุนจีนสีเทา ทำไมคุณเห็นเงิน เศษสตางค์พวกนี้สำคัญกว่าความมั่นคงของชาติบ้านเมือง ประเทศจีนเขาไม่ให้คนของเขามาเที่ยวเมืองไทยอีกต่อไปแล้ว ท่านนายกฯ จะสั่งให้เปิดบาร์จนถึงตี 4 ฟรีวีซ่ามา ไม่มีความหมาย แล้วพอบอกว่ามีการเสนอให้เอาตำรวจจีนเข้ามาทำงานร่วมกับตำรวจไทยในการเดินลาดตระเวน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็โวยวายกันหนัก ตำรวจไทยทำได้ แล้วที่แม่สอดทำไมตำรวจไทยไม่จัดการล่ะ

เห็นหรือยังท่านผู้ชม มีใครบ้างที่คอยพูดแบบนี้ นอกจากพวกผม แล้วคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ คุณเลิกเสียทีได้ไหม เที่ยวมาฟอกตำรวจคนนู้นคนนี้ตามคำขอร้อง คุณรับงานมาเยอะเกินไป คุณดนัย อายุคุณก็มากแล้ว เลิกเสียทีได้ไหมคดีที่คุณรับฟอกแบบนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมยืนยัน พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ คุยกับคุณดนัยนั้น คือรับงานมาเพื่อฟอก

ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเสนอในวันนี้ เป็นแค่ปฐมบทเท่านั้นนะ ผมยังมีข้อมูลอีกมาก และอยากจะฝากเป็นข้อคิดอย่างนี้ครับ ที่ผ่านๆ มาผมไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าการร้องเรียนจากเพื่้อนบ้านกรณีไหนที่ระบุยศ ชื่อ-สกุล ตำแหน่ง ข้าราชการตำรวจไทยชัดเจนขนาดนี้ ถือว่าเป็นการร้องเรียนครั้งประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เลยทีเดียว ที่ผ่านมาหมัดเด็ดของพม่าที่จะนำมาใช้กดดันไทยคือการปิดพรมแดน เพราะเมื่อปิดแล้วฝั่งไทยเสียประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยหากทุกด่าน ทุกพรมแดน รวมทั้งท่าข้ามช่องทางธรรมชาติถูกปิด จะมีการสูญเสียไม่ต่ำกว่าวันละ 2,000 ล้าน


ตอนนี้สะพาน 1 เปิดให้ขนสินค้าผ่าน คนเข้า-ออกไปมาได้แต่เนื่องจากเป็นนโยบายรัฐต่อรัฐ สินค้าต้องผ่านพิธีการทางศุลกากร แต่ช่องทางธรรมชาติเป็นเรื่องของกะเหรี่ยงบริหารจัดการกับเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย ซึ่งถ้ามีข้อพิพาทใหญ่โตขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะลุกลามบานปลายไปกระทบถึงการสั่งปิดด่านพรมแดนถาวร เพราะว่ารัฐบาลพม่ากับรัฐบาลกะเหรี่ยงตกลงและเจรจาส่งข่าวสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอด

การที่มีสัญญาณการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอดคล้องกับคำแก้ตัวของ พลตำรวจตรี อมรศักดิ์ และการเผยแพร่ข้อมูลของคุณดนัย ในรายการเจาะลึกทั่วไทย ทางช่อง 9 ผมตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาส่วยในพื้นที่แม่สอด รวมทั้งส่วยในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ตั้งแต่อดีต น่าจะไปเชื่อมโยงกับบัญชีสีเทา เงินสีเทาต่างๆ ที่เพิ่งตกเป็นข่าวอื้อฉาวและโด่งดังไปทั่วประเทศในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ด้วย

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ระดับชาติ เพราะมันเผอิญโยงไปถึงทุนจีนสีเทาที่อยู่ฝั่งเมียวดี หรือ คิงโรมัน ที่อยู่ฝั่ง สปป.ลาว หรือ แม่สาย แล้วก็ทุนจีนสีเทา คนจีนที่เข้าไปมั่วสุมอยู่กับทุนจีนสีเทา มันมีขบวนการ ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ โน่นนี่นั่น เต็มไปหมด การที่คนจีนเขาไม่มาเที่ยวเมืองไทยนั้น เพราะเขากลัวเรื่องนี้ ท่านนายกฯ ครับ ท่านเศรษฐา ทวีสิน ครับ แก้ปัญหาทั้งที แก้ให้ถูกจุด ผมยังยืนยันวันนี้ ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ครับ ท่านตั้งใจทำงาน ระยะเวลาเหลือแค่ปีเดียว ท่านก็เกษียณแล้ว ท่านเอาเสียทีได้ไหมครับ ท่านโอนเรื่องการสอบสวน พันตำรวจเอก ไสว เพราะว่าทางพม่าได้แจ้งชื่อ แจ้งยศมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครบ้างที่เข้าไปรีดไถ ชัดเจน โอนมาให้กองปราบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้คุณจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นคนรับเรื่องนี้ไป และสอบสวนให้ถึงกึ๋นถึงแก่นเลย

ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ ท่านให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 นายตำรวจรุ่น 42 ตั้งประธานกรรมการ คือ พันตำรวจเอก อมรศักดิ์ นายตำรวจรุ่น 42 สอบสวนผู้บังคับการคนใหม่ พันตำรวจเอก ไสวใจร้าย ที่มีชื่อถูกกล่าวหามา ซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรุ่น 42 เหมือนกัน 42 ตั้ง 42 เป็นประธาน 42 เป็นจำเลย ข้อกล่าวหา ท่านผู้ชมครับ ท่านต่อศักดิ์ สุขวิมล ครับ ประชาชนคนไทยจะพึ่งพาตำรวจได้อย่างไร

สื่อเสี้ยมสุมไฟขัดแย้งจีน-ไต้หวัน

ท่านผู้ชมครับ เมื่อสักอาทิตย์กว่าๆ นี้เอง มันมีเรื่องของผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวต่างประเทศของไทยพีบีเอส ไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน แล้วเอามาลง เลยทำให้เกิดอาการที่เขาเรียกว่าค่อนข้างจะดรามานิดหนึ่ง เพราะสถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้สิ่งที่ไทยพีบีเอสกับรัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันพูด ว่าไม่จริง และในที่สุด ทางรัฐบาลไต้หวันก็ออกมาตอบโต้รัฐบาลจีนอีกรอบหนึ่ง เรื่องมันเป็นอย่างไร ?


สำหรับผมแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครเลย ปัญหาอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นสื่อทางการของไทย จะไม่พูดว่าเป็นสื่อทางการไทยก็ไม่ได้ เพราะว่าไทยพีบีเอสนั้น ไม่ใช่ช่อง 3 ช่อง 7 หรือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือแม้กระทั่งรายการทอล์กโชว์ของใครก็ตามที่เขาลงทุนของเขาเอง เป็นเงินเป็นทองของเขาเอง แต่ไทยพีบีเอสนั้นใช้เงินภาษีจากประชาชนปีละกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ดันทะลึ่งกลับทำงามหน้า สุมความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน จากการเดินทางไปสัมภาษณ์นายอู๋เจาเซี่ย หรือ โจเซฟ อู๋ รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน


ไทยพีบีเอส เป็นสื่อสาธารณะที่กำลังตกเป็นเครื่องมือของไต้หวัน ในขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็สะท้อนถึงกระบวนการทำงานของสื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่ที่สมาทานการจอมปลอมของสื่อตะวันตก ซึ่งทำมาหากินอยู่บนความขัดแย้งและมีวาระซ่อนเร้น รับใช้นโยบายทางตะวันตก โดยตัวเองรู้หรือไม่รู้ก็ได้

เอาล่ะ ผมเตือนความจำนิด 11 พฤศจิกายน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ คือพูดง่ายๆ ว่า เขาบอกว่า นายอู๋ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ปลุกปั่นคำพูดที่เหลวไหลเกี่ยวกับการแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน ในการให้สัมภาษณ์ และโจมตีข้อเสนอที่รวมประเทศอันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสันติของประเทศจีนอย่างร้ายแรง คำพูดที่ไร้สาระอย่างนี้ไม่คุ้มค่าที่จะหักล้าง ส่วนสื่อนี้ได้เสนอเวทีที่เผยแพร่คำพูดที่เหลวไหลให้แก่คนที่คิดจะแบ่งแยกไต้หวันออกจากประเทศจีน ซึ่งทำลายผลประโยชน์ประเทศจีน และทำร้ายความรู้สึกของประชาชนชาวจีน


เขาพูดต่อว่า ไต้หวัน เป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่แบ่งแยกไม่ได้ของจีน เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับของทั่วโลก การกระทำที่ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบูรณภาพแห่งดินแดน และการต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใดๆ ก็ตามล้วนตรงกันข้ามกับมิตรภาพระหว่างประชาชนของจีนและไทย การกระทำที่ทำร้ายประเทศอื่นๆ และประชาชนของประเทศอื่นๆ โดยใช้เสรีภาพของสื่อเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าเป็นการกระทำใดๆ ก็ตาม ล้วนเป็นการใช้เสรีภาพของสื่ออย่างพร่ำเพรื่อ

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยที่นายพงศธัช สุขพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการข่าวต่างประเทศ ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 สองอาทิตย์ที่แล้ว และได้นำรายการดังกล่าวมาเผยแพร่ในช่วงค่ำของวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 แล้วออกไปเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก ยูทูบ ของไทยพีบีเอสด้วย

หลังจากที่สถานทูตจีนแถลงการณ์ออกมาชั่วข้ามคืน นายอู๋เจาเซี่ย ก็เลยออกทางทวิตเตอร์โจมตีสถานทูตจีนในประเทศไทย


สังเกตได้อย่างหนึ่ง ในทวิตเตอร์ที่ นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน เขามีแฮชแท็ก เขียนว่า #MilkTeaAlliance #พันธมิตรชานม

ท่านผู้ชมจำคำว่า "Milk Tea Alliance" ได้ไหม "พันธมิตรชานม" มันเป็นแฮชแท็กเดียวกับที่กลุ่มม็อบสามนิ้วในไทยกับกลุ่มม็อบในฮ่องกงใช้เป็นสัญลักษณ์ในการชุมนุมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


พอสถานทูตจีนออกแถลงการณ์ปั๊บ คนในไทยพีบีเอสก็วิ่งพล่านเลย เพราะว่ารู้ตัวแล้วว่าทำพลาดอย่างใหญ่หลวง แล้วก็ขี้ขลาด ลบคลิปการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวไป ถ้าคุณลบคลิปได้เพราะคุณรู้ว่าคุณผิด แล้วคุณไปทำไม ทำไมไม่คิดตั้งแต่ต้นล่ะ เรื่องนี้ไม่น่าไป แล้วผมยังไม่รู้เลยว่างานนี้คุณออกเงินไปเองหรือว่าไต้หวันเชิญไป ออกค่าใช้จ่ายให้คุณทั้งหมด เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน

ประเด็นนะครับท่านผู้ชม จนถึงวันนี้ ไทยพีบีเอสก็ยังหน้าด้าน แสดงการรับผิดชอบแค่ปิดการเข้าถึงคลิปและลบคำสัมภาษณ์ดังกล่าวออก น่าเสียดาย คนไทยโง่ๆ บางกลุ่มพาทัวร์ไปลงที่เพจของสถานทูตจีน อ้างถึงเสรีภาพสื่อ อ้างว่าจีนไม่มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เหน็บแนมเมืองไทยว่าเป็นมณฑลไท่กั๋ว (ไท่กั๋ว คือ ประเทศไทย) แต่คนเหล่านี้เป็นสื่อมวลชน หรือเป็นแค่เกรียนคีย์บอร์ด พวกนี้มันรู้เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ดีแค่ไหน ที่สำคัญคือ มีกี่คนที่ได้ดูคลิปการให้สัมภาษณ์ของไทยพีบีเอสแบบเต็มๆ

คนที่ได้ดูคลิปการสัมภาษณ์และพินิจพิเคราะห์ จะเห็นได้ว่าการสัมภาษณ์ของนายพงศธัช สุขพงษ์ จากไทยพีบีเอส ถ้าท่านดูแล้ว ถ้าท่านเป็นคนที่ชอบอ่านนิตยสาร The Economist หรือหยิบประเด็นจากสำนักข่าวตะวันตก เช่น CNN, BBC มา ท่านจะเห็นเลยว่านายพงศธัช สุขพงษ์ นั้น พูดจาสัมภาษณ์เหมือนกับอ่าน The Economist เลย หรือว่าข่าวของ CNN, BBC เอามาถามรัฐมนตรีไต้หวัน เช่น ประเมินว่าจีนใช้กำลังผนวกไต้หวันไหม ? ไต้หวันรับมืออย่างไรต่อการรุกรานของจีน ? ไต้หวันจะกลายเป็นยูเครน 2 หรือเปล่า ? การประท้วงของฮ่องกงจะเป็นตัวอย่างในไต้หวัน ไม่ยอมรับแนวทาง 1 ประเทศ 2 ระบบ ไหม ? ถ้าเกิดสงครามขึ้นจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและประเทศอื่นๆ ได้อย่างไร ?


ท่านผู้ชมครับ ผมเอา The Economist ให้ดูนะครับ ปก The Economist วันที่ 1-7 พฤษภาคม 2564 "The Most Dangerous Place on Earth : TAIWAN" เอาคำสัมภาษณ์ของ CNN ที่สัมภาษณ์นายโจเซฟ อู๋ ยุยงว่าจีนกำลังข่มขู่ทำสงครามไต้หวัน เมื่อวันที่ 10 เมษายน ปีนี้เอง

ท่านผู้ชมครับ คุณพงศธัช ครับ กรรมการบอร์ดไทยพีบีเอสครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สื่อตะวันตกสร้างวาระขึ้นมาตลอด ไม่ใช่เรื่องใหม่ และทุกคนรู้ว่าการชงคำถามเช่นนี้มีแต่จะยุยงให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นวิธีการของชาติตะวันตกที่ชอบกวนน้ำให้ขุ่น แล้วทอดแหจับปลา หรือว่าจับปลาตอนน้ำขุ่น แต่ท่านผู้ชมครับ ผู้สื่อข่าวอ่อนหัด โคตรจะอ่อนหัดเลย นายพงศธัช ของไทยพีบีเอส ถามเหมือนกับตัวเองนั้นพกธง ว่าธงของการถามต้องเป็นอย่างนี้ แล้วมันดันสอดคล้องกับธงของทางตะวันตก ผู้สื่อข่าวตะวันตก แทบจะทุกสำนักว่าต้องเกิดสงครามแน่ๆ

จีนจะบุกไต้หวันในปี 2568 แถมยังทะลึ่งใช้คำว่า "รุกราน" คือ "Invade" บุกไต้หวัน อยู่หลายครั้ง ตกเป็นเครื่องมือของนายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ที่ใช้ลูกเล่นนักการทูต นักการเมือง โดยใช้คำว่า "โจมตี" (Attack) "ใช้กำลัง" (use force) แทนคำว่า "รุกราน" แม้กระทั่งนายอู๋ ยังยอมรับว่าจีนไม่บุกไต้หวัน เพราะจีนใช้คัมภีร์พิชัยสงคราม ซุนวู โดยจีนจะข่มขู่ด้วยกำลังทหารและการสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และการลิดรอนพื้นที่ในเวทีนานาชาติไต้หวัน เพื่อพิชิตเป้าหมายตามกลยุทธ์บีบให้คู่ต่อสู้ยอมจำนนแทนการทำสงคราม


ท่านผู้ชมครับ ไทยพีบีเอส ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่อสาธารณะ แต่ความจริงแล้วงบประมาณของไทยพีบีเอสมาจาก "ภาษีบาป" ภาษีจากสุราและบุหรี่ ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ไทยพีบีเอส จึงมีสถานะแบบสื่อของรัฐ เพราะใช้เงินจากภาษีอากรของประชาชน

ท่านผู้ชมตามผมมา คุณพงศธัช ตามผมมา บอร์ดไทยพีบีเอส คิดตามผมมา พวกเราจะคิดอย่างไรถ้าสื่อทางการจีนอย่างเช่นซินหัว หรือ CCTV หรือว่าสื่อทางการ ซึ่งเป็นทางการของมาเลเซีย ไปสัมภาษณ์กลุ่มผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนชายแดนภาคใต้บ้าง ว่าคิดเห็นอย่างไรต่อการปราบปรามของทหารไทย หรือรัฐบาลไทย หรือคิดเห็นอย่างไรกับการลงประชามติแยกรัฐปาตานี โดยอ้างว่าส่งเสริมสิทธิในการกำหนดใจตัวเอง (Self determination) ของกลุ่มนักวิชาการและนักการเมืองจากพรรคก้าวไกล ท่านผู้ชมครับ พวกเราจะคิดอย่างไรล่ะ ? ถ้ามีคนมาเสือกเรื่องภายในประเทศ เรื่องความมั่นคง


ผู้บริหารไทยพีบีเอส ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการไทยพีบีเอส คือคุณวิลาสินี พิพิธกุล หรือคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ที่มีท่านประธานชื่อ อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้ากระทรวงการต่างประเทศจีนทำหนังสือประท้วงมายังรัฐบาลไทย และระบุเฉพาะเจาะจงว่า สื่อที่ได้รับงบประมาณจากทางการไทยใช้ภาษีอากรจากประชาชนชาวไทย เปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับทางการจีนเพื่อพูดถึงเรื่องการแบ่งแยกดินแดน

ท่านผู้ชมครับ จากฝ่ายบริหารไล่เรียงลงมาจนถึงฝ่ายปฏิบัติการ โดยเฉพาะฝ่ายข่าว ฝ่ายข่าวต่างประเทศของไทยพีบีเอสไม่มีความรู้ หรือไม่เคยมีเบสิค พื้นฐานด้านการต่างประเทศเลยหรือ คุณไม่รู้เลยหรือ หรือคุณแกล้งโง่ไม่รู้ ว่าประเทศไทยยอมรับนโยบายจีนเดียว (One China Policy) การติดต่อกับไต้หวันจะติดต่อเฉพาะกรณีเศรษฐกิจกับวัฒนธรรมเท่านั้น และประเทศต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนล้วนหลีกเลี่ยงที่จะพบปะอย่างเป็นทางการกับประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของไต้หวัน บุคคลสำคัญทางการเมืองของไต้หวันจะไปเยือนสหรัฐฯ ยังต้องใช้ข้ออ้างว่าเปลี่ยนเครื่องบินหรือแวะพักเติมน้ำมัน แล้วพวกคุณไม่รู้เลยหรือว่า ไต้หวันคือเส้นแดง (Red Line) ซึ่งทางจีนขีดไว้


จีนนั้นย้ำมาตลอดว่า เรื่องไต้หวันคือศูนย์กลางของศูนย์กลาง ศูนย์กลางในศูนย์กลาง ในการมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และจีนจะไม่มีวันยอมประนีประนอมกับไต้หวัน เพราะจีนยืนยันว่าไต้หวันเป็นของจีน ทำอะไรก็ได้ แต่ถ้ามายุยงส่งเสริม ปั่นกระแสให้ไต้หวันแยกเป็นเอกราช จีนจะไม่ยอม และจีนพูดมานานแล้ว ถ้าไต้หวันแน่จริง นางไช่ อิงเหวิน หรือนายโจเซฟ อู๋ ประกาศออกมาที่รัฐบาลไต้หวันสิ พร้อมจะแยกตัวเป็นเอกราชแล้ว จีนพูดชัดเจนมานานแล้วว่าเขาก็จะบุกไต้หวันทันที และยึดไต้หวันด้วยกำลัง ไม่ใช่ความลับ เป็นมานานแล้ว แม้กระทั่งอเมริกาเองยังสั่งไต้หวันว่าห้ามพูดเรื่องเอกราชเด็ดขาด

ท่านผู้ชมครับ มีคนไต้หวันจำนวนมากที่ไม่อยากให้มีความขัดแย้ง ต้องการคงสถานะปัจจุบันของไต้หวัน และยังมีคนไต้หวันจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจะปรับความสัมพันธ์กับจีนเพื่อประโยชน์ทางการค้าและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่า นายอู๋เจาเซี่ย เป็นบุคคลต้องห้าม ถูกขึ้นบัญชีดำจากทางการจีนว่าเป็นผู้สนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นเอกราช ตัวพ่ออันดับที่หนึ่ง

ผมมีรายชื่อประมาณ 10 รายชื่อ ที่ทางจีนขึ้นบัญชีดำ ซึ่งเป็นผู้นำไต้หวัน เป็นนักการเมืองไต้หวัน เป็นประธานพรรคไต้หวัน เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไต้หวัน เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติไต้หวัน รองประธานรัฐสภาไต้หวัน ที่ถูกขึ้นบัญชีดำ และชื่อ นายอู๋เจาเซี่ย ขึ้นอับดับหนึ่ง


ทางการจีนระบุว่า คนที่ขึ้นบัญชีดำนั้น กระทำผิดกฎหมายอาญา กฎหมายการต่อต้านการแยกดินแดน และกฎหมายความมั่นคงของชาติจีน มีความผิดโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต และจะติดตามตัวมาดำเนินคดีตลอดชั่วชีวิต คนที่อยู่ในบัญชีดำถูกทางการจีนใช้มาตรการคว่ำบาตร ห้ามเดินทางมาจีน ฮ่องกง มาเก๊า และห้ามหน่วยงานต่างๆ ของจีนติดต่อด้วย

ท่านผู้ชมครับ ไทยพีบีเอสคิดอย่างไร ให้พื้นที่แบบ Exclusive เลยนะ กับบุคคลที่ทางการจีนคว่ำบาตร แล้วนำเสนอประหนึ่งว่าสงครามจีนกับไต้หวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงสิ่งที่ นายอู๋เจาเซี่ย พูดนั้น เป็นแนวทางของพรรคการเมือง คือพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเท่านั้น ไม่ใช่ความคิดของนักการเมืองไต้หวัน หรือชาวไต้หวันในภาพรวม

ท่านผู้ชมครับ ถ้าไทยพีบีเอสคิดว่า นายอู๋เจาเซี่ย เป็นบุคคลในข่าวที่ควรค่าแก่การสัมภาษณ์ แต่ทำไมผู้สื่อข่าวถึงไม่ถามถึงความสัมพันธ์จีน-ไต้หวันในเรื่องอื่นๆ จริงๆ แล้วผู้สื่อข่าวที่ไปนั้น ผมจะพูดให้ฟังก็ได้ อ่อนด้อยประสบการณ์ ทักษะในการทำข่าวไม่มี ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าคุณไป ทำไมคุณไม่ถามบ้างล่ะว่า คิดอย่างไรกรณีที่ นายหม่าอิงจิ่ว อดีตประธานาธิบดีไต้หวัน ที่เดินทางไปเยือนจีนเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา


นายอู๋เจาเซี่ย คิดอย่างไรกับแนวทางพรรคก๊กมินตั๋งที่ต้องการปรับความสัมพันธ์กับจีน ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างจีน-ไต้หวัน (ECFA) ที่ไต้หวันได้ประโยชน์อย่างมากจนกระทั่งนางไช่ อิงเหวิน ไม่ยอมยกเลิก

แล้วคุณพงศธัช สุขพงษ์ ทำไมไม่ถามต่อล่ะ คุณถามเฉพาะเรื่องที่มันยั่วยุ ถามตามแนวทางตะวันตก คุณถามนายอู๋เจาเซี่ย สิว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวมานี้ ไต้หวันซื้ออาวุธอเมริกาไปเท่าไรแล้ว ตั้งแต่อเมริกาปั่นเรื่องไต้หวันขึ้นมา แล้วหลอกขายอาวุธให้ไต้หวันตลอดเวลาว่าต้องซื้อโน่นซื้อนี่มาปกป้องตัวเอง ถ้าคุณไม่รู้ผมบอกให้ก็ได้ คุณรู้ไหมตั้งแต่นางไช่ อิงเหวิน แกนนำพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันมา 7 ปีแล้ว ทุกปีไต้หวันจะนำอาวุธจากอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทยหลายแสนล้านบาท รายงานที่แจ้งต่อสภาคองเกรสปี 2562 ไต้หวันนำอาวุธเข้าจากสหรัฐฯ มากเป็นประวัติการณ์ เกือบ 11,000 ล้านดอลลาร์ เกือบๆ 400,000 ล้านบาท


ล่าสุด ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2566 รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติแผนสนับสนุนทางการทหารเพื่อช่วยไต้หวันรับมือภัยคุกคามจากจีน เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า ทั้งรัฐสภา สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กดดันกระทรวงกลาโหม และทำเนียบขาว ให้เร่งส่งอาวุธไปยังไต้หวัน เป้าหมายคือเพื่อช่วยต่อต้านจีนและยับยั้งจีนไม่ให้คิดโจมตี และทั้งหมดนี้ก็เกิดจากการปั่นกระแสของอเมริกาที่ต้องการขายอาวุธ คุณพงศธัช คำถามแบบนี้คุณหัดถามบ้างได้ไหม หรือถามแต่คำถามโง่ๆ ตามหมากที่เขาให้คุณถาม ไหนๆ เขาเชิญคุณมาแล้วก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อการเชิญ


ข้อมูลแบบนี้หาไม่ยากหรอก คุณพงศธัช แต่คุณกลับไม่ถาม คุณนี่ท่าทางจะชงชาเก่งนะ เพราะว่าคำถามคุณชงเข้าทางเขาหมด นี่คุณเป็นสื่อสาธารณะของไทย หรือคุณเป็นพีอาร์ของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของไต้หวัน

ผมถามต่อแล้วกัน วันหนึ่งข้างหน้าอเมริกาเทไต้หวันทิ้ง เหมือนอย่างที่มันเทยูเครนตอนนี้ แล้วเกิดจูบปากกับจีนเพราะผลประโยชน์ลงตัวกัน แล้วไต้หวันจะอยู่อย่างไรล่ะ ทำไมคุณไม่ถามคำถามที่ นายอู๋เจาเซี่ย จะต้องตะลึงหรืออึกอักพูดไม่ออกว่า ถ้าสมมุติอเมริกากับจีนจับมือกันได้ แล้วอเมริกาถอนตัวออกจากไต้หวัน ไต้หวันจะทำอย่างไร ? นี่คือคำถามที่มืออาชีพ แต่ที่คุณถามไปน่ะ คุณเดินตามก้นของตะวันตกที่ต้องการปั่นกระแส หรือว่าไทยพีบีเอสกำลังใช้เงินภาษีประชาชนชาวไทยไปเป็นเครื่องมือและเอื้อให้นักการเมืองไต้หวัน และพรรคการเมืองไต้หวัน เพื่อโพรโมตตัวเองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนมกราคม ปีหน้านี้


อีกข้อมูลหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าคุณทำการบ้านหรือเปล่า ผมนี่รู้เรื่องดีกว่าคุณเยอะ คุณน่ะเด็กเมื่อวานซืน โง่แล้วอวดฉลาด ทำตัวให้เป็นเครื่องมือเขา คุณรู้ไหมว่าพรรครัฐบาลไต้หวัน ก่อนเลือกตั้งที่จะถึงในเดือนมกราคม 2567 พรรครัฐบาลไต้หวันเชิญนักข่าว นักการเมืองต่างชาติไปเยือนเพียบเลย ตั้งแต่นายอู๋เจาเซี่ย รั้บตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ถูกประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย ตัดสัมพันธ์ไปถึง 7 ประเทศ ตอนนี้เหลือประเทศที่รับรองไต้หวันเพียง 13 ประเทศในโลกนี้เท่านั้น

คุณรู้ไหมว่าคนไต้หวันเองยังตั้งฉายา นายอู๋เจาเซี่ย ว่าเป็นรัฐมนตรีกระทรวงตัดความสัมพันธ์ สถานะที่ยากลำบากเช่นนี้ทำให้ไต้หวันจำเป็นต้องหาแสงจากพื้นที่บนสื่อและประชาคมนานาชาติให้มาก ยิ่งกำลังจะเลือกตั้งใหญ่เดือนมกราคมนี้ นายอู๋เจาเซี่ย และ นางไช่ อิงเหวิน ยิ่งต้องชูธงเอกราชเพื่อหวังผลทางการเมือง


ผมตรวจสอบข้อมูลว่า นายอู๋เจาเซี่ย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติอย่างถี่ยิบ โดยการตรวจสอบข้อมูลของทีมงานผม ว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างชาติเกือบจะรายวัน หรือวันเว้นวัน ยกตัวอย่างเช่น 1 พฤศจิกายน อู๋เจาเซี่ย ให้สัมภาษณ์แก่ไทยพีบีเอส 31 ตุลาคม ให้สัมภาษณ์แก่รายการ News Hour ของ BBC World Service 24 ตุลาคม ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ Australian Financial Review 23 ตุลาคม ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ฮันกุกอิลโบ หรือ Korea Times ของเกาหลีใต้

19 ตุลาคม ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เยอรมนี 4 ตุลาคม ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Agencia EFE ของสเปน นี่เพียงระยะเวลาแค่สองเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน นายอู๋เจาเซี่ย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติมากมายถึงเพียงนี้ พอย้อนดูข้อมูลจะพบว่าตลอดทั้งปีนี้ นายอู๋เจาเซี่ย ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติหลายสิบราย ทำให้ผมสงสัยว่า พวกนี้ได้รับเชิญ หรือว่าขอไปเอง ถ้าได้รับเชิญก็หมายความว่า เขาออกค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่าย ค่าโรงแรมให้ทุกอย่าง ผมไม่รู้ คุณพงศธัช หรือว่าเนื่องจากไทยพีบีเอสนั้นร่ำรวยจากการใช้ภาษีอากรของพวกผม อาจจะออกเอง หรือว่าคุณรับแพกเกจมา มาเลย มาสัมภาษณ์ผม เดี๋ยวผมจัดค่าตั๋วเครื่องบินให้ มีที่พักให้ อยู่โรงแรมชั้นดี


สถานทูตไต้หวันในหลายประเทศใช้ชื่อว่า สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ประเทศที่ตัวเองไปติดต่อเกิดความกระอักกระอ่วน เพราะจะกลายเป็นว่าเขายอมรับว่าประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ยอมรับว่ามีสองจีน การที่มีหนึ่งจีน หนึ่งเดียว ก็ทำให้สถานทูตไต้หวันไม่สามารถจะเปิดได้อย่างเป็นทางการ ก็เลยใช้ว่า "สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป" หลายๆ ครั้งสำนักงานนี้เคยทาบทามสื่อมวลชนหลายแห่ง อยากจะสัมภาษณ์รัฐมนตรีต่างประเทศ คือนายอู๋ ไหม ทางหนังสือพิมพ์ ทางเว็บไซต์ พวกเรากลุ่มผู้จัดการเคยได้รับการทาบทามตั้งหลายครั้ง คุณพงศธัช แต่นักข่าวผม บก.ข่าวผม รวมทั้งสื่อมวลชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตอบรับ เพราะตระหนักดีถึงความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

จริงๆ แล้วการได้รับเชิญไปทำข่าวในต่างประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดจรรยาบรรณ เพราะผู้สื่อข่าวมีสิทธิรายงานจากมุมมองตัวเอง แต่สถานะของไทยพีบีเอสมีความพิเศษ เพราะว่าไทยพีบีเอสไม่ใช่สื่อเอกชน แต่ใช้เงินภาษีอากรของประชาชนในการทำงาน เพื่อประกันในการไม่ถูกครอบงำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไทยพีบีเอสต้องตอบคำถามประชาชนว่า การไปสัมภาษณ์ นายอู๋เจาเซี่ย ของนายพงศธัช ครั้งนี้ ได้รับเชิญให้ไปหรือว่าขอไปเอง และใครเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำข่าวครั้งนี้

คุณพงศธัช ครับ ก่อนที่ผมจะพูดถึงเรื่องบทบาทข่าวต่างประเทศของไทยพีบีเอส จากยูเครนถึงไต้หวัน ว่าพวกคุณไม่ใช่ข่าวมุมมองคนไทย แต่เดินตามก้นสื่อตะวันตก เพื่อประดับความรู้คุณพงศธัช 58 ปีที่แล้ว ค.ศ. 1965 ผมไปเรียนไต้หวัน 1 ปี ที่ National Taiwan University ผมรู้จักไต้หวันดี ผมรู้ดีว่าจริงๆ แล้วคนไต้หวันนั้น ตั้งแต่ประธานาธิบดีเจียง ไคเช็ก หนีจากแผ่นดินใหญ่ ถูกเหมาเจ๋อตุง ไล่ตีตกทะเล มาพึ่งพาอยู่ที่เกาะไต้หวัน สร้างไต้หวันขึ้นมา ก็มีความปรารถนาที่จะกลับไปยึดแผ่นดินใหญ่ต่อ

เพราะฉะนั้นแล้ว เจตนารมณ์ว่าไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นประเทศเดียวกัน มีมาตั้งนานแล้ว อย่าให้ผมย้อนกลับไปถึงสมัยราชวงศ์หมิง หรือราชวงศ์ชิงเลย ถ้าคุณจะรู้เรื่องพวกนี้ ภูมิรัฐศาสตร์ คุณต้องมองยาวไกลย้อนหลังไป คุณอย่าทะลึ่งเอาแค่เรียลไทม์ เอาแค่ The Economist ว่าอย่างนี้ CNN ว่าอย่างนั้น BBC ว่าอย่างนี้ แล้วคุณก็เดินตามก้นมันไป


พวกผมทำการตรวจสอบย้อนหลังพวกเขา ทั้งข่าวภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่คุณใช้ชื่อว่า ThaiPBS World เพราะว่ากองบรรณาธิการของคุณให้ความสนใจกับไต้หวันอย่างมากเป็นพิเศษ ทิศทางของข่าวไปในแนวทางว่าจะเกิดสงคราม จีนจะบุกไต้หวันเพื่อรวมชาติ ไต้หวันถูกกดดันในเวทีระหว่างประเทศ เป็นแนวทางที่สะท้อนภูมิรัฐศาสตร์และติดตามก้นสื่อตะวันตกอย่างชัดเจนที่สุด


(รูป : ไช่ อิงเหวิน) Taiwan president starts sensitive U.S. stopover; China warns against meetings.


Fearing war in Xi's next term Taiwan bolsters defences

เหมือนกับรายงานข่าวสงครามยูเครนของไทยพีบีเอส คุณอายหรือยังตอนนี้ ถ้ายังไม่อายผมจะเตือนความจำคุณ พวกคุณและทีวี สำนักข่าวในประเทศ ทีวีกระแสสื่อหลากหลายช่อง ตอกย้ำ แปลข่าวตะวันตกมา บอกมาตั้งแต่ต้นว่ารัสเซียแพ้แน่ๆ พันธมิตรนาโตหนุนยูเครนให้จบสงครามในปีนี้ นี่ผ่านมาจะสองปีแล้ว รัสเซียก็ยังไม่แพ้ ขณะที่ฝ่ายยูเครนสูญเสียย่อยยับ สื่อตะวันตกไม่เคยรายงาน มีนิตยสาร TIME Magazine เองที่เอารูปของเซเลนสกี ที่ตัวเอง เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง เอารูปเซเลนสกีขึ้นแล้วบอกว่าเป็น Man of the Year


แต่มาอีกครั้งหนึ่ง ล่าสุด ผมเคยพูดไปแล้ว เอารูปเซเลนสกีขึ้นมา ว่าเป็น The Man of Illusion ก็คือพูดง่ายๆ ว่า สื่อ TIME Magazine บอกว่าต้องเทเซเเลนสกีทิ้งแล้ว อียูก็ต้องการเทเซเลนสกีทิ้ง อเมริกาถึงกับตัดหางปล่อยวัดว่างบประมาณไม่มีให้แล้ว ช่วยตัวเอง อ้าว! แล้วไหนล่ะ บอกว่ายูเครนชนะ รัสเซียแพ้ คุณพงศธวัช พวกคุณไม่อายกันบ้างเลยหรือ ให้ตาย! ทีมงานข่าวต่างประเทศไทยพีบีเอส พวกคุณไม่อายกันเลยหรือ

แล้วผมจะย้อนหลังรายงานข่าวผิดพลาดของคุณ กองบรรณาธิการของไทยพีบีเอสมีแผนกที่เรียกว่า ข่าวนโยบาย เปิดพื้นที่ให้กับข่าวที่สื่อมวลชนกระแสหลักไม่สนใจ เพราะว่าขายไม่ได้ ไม่มีเรตติ้ง เช่น ข่าวเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ ชนกลุ่มน้อย คนที่ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งนโยบายสาธารณะของภาครัฐ แต่ช่วงที่การเมืองมีการแบ่งสีแบ่งขั้ว ไทยพีบีเอสกลายเป็นหนังหน้าไฟ เผชิญการกล่าวหาจากทุกฝ่าย ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง เคยยกพวกปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสมาแล้ว

นอกจากนั้นแล้ว ไทยพีบีเอสยังมีประวัติการรายงานข่าวผิดพลาดมาหลายครั้ง เรื่องเศรษฐีอินเดียหนีโควิดเข้าไทย


เรื่องประสิทธิภาพและผลกระทบวัคซีนโควิด-19 เรื่องปลากุเลาเค็มตากใบในการประชุมเอเปคเมื่อปลายปี 2565 ความผิดพลาดในเรื่องนี้ทำให้ไทยพีบีเอสต้องออกแถลงการณ์ขอโทษ พวกคุณก็ได้แค่นี้ มีปัญญาอยู่แค่นี้เอง

ในกรณีสัมภาษณ์รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน ไทยพีบีเอส คุณทำได้แค่ลบคลิปและปิดข่าว พวกคุณกลายเป็นผู้สื่อข่าว/นักข่าวที่ค่อนข้างจะหน้าหนามากๆ ช่วงหลังๆ นี้

ถ้าพวกคุณมั่นใจแนวทางกองบรรณาธิการ ควรจะชี้แจงด้วยเหตุผลว่าคุณลบเพราะอะไร เพราะข้อมูลผิดพลาด เพราะถูกผู้ใหญ่กดดัน หรือเพราะว่าโดนทัวร์ลง ไทยพีบีเอสเป็นสื่อสาธารณะ เป็นสื่อที่รับเงินภาษีประชาชน ต้องยิ่งโปร่งใส มีความเป็นวิชาชีพมากกว่าสื่อเอกชนเสียด้วยซ้ำ คุณเล่นลบข่าวเงียบๆ แบบนี้ ให้ประชาชนเขาวางใจในความกล้าหาญในการทำรายงานข่าวที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ ได้อย่างไร

ไทยพีบีเอส หรือองค์กรกระจายเสียงแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานรัฐ มีสถานภาพเป็นนิติบุคคลมหาชน จัดตั้งปี 2551 หรือ 15 ปีที่แล้ว หลังจากสำนักงานปลัดนายกฯ ได้ยึดสัมปทานคืน ไอทีวี รัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็เลยนำช่องสัญญาณนี้มาจัดตั้งเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะ


พวกคุณที่อยู่ในวงการ NGO ดีใจ ตีปีกกัน เพราะคุณอยากเป็นอย่าง BBC ของอังกฤษ หรือ NHK ของญี่ปุ่น คือเป็นสื่อสาธารณะที่รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ไม่ต้องการเป็นกระบอกเสียงรัฐบาลเหมือนกรมประชาสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่าช่อง NBT แต่ข้อแตกต่างระหว่าง BBC กับ NHK มีรายได้จากการบังคับเก็บค่ารับสัญญาณประชาชนมีโทรทัศน์ คือพูดง่ายๆ ว่าประชาชนจ่ายค่ารับสัญญาณของ BBC แต่พวกคุณมีรายได้หลักมาจากเงินภาษี ตามกฎหมายว่าด้วยสุรา และกฎหมายว่าด้วยยาสูบ อัตรา 1.5 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท

นอกจากนี้แล้ว เขายังเปิดโอกาสให้รายได้ในการหาประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาของพวกคุณ รวมทั้งดอกผลที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินขององค์กร ไม่ต้องส่งเป็นรายได้เข้าคลัง

เพราะฉะนั้นแล้ว 2566 คุณระบุว่าคุณมีรายได้รวม 2,839.72 ล้านบาท เงินก้อนนี้พวกคุณเอามาถลุงกันฉิบหายเลย ให้เงินเดือนกันสูงๆ ใช้จ่ายกัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังไม่เพียงพอ ซื้อข้าวของอุปกรณ์ซึ่งแพงฉิบหายเลย ผมไม่รู้ว่าเงินตกเข้ากระเป๋าใครบ้างหรือเปล่า ซื้ออุปกรณ์เกินความจำเป็น พวกคุณเลยเป็นเสือนอนกิน มีการันตีรายได้แน่นอนปีละ 2,000 ล้าน การบริหารงาน พวกคุณมีคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการบริหาร ยังมีคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียน และสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการด้วย


ถึงแม้พวกคุณจะถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างที่ถูกประกันความเป็นอิสระในการทำงาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณยอมรับเสียทีได้ไหม ไทยพีบีเอส ผู้บริหารพวกคุณนั้นมาจากคนในตระกูล ส. ทั้งนั้น คือพวก สสส. โดยเฉพาะสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ และในที่สุด คุณเป็นสื่อกระบอกเสียงของพวก NGO พวกคุณ NGO ยึดถือว่าไทยพีบีเอสเป็นของพวกคุณไปแล้ว ทั้งๆ ที่คุณรับประทานภาษีอากร 1.5 เปอร์เซ็นต์ จากยอดภาษีสรรพสามิต ปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ผู้บริหารองค์กรตระกูล ส. สสส. รวมทั้งไทยพีบีเอส ถูกเขาด่าอยู่ทุกวันว่าผูกขาดอำนาจ เป็นคนกลุ่มเดียวกันเวียนไปเวียนมาระหว่างองค์กร ผู้อำนวยการ ประธานคณะกรรมการบริหารไทยพีบีเอสคนปัจจุบันก็คือ รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล


เธอเป็นอดีตอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ส่วน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ สามี ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ก็ยังมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ดร.วิลาสินี เคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการไทยพีบีเอส ในยุคทันตแพทย์กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไทยพีบีเอส แต่ต่อมาทันตแพทย์กฤษดา ต้องลาออกไปเพราะถูกวิจารณ์ว่านำเงินรายได้ไทยพีบีเอสไปลงทุนในหุ้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ดร.วิลาสินี เป็นกรรมการอยู่ในชุดนั้น ที่ถูกกล่าวหา ตามมารยาทต้องลาออก แต่เธอไม่ลาออกหรอก ทำให้ตาย ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร สสส. ในที่สุดตระกูล ส. ก็สามารถผลักดันให้ ดร.วิลาสินี เป็นทายาทบริหารไทยพีบีเอสต่อไปอีกได้

ล่าสุด เรื่องสุมไฟความขัดแย้งระหว่างไต้หวันกับจีน ไม่ว่า ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ในฐานะผู้อำนวยการไทยพีบีเอส เป็นถึงอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มีความเห็นอย่างไร ? ก็ท่านสอนวิธีทำหนังสือพิมพ์ให้เด็กๆ ไม่ใช่หรือ ผมอยากให้รัฐสภาไทยทบทวนว่าเงิน 2,000 ล้านบาท ให้กับไทยพีบีเอสเป็นประจำทุกปี มันคุ้มค่าหรือเปล่า เรตติ้งสถานีเป็นอย่างไร และจำเป็นต้องมีไทยพีบีเอสอยู่หรือเปล่า ชอบนัก ทำข่าวเรื่องตะเข็บชายแดน โน่นนี่นั่น ข่าวเกี่ยวกับการทุจริต พอทำทั้งทีก็ไม่เดินไปให้สุดซอย ขี่ม้าเลียบค่าย ปัญหาทุกวันนี้ ไทยพีบีเอสบอกตัวเองเป็นสื่อสาธารณะ แต่ไม่สามารถแยกตัวเองได้ชัดเจนจากความเป็นสื่อของรัฐ คนไทยพีบีเอสส่วนใหญ่เป็นคนไอทีวีเก่า หรือเครือเนชั่นในยุคสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งล่มสลายไปแล้ว เพราะถูกเทกโอเวอร์ไปแล้ว คุณจะมาอวดอ้างว่าตัวเองเป็นอิสระ มีเสรีภาพ ข่าวอย่างเรื่องการเมือง เรื่องคอร์รัปชันหลายเรื่องในประเทศไทย พวกคุณก็ไม่กล้าพูด ทำให้สุด ไม่กล้าเจาะลึก เกาะติดให้สุดซอย เรียกว่าพวกคุณห่างชั้นมากเลยจากสื่ออย่างเช่นสถาบันอิศรา ทั้งๆ ที่คุณมีงบประมาณมากมาย แตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาล คนไทยพีบีเอสทำได้อย่างมากแค่แอ็กอาร์ต ขี่ม้าเลียบค่ายไปมา เพราะพวกคุณก็ play safe ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ


มิหนำซ้ำเขาก็รู้กันแล้วว่าพวกคุณเล่นการเมืองภายในองค์กรกันอย่างรุนแรงอย่างที่ผมไม่รู้นะ ถ้าคุณแน่จริง ดร.วิลาสินี และทุกคนในไทยพีบีเอส ถ้ามียางอายบ้าง ถ้าคุณแน่จริง คุณยื่นเรื่องมาสิไม่ขอรับเงินรัฐบาล ถ้าตราบใดที่คุณยังรับเงินสนับสนุน ก็เปรียบเสมือนเป็นสื่อของรัฐบาลไทย เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ เรื่องข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ ไทยพีบีเอสก็ล่วงละเมิดไม่ได้ กรณีอย่างนี้ เรื่องไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวัน พวกคุณ พวกบอร์ด หัวหน้าข่าว คิดอะไรอยู่

ในโลกแห่งความเป็นจริง BBC ต้นแบบที่คุณใฝ่ฝันมาก เป็นสื่อสาธารณะของพวกคุณ BBC World Service ก็ยังตกอยู่ใต้อาณัติของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เดินตามก้นนโยบายต่างประเทศของอังกฤษ ผมอยากจริงๆ อยากให้สภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภา ทบทวนการหักภาษีสรรพสามิต เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ ท่าน สส. ครับ ถ้าท่านคิดเป็น ลองเอาภาษีสรรพสามิตปีละ 2,000 ล้าน ที่จ่ายให้กับไทยพีบีเอสนี้ เอาไปส่งเสริมพัฒนาความรู้เด็กรุ่นใหม่ดีกว่าที่จะเอาไปปรนเปรอให้กับองค์กรอย่างไทยพีบีเอส ที่คนข้างในใช้เส้นใช้สาย ได้เงินเดือนสูง อุปกรณ์ต่างๆ ทันสมัย หลายอย่าง ราคาแพงหูฉี่ แล้วมาทำข่าว ทำเรื่องที่มันกระทบต่อประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างนี้

เฮ้ย! ผมพูดอย่างนักเลงเลยนะ คนไทยพีบีเอสทุกคน ถ้าคุณแน่จริง อยากมีอิสระจริง อยากมีจุดยืนจริงๆ อยากทำข่าวเชียร์ไต้หวัน เชียร์ยูเครน เชียร์พรรคก้าวไกล หรือแม้กระทั่งเชียร์อิสราเอล ก็ออกไปทำสื่อด้วยเงินของพวกคุณเองสิ อย่ามาใช้เงินหลวง อย่าใช้เงินภาษีของพวกผมมาสำเร็จความใคร่ของพวกคุณเอง

แจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รุ่งหรือร่วง?

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ผมละเว้น ไม่ได้พูดมานานแล้ว และไม่ได้พูดเลย มีคน inbox ไถ่ถามผมมามาก อยากให้ผมพูดถึงเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท บางคนตั้งคำถาม สร้างความกังวลล่วงหน้าว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงไหม โครงการนี้จะมีการทุจริตไหม จะเหมือนโครงการจำนำข้าวหรือเปล่า ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไร


ผมได้ยินมามาก และได้อ่านข้อความ inbox มามาก ผมก็ให้ทีมงานเก็บข้อมูล ศึกษาเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ ที่ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยเพราะว่าข้อมูลรายละเอียดต่างๆ มันยังไม่ชัดเจน ถ้าผมพูดไปก็เหมือนการคาดเดาไปล่วงหน้า คาดเดาถูกก็ดีไป คาดผิด สิ่งที่ผมพูดมา วิเคราะห์มาก็ไร้ความหมาย เสียเวลา ท่านผู้ชมก็เสียเวลา

แต่วันนี้หลายๆ อย่าง รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้เริ่มชัดเจนแล้ว ผมเห็นว่าคงถึงเวลาสมควร เหมาะสมที่จะต้องพูดบ้างว่าโครงการนี้ผมมีมุมมองอย่างไรบ้าง

ท่านนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐา ทวีสิน ประการแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่าท่านเป็นนักการเมือง พยายามทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา เรียกว่ามันไม่มีทางหลีกเลี่ยงเลย เพราะว่าสัญญาเอาไว้แล้ว นอกจากทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว ผลการสำรวจของโพลทุกสำนักหลายๆ ครั้งก็ยืนยันว่าเป็นโครงการที่ต้องทำ

ผมยกตัวอย่างนิด้าโพล ซึ่งผมเคยบอกว่าเป็นนิด้าโพลที่แม่นยำที่สุด ผลนิด้าโพลออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เดือนที่แล้ว สำรวจระหว่าง 9-11 ตุลาคม 2566 กลุ่มตัวอย่าง 1,300 คน แม้คนส่วนหนึ่งจะมีความกังวลต่อนโยบายการแจกเงินดิจิทัล แต่คนส่วนใหญ่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ กลับยืนยันว่าต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้ ใน 80 เปอร์เซ็นต์ มี 47.1 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าต้องดำเนินนโยบายต่อ แต่ควรมีการปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน 32.52 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าต้องดำเนินนโยบายต่อตามที่ได้หาเสียงเอาไว้


นอกจากนี้ ในการสำรวจครั้งนั้นยังถามด้วยว่า หากรัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ประชาชนกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ก็จะตอบว่า จะส่งผลทำให้คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยลดลงอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นแล้ว ในทางการเมืองและคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย และคุณเศรษฐา นั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินหน้านโยบายนี้ บนเงื่อนไขที่ว่าต้องปรับเปลี่ยนให้สามารถทำได้จริงๆ และไม่ขัดต่อกฎหมาย และก็เป็นไปได้ตามเสียงประชาชนเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 47 เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าต้องดำเนินนโยบายต่อ แต่ควรมีการปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

และนี่เลยเป็นสาเหตุของการปรับแล้วปรับอีก เพราะว่าถ้าจะเป็นไฟต์บังคับจำเป็นต้องเดินหน้า ก็ต้องฟังเสียงและความเห็นจากหลายๆ ฝ่ายให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง ฝ่ายการคลัง ฝ่ายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กฤษฎีกา นักวิชาการ และภาคประชาชน

ท่านผู้ชมครับ และนี่เป็นสาเหตุของการที่ต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของนโยบายจากที่เคยหาเสียง ให้เข้าสู่สถานการณ์ที่เป็นจริง ณ ปัจจุบัน และเพิ่งมีการตกผลึกออกเป็นแถลงข่าวใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล


ประเด็นครับ มีคนถามผมว่าผมมองเกี่ยวกับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างไร ผมบอกอย่างนี้ดีกว่าครับ ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่เราต้องทำตามสัญญา ที่เขาจำเป็นต้องทำตามสัญญาที่พูดเอาไว้ตอนหาเสียงว่าจะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ถึงแม้จะมีเสียงคัดค้านอยู่ก็ตาม แต่ถ้ามองในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว เขาพูดชัดว่า นโยบายนี้ไม่ใช่นโยบายสงเคราะห์ที่มุ่งเป้าในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส คนยากคนจน หรือคนได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในช่วงโควิด

แต่มองอีกมุมหนึ่งมันเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวเลขทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ มันชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังฟุบอยู่ ไม่ฟื้น ถึงแม้จะพ้นจากการระบาดของโรคโควิดแล้วก็ตาม

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน เศรษฐกิจไทยมันโตเฉลี่ยเพียง 1.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่เหนือกว่า ในระดับเดียวกัน และในบางประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งต่ำกว่าเรา


ผมจะเอาตัวเลขให้ดู เวียดนามโต 7.5 เปอร์เซ็นต์ สิงคโปร์ 4.7 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซีย 4.2 เปอร์เซ็นต์ มาเลเซีย โต 2.6 เปอร์เซ็นต์ ฟิลิปปินส์โตเฉลี่ย 2.3 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทยโตเฉลี่ยแค่ 1.8 เปอร์เซ็นต์

เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้ว นายกฯ เศรษฐา กับรัฐบาลจึงต้องการจะฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินผ่านโครงการ "ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท" เพื่อให้การจับจ่ายใช้สอย หลักการให้มันหมุนไป 2 รอบ 3 รอบ แล้วแต่สมมติฐานหรือการศึกษาของใครที่ว่าจะหมุนได้แค่ 2 รอบ บางคนบอก 3 รอบ บางคนที่เชียร์ข้างรัฐบาลหน่อยก็บอกว่า 4 รอบ


ข้อสงสัยต่อมาว่าทำไมต้องแจกเงิน ? จริงๆ แล้วพื้นฐานเศรษฐศาสตร์มหภาคเบื้องต้น มันจะมีก็คือ GDP เท่ากับ C (C คือ Comsumption) คือการจับจ่ายใช้สอย / การบริโภคของประชาชน + I (Investment) คือการลงทุน + G (= Government Spending การจับจ่ายใช้สอยของรัฐบาล การลงทุนของภาครัฐ X-M คือการส่งออก Export ลบด้วยการนำเข้า คือ Import การนำตัวเลขการส่งออก ลบด้วยการนำเข้า จะเห็นถึงอัตราการบริโภคสุดท้ายอย่างแท้จริง

เมื่อรัฐบาลคุณเศรษฐา เห็นว่าตัวเลขการเติบโต GDP มันต่ำ และพยายามดันทั้งกระตุ้นการลงทุน I - Investment พยายามเรียกประเทศโน้นประเทศนี้เข้ามา ไปเอเปคล่าสุดก็มีการขึ้นไปบนรถกระบะ รถคันหนึ่งอยู่ในซานฟรานซิสโก แล้วก็ชูกำปั้น หรือชูตัว V กับตัวแทนบริษัทเทสล่า ว่าเทสล่ากำลังจะมาลงทุนในเมืองไทยแล้ว จะให้คำตอบสุดท้ายต้นเดือนมกราคม ปีหน้า


คุณเศรษฐาเดินทางไปต่างประเทศแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ไปในลักษณะที่ตรงตามกับวาระ ไม่ว่าจะเป็นการไปประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง แต่คุณเศรษฐากลับไปประชุมตอนนั้นเพื่อแสวงหาคนที่มาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งค่อนข้างจะผิดวาระของการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง แต่ไม่เป็นไรครับ ถือว่าตั้งใจทำงาน

รัฐบาลนั้นนอกจากแสวงหาทุนต่างประเทศมาลงทุน ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง สร้างแลนด์บริดจ์เชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน ไปจนถึงแนวคิดเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ ส่วนวิธีกระตุ้นส่งออก-การนำเข้าที่รวดเร็วที่สุด คือการเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยว นโยบายวีซ่าฟรีต่างๆ เปิดผับเปิดบาร์ถึงตี 4 ซึ่งผมไม่เห็นด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ นั่นคือความพยายาม จะเลอะเทอะไปบ้างก็โอเค ตั้งใจทำงาน แต่บางทีทำงานไม่ถูกเป้า แต่ทั้งหมดนี้มันไม่เพียงพอ ไม่ทันการณ์

เขาต้องมาโฟกัสที่ตัว C คือ Consumption หรือการบริโภค ที่สถานการณ์การจับจ่ายใช้สอยที่มันตกต่ำต่อเนื่องมาตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด และไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมาได้

ทีนี้พอจะไปกระตุ้นผ่านนโยบายทางการเงินด้วยการลดดอกเบี้ย ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้แรงบีบคั้นจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปรับเพิ่มดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 5.25-5.50 หรือเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 22 ปีที่ผ่านมา และนี่เป็นสาเหตุที่รัฐบาลต้องใช้การคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอย หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Consumption


ทีนี้ เมื่อจะเดินหน้าโครงการกระตุ้นการบริโภค หรือ C ด้วยการแจกเงิน ด้วยปรับให้เหมาะสมกับเสียงทักท้วง เรื่องคนรวย คนจน ผู้มีรายได้ หรือคนเก็บมากอยู่แล้ว ไม่ควรได้ เขาก็ปรับเงื่อนไขอยู่เรื่อย ระบุว่า ให้คนไทยที่อายุตั้งแต่ 16 ปีเป็นต้นมา ที่มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันแล้วไม่เกิน 500,000 บาท ก็เมื่อตัดกลุ่มคนเงินเดือนเกิน 70,000 บาท ซึ่งมีอยู่ราวๆ 1.3 ล้านคน ออก และสอง กลุ่มคนที่มีเงินในบัญชีเกิน 500,000 บาท มีอยู่ 3.5 ล้านคน ออก สุดท้ายเขาเลยได้ตัวเลข ปรับลดผู้ที่แจกเงินจากเดิม 54.8 ล้านคน ให้เหลือราว 50 ล้านคน คิดเป็นเงินที่ต้องใช้ประมาณ 500,000 ล้านบาท

การใช้จ่าย การต่อยอดจากแอปฯ เป๋าตัง โดยมีที่มาที่ไปจากเงินบาท ไม่ได้สร้างเงินดิจิทัล ไม่ได้นำไปเทรดในตลาดคริปโต ไม่ได้สร้างแอปฯ ใหม่ ทำเงินสกุลดิจิทัลสกุลใหม่ สร้างเครือข่ายบล็อกเชนขึ้นมา แต่ใช้นโยบายบล็อกเชนตรวจสอบ ป้องกันการทุจริต โดยจ่ายเงินกันแบบ face-to-face จะใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่อำเภอเดียวกับบัตรประชาชน ใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 6 เดือน และถ้าไม่ได้ใช้สิทธิที่เหลืออยู่จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ และเงินที่ถูกใช้และเข้าไปอยู่ในระบบแล้วจะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้จนถึงเดือนเมษายน 2570


ท่านผู้ชมครับ การที่เขาตัดสินใจใช้เป๋าตัง มันก็ลบข้อกล่าวอ้างหรือข้อกล่าวหาว่า เขาคิดจะสร้างแอปฯ ใหม่ เขาจะทำเป็นเหรียญคริปโต ทำให้ต้องทำใหม่ หลายคนก็บอกว่าในเมื่อเป๋าตังมีอยู่แล้วก็ใช้เป๋าตังต่อไป เพียงแต่ปรับเปลี่ยนให้มันเหมาะสมกับสถานการณ์

ทีนี้ เงิน 10,000 บาท ดิจิทัล ใช้อะไรบ้าง ? เขาระบุว่าให้ใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แลกเปลี่ยนเป็นเงินสดก็ไม่ได้ ซื้อทอง เพชรพลอย หรือนำไปชำระหนี้ รวมทั้งไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือเติมน้ำมันได้ ร้านค้าที่ร่วมไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ร้านค้าที่สามารถขึ้นเป็นเงินสดได้ต้องเป็นร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น


ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะก็จะมีข้อกล่าวหาเขาว่าในที่สุดแล้ว กลุ่มทุนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเซเว่น-อีเลฟเว่น ของเครือซีพี หรือกลุ่มบิ๊กซี ของกลุ่มซีพี หรืออะไรก็ตามของเครือสหพัฒน์ กลุ่มอะไรก็ตามของเครือจิราธิวัฒน์ และกลุ่มอะไรก็ตามของเครือเบียร์ช้าง ไทยเบฟ นั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องแก้ไปอีกทีหนึ่งว่าเขาจะทำอย่างไรให้ร้านชาวบ้านหรือร้านค้าเล็กๆ เข้ามาร่วมโครงการนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้ผลประโยชน์นั้นตกไปสู่ร้านค้าระดับกลาง ระดับเล็ก ไม่ใช่กลุ่มธุรกิจใหญ่

ทีนี้คำถามที่สำคัญที่สุด คือ แล้วที่มาของเงิน 500,000 ล้านบาท มาจากไหน คุณเศรษฐา และคณะ ตอบชัดเจนเลยว่า มาจากใช้งบประมาณประจำปี 2567-2569 สอง ออกพระราชบัญญัติเงินกู้ โดยรัฐบาลจะกู้เงินเมื่อมีการเอาเงินไปใช้ และนำมาขึ้นเงิน โดยโครงการนี้จะเริ่มได้ต้องผ่านขั้นตอนตามกฎหมายด้วยการเข้าสู่การให้กฤษฎีกาตีความในช่วงปลายปีนี้ ส่วนเรื่องเข้าประชุมสภาฯ เมื่อต้นปี 2567 ถ้าคำนวณเรื่องการจัดเตรียมงบประมาณและการดำเนินการต่างๆ ถ้าผ่าน ผมเชื่อว่าจะได้ใช้จริงประมารเดือนพฤษภาคม 2567 สิ้นสุดโครงการประมาณปี 2570


ท่านผู้ชมครับผมพยายามอธิบายอย่างง่ายๆ ให้ฟังทั้งหมด ที่เป็นเหตุและเป็นผล ท่านผู้ชมคงเข้าใจได้มากขึ้นว่าโครงการนี้ทำไมเขาต้องเดินหน้าเพราะอะไร ? เพราะเขาหาเสียงมา เขาสัญญามาแล้วเขาต้องทำ และต้องออกมาในรูปลักษณ์รูปโฉมนี้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเดินหน้า ถอยหลัง เดินหน้า ถอยหลัง เพราะเขายังหาสูตรที่ลงตัวไม่ได้ มันก็เลยกลายเป็นว่านายกฯ เศรษฐานั้นกะล่อน เริ่มจากคำพูดที่ว่าจะไม่ใช้เงินของรัฐเลย ในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องมาใช้เงินของรัฐ อย่างไรก็ตาม จากเงื่อนไขในการทำงาน เงื่อนเวลา รวมไปถึงองค์ประกอบหลาย ๆ องค์ประกอบ ก็ยังมีอุปสรรคอีกมากมายหลายประการ

สำหรับผมแล้ว ที่เป็นอุปสรรคมากที่สุด คือตอนนี้จะต้องมีคนนำเรื่องไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความพิจารณาว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าประจำขาเก่าของผม ก็คือศรีสุวรรณ จรรยา ก็ไปยื่นแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ในความเห็นส่วนตัวของผม ถ้าโครงการนี้วินิจฉัยออกมาแล้วจากศาลรัฐธรรมนูญว่าทำไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญมาตรานี้ ขัดกฎหมายในส่วนนั้น ผมอยากจะพูดว่า เป็นความโชคดีของท่านนายกฯ เศรษฐา และรัฐบาลชุดนี้ ที่มันมีบันไดสวยๆ ให้เดินลงได้ ท่านผู้ชม เราทำความเข้าใจกับเรื่องนี้นะครับ


เรื่องดิจิทัล 10,000 บาทนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอธิบายในภาพรวมให้เข้าใจตรงนี้ก่อน ว่าเริ่มด้วยความจำเป็นที่เขาต้องทำ เพราะว่าเขาดันไปสัญญากับประชาชนในการหาเสียง ถ้าเขาไม่ทำ พรรคเพื่อไทยและตัวเขาจะพังทลายไปหมด และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดึงดันต้องการจะทำ และในการจะทำนั้นเขาก็ปรับเปลี่ยนหลายๆ เรื่อง เท่าที่ผมได้ข่าวมาตอนต้นๆ นั้นไม่ใช่แบบนี้ แต่เขาก็ฟังความเห็น การคัดค้านทุกอย่างออกมา และถึงที่สุดแล้วเขาก็ปรับออกมาในสภาพที่เขาเรียกว่า จะรับกันได้ทุกฝ่ายทุกส่วนครับ

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรื่องต่างๆ ก็ขอจบเพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้ามีเรื่องสนุกสนานมาก ผมกำลังจะเอาเบื้อองหน้าเบื้องหลังของหมูเถื่อนมาเล่าให้ฟัง และยังมีเรื่องราวที่เจาะลึก เปิดเผยโดยรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้เพียงแห่งเดียว ท่านผู้ชมครับ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้ข้อมูล ได้ปัญญา ได้ข้อเท็จจริง ได้ความจริง เพราะฉะนั้นแล้วอย่าพลาดรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทุกอาทิตย์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น