xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : จับโป๊ะ! “พิธาคิโอ-ธนาทาน” - หมูเถื่อนแสนล้าน 3 กรมบูณาโกง - APEC 2023 ประชาธิปไตยเผด็จการสลับขั้ว - 10 ประเด็นคดีพันธมิตรฯ ชุมนุมสนามบิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 24 พ.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่
- จับโป๊ะ! “พิธาคิโอ-ธนาทาน”
- 5 แสนล้านกับ “ธนาธร” จอมกระหายแสง
- “หมูเถื่อน” แสนล้าน 3 กรมบูรณาโกง
- หลังฉาก APEC ประชาธิปไตยเผด็จการสลับขั้ว
- ความจริง 10 ข้อ คดีพันธมิตรฯ ชุมนุมสนามบิน

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.216



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 218 [24 พ.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 รวดเร็วมาก อีกไม่เกิน 6 วัน ก็ครบแล้ว เดือนพฤศจิกายน ผมขอสวัสดีท่านผู้ชมแฟนๆ รายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ท่านผู้ชมครับ การเข้ามาดูรายการ ตอนนี้แพลตฟอร์มต่างๆ เริ่มปิดกั้นเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือแม้กระทั่ง YouTube โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Facebook

ท่านผู้ชมครับ ถ้าอยากดูรายการนี้ไม่มีอะไรสะดุดหรือติดขัด ถ้าเป็น Facebook ท่านดูอยู่ให้กด Follow แล้วที่สำคัญกด Like ด้วย ต้องกด Like แล้วก็ Share ไปด้วย กด Like กด Follow และกด Share

YouTube ก็เช่นกัน เมื่อท่านเข้า YouTube เพื่อดู YouTube ให้ท่านกด Subscribe กด Like แล้วก็ Share ด้วย กดกระดิ่งที่ YouTube เพราะว่าอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มต่างๆ ตอนนี้เขาปิดกั้นหมด แต่ว่าถ้ามียอด Like มาก เพิ่มขึ้น หรือ Share หรือกด Follow หรือ Subscribe เฉพาะคนที่ Subscribe เขาจะไม่ปิดกั้น ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ช่วยกันทำ เพราะว่ามันจะทำให้อัลกอริทึมที่เขาออกแบบมาไม่มีผลอะไรกับการปิดกั้น

รายการอาทิตย์นี้เรามีอยู่ประมาณ 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นการจับโกหกคุณ "พิธาคิโอ-ธนาทาน" ภาค 2 เรื่องเป็นอย่างไรเดี๋ยวมานั่งฟังกัน แล้วผมก็มีมิติอีกหลายมิติในเรื่องทีมงานของพรรคก้าวไกล ว่าผู้นำของพรรคก้าวไกลนั้นโกหกเป็นนิจ เป็นประจำ มีอะไรบ้างที่โกหกกันไปโกหกกันมา แล้วโกหกแบบจับได้อย่างหน้าด้านๆ เรียกว่าหน้าไม่อาย แล้วพวกนี้จะไม่รู้สึกอายเลย

เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ ท่านนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐา ทวีสิน ท่านระบุชัดเจนว่าเรื่อง "หมูเถื่อน" ต้องจบภายใน 7 วัน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า "หมูเถื่อน" คิดเป็นยอดเงินรวมมาตั้งแต่ปี 2564 ร่วมแสนล้านบาท ผมบอกแล้วว่าปัญหาหมูเถื่อนอยู่ที่ 3 ตัว กรมปศุสัตว์ กรมศุลกากร และ กรมประมง ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย เพราะตำรวจ หรือ ดีเอสไอ นั้นเป็นแค่ปลายทาง แต่ต้นทางถ้าท่านนายกฯ ไม่ได้ควบคุมให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมศุลกากร สำคัญมาก ท่านนายกฯ เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านน่าที่จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และจริงๆ แล้วท่านน่าจะสั่งย้ายอธิบดีกรมศุลกากรเสียด้วยซ้ำ เอาคนที่ทำงานเป็นไปทำ 3 ประสาน 3 กรม กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และ กรมประมง ประสานกัน บูรณาการโกงตัวการใหญ่

เรื่องที่สาม การประชุมเอเปคเมื่ออาทิตย์กว่าที่แล้ว จบสิ้นไปแล้ว แต่ว่ามันมีมิติเรื่องประชาธิปไตย-เผด็จการ ที่ท่านผู้ชมฟังแล้วท่านผู้ชมจะงงว่ามันเป็นไปได้อย่างไรในโลกนี้ ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างอเมริกากลับแสดงความคิดเห็นแบบเผด็จการ แต่ประเทศที่อเมริกากล่าวหาว่าเป็นประชาธิปไตย กลับแสดงความคิดเห็นที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด

แล้วข้อสุดท้าย คดีพันธมิตรฯ ชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมินั้น ใกล้จบแล้ว ผมจะเล่าประเด็นต่างๆ ในการต่อสู้คดีของพวกเราให้ฟัง มีทั้งหมด 10 ประเด็น ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ

อาทิตย์นี้ขอยาวนิดในตอนต้น เรามีความจำเป็นต้องเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานกฐิน งานบุญใหญ่ที่พวกเราไปทำกัน โดยที่ท่านผู้ชมนั้นมีส่วนร่วมในการทำบุญกฐินทุกแห่งที่เราไป ท่านผู้ชมที่ซื้อพระ ไม่ว่าจะเป็นชุดสองพันบาท หรือองค์ใหญ่หนึ่งแสนบาท ขอให้มาร่วมอนุโมทนาบุญ บุญใหญ่ที่ไปทำมา ขอให้ท่านผู้ชมรับบุญนี้ไป ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี ครอบครัวที่มีความสุข อาชีพการงานที่เจริญก้าวหน้า


สุดสัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มไปที่วัดป่าพุทธนิมิตรสถิตสีมาราม จังหวัดสกลนคร ที่สกลนครนั้น วัดป่าพุทธนิมิตร ยอดกฐินเราโอนไป 6,260,820 บาท ทางวัดได้แบ่งเงินไปทำประตูวัด แบ่งไปสร้างโรงอาหาร และตึกอนุบาลของโรงเรียนที่ทางวัดอุปถัมภ์อยู่ ที่โรงเรียนบ้านห้วยยาง ท่านผู้ชมเชื่อไหม ผมไปครั้งนี้ ผมสนุกสนานมาก มีแต่ความอบอุ่น มีกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่น ความจริงใจจากชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่มาผูกข้อไม้ข้อมือ เด็กนักเรียนตัวน้อยๆ มาร้องมารำ 


เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสนั่งรถอีแต๋น รถแห่ ท่านผู้ชมคงเห็นในเฟซบุ๊กแล้ว ผมนั่งไปหัวเราะไป ไม่ใช่อะไรหรอก ขำตัวเองว่าหลวมตัวมาได้อย่างไร เราไปที่โรงเรียนบ้านห้วยยาง มีความสุขมาก


อีกวัดหนึ่งคือวัดหนองไผ่ วันเสาร์เช้าไปทำบุญที่วัดป่าพุทธนิมิตรสถิตสีมาราม แล้วตอนเที่ยงไปทานข้าวที่ร้านครัวทองดี ตกเสาร์ เข้าไปที่วัดป่าหนองไผ่ ที่จังหวัดสกลนคร ไปเจริญพระพุทธมนต์ สวดมนต์ชุดใหญ่เลย แล้วนั่งฟังธรรมเทศนาจากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์สุธรรม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาดรูปปัจจุบัน ปัจจุบันท่านเป็นประธานสงฆ์อยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ ท่านแสดงธรรมซึ่งไพเราะเพราะพริ้งมาก แล้วเผอิญมีนั่งสมาธิต่อ ท่านผู้ชมครับ สวดมนต์ เจริญพุทธมนต์ และฟังธรรมจากหลวงพ่อ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งกรรมฐาน 45 นาที นิ่งไปหมดเลยทั้งศาลา อากาศค่อนข้างจะเย็นยะเยือก เผอิญผมเคยชินเสียแล้ว ทุกเช้าผมจะนั่งประมาณ 45 นาที ผมก็เลยไม่ค่อยมีปัญหา ผมนั่งนิ่ง แต่เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันก็ขยับตัวกันเป็นลิงเลย เดี๋ยวขยับขาซ้ายบ้าง ขาขวาบ้าง


ท่านผู้ชมครับ หลวงพ่อสุธรรม ท่านเตรียมตัวที่จะสร้างรูปหล่อบูชาหลวงปู่มั่น ภูรทัตโต ปางนั่งสมาธิ ท่านตั้งใจจะสร้างองค์ใหญ่ไว้ที่สกลนคร เพื่อเป็นสถานที่ให้ประชาชนมาสักการะ แล้วท่านก็เลยสร้างพระต้นแบบที่มีอยู่ประมาณสามร้อยองค์ ทำด้วยปูนปลาสเตอร์ ท่านตั้งใจเอาพระรุ่นนี้ สามร้อยองค์ ที่เป็นปูนปลาสเตอร์สีขาว แจกไปตามวัดต่างๆ ที่เป็นสายวัดป่า เป็นสายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตอนนี้ท่านเหลืออยู่ประมาณสามสิบองค์ ผมก็เลยขอความเมตตาท่านว่าขอท่านมาไว้ที่บ้านพระอาทิตย์สักหนึ่งองค์ได้ไหม ธรรมดาท่านแจกเฉพาะวัด ท่านก็มีเมตตาสูง ให้มาหนึ่งองค์ไว้ที่บ้านพระอาทิตย์ ไม่อยากจะบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มาก


ผมขอเชิญท่านผู้ชมและประชาชนที่ศรัทธาในหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สามารถเข้ามาร่วมปิดทองรูปหล่อพระบูชาที่ทำด้วยปูนปลาสเตอร์ หลวงปู่มั่น ที่บ้านพระอาทิตย์ มาได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เช้า เก้านาฬิกาถึงเที่ยงเท่านั้น ไม่ต้องเอาอะไรมา ผมเตรียมขี้ผึ้งและทองคำเปลวไว้เรียบร้อยแล้ว พอเข้ามาก็ยกมือกราบนมัสการท่าน เอาขี้ผึ้งป้ายที่ๆ ต้องการจะปิดทอง แล้วเอาทองปิด ท่านหนึ่งจะปิดกี่ชิ้นก็ได้ ผมเตรียมทองคำเปลวไว้ให้หมดแล้ว เรียบร้อย ไม่มีปัญหา ไม่ต้องการถามอะไรทั้งสิ้น เข้ามาบอกว่าขอปิดทองหลวงปู่มั่น พอท่านเข้าประตูบ้านพระอาทิตย์ปั๊บ องค์ท่านจะอยู่ขวามือทันทีเลย


และผมก็ได้มีโอกาสตอนเช้าตักบาตรที่วัดป่าหนองไผ่ ร่วมทอดกฐิน วัดป่าหนองไผ่ เป็นวัดสายกรรมฐาน ศิษย์หลวงปู่มั่น และหลวงตามหาบัว และมีประวัติความเป็นมาใกล้ชิดกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อสุธรรม ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่มา 44 ปี ท่านพัฒนาวัดจากที่ไม่มีอะไรเลย เป็นป่า จนกระทั่งเป็นวัดป่าที่น่าไปปฏิบัติธรรมมาก เงียบสงบ เนื้อที่ 800 ไร่ หลวงปู่สุธรรมได้สร้างทางลาดคอนกรีตรอบป่า ติดทางก็คือเป็นรั้วของวัด น่าสนใจมาก ผมเองผมก็ยังคิดว่าถ้ามีโอกาส วันหยุดไม่มีอะไรทำ ผมจะเดินทางไปที่วัดป่าหนองไผ่ เพื่อไปปฏิบัติธรรมสัก 1-2 วัน จิตใจผ่องใสมาก ท่านผู้ชม


เสร็จแล้ววันนั้นเราก็ไปต่อที่วัดป่าสุทธาวาส เป็นวัดที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ละสังขาร เดิมทีท่านอยู่ที่ตำบลหนองผือ แต่เหมือนท่านจะรู้ว่าท่านกำลังจะต้องละสังขารแล้ว ท่านไม่อยากให้ทุกคนที่จะมาเคารพท่านต้องเดินทางลำบากนัก ท่านก็เลยนั่งเกวียนมาละสังขารที่วัดป่าสุทธวาส เพราะว่าเป็นศูนย์กลางให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาท่าน ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี คือลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นทุกองค์ก็มารวมตัวกันที่วัดป่าสุทธาวาส เพื่อมาคารวะศพท่าน และเพื่อมาเตรียมตัวที่จะมีพระราชทานเพลิงศพ คือท่านสิ้นประมาณปลายปี 2492 ต้นปี 2493 ก็จะเป็นช่วงของการพระราชทานเพลิงศพ

ถ้าใครอยากจะกราบหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส ก็จะมีพิพิธภัณฑ์ของท่าน มีอัฐบริขาร ข้าวของส่วนตัว มาจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ที่วัดป่าสุทธาวาส


หลังจากที่ผมและทีมงานเดินทางทุกสุดสัปดาห์ไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ ด้วยเงินกฐินนั้นมาจากเงินที่พี่น้องได้ร่วมกันทำบุญเข้ามา รวมทั้งเงินที่เช่าพระเข้ามา รายละเอียดมี วัดป่าภูแปก 6 ล้านบาท วัดป่าวังศิลา ที่เชียงราย 5 ล้านบาท วัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร 6 ล้านบาท วัดป่าดอยลับงา กำแพงเพชร 2 ล้านบาท วัดบึง จังหวัดอยุธยา 3 ล้านบาท วัดป่าพุทธนิมิตสถิตสีมาราม 6 ล้าน 2 แสนบาท วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง 1 ล้านบาท วัดป่าไชยชุมพล จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ล้านบาท วัดสามแยกน้ำเป็น 2 แสน 5 หมื่นบาท วัดศรีบุญเรือง จังหวัดนครพนม 1 ล้าน 3 แสน 9 หมื่นบาท วัดสว่างวิทยาราม จังหวัดขอนแก่น 2 แสนบาท วัดถ้ำจุนโทปฏิปทาราม จังหวัดตาก 1 ล้านบาท และยอดรวมของกฐินทั้งหมด 33 ล้าน 4 หมื่นบาท ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมทำบุญ


หลังจากนี้เราจะทยอยไปทำบุญตามวัดต่างๆ เรื่อยๆ ผู้สนใจจะร่วมทำบุญยังสามารถโอนเงินมาร่วมทำบุญได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เลขบัญชี 008-2-78777-1 หรือใครก็ตามต้องการทำบุญผ่านการจองพระ ให้รีบจองเข้ามา ยังพอจะเหลือจองอยู่ได้แต่ไม่มากนัก พระพุทธรูป "พระสยามพุทธาธิราช" ให้เช่าบูชาองค์ละ 1 แสนบาท สวยมากครับ นี่องค์สำเร็จแล้ว หล่อเสร็จเรียบร้อย รอพิธีพุทธาภิเษกวันที่ 5 ธันวาคม

ส่วนเหรียญ ชุดละ 2 พันบาท เหลืออยู่ไม่มากจริงๆ ติดต่อที่ไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อนแล้วพิมพ์คำว่า @tambun


อย่างที่ผมเรียนให้ทราบครับท่านผู้ชม ผมจะแนะนำร้านอาหาร ชื่อ "คุณทองดี" เจ้าของร้านไม่ได้จ่ายเงินให้ผมโพรโมตนะครับ มิหนำซ้ำ ทานข้าว เป็นคณะไปก็ยังจ่ายเงินตามปกติ แต่ทำไมต้องเล่าให้ฟัง ? เพราะร้านอาหารคุณทองดีนั้นเป็นร้านอาหารที่พิเศษสุดในสกลนคร คุณตุ๊ก ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน


ลูกชายคุณทองดี อารมณ์ศิลปินมาก แต่ทำอาหารสไตล์ฝรั่งเศสและสไตล์อาหารไทยเก่งมาก อร่อย มีแม้กระทั่งก๋วยเตี๋ยวราดหน้าซึ่งโคตรอร่อยเลย ข้าวผัดปูก็อร่อยอย่างมากๆ ไส้กรอกย่าง พิซซ่า สุดยอด ร้านนี้เปิดมาแล้ว 50-60 ปีแล้ว เป็นร้านเก่าแก่ที่สกลนคร ใครก็ตามมาสกลนคร เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เขาจะพามาทานที่ร้านนี้ แต่ผมเตือนก่อนนะท่านผู้ชม เจ้าของร้าน คุณตุ๊ก เป็นศิลปินตัวยง ถ้าพูดจาไม่เข้าหู คุณตุ๊กแกไม่บริการเลย แกเชิญออกจากร้านเลย อย่างที่เราไปทั้งหมดสิบกว่าคน คุณตุ๊กบอกว่า ไม่ต้องสั่งอาหารนะ เดี๋ยวจัดให้เองเลย เขาก็จัดมาจริงๆ แล้วก็อร่อยหมดทุกอย่าง


ก่อนหน้านี้คุณทองดีทำอาหารไทยขาย หลังจากนั้น คุณตุ๊ก ลูกชาย มาสานธุรกิจที่บ้านต่อ คุณตุ๊กเป็นคนสกลนครแต่กำเนิด เรียนจบเข้าทำงานโรงแรมแชงกรี-ล่า จริงๆ แล้วอาชีพหลักตั้งแต่เริ่มต้นคือเป็นช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ดีไซเนอร์ ให้กับช่องโทรทัศน์ต่างๆ มิหนำซ้ำยังทำแบรนด์เสื้อผ้าส่งห้างเซ็นทรัล คุณตุ๊กยังทำเสื้อผ้าขายที่จังหวัดสกลนคร ขายดิบขายดี สไตล์สุดยอด ตอนหลังคุณตุ๊กก็เลยออกจากโรงแรมแชงกรี-ล่า ไปใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา ไปทำงานเป็นช่างแต่งหน้า ดีไซเนอร์ อาศัยว่าตนเองมีศิลปะ อัจฉริยภาพในเรื่องอาหาร เวลาทานอาหารก็เลยรู้รสชาติ ก็เลยเอามาดัดแปลง คุณตุ๊กตอนหลังกลับมาประเทศไทยก็เลยได้นำแฟชั่นเสื้อผ้า การแต่งหน้าทำผมมาใช้กับคนไทย ก่อนที่จะเข้ามาดูแลร้านอาหารคุณทองดี


คุณตุ๊กเคยเปิดร้านทำผมที่ฮอลลีวูด อเมริกา ได้สักพัก แล้วกลับมาดูแลคุณแม่ที่สกลนคร ความที่เคยทำอาหารช่วยคุณแม่มาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยรู้เรื่องวิธีการทำอาหาร และไปอยู่เมืองนอกเมืองนามา ก็เลยไปเรียนรู้รสชาติอาหาร กลับมาประเทศไทยก็รับไม้ต่อ ผสมผสานอาหารฝรั่งเศสกับอาหารไทยได้อย่างดี ใครถ้าไปสกลนคร อย่าลืมนะครับ เข้าไปสอบถามอาหารหรือสำรองได้ เช็กเวลาปิด-เปิดของร้านได้ที่เพจร้านอาหารคุณทองดี ผมยืนยัน อร่อยมาก

ท่านผู้ชมครับ 2 ทศวรรษ รายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ซึ่งจะจัดที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567 เวลา 13.00 น. ตอนนี้ที่นั่งแถวหน้าเต็มแล้ว เหลือแค่โซนกลาง ใครสนใจก็จองเข้ามา บัตรราคา 1,500 บาท กับ 2,000 บาท สอบถามรายละเอียดได้ที่ไลน์ @sondhitalk


ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดเรื่องปุ๋ย วันนี้ขออนุญาตนิดหนึ่ง เพราะว่าผมไปเจอมาแล้ว และผมมีประสบการณ์อะไรก็เล่าให้ฟัง อาจจะฟังยาวไปหน่อยนะครับวันนี้ ท่านผู้ชมจำเรื่องที่ผมพูดเรื่องปุ๋ย TPI ว่าผมซื้อไป แล้วผมเอาไปใช้ที่ไร่ที่เชียงราย ปรากฏว่าต้นไม้เจริญงอกงาม ดอกไม้สวยสดงดงาม เป็นปุ๋ยออร์แกนิค ไม่ได้ทำให้ดินเสีย ที่สำคัญ ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงเลย เห็นด้วยตาตัวเอง เพราะ 11-12 พฤศจิกายน ผมเดินทางไปทอดกฐินที่วัดป่าวังศิลา ตำบลป่าแดด จังหวัดเชียงราย ผมแวะไปที่บ้านไร่ ผมเข้าไปดูคนที่ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้ ชมกันมาก แล้วก็มีชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น ซึ่งเขารู้จักกันดี ก็พามาดูผล ก็ปรากฏว่าคนซื้อปุ๋ยนี้กัน


ปุ๋ย TPI มีตัวเด่นๆ 3-4 ชนิด มีปุ๋ยอินทรีย์ หมัก ออร์แกนิค ปุ๋ยเขียว TPI และอีกอย่างหนึ่งก็มีปุ๋ยอินทรีย์ Glow Organic มีสองสี คือ สีม่วง และสีเขียว ทั้งสองปุ๋ยนี้ถ้าใช้ร่วมกันในสัดส่วนที่เขาแนะนำมา ยืนยันได้ว่าจะสามารถเร่งดอก เพิ่มการติดผล บำรุงผล เร่งความหวานของผลไม้ได้ อันนี้เป็นปุ๋ยตัวเด่นของทาง TPI นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ อีกหลายตัว ใครสนใจติดต่อกันเองนะครับที่ TPI หรือหาซื้อตามร้านค้าทั่วไป ที่ผมไม่มีขายครับ ท่านผู้ชมครับ นี่คือของที่ผมใช้ TPI ไม่ได้จ่ายเงินให้ผมมาพูด แต่ผมจำเป็นต้องพูด

อีกเรื่องหนึ่ง ท่านผู้ชมเหมือนผมหรือเปล่า สมัยก่อนที่ผมอยู่ในเรือนจำ ผมจะชอบกินบีทาเก้น ออกมา ก่อนนอนผมจะทานยาคูลท์ ทั้งวันผมจะทาน 2 ขวด เพราะอะไร เพราะทั้งสองยี่ห้อนี้มีจุลินทรีย์โพรไบโอติก นอกจากช่วยย่อยอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อโรคระบาดต่างๆ ได้ดีขึ้น


แต่เผอิญช่วงหลังผมเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย ท่านผู้ชมเหมือนผมไหม เวลาเราไปต่างจังหวัด เราผิดที่แล้วเราเริ่มถ่ายไม่ออก นี่เรื่องจริงนะ ปรากฏว่าผมได้ไปสัมผัสน้ำดื่มโพรไบโอติกผสมวิตามินรสส้ม ยี่ห้อ ProVita ขวดละ 15 บาท ขายแพ็กละ 10 ขวด 150 บาท ใครแนะนำให้ผมทานรู้ไหม ? พระครับ บอก โยมสนธิ ลองดู จริงๆ มันก็คือยาคูลท์ และบีทาเก้น ค่อนข้างจะมีระดับที่สูงกว่า เพราะว่าโพรไบโอติกนั้นมีวิตามิน C, B3, B5, B6, B12 แคลอรีต่ำมาก วิตามิน C มีส่วนสร้างเนื้อเยื่อ คอลาเจน เพื่อการทำงานตามปกติของกระดูกอ่อน มีวิตามิน B12 โพรไบโอติกยังมีส่วนช่วยให้ระบบลำไส้ดีขึ้น ลดจำนวนของแบคทีเรีย ประโยชน์ของโพรไบโอติก ปรับสภาพลำไส้เพื่อการขับถ่ายที่ดีขึ้น ป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้ กระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันโรคภูมิแพ้


จุดเด่นของ ProVita ที่ผมทานมา ท่านผู้ชมรู้ไหม ไม่ต้องแช่ตู้เย็น ทิ้งเอาไว้ข้างนอก อายุนาน 4 เดือน แล้วจุลินทรีย์ของโพรไบโอติกนี้แกร่งกว่าพวกยาคูลท์ หรือบีทาเก้นมาก เหมาะสำหรับคนเดินทางไปที่ต่างๆ อาหารเราอาจจะไม่สะอาด ท่านผู้ชมครับ ไปต่างจังหวัด ไปทานอาหารให้ระวังอาหารอาจจะไม่สะอาด มีจุลินทรีย์ที่ทำให้ท้องเสียเจือปน

ส่วนท่านผู้ชมที่เป็นเบาหวาน ความดันสูง ทานได้ เพราะว่า ProVita ไม่มีการเติมน้ำตาล รสชาติหวานเกิดจากตัวน้ำส้มธรรมชาติ ผมคิดว่าท่านผู้ชมซื้อทานไม่ผิดหวัง อะไรที่ผมแนะนำไป ผมมั่นใจ และผมทดสอบด้วยตัวผมเอง มีซื้อขายที่ร้าน TPI รักษ์สุชภาพ, TPI New Normal, Lazada, Shopee, Villa Market, ตั้งฮั่วเส็ง

นอกจากนี้แล้ว ProVita ยังมีวางขายร้าน Clean Shop, ร้าน SUN PAN ในปั๊ม ปตท. ราบที่ 1 ถนนวิภาวดี ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ด้วย ถ้าท่านผู้ชมแวะไปที่ SUN PAN ก็แวะเข้าไปเลย และยังมีอะไรหลายอย่างที่ร้าน SUN PAN ที่ท่านผู้ชมควรจะซื้อเก็บไว้ วันนี้ยาวหน่อยนะครับ แต่ว่าด้วยความสัตย์จริง เขาไม่ได้จ่ายเงินจ่ายทองให้ผมหรอก ตอนนี้ผมเปลี่ยนมากิน ProVita แล้ว ทุกวัน วันละสองขวด เช้าขวดหนึ่ง ก่อนนอนขวดหนึ่ง จริงๆ ทานขวดเดียวก็พอ แต่ผมต้องการป้องกัน ลำไส้ผมไม่ดี ผม็เลยต้องทานวันละสองขวด ท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ ความจริงมีหนึ่งเดียว อันนี้ดีแน่นอนครับ ProVita

จับโป๊ะ! "พิธาคิโอ-ธนาทาน"

ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วผมไม่ได้พูดเรื่องพรรคก้าวไกลมาหลายเดือนแล้ว เพราะคิดว่าได้พูดไปหมดแล้ว ตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จนกระทั่งมาถึงช่วงพรรคต่างๆ ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล ลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี แม้แต่กรณีข่าวล่าสุด ข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับ สส. พรรคก้าวไกล 2 คน คือ หนึ่ง สส. ปราจีนบุรี ชื่อ "แจ้" วุฒิพงศ์ ทองเหลา กับ สส. กทม. ชื่อ "ปูอัด" ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ที่มีประเด็นเกี่ยวกับกรณีคุกคามทางเพศต่อผู้หญิงจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทั้งสองคนในที่สุดก็ถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล


และผมก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ ไม่ได้พูดถึงเลย แต่ท่านผู้ชมน่าจะจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยพูดเรื่อง 3 ข้อ ที่ผมรับพรรคก้าวไกลไม่ได้ ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 193 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 รายการวันนั้นถือว่าเป็นรายการที่ผมพูดถึงประเด็นทางการเมือง ไม่นับประเด็นทางต่างประเทศ สังคม อาชญากรรม เป็นรายการที่มีคนเข้ามาชมมากที่สุดตอนหนึ่งก็ว่าได้ มีคนเข้ามาชมผ่าน YouTube, Facebook, TikTok หลายล้านคน เพียงแค่รายการช่วง Live Version และ Full Version ความยาวสองชั่วโมงกว่าๆ ที่เผยแพร่ใน YouTube ก็มีคนเข้ามาชมเกินกว่าล้านคนเข้าไปแล้ว


ท่านผู้ชมครับ ในช่วงเวลานั้น ช่วงหลังเลือกตั้งหมาดๆ กระแสนิยมของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลนั้นกำลังเป็นกระแสสูง ใครๆ ก็วิ่งเข้าไปเกาะแสง เข้าไปอวย เข้าไปเอาอกเอาใจ เพราะคิดว่าพรรคก้าวไกลต้องได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็คงจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน แต่ผมน่าจะเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวที่ออกมาสะกิด ออกมาเตือน และออกมาทักท้วงว่า คุณพิธามีจุดอ่อน และพรรคก้าวไกลมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงและแก้ไขอย่างเร่งด่วน 3 ประการ ก่อนที่พวกคุณคิดจะเข้ามาบริหารประเทศ เพราะประเด็นเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายทั้งสิ้น

สามข้อที่ผมพูดถึงนั้น คือ หนึ่ง นโยบายแก้ไข/ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 สอง นโยบายต่างประเทศที่เปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงในภูมิภาคนี้ ตามที่ระบุในนโยบายของพรรคก้าวไกลเอง เช่น เข้าไปแทรกแซงเรื่องในพม่า หรือการเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังต่อต้านจีน โดยให้มีการเพิ่มทรัพยากรการฝึกคอบร้าโกลด์กับกองทัพสหรัฐฯ เป็นต้น


และเรื่องที่สาม คือเรื่องอะไร ? เรื่องที่สามคือเรื่องที่ผมยอมรับพรรคก้าวไกลไม่ได้เลย โดยเฉพาะตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค คือการที่นายพิธาชอบโกหกจนเป็นนิสัย วันนี้พูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง สร้างภาพว่าเป็นคนดีอย่างโน้นอย่างนี้ หรือพูดง่ายๆ ว่า เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกจับโป๊ะได้ทุกเรื่อง เพราะกาลเวลาพิสูจน์ความจริงที่มีหนึ่งเดียวว่าจริงๆ แล้วพรรคนี้สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ตผู้ก่อตั้งพรรค กรรมการบริหารพรรค สส.พรรค ไล่ไปจนถึงสมาชิกพรรคนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ทองแท้ แต่เป็นทองเก๊กันทั้งนั้น ดีบุกชุบทอง เมื่อผ่านลม ผ่านฝน ผ่านพายุ ผ่านการพิสูจน์ สุดท้ายทองคำที่ชุบผิวไว้ก็ลอกออกมาให้เห็นเนื้อแท้ข้างในว่ากระดำกระด่าง ไม่ได้สุกใสดั่งทองคำเหมือนกับภาพที่สร้างเอาไว้

ล่าสุด ประเด็นดรามากับการพูดโกหกกลับกลอกของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคี ท่านผู้ชมหลายท่านคงทราบว่าผมเป็นเด็กอัสสัมชัญ ตอนเด็กๆ เรียนที่อัสสัมชัญบางรัก พอโตขึ้นมาหน่อยถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญศรีราชา


จริงๆ แล้วผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่ก็มีประเด็นให้ต้องพูดจนได้ ประเด็นคือ จตุรมิตรสามัคคีเป็นการแข่งขันฟุตบอลประเพณีระดับมัธยมศึกษาระหว่างโรงเรียนชายล้วน 4 โรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนอัสสัมชัญ และ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

บอลจตุรมิตร เริ่มจัดมาตั้งแต่ปี 2507 เกือบหกสิบปีแล้ว จัดทุกๆ 2 ปี สำหรับปีนี้ถือว่าเป็นฟุตบอลจตุรมิตรครั้งที่ 30 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-18 พฤศจิกายน 2566

นอกเหนือจากเกมในสนามแล้ว เสน่ห์ของฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคียังอยู่ที่บรรยากาศการเชียร์ของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ที่ขาดไม่ได้เลยคือการแปรอักษร ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญ ภาพการแปรอักษรของ 4 สถาบันในปีนี้ มีการร่วมกันแปรอักษรเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างสวยงามออกมา


หลังจากมีการแปรอักษรเชิดชูสถาบัน ก็กลับมีคนร้อนตัว อดรนทนไม่ได้ ที่มีนักเรียน ครูบาอาจารย์ สถาบันที่กตัญญูรู้คุณแสดงความจงรักภักดี เลยมีคนเอาป้าย "เลิกบังคับแปรอักษร" ไปติดตามที่ต่างๆ ผู้ที่ติดป้ายดังกล่าวอ้างว่าเป็นศิษย์เก่าและกลุ่มนักกิจกรรมเยาวชนที่ต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากเห็นว่ากิจกรรมแปรอักษรเป็นการละเมิดสิทธิ โดยอ้างว่าเป็นการบังคับเด็ก


ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเด็กกับชุมนุมเชียร์ต่างๆ เขาเป็นคนทำกันเอง เด็กก็ขึ้นสแตนด์แปรอักษรด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ แต่พอเช็กไปเช็กมา คนอยู่เบื้องหลังคือนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนายน ประชาธิปไตย เคยต้องโทษคดีมาตรา 112 อยู่เบื้องหลังกลุ่มแก๊งทะลุวัง ที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว ร่วมมือกับ น.ส.อันนา อันนานนท์ แกนนำกลุ่มนักเรีนยเลว ซึ่งทั้งคู่เป็นแนวร่วมม็อบสามนิ้วที่มีจุดยืนไม่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์


จากนั้น จู่ๆ สส. พรรคก้าวไกล ก็กระโดดลงมารับลูกตามสคริปต์ที่เตี๊ยมกันเอาไว้ โดยนายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. เขต 1 กทม. พรรคก้าวไกล กับ แก้วตา - ธิษะณา ชุณหะวัณ สส. กทม. พรรคก้าวไกล ลูกของอาจารย์โต้ง อาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ หลานสาวของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนฝ่ายที่ต่อต้านการแปรอักษร

ผมอยากจะฝากถึงคุณแก้วตาสักนิดหนึ่ง ธิษะณา ชุณหะวัณ ผมได้เห็นได้ยินมาหลายเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณว่าตั้งแต่คุณไปอยู่พรรคก้าวไกล และได้เป็น สส. คุณหิวแสงมาก อยากจุดประเด็นโน้นประเด็นนี้ กระพือประเด็นนี้ ซึ่งหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ไร้สาระ รวมทั้งประเด็นที่คุณไปเสือกเรื่องแปรอักษร และเรื่องฟุตบอลจตุรมิตรด้วย


แต่ในฐานะที่คุณเป็นลูกสาวของโต้ง ไกรศักดิ์ ซึ่งพ่อคุณผมรู้จักดีมาก เป็นคนดีมาก ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะละเว้นคุณไว้ ผมไม่พูดเพราะว่าผมให้เกียรติโต้ง เพื่อนรักของผม แต่คุณจำเอาไว้นะ คุณชื่อแก้ว นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะ ผมเห็นแก่พ่อคุณ คุณปู่คุณ คุณหยุดเลอะเทอะ หยุดหิวแสงได้ ถ้าคุณยังทะลึ่งมาอีกครั้งหนึ่ง คุณแก้ว อย่าหาว่าผมเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กนะ ผมจะฟาดคุณให้น่วมเลย เด็กที่พ่อกับปู่เป็นคนจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำคุณงามความดีให้กับชาติบ้านเมือง แต่หลานอย่างคุณกลับออกมา ข่าวว่ากันว่าก่อนคุณจะลงรับเลือกตั้งและเป็นผู้สมัคร สส. พรรคก้าวไกล ในเขตของคุณนั้น คุณได้ถูกยื่นข้อเสนอว่า จะลงได้ แต่ต้องมาด่าพวกผม พวกพันธมิตรฯ ก็เลยเกิดอาการที่คุณต้องมากระแนะกระแหน ด่าพวกผม คุณทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ผมเห็นคุณตั้งแต่คุณตัวเล็กๆ ผมสนิทกับคุณแม่คุณ คุณโณ คุณโณก็เป็นคนที่รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ แต่ผมนึกไม่ถึงว่าลูกโต้งจะเป็นคนแบบนี้ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะ จากนี้ไปถ้าคุณแหลมออกมาอีก ผมจะขุดประวัติที่คุณเคยทำอะไรบ้าง ที่ไม่เป็นที่พอใจ หรือเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะทำในสังคมไทย ออกมาฉีกคุณเป็นชิ้นๆ อย่าหาว่าผมรังแกเด็กก็แล้วกัน

ท่านผู้ชมครับ การประท้วงของพรรคก้าวไกลเรื่องขอให้ระงับการแปรอักษร กระแสตีกลับ ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของจตุรมิตรต่างดาหน้าออกมาสวนกลับแกนนำกลุ่มสามนิ้ว กับ สส. พรรคก้าวไกล ในทำนองที่ว่า พรรคก้าวไกลอย่าใช้การแปรอักษรมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ถึงขั้นทำเสื้อพิมพ์ว่า "อย่าเสือก..!! เรื่องแปรอักษรของพวกกู" ถูกต้อง ท่านผู้ชม พวกมึงอย่าเสือก ไอ้พรรคก้าวไกล ไอ้พรรคระยำ ที่ไม่มีความเคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่ มุ่งมั่นที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์


เสื้อนี้ใส่กันแพร่หลายในหมู่ศิษย์เก่าของโรงเรียนในเครือจตุรมิตร เพราะคุณไม่รู้ใช่ไหมว่าศิษย์เก่าในเครือจตุรมิตรนั้นมีจำนวนเป็นแสนๆ คน ไม่นับญาติมิตร พี่น้อง ภรรยา ลูกหลาน พ่อแม่ พี่ป้าน้าอาของเขาอีก ซึ่งเขาผูกพัน เห็นคุณค่าของงานฟุตบอลจตุรมิตรที่จัดมาตั้ง 60 ปี รวมๆ กันแล้วผมว่ามีหลานล้านคนที่เห็นว่าพวกคุณ สามนิ้ว กับพรรคก้าวไกล ทะลึ่งมากเกินไป ชักจะล้ำเส้นมากไปแล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แปลว่าอะไร ? แปลว่าหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบขึ้น เพราะไอ้พรรคบ้านี่มันไม่เคยคิดเลย มันนึกว่ามันเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ มันอ้างว่า 14 ล้านเสียงเลือกมัน ท่านผู้ชมที่พลาดท่าไปเลือกไอ้พรรคระยำนี่ก็รู้ตัวไว้ด้วยว่าท่านเลือกไอ้เด็กเมื่อวานซืน ไม่รู้ประสีประสา ทำไมผมถึงพูดเช่นนี้ ? เพราะสังคมเริ่มตาสว่าง เห็นธาตุแท้ของพรรคนี้มามาก


ท่านผู้ชมครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้คือเรื่องของนักปั้นน้ำเป็นตัวเจ้าเก่า คือคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เกิดประเด็นดรามาขึ้นมาเมื่อไปเชียร์ฟุตบอลจตุรมิตร ในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้วดันไปโม้ว่าได้ขึ้นแปรอักษรงานบอลจตุรมิตร 2 ครั้ง จนศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันพากันงง นั่งนับนิ้วมือนิ้วตีนกันใหญ่เลยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร

18 พฤศจิกายน 2566 ในการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 30 ระหว่างโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ซึ่งนายพิธาก็เดินทางไปชมการแข่งขันด้วยนั้น ปรากฏว่าช่วงพักครึ่งมีศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ชี้ไปที่พิธา แล้วโห่ไล่ กองเชียร์ที่นั่งอยู่ร่วมกันโห่ อีกคนเดินมาชูเสื้อที่เขียนว่า "อย่าเสือก ..!! เรื่องแปรอักษรของพวกกู" ต่อหน้าพิธา และได้รับเสียงเชียร์เป็นอย่างมาก พิธาปากกล้า ตีนสั่น หน้าเสีย บอกว่าผมไม่เกี่ยวนะ และผมจะจับโป๊ะพิธาปั้นแต่งประวัติชีวิตตัวเองจนเป็นนิสัย


ประเด็นถัดมาอยู่ที่วันเดียวกันนั้น นายพิธาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกีฬาของไทยรัฐ โดยระบุว่า เรื่องการแปรอักษรนั้น ตัวเองเคยขึ้นมาแล้วสองครั้ง มีครั้งที่สนุก และบางครั้งที่ไม่ได้เห็นเวลายิงประตูอะไรบ้าง และดีใจได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวจตุรมิตร


หลังจากนั้นคนเลยพากันสงสัยว่า หรือนี่จะเป็นการโกหกอีกครั้ง เนื่องจากอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์สื่อที่นายพิธาเคยพูดออกจากปากเองว่าตัวเองนั้นไปเรียนต่อยังต่างประเทศตั้งแต่อายุ 11 ปี นี่คือคำพูดของคุณพิธานะครับ ผมจะพูดให้ฟังว่าเขาพูดอย่างไร "สมัยยังเด็กได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แต่เกเร พ่อเลยส่งไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ ตอนอายุ 11 ปี ตอนไปสี่เดือนแรกร้องไห้ทุกคืน ยังเด็กอยู่ อายุ 11 ขวบ"


เอาล่ะสิ คนเขาเริ่มหมั่นไส้คุณแล้ว คุณพิธา ก็เลยมานั่งนับ เด็กอายุ 11 ขวบ เรียนตามเกณฑ์อยู่ ป.5 ถ้าเรียนเร็วหน่อยก็อยู่ ป.6 คุณพิธาบอกขึ้นมัธยมแล้ว แถมยังมาแปรอักษรตั้ง 2 ครั้ง ศิษย์เก่าเขาเลยถามว่ามึงขึ้นมาตอนไหนวะ เพราะปกติแปรอักษรใช้แต่เด็กมัธยม และบอลจตุรมิตร 2 ปีเตะ 1 ครั้ง นับอย่างไรก็ไม่ลงตัว

แต่นับไปนับมายังไม่ทันไร สไตล์ของกลุ่มก้าวไกล หรือกลุ่มพิธา วันดีคืนดี ในเว็บไซต์วิกิดีเดีย สารานุกรมเสรี ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า มีคนไปแก้ไขประวัตินายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรณีไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแก้ไขจากของเดิมว่าเป็น 11 ปี เป็นอายุ 16 ปี แต่พอเรื่องบานปลาย มือดีที่แอบแก้ประวัติก็คงจะอาย ก็เลยต้องแก้ไขข้อมูลกลับไปอายุ 11 ปี เหมือนเดิม ท่านผู้ชมว่ามันทุเรศไหม มันทุเรศจริงๆ นะ ไอ้พวกบ้านี่


พอเรื่องเริ่มจะเป็นการใหญ่ ก็มีฮีโร่ขี่ม้าขาวออกมาหวังแก้ต่างให้นายพิธา โดยบอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าห้องสมัยพิธาเรียนอยู่ ม.2-ม.3 ที่กรุงเทพคริสเตียน และพิธาร่วมแปรอักษรจริง ส่วนประเด็นไปเรียนเมืองนอกทับซ้อน คือไปเรียนจริง แต่ไปเรียนซัมเมอร์ เข้าแคมป์ตามประสาปิดเทอม จนพร้อม ถึงไปเรียนเต็มรูปแบบ


ท่านผู้ชมครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าตอนอายุ 11 ขวบ ก็ไปแค่ซัมเมอร์แคมป์ แต่แล้วคุณกลับไปเที่ยวสร้างภาพโกหกว่าไปเรียนต่อต่างประเทศที่นิวซีแลนด์ตั้งแต่ตอนอายุ 11 ขวบ ให้คนเข้าใจว่าคุณใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนานตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่เป็นความจริงสิ คือสรุปง่ายว่าคุณเริ่มโกหกตั้งแต่แรกว่าคุณไปเมืองนอกตั้งแต่อายุ 11

ต่อมา เรื่องไปเรียนที่นิวซีแลนด์ตั้งแต่ชั้นประถม อายุ 11 ขวบ แต่มีโอกาสขึ้นสแตนด์เชียร์บอลจตุรมิตรถึง 2 รอบ ยังไม่ทันจบ ก็มีเรื่องอีกแล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อนักสืบโซเชียลทำหน้าที่สืบประวัติกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้สัมภาษณ์ไว้ตามสื่อต่างๆ อีกแล้ว ว่าจบปริญญาตรี 2 ใบ หรือที่เรียกว่า Dual Degree คือจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ประเทศไทย และ The University of Texas at Austin ที่มลรัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา


นักสืบโซเชียลก็ร้าย ไม่ธรรมดา ออกมาแฉว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจริง แต่ไม่ได้จบจาก The University of Texas at Austin ตามที่ให้สัมภาษณ์ไว้ เพราะว่าโปรแกรม BBA ภาคภาษาอังกฤษของธรรมศาสตร์ ได้รับปริญญาตรีใบเดียวของธรรมศาสตร์ ไม่ใช่ปริญญาคู่ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Dual Degree แต่อย่างใด

ข้อมูลที่แฉออกมา คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เรียนบัญชีที่ธรรมศาสตร์ 2 เทอม รหัส 41 ได้ทุนไปเป็นแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ The University of Texas มหาวิทยาลัยเทกซัส ที่เมืองออสติน ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็โอนผลการเรียนกลับมาเทียบหน่วยกิตที่ธรรมศาสตร์ แล้วจบที่ธรรมศาสตร์ อาจจะได้ใบประกาศนียบัตรหรืออะไรที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่ไม่ใช่ปริญญา 2 ใบ ตามที่นายพิธาโกหกพกลมเอาไว้

คุณพิธาครับ ชีวิตเอาอย่างไรกันดี คุณจะโกหกเรื่องนั้น โกหกเรื่องนี้ ชีวิตคุณมันโคตรจะพิศวงจริงๆ สงสัยคุณจะเป็นคนเขียนบทละครชื่อมิติพิศวง มากกว่า ผมไม่ได้อยากจะจับผิดคุณเรื่องพวกนี้หรอกนะ เพราะอย่างที่พวกติ่งส้ม ที่ผมเรียกว่าคอนด้อมส้ม ออกมาปกป้องว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้น ไอ้ติ่งส้ม คอนด้อมส้มนี่ก็โง่บัดซบ ด้อยปัญญา ปัญหาของคุณพิธาคือการโกหกในเรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจนกลายเป็นนิสัยและเป็นสันดาน แล้วคงคอนเซปต์การพลิกลิ้น เมื่อวานพูดอย่างหนึ่ง


วันนี้พูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้พูดอีกอย่างหนึ่ง ไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อะไรบ้างล่ะ ? ตั้งแต่เริ่มแรก โกหกว่าบินกลับมางานศพพ่อไม่ทันในช่วงรัฐประหาร 2549 ทั้งๆ ที่คุณกลับมาช้าเอง โกหกว่าโดน คมช. ยึดทรัพย์จนไม่มีเงินจัดงานศพพ่อ โกหกว่าไม่เคยสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112 โกหกว่าไม่เคยสนับสนุนกัญชาเสรี โกหกว่ากลับมาแก้หนี้สินบริษัทครอบครัวร้อยล้านบาทให้หมดไป ปรากฏว่าหลักฐานที่ปรากฏออกมามันไม่ตรงกับสิ่งที่คุณพูด ยังไม่พูดถึงเงินที่คุณกู้ยืมบริษัทกงสีครอบครัวที่หายไปอย่างปริศนาในช่วงที่คุณเป็นกรรมการอยู่ ยังไม่นับเรื่องที่คุณเสแสร้งสนับสนุนเรื่องความหลากหลายทางเพศ LGBTQ และการสมรสเท่าเทียม


แต่เมื่อคนย้อนคำให้สัมภาษณ์และพฤติกรรมในอดีต พบว่าคุณก็เคยห้ามอดีตภรรยาของคุณคบเพื่อนทอม เพื่อนเกย์ หรือเพศที่สาม จนมาเรื่องล่าสุดคือเรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งแต่อายุ 11 ปี เรื่องปริญญา 2 ใบ และผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆ เรื่องที่สาธารณชนยังไม่รู้

พวกคอนด้อมส้มครับ แฟนคลับนายพิธาครับร พวกคุณนี่ยังคงเส้นคงวาในความมั่นคงในเรื่องความโง่ของพวกคุณอยู่เหมือนเดิม คุณเบิกเนตร เปิดกะโหลกตัวเองดูได้หรือยังว่าเมื่อไรจะฉลาดเสียที คนไทยเริ่มฉลาดขึ้นมาแล้ว เหลือแต่พวกคุณ คอนด้อมส้ม ที่ยอมให้โดนหลอก คุณมาเถียงอะไรผม ไอ้คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีโกหกเช้า โกหกเย็น แถมตอนบ่ายอาจจะมีโกหก ก่อนนอนโกหกอีกรอบหนึ่ง คนอย่างนี้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

ก็เลยไม่น่าสงสัยว่านายพิธาถึงคิดว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติ เพราะย้อนกลับไปดูแล้ว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้นำทางความคิดของพรรคก้าวไกล เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย หรือว่านี่เป็นธาตุแท้หรือสันดานแท้ของคนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณกันแน่


เอาล่ะ เมื่อพูดถึงคุณธนาธร ความจริงมีหนึ่งเดียว ในที่สุดธนาธรยอมรับว่าบินไปพบแม้วที่ฮ่องกงจริง ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 200 ผมพูดถึงข่าวลือเรื่องนายธนาธนบินไปพบทักษิณที่ฮ่องกง

กรกฎาคม 2566 หลังการเลือกตั้ง ช่วงที่มีความพยายามฟอร์มรัฐบาลให้ได้ มีข่าวลือว่านายธนาธรบินไปพบกับทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง เพื่อขอพูดคุยตกลงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ตอนนั้นข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ช่อ พรรณิการ์ วานิช แกนนำพรรคก้าวหน้า คนสนิทของนายธนาธร กุลีกุจอ อีแล้ดแต๊ดแต๋มาแก้ตัวว่าข่าวดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ ระบุว่าธนาธรอยู่เมืองไทย อยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปพบทักษิณที่ฮ่องกงดังข่าวลือ


แม้กระทั่งนายชัยธวัช ตุลาธน ชื่อเล่นคือ ต๋อม หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ตอนนั้นยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ออกมาปฏิเสธ แต่ค่อนข้างจะอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่แจ๋นเหมือนกับช่อ พรรณิการ์ ว่าธนาธรยังอยู่เมืองไทย

จากวันนั้นถึงวันนี้ วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ในที่สุดความจริงที่มีหนึ่งเดียวที่รายการนี้ชูเป็นปรัชญานำหน้า นายธนาธร ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในรายการกรรมกรข่าวึคุยนอกจอ ตอนหนึ่ง ยอมรับว่าในช่วงก่อนการจัดตั้งรัฐบาล ได้เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่เกาะฮ่องกง เป็นครั้งแรกที่นายธนาธรยอมรับเรื่องนี้


ประเด็นครับท่านผู้ชม ผมฟังแล้วผมหัวเราะด้วยความขมขื่นและทุเรศ สิ่งที่คุณธนาธรพูด ใครจะเชื่อ ก็ไหนก่อนหน้านี้คนก้าวไกล คณะก้าวหน้า ทั้งช่อ พรรณิการ์ ต๋อม ชัยธวัช ออกมาเรียงหน้าปฏิเสธเสียงแข็งว่าธนาธรไม่เคยไปพบทักษิณ


นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่คุณช่อทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ ข่าวต่างประเทศ เรียนจบรัฐศาสตร์จุฬาฯ ไปต่อโทที่ LSC (London School of Commerce) ที่อังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้วความคิดและพฤติกรรมต่างๆ ไม่ได้แตกต่างกว่าการเป็นเอเยนต์ของฝรั่ง ผมยกตัวอย่างนี้ให้ฟัง เห็นได้ชัดเจนที่สุด


ความเห็นคุณช่อออกมาโกหกเรื่องสงครามยูเครนว่ารัสเซียแพ้แน่ๆ เผยแพร่โดยมติชนเมื่อวันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 รัสเซียแพ้แน่ๆ วันนี้ทั่วโลกเขารู้อยู่แล้วว่ารัสเซียชนะอย่างเด็ดขาด จะยึดยูเครนเมื่อไรเท่านั้นเอง นายเซเลนสกี ถูกอเมริกาและอียูเททิ้งแล้ว แล้วพวกคุณกำลังทำเสมือนการโกหกเป็นปกติธรรมดาในสังคม พวกคุณยึดถือว่าการพูดไม่จริง ไม่เป็นไร โกหกไปเรื่อยๆ แต่ขอให้นำไปสู่เป้าหมาย เป็นเรื่องไม่ผิด ทำไมเขาถึงกล้าพูดอย่างนี้ ? เพราะว่ามันมีแฟนคลับโง่ๆ รู้ไม่เท่าทัน ใครพูดเก่ง เล่นละครเก่ง แสดงเก่ง บิดเบือนเก่ง ก็หลงลมในสิ่งที่เขาพูดกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ให้พวกคุณจำคำพูดผมในวันนี้เอาไว้ ผมยังเชื่อมั่นใจพระธรรม และในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่่ว่า "คนพูดเท็จไม่ทำชั่วนั้นไม่มี"

ท่านพุทธทาสท่านเองก็พูดขยายความ "คนที่ถึงกับพูดเท็จได้แล้ว จะไม่ทำบาปอย่างอื่นๆ ทุกอย่างได้นั้นเป็นไม่มี เพราะเขาได้โกหกหลอกลวงตัวเองจนถึงที่สุด และขบถต่อตัวเองแล้วอย่างสิ้นเชิง"

5 แสนล้าน กับ "ธนาธร" จอมกระหายแสง

เอาล่ะ ไหนๆ เมื่อพูดถึงคุณธนาธรแล้ว คุณธนาธรนอกจากไม่เลิกผิดศีลข้อ 4 คือ มุสาวาทาเวรมณี สิกขาปะทังสมาทิยามิ แล้ว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ยังคงถนัดในเรื่องการหาแสงเข้าตัว พยายามแย่งซีน ดิสเครดิตเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยด้วย


วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ธนาธรได้บรรยายสาธารณะ บนตึกอนาคตใหม่ ในหัวข้อ "ประเทศไทยควรได้อะไรหากต้องใช้ 5 แสนล้าน" เหมือนกับว่าจะเป็นการโหนกระแสจากประเด็นการแจกเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ต้องออก พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท มาใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ก่อนการบรรยายสองวัน คุณธนาธรได้พยายามออกแขกไว้ในแนวทางว่าไม่เห็นด้วยที่้จะต้องกู้เงินมหาศาลมากระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยโตช้าไม่ได้เกิดจากการบริโภคน้อย แต่เป็นเพราะศักยภาพในการแข่งขัน เพราะฉะนั้นจึงควรใช้เงิน 5 แสนล้านบาท ไปเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในประเทศจะดีกว่า แถมโฆษณาเสร็จสรรพเลยนะว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลรับฟังและนำไปปรับใช้ในการพัฒนาประหเทศต่อ ไป พรรคเพื่อไทยจะเอาไปใช้ก็ไม่หวงนะ จะให้ไปนั่งบรรยายให้ฟังก็ได้

ได้ยินแบบนี้ก็เป็นปกติธรรมดา แฟนคลับ ด้อมส้ม คอนด้อมส้ม ต่างก็คาดหวังไว้ล่วงหน้าว่าธนาธรต้องมีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ เด็ดๆ เรื่องการเพิ่มศักยภาพของประเทศมาโชว์ให้ได้กรี๊ดกร๊าดกันถึงหน้าเวทีเป็นแน่ แต่พอถึงวันจริง ปรากฏว่าธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้พูดเรื่องเดิมๆ ที่อยู่ในนโยบาย 300 ข้อ สมัยที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียง ใจความสำคัญพอสรุปได้ว่า ถ้ามีเงิน 5 แสนล้าน สิ่งที่ควรทำก็คือกระจายเงินไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้าน นอกเหนือจากงบประมาณประจำที่รัฐบาลใช้ประจำอยู่แล้ว


โครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้านที่ว่านี้ ได้แก่ การสาธารณสุข การคมนาคม น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ การศึกษา ใช้เงินรวมทั้งหมด 456,000 ล้านบาท เป็นโครงการระยะยาว ต้องใช้เวลา 8 ปี หรือรัฐบาล 2 สมัย

ท่านผู้ชมครับ คุณธนาธรกำลังพูดคนละเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า เพราะที่คุณพูดมา โม้มา มันคือแผนพัฒนาการระยะยาว ไม่ใช่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที แต่ประเด็นรัฐบาลที่เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ เขาต้องการใช้เงิน 5 แสนล้านบาท มากระตุ้นเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสรุปสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทย ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าเศรษฐกิจไทยกำลังมีปัญหาและตกอยู่ในภาวะชะงักงันจริงๆ โดยตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาส 3 นี้ ขยายตัวได้เพียง 1.5 เปอร์เซ็นต์ จากที่ตลาดประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ 2-2.2 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นการขยายตัวชะลอตัว ลดลงจาก 1.8 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสที่ 2


ซึ่งจริงๆ แล้วบรรดานักวิชาการหรือนักเศรษฐศาสตร์บนหอคอยงาช้างทั้งหลาย คุณไม่ต้องรอฟังตัวเลขจากสภาพัฒน์ แต่คุณสามารถสัมผัสชาวบ้าน พ่อค้าแม่ขายตามท้องถนน ก็น่าจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังมีปัญหา และจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเร่งด่วนจริงๆ

กลับมาถึงอาการหิวแสงอย่างรุนแรงของคุณธนาธร และพลพรรคคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ที่คุณธนาธรเอามาอวดอ้างว่าตัวเองมีวิสัยทัศน์ อย่างรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัดที่จะใช้เงิน 5 แสนล้าน มาใช้นั้น ถามหน่อยเถอะว่าคุณได้ถามชาวบ้านหรือยังว่าอยากได้หรือเปล่า มันสอดคล้องกับสภาพแต่ละพื้นที่แค่ไหน คุ้มกับงบ 9 หมื่นล้านบาท ที่คุณจะเอามาใช้ทำไหม นี่คุณธนาธรไม่ได้คิดเองเออเองใช่ไหม

นอกจากนี้ ผมอยากจะบอกคุณธนาธรว่า สิ่งที่คุณร่ายยาวมาทั้หงมดไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย มันมีอยู่ในนโยบาย 300 ข้อ ที่พรรคคุณใช้หาเสียงตอนเลือกตั้ง เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาอยู่แล้ว แต่นโยบายนั้นยังเอามาทำไม่ได้ เพราะพวกคุณพรรคก้าวไกลต้องถูกถีบออกมาเป็นฝ่ายค้านเสียก่อน ทั้งๆ ที่เป็นพรรคที่คะแนนเสียงมากเป็นอันดับที่หนึ่ง พวกคุณยังจำได้ไหม สาเหตุจากอะไรล่ะที่พวกคุณไม่ได้ทำนโยบายเกือบ 300 นโยบายที่คุณหาเสียง ขายฝันเอาไว้อย่างสวยหรู คุณอาจจะจำไม่ได้ แต่ผมจำได้ ท่านผู้ชมหลายท่านยังจำได้อยู่ เพราะตอนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคนั้น ถึงขั้นลงนาม MOU กันเสร็จสรรพ เรียบร้อย แต่พวกคุณ คือพิธา พรรคก้าวไกล ทำตัวอหังการมมังการ ไม่ยอมลดโทนความพยายามที่จะผลักดันนโยบายสุดโต่ง กฎหมายอาญามาตรา 112 แบบสุดซอยไว้ให้ได้น่ะสิ ด้วยเหตุนี้ผลลัพธ์ก็จะลงเอยอย่างที่เห็นว่าคุณไม่ได้เป็นรัฐบาลเพราะคุณดันทะลึ่งไปยืนหยัดอย่างหัวชนฝาในเรื่องมาตรา 112


ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีคำถามย้อนกลับไปว่า ในวันที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วทำไมคุณยืนยันจะแก้ไขมาตรา 112 อย่างสุดโต่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครเอาด้วย และตัวเองก็จะไม่ได้เป็นรัฐบาล เมื่อเป็นเช่นนั้นนโยบาย 300 ข้อเพื่อประชาชนที่คุณโม้มาก็ไม่มีโอกาสทำได้ แต่พอคุณไม่ได้เป็นรัฐบาล คุณทะลึ่งเอา 300 ข้อของคุณมาพูดซ้ำ หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เกมการเมืองในการเก็บแต้มสะสมคะแนนเพื่อรอจะเอาชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น เพราะคุณก็รู้ว่านโยบายของคุณนั้นเป็นนโยบายระยะยาว-ระยะกลาง แต่วันนี้รัฐบาลมีปัญหาใหญ่ จะทำอย่างไรเพื่อให้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ภายในปีนี้หรือปีหน้า แล้วก็เป็นกระบวนทัศน์ที่ถกเถียงกันไม่สิ้นสุด แต่หลักๆ หลายคน บอกว่าทำไมไม่แจกเงินคนละ 10,000 บาท แล้วใส่ในบัญชีประชาชนไปเลย แต่เงิน 10,000 บาท เมื่อเข้าไปแล้วคนก็จะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อเหล้า ซื้อเบียร์ ซื้อโน่นซื้อนี่ ใช้จ่ายส่วนตัว แต่ดิจิทัล 10,000 บาท มันสามารถที่จะหมุนได้อย่างน้อยสองรอบครึ่ง ถึงสามรอบ เท่ากับจ่ายไปแล้ว 500,000 ล้านบาท หมุนไป 3 รอบ ก็ 150,000 ล้านบาท ได้ภาษีอากรเข้ามาประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท มันต่างกันตรงนี้ครับ คุณธนาธร

สรุปง่ายๆ คุณไม่ได้มีความคิดใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว คุณเอานโยบายเก่าที่คุณร่างเอาไว้ใน 300 ข้อ มาพูด แต่คุณก็ไม่มีปัญญาที่จะเอามาปฏิบัติตรงตามที่คุณต้องการ เพราะว่าคุณดันตามืด ตาบอด ตามัว เห็นว่าประเทศไทยนั้นสำคัญมากกว่านโยบาย 300 ข้อของคุณ ก็คือมาตรา 112 ที่ต้องยกเลิก ใช่ไหม คุณธนาธร ผมฟังแล้ว ท่านผู้ชมฟังแล้ว คิดอย่างไร ? คิดเหมือนผมไหม ว่าโคตรทุเรศเลย

"หมูเถื่อนแสนล้าน" อย่าเตะหมูเข้าปากหมา!

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมได้ยินเสียงของคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไหม ที่อาละวาดในเรื่อง "หมูเถื่อน" บี้เจ้าหน้าที่รัฐ อธิบดีดีเอสไอนี่หนักที่สุด


การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนนั้นมีมานานแล้ว ทำกันเป็นขบวนการ เป็นล่ำเป็นสัน ตอนนี้อธิบดีดีเอสไอยันคดีซากหมูเถื่อน พบเจ้าหน้าที่รัฐเอี่ยวถึง 10 ราย เตรียมส่ง ป.ป.ช. เพื่อชี้มูลความผิด เขาไปตรวจค้น จับกุม แหล่งที่เสนอไปไม่เจอหมูเถื่อน ก็ปรากฏว่าได้ข้อมูลเอกสารทำให้ดีเอสไอสามารถขยายผลแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับกลุ่มเครือข่ายได้มากยิ่งขึ้น ส่วนการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในวันนี้ดีเอสไอจะประชุมสรุปสำนวนคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง และส่งสำนวนแรกให้ ป.ป.ช. พิจารณาชี้มูลความผิด ซึ่งพบจำนวนผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีมากกว่า 10 ราย ซึ่งน่าจะมีความเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ ไปจนถึงระดับอธิบดี และฝ่ายนโยบาย


สมาชิกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรประเมินว่า แต่ละปีมูลค่าหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามา อยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าเราคำนวณความเสียหาย เสียโอกาสของห่วงโซ่การเลี้ยงหมูที่ได้รับผลกระทบจากหมูเถื่อน เช่น การเพาะปลูกพืชเพื่อนำมาเป็นอาหารสัตว์ ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ของเกษตรกร อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ร้านค้า ร้านอาหาร อย่างเช่น ร้านหมูกระทะ หมูย่างเกาหลี หรือชาบู หม่าล่า ที่เอาหมูเถื่อนไปทำกำไรขายผู้บริโภค ก็ว่ากันว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนจะไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นคำตอบว่าทำไมหมูเถื่อนจึงมิเพียงสร้างปัญหา และกระทบต่อผู้เลี้ยงสุกรอย่างถูกต้อง แต่กระทบถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ไปจนถึงผู้บริโภค และในที่สุดกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

เพราะผลประโยชน์มหาศาลของผู้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หมูเถื่อนมีจำนวนมาก ท่านผู้ชมคงจะพอรู้อยู่แล้ว มีนักการเมืองขาใหญ่ บางคนเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วย ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น พ่อค้า นายทุน เจ้าของฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ บริษัทชิปปิ้ง เจ้าของห้องเย็น โดยการสมรู้ร่วมคิด รับสินบนของข้าราชการคนใหญ่คนโต เจ้าหน้าที่ในกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ ไม่เว้นแม้แต่กรมประมง ซึ่งอยู่ภายใต้ 2 กระทรววงสำคัญ คือ กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดี๋ยวเราจะมาขยายความกัน


แต่เรียกได้ว่าถ้าเราจะปราบปรามแบบถอนรากถอนโคนปัญหาหมูเถื่อน เอาแบบให้ขุดรากถอนโคน จัดการให้สิ้นซากจริงๆ คุกที่คุมขังคนนั้นน่าจะไม่พอ

เมื่อพูดถึงนักการเมืองใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง มีกระแสข่าวเชื่อมโยงไปถึงขาใหญ่ของรัฐบาลที่แล้ว คือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นช่วงที่หมูเถื่อนทะลักเข้ามามาก บ้างก็บอกว่ารัฐมนตรี ซึ่งสมัยที่แล้วเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กำกับดูแลกรมปศุสัตว์ แต่ทางด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ถ้าใช่คงเป็นข่าวไปแล้ว เป็นเรื่องที่ดีที่สังคมตั้งข้อสงสัย

นอกจากนี้แล้ว กระแสข่าวผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการหมูเถื่อนอีกคน เชื่อมโยงไปถึงนาย ส. หน้าห้องของอดีตรัฐมนตรีเกษตรฯ โดยมือไม้ของหน้าห้องรัฐมนตรีนั้นมีชื่อว่า นายเก้า เป็นเสี่ยโรงงานผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูป รับเป็นนายหน้าเสื่อรับมือประสานกับพ่อค้าหมูเถื่อนและเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการทุจริต ดึงเงินส่วนแบ่งมาส่งให้นาย ส. หน้าห้องรัฐมนตรี จริง/เท็จประการใดต้องไปถามคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน ผู้ยิ่งใหญ่จากพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่กำกับดูแลเรื่องต่างๆ ในสมัยที่แล้ว


เพราะฉะนั้นแล้ว พูดกันจริงๆ ตอนนี้เป็นคดีที่อยู่ในมือดีเอสไอที่ไปจับกุมนายทุนผู้นำหมูเถื่อน 161 ตู้ แล้วไปขยายผลโยงบริษัทชิปปิ้ง ห้องเย็น เจ้าหน้าที่ศุลกากรรับสินบน นี่เพียงแค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็งนะครับ ต้องถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก เล็กๆ น้อยๆ โดยสถิติการจับกุมที่ผ่านมาจะเห็นว่าเล็กน้อยจริงๆ ทั้งที่เป็นขบวนการใหญ่

2564 จับกุมได้แค่ 14 ราย น้ำหนักหมู 236,177 กิโลกรัม ปี 2565 จับกุมได้ 25 ราย น้ำหนัก 431,660 กิโลกรัม ปี 2566 จับกุมได้มากหน่อย 181 ราย น้ำหนักรวม 4,772,073 กิโลกรัม


แต่ท่านผู้ชมต้องทราบก่อนว่าสถิติข้างบนนี้เทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อยกับที่เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเว้น เหมือนกับยอดภูเขาน้ำแข็ง เรียกได้ว่าที่จับได้เป็นส่วนน้อยนิดของส่วนที่ถูกปล่อยออกไปสู่ท้องตลาด

คำถามสำคัญ รัฐบาลนี้จะกล้าพอไหมที่จะใช้โอกาสนี้ยกเครื่องเรื่องนี้ พูดให้ชัดคือการปฏิวัติระบบราชการที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ละเว้น ปล่อยปละ เรียกรับสินบน หากินกับหมูเถื่อน เพราะถือว่าเป็นต้นตอเอื้อประโยชน์ให้กับขบวนการ ส่วนจะจัดการกับตัวการใหญ่เป็นเรื่องดีถ้าทำได้ แต่ต้องไม่ลืมนะครับ จับคนนี้ ประเดี๋ยวมีคนใหม่ขึ้นแทนที่ คือพูดง่ายๆ ว่ามีตัวตายตัวแทน เพราะตราบใดที่ผลประโยชน์ยังสามารถจะแสวงหาได้ ไม่มีที่สิ้นสุด


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตัวการใหญ่ที่สุดอยู่ที่ไหน ? อยู่ที่ข้าราชการ ที่เจ้าหน้าที่รัฐนี่เอง อยู่ที่กรมประมง กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมศุลกากรของกระทรวงการคลัง ที่ดูแลโดยท่านนายกฯ เศรษฐา เอง

"3 กรมประสานบูรณาโกง" ถามว่าเรื่องนี้ท่านนายกฯ เศรษฐา รู้หรือเปล่า ? ก็ต้องบอกว่ารู้แน่นอน เพราะรัฐบาลเศรษฐาได้สั่งให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมกันบูรณาการแก้ปัญหาหมูเถื่อน ผลการสอบสวนที่ออกมาปรากฏชัดว่า แทนที่จะบูรณาการกัน กลับบูรณาโกงกันของหน่วยงานราชการ รวมทั้งทึ้งประโยชน์จากขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนจนอิ่มหมีพีมันมาหลายปีต่อเนื่อง


3 ประสานบูรณาโกง คืออะไร ? หนึ่ง กรมศุลกากร สอง กรมปศุสัตว์ สาม กรมประมง ต่างก็ร่วมด้วยช่วยกันเปิดไฟเขียวให้การนำเข้าหมูเถื่อนผ่านฉลุยทุกขั้นตอนการตรวจสอบ เพราะงานนี้จะขาดความร่วมมือจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ ต้องชงกัน ต่อกันเป็นทอดๆ หมูเถื่อนจึงผ่านด่านมาเป็นหมูทอด หมูกระทะ ให้คนบริโภคกัน

หมูเถื่อนนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น บราซิล รัสเซีย สเปน เนเธอร์แลนด์ กลุ่มนำเข้ามีนักการเมืองใหญ่ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น พ่อค้า นายทุน และฟาร์มหมู ท่าเรือแหลมฉบัง เจ้าหน้าที่ศุลกากร รับสินบนตู้ละ 20,000-30,000 บาท บริษัทชิปปิ้งวิ่งเคลียร์จ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง ห้องเย็นรับฝาก เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์รับสินบนเคลื่อนย้าย ปลอมแปลงเอกสารให้ ส่งศูนย์กระจายสินค้าไปตามช่องทางต่างๆ ออนไลน์-ออฟไลน์ ส่งตรงถึงผู้บริโภค ผู้ประกอบการแปรรูปอาหาร ห้างค้าปลีก ร้านอาหาร ร้านหมูกระทะ

ต้นทุนนำเข้าหมูเถื่อนอยู่ที่ประมาณ 50-70 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม ขายราคาต่ำ ถูกกว่าราคาตลาดที่อยู่ที่ประมาณ 120-140 บาท กำไรเท่าตัว มูลค่าการลักลอบนำเข้าจำหน่ายแต่ละปีประมาณ 40,000 ล้านบาท หากประเมินความเสียหายจากการเสียโอกาสของผู้เลี้ยงสุกร และห่วงโซ่การเลี้ยง เกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี


ท่านผู้ชมครับ การนำหมูมาจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่จะเอาจากประเทศไหนเข้ามาก็ได้ เพราะว่าประเทศไทยมีข้อตกลงกับหลายประเทศ เนื้อหมูที่เข้ามาต้องผ่านการตรวจคุณภาพ ผ่านการตรวจโรค อีกทั้งพ่อค้าหัวใสเองก็ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เพราะต้องกำไรอย่างสูงสุดจากโอกาสที่เห็น จึงนำมาสู่การนำเข้าหมูเถื่อนแบบเถื่อนๆ ทุกขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อหมูจากประเทศที่มีข้อตกลงกับไทย พอมาถึงก็ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานใดๆ ทั้งสิ้น

กรมศุลกากรของท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน กับกรมประมง ซึ่งปัจจุบันเป็นของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นสองหน่วยงานแรกที่มีเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องร่วมกันทุจริตกับขบวนการหมูเถื่อน

เมื่อเนื้อหมูอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง ก็อยู่ในความดูแลของกรมศุลกากร พวกมันถูกแจ้งสำแดงว่าเป็นเนื้อปลา และตรงนี้ล่ะที่กรมประมงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ส่วนใหญ่จะอ้างว่าเป็นหัวปลาแซลมอนแช่แข็ง หรืออาหารแช่เย็น ตรงนี้เองที่กรมประมงมีบทบาทเข้ามาฮั้ว เสกเนื้อหมูเป็นร้อยๆ ตู้คอนเทนเนอร์ให้กลายเป็นหัวปลาแซลมอนง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ


กรมศุลกากร ถือว่าเป็นงานหลัก ฟันส่วนแบ่งไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นของกรมประมง ต่อมากลิ่นตุๆ ลอยไปเข้าจมูกกรมปศุสัตว์ ถึงคนระดับบริหารกรมปศุสัตว์จะเข้าไปขัดขวาง ก็ถูกมองว่าไม่โง่ก็บ้า ก็กลายเป็นว่าขอกระโดดเข้าไปเอี่ยวด้วย ขอแบ่งปันน้ำแกงสักช้อนเถอะ เพราะถ้าไม่จ่ายมา กรมปศุสัตว์ก็ตรวจสอบการสำแดงเท็จอะไรหลายแหล่ ก็จะถูกเปิดโปง ไม่สามารถส่งหมูเถื่อนผ่านไปสู่ตลาดได้ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นบูรณาการ-บูรณาโกงกันถึง 3 หน่วยงาน เปิดไฟเขียวผ่านตลอดให้กับหมูเถื่อน การแบ่งเค้กเลยกลายเป็นอัตราส่วน 60 : 20 : 20 ในหมู่กรมศุลกากร กรมประมง กรมปศุสัตว์ ว่ากันว่าเงินส่วยหมูเถื่อนเข้าปากเจ้าหน้าที่ศุลกากรหน่วยงานเดียว ปาเข้าไปปีละกว่า 2,000 ล้านบาท

ขณะที่เส้นทางหมูเถื่อนออกจากด่าน พอเข้าเมืองจะถูกนำพักที่ห้องเย็นก่อนจะกระจายส่งไปตามการตลาด ห้องเย็นขนาดใหญ่ที่รับหมูเถื่อนอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรสาคร อำนาจการตรวจสอบตามกฎหมายอยู่ที่กรมปศุสัตว์แต่เพียงเจ้าเดียว แต่ลำพังข้าราชการจะลักลอบทำกันเองโดยไม่มีนักการเมืองรู้เห็น ย่อมเป็นไปไม่ได้ งานนี้ก็เช่นกัน มีคนระดับรัฐมนตรีร่วมในขบวนการหมูเถื่อนด้วยดังว่า

กรมศุลกากร ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะที่ดูแลกระทรวงการคลัง ท่านต้องจัดการอย่างเด็ดขาด เพราะท่านเป็นคนโวยวายออกมาเอง แล้วท่านก็รู้ว่ากรมศุลกากรซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของท่าน ซึ่งท่านกำกับดูแลนั้นคือตัวการ ท่านกล้าไหมล่ะครับ ? รื้อไปเลย อธิบดีกรมศุลกากรคนปัจจุบันนี่ต้องย้ายไปเลย ทันทีเลย เอาไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน รองอธิบดีทุกคนก็ต้องไปด้วย

กรมปศุสัตว์ กับกรมประมง ขึ้นอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส ท่านไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนเลย จากอดีตกาลที่ผ่านมา หลายๆ เรื่องของท่าน ประชาชนตั้งข้อสงสัยกับท่าน ถ้าเรื่องนี้ท่านไม่ทำงานให้เด็ดขาด ให้ชัดเจน ก็จะไม่ผิดอะไรหรอกถ้าประชาชนเขาสงสัยและเขาเชื่อว่าท่านมีส่วนร่วมด้วย เพราะชื่อเสียงสมัยก่อนของท่านก็ไม่ใช่ว่าธรรมดา นี่คือบทบาทที่ท่านต้องพิสูจน์ให้คนเห็น เรื่องแบบนี้ ทุกวันนี้ท่านยังนั่งเงียบสนิท ท่านไม่ทำอะไรเลย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ท่านไม่ใช่เป็นคนที่มาแล้วทุกคนยกย่องนับถือในฝีไม้ลายมือ ท่านมาเพราะเสียงทางการเมืองของท่านเท่านั้นเอง แต่ท่านจะทำอย่างไรให้ประชาชนที่เขาสงสัยในตัวท่าน เชื่อมือท่านว่าท่านทำงานจริง


แล้วทำไมหมูเถื่อนจึงเป็นเรื่องใหญ่ ? หมูเถื่อนเกิดเป็นประเด็นในตอนนี้เพราะนายกฯ เข้ามาล้วงลูกจี้ไปยังหน่วยงานราชการ อย่างเช่นดีเอสไอ ประการแรก หมูแท้ที่เลี้ยงอย่างถูกต้องโดยเกษตรกรรายย่อย และฟาร์มขนาดเล็กถึงกลาง ตอนนี้ล้มหายตายจากจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ โรค ASF ทุกวันนี้ยังไม่ฟื้นตัวเลย ฟาร์มขนาดใหญ่อยู่รอดได้แต่ก็ทำได้แค่ประคองตัวให้เลี้ยงตัวเองเท่านั้น กลุ่มขบวนการหมูเถื่อนเห็นเป็นโอกาส จึงร่วมมือกับนายทุนเจ้าของฟาร์มบางแห่งลักลอบนำหมูเข้ามา แล้ว 3 หน่วยงานรัฐ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และ กรมประมง จัดการบูรณาโกง ปลอมแปลงเอกสารให้เป็นหมูแท้ เรียกว่าสวมรอยหมูในฟาร์มจริงนำออกจำหน่ายตามกลไก ได้กำไรมากกว่าจะลงทุนเลี้ยงเองตามเดิมที่เสี่ยงต่อโรคระบาด และแบกภาระต้นทุนค่าอาหารสัตว์ที่แพง

พอเขาทำไปทำมา กลุ่มนำเข้าหมูเถื่อนกลุ่มนี้ก็ติดใจ กำไรดีนี่ รัฐมนตรี เอาเงินยัดปากเข้าไป ก็แบ๊ะๆๆ ทุกคน นำเข้าเรื่อยๆ สั่งมาเป็นปริมาณมากขึ้นๆ ขยายวงไปในแวดวงเครือข่ายฟาร์มของพวกพ้อง เรื่องนี้บรรดาสมาชิกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรอิดหนาระอาใจเพราะพฤติการณ์แบบเห็นแก่ตัวของฟาร์มบางฟาร์มบ่อนทำลายพวกเดียวกันเอง และเป็นปัญหาทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ ห่วงโซ่การเลี้ยงหมูอีกต่างหาก

การเมืองภายในสมาคมเลี้ยงสุกรเองก็แรง ช่วงนี้กำลังมีช่วงเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กร เลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ ว่ากันว่าการที่ข้อมูลหมูเถื่อนหลุดออกจากแหล่งไปอยู่ในมือของทางการ หรือคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ก็เป็นเรื่องการเมืองภายในที่ชี้เป้าเพื่อเตะตัดขาสกัดขัดขวางทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกสมาคมฯ แหล่งข่าวระบุว่า อย่างไรก็ต้องให้ขาใหญ่ฟาร์มยักษ์พยักหน้าไฟเขียวเห็นด้วย เป็นที่รู้กันในสมาคมฯ ว่ายุคทองของหมูเถื่อนเกิดขึ้นต่อเนื่องนานมาตั้ง 3 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่คุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี


เจ้าสัวธนินท์ ค้าเนื้อหมูถูกกฎหมาย มองตาปริบๆ ทำได้แค่แอบไปแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ให้จัดการกับหมูเถื่อน พอเปลี่ยนขั้วรัฐบาล รัฐมนตรีคนเก่าสิ้นวาสนา กระเด็นไปเป็นฝ่ายค้าน คุณธนินทร์เลยอยากให้สมาคมฯ ผลักดันเร่งรัดให้รัฐบาลเศรษฐาเร่งรัดปราบปราม คุณเศรษฐาก็อยากจะทำเรื่องนี้ให้จบ เพื่อให้เจ้าสัวยิ้มออก เพราะยังมีเรื่องราวที่จะต้องพึ่งพาเจ้าสัวอีกหลายเรื่อง

ที่ผ่านมาคือยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตร ที่โดนขบวนการหมูเถื่อนเหยียบจมูก กลไกตลาดใดๆ ที่ออกแบบไว้อย่างรัดกุมสำหรับหมูถูกกฎหมาย โดนหมูเถื่อนฉีกกฎหมายกระจุยกระจาย เกิดเป็นความเสียหายทางธุรกิจมหาศาล

ประการที่สอง ความต้องการบริโภคเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้นจากความนิยม พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่ชื่นชอบการรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูกระทะ ที่คุณแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะผลักดันให้เป็น Soft Power ส่งออกไปทั่วโลก หมูกระทะนี่ล่ะครับท่านผู้ชม

การเลี้ยงหมูได้ผลิตผลน้อย เพราะเสียหายจากโรคระบาด ASF เกิดช่องว่างให้หมูเถื่อนเข้ามาทดแทน หมูเถื่อนมีราคาถูกกว่า ร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ผู้ประกอบการแปรรูปอาหาร ร้านอาหาร ก็เลยเสาะแสวงหาหมูที่มีราคาถูกเข้ามาจำหน่าย หรือเพื่อลดต้นทุนการแช่งขันที่แข่งขันกันรุนแรงได้

ตอนนี้ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังว่า ทำไมร้านหมูกระทะ หรือบุฟเฟต์หมูกระทะที่กินกันบ่อยๆ ถึงทำราคาโปรโมชั่น หรือเช็กบิลต่อหัวกับเราราคาถูกๆ ได้ แต่เดี๋ยวก่อน! ท่านผู้ชมอย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจว่าท่านผู้ชมรับประทานหมูเถื่อนเข้าไปเต็มเปาหรือไม่ กินหมูเถื่อนแล้วเป็นอันตรายหรือเปล่า ฟังจากรายการแล้วจะพาลพาโลไม่ทานหมูกระทะราคาถูกอีก


ต้องบอกว่าหมูเถื่อน หรือภาษาในวงการคนเลี้ยงหมู เขาเรียกว่า "หมูกล่อง" เป็นหมูลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ บราซิล รัสเซีย สเปน เนเธอร์แลนด์ ถามว่าประเทศเหล่านี้เป็นโรคระบาดหรือเปล่า เป็นหมูอนามัยหรือไม่ ตอบได้ว่า โรคระบาดนี้เกิดขึ้นทั่วโลก หมูเถื่อนที่นำเข้าอาจจะมีหมูเป็นโรคระบาดนำมาชำแหละ หรืออาจจะเป็นหมูที่เลี้ยงถูกต้อง ได้รับการรับรองที่นั่น ปะปนกันมา

หมูเถื่อน หรือ หมูกล่อง ที่เข้าไปในบ้านเราทั้งหมด คือเป็นหมูที่ไม่มีการตรวจรับรอง แต่ขบวนการหมูเถื่อนก็จัดการให้เป็นหมูแท้ เอาเอกสารรับรองถูกต้องได้ เปิดช่องทางขายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ ส่งให้ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ร้านอาหาร เราไม่มีทางรู้เลยว่ารับประทานหมูแท้ หรือหมูกล่อง เราคงเคยได้ยินว่าห้างค้าส่งใหญ่ๆ บางแห่งถูกจับได้ว่าขายหมูเถื่อน เพราะปลอมแปลงเอกสารมาแล้ว เพราะฉะนั้นต้องดูให้ดีๆ อย่าเห็นแต่ของถูกอย่างเดียว หรือบริโภคเนื้อหมูให้ดูดีๆ

เอาง่ายๆ ท่านผู้ชมครับ ราคาหมูแท้ที่ผ่านการรับรอง ราคาตลาดตอนนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 125-140 บาท ราคาหมูกล่อง หรือหมูเถื่อน ต้นทุนนำเข้ากิโลกรัมละ 50 บาท บวกค่าส่วย ค่าสินบน ค่าชิปปิ้ง ก็ไม่เกิน 70 บาท กลุ่มขบวนการขาย ขายไปแค่กิโลกรัมละ 80-100 บาท ก็กำไรเละแล้ว

ประการที่สาม จากปัญหาหมูเถื่อนทะลักทำให้กลไกตลาดบิดเบือน เพราะหมูเถื่อนเข้ามาขายถูก ดัมพ์ราคาตลาด เป็นเหตุให้ผู้เลี้ยงหมูรายกลางถึงใหญ่ แต่ไม่ใหญ่ที่สุด เดือดร้อน ขายหมูไม่ได้ราคา หรือขาดทุน ผลทางจิตวิทยาทำให้หุ้นบริษัทใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การเลี้ยงหมูตกระนาว

สรุป การที่การปราบปรามหมูเถื่อนถูกจุดขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่ อย่างน้อยถ้าปราบปรามได้ หรือรัฐบาลสร้างความจริงใจ จริงจัง ผู้ที่ได้รับประโยชน์ปฏิเสธไม่ได้ว่าดีต่อผู้เลี้ยง และห่วงโซ่การเลี้ยงหมู รวมทั้งผู้บริโภค นั่นคือราคาหมูจะกลับไปสู่ความเป็นจริง กลไกตลาดจะพยุงราคาไม่ให้ตกต่ำจนเกินไป แต่กระนั้นก็มีคำถามตามมาว่า ใครได้ประโยชน์อย่างแท้จริง วันนี้ฟาร์มไหนอยู่รอดจากโรคระบาด ใครมีหมูตุนไว้ในฟาร์มมากที่สุด ใครมีหมูพร้อมจะขายให้ ก็ได้กำไร ต้องไม่ลืมว่าฟาร์มรายย่อยๆ ตายไปแล้ว นี่คือความจริงที่มีหนึ่งเดียว การปราบปรามหมูเถื่อนเป็นเรื่องที่ดี เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำเพื่อจัดการกับผู้กระทำผิดกฎหมาย และเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตมาลงโทษ แต่เราจะยอมรับหรือไม่ว่า นี่เป็นแค่เรื่องปลายเหตุ อาจจะถูกข้อครหาว่าเราเตะหมูเข้าปากหมา

ถ้าจะทำเรื่องนี้ นอกจากกล้าปฏิวัติวงการราชการที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหมูเถื่อน จัดการตัวการใหญ่ 3 ประสานบูรณาการโกง ต้องแก้ที่รากฐานการเลี้ยงหมู ฟื้นฟูส่งเสริมกษตรกรรายย่อย ดูแลเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ จัดหาปัจจัยการผลิต จัดหาพันธุ์หมู ให้การช่วยเหลือฟาร์มขนาดกลางและขนาดเล็ก ในเรื่องการลดต้นทุนอาหารสัตว์และยารักษาโรคที่ปัจจุบันราคาแพงมาก

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ สมัยก่อนชาวบ้าน คนเลี้ยงหมูรายย่อยเลี้ยงหมูกันในครัวเรือน หลายๆ คนมีเงินมีรายได้จุนเจือครอบครัว หลายๆ คนมีการศึกษา ได้เล่าเรียน เติบโตมาได้ก็เพราะบุญคุณของหมูที่พ่อแม่เลี้ยงไว้ รัฐบาลต้องฟื้นฟู แก้ไขระบบการเลี้ยงหมู ทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันได้หรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ ผมสรุปเอาง่ายๆ ดีกว่า ปัญหาหมูเถื่อนมันเกิดขึ้นมาได้เพราะ 3 กรมบูรณาโกงกัน กรมปศุสัตว์ กรมประมง เป็นผู้ออกใบอนุญาต กรมประมงออกใบอนุญาตว่าหมูที่แช่แข็งมานั้นคือปลาแซลมอนแช่แข็ง ก็ต้องเสียเงินเสียทองไป กรมปศุสัตว์ก็ออกใบอนุญาตให้ สองกรมนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมัยก่อนเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นคนที่ดูแลกระทรวงเกษตรฯ วันนี้คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า


จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยเห็นคุณธรรมนัส พรหมเผ่า พูดจาถึงเรื่องกรมปศุสัตว์ และกรมประมงเลยแม้แต่นิดเดียวว่าจะเอาอย่างไรกับข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ว่ากรมที่ท่านดูแลอยู่ในกระทรวงเกษตรฯ นั้น เป็นสองส่วนในการบูรณาการโกง ส่วนกรมศุลกากรนั้น ท่านนายกฯ เศรษฐา ท่านก็รู้อยู่แล้ว ตู้ละ 20,000-30,000 บาท 2-3 ปีที่ผ่านมาเข้ามาเป็นหมื่นตู้ คูณเข้าไปสิ เท่าไร ? เข้ากระเป๋าไปสิ เท่าไร ? ถึงทุกคน เจ้าหน้าที่ระดับที่ไปเคาะตู้ เปิดตู้ ก็ส่วนหนึ่ง หัวหน้า ผู้อำนวยการ อีกส่วนหนึ่ง ขึ้นไปถึงระดับผู้ใหญ่กว่า

ท่านนายกฯ เศรษฐาครับ เราอย่ามองโลกสวยครับ การสั่งให้ดีเอสไอไปทำงานก็ถูกต้อง แต่นั่นมันปลายทาง เดี๋ยวก็กลับมาอีก คุณธรรมนัส พรหมเผ่า ครับ คนเขาสงสัยประวัติคุณมามาก ทำงานให้เขาเห็นหน่อยสิ คุุณยิ่งอยู่เฉย ยิ่งทำให้คนเขาสงสัยในตัวคุณ แล้วไปยืนยันว่าอดีตของคุณเป็นอย่างไร น่าจะเป็นจริง

กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมศุลกากร แก้ปัญหานี้ได้ ล็อกได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีหมูเถื่อนเข้ามาหรอก

หลังฉาก APEC ประชาธิปไตย-เผด็จการ สลับขั้ว

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องผลพวง หรือว่าเบื้องหน้าเบื้องหลัง มิติ ความหมายของการประชุมเอเปคที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2566 ที่นครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ท่านผู้ชมได้เห็นไปแล้ว คือการจับไม้จับมือกัน แล้วก็อ่านแถลงการณ์กัน มีการประชุมนอกรอบระหว่างนายโจ ไบเดน กับ นายสี จิ้นผิง และระหว่างนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คิชิดะ กับ สี จิ้นผิง โน่นนี่นั่น แต่วันนี้ผมจะมาอธิบายมิติที่ปรากฏออกมา แล้วมีการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งให้ฟัง


การประชุมครั้งที่ผ่านมา เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผู้นำ 2 ประเทศใหญ่ อันดับหนึ่ง อันดับสอง คือ สหรัฐอเมริกา โดยนายโจ ไบเดน และประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายสี จิ้นผิง

สี จิ้นผิง นั้นเน้นย้ำเรื่องการพัฒนาร่วมกันทั่วโลก ขณะที่โจ ไบเดน ผู้นำอเมริกา กลับตอกย้ำซ้ำทวนว่าจีนเป็นชาติที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ คือพูดง่ายๆ ว่า มองเห็นประโยชน์ส่วนตัว ความได้เปรียบในการต่อว่าผู้นำจีน แต่ตัวเองนั้นไม่สนใจเลยว่าโลกจะเป็นอย่างไร ส่วนนายสี จิ้นผิง เน้นถึงความร่วมมือและการพัฒนาซึ่งกันและกัน เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่ง เมื่อในเวลานี้ผู้นำชาติคอมมิวนิสต์อย่างจีนกลับเน้นย้ำถึงความร่วมมือที่เปิดกว้าง ส่วนผู้นำโลกเสรีอย่างอเมริกากลับวนเวียนอยู่กับการคว่ำบาตร การกระพือความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ตะวันออก และเอเชีย จนเหมือนว่าโลกวันนี้ได้กลับตาลปัตร กลับขั้ว จนไม่รู้ว่าใครเป็นประชาธิปไตย และใครเป็นเผด็จการกันแน่


ในภาพจำที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในโลก มุมมองต่อจีนและสหรัฐอเมริกามักจะถูกตีความไปว่าฝ่ายหนึ่งคือสีขาว อีกฝ่ายหนึ่งคือสีดำ ซึ่งเป็นภาพที่ถูกย้อม เป็นสีที่ถูกย้อมโดยชาติมหาอำนาจทางตะวันตกตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นเป็นต้นมา สร้างภาพว่าจีนที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นเผด็จการก้าวร้าว ขณะเดียวกัน สร้างภาพของอเมริกา ผู้นำโลกเสรีว่าเป็นสุภาพบุรุษมาโดยตลอด

แต่พฤติกรรมการแสดงออกในช่วงการประชุมเอเปคที่ผ่านมา ชาวโลกเริ่มตระหนักว่าภาพที่สร้างออกมานั้น ถ้าพูดตามประสาวัยรุ่นยุคใหม่ เขาเรียกว่ามันไม่ตรงปก เรียกว่าพฤติกรรมที่ปฏิบัติกันมาต่อเนื่องยาวนาน กับพฤติกรรมที่พยายามสร้างภาพโดยกระบอกเสียง กลายเป็นคนละเรื่องกันไปเลย


ในการประชุมครั้งนี้ โจ ไบเดน เลอะเทอะมาก บอกสหรัฐฯ สามารถช่วยให้คนจีนพ้นจากความยากลำบาก ท่านผู้ชมฟังแล้วตลกดีไหมครับ

ก่อนการประชุมเอเปคจะเริ่มในวันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2566 นายไบเดน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับประเด็นการแบ่งขั้ว ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Decoupling ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในงาน Fifth National Climate Assesment เขาตอบอย่างนี้ครับ ผมถอดความแบบคำต่อคำมาให้ท่านผู้ชมฟัง นายไบเดน พูดว่า เราไม่ได้พยายามจะแบ่งขั้วกับจีน แต่เราพยายามเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ไปในทางที่ดีขึ้น จากมุมมองของผม ความจริงแล้วหากชาวจีนที่ประสบกับสภาวะความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ถ้ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของพวกเขาหรือประชากรจีนสามารถมีรายที่มีระดับรายได้ดีได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา และจะเป็นประโยชน์กับทุกคน


ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่ขำนะครับ ในข่าวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบลูมเบิร์ก หรือสำนักอื่นๆ ฟังก็คงขำกันหมด เพราะว่าคำพูดของไบเดนนั้น เป็นคำพูดที่ล้าสมัยและตกยุคอย่างมาก เรียกได้ว่าล้าหลังไปอย่างน้อย 20 กว่าปีเลย

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าอเมริกาวันนี้ยังหลงอยู่ในภาพลักษณ์เก่าๆ มองว่าประเทศตัวเองเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ คนอเมริกันร่ำรวย มีชีวิตสุขสบาย ใช้ชีวิตแบบความฝันของอเมริกัน (American's Dream) มีบ้าน มีรถ มีสระว่ายน้ำ มีการศึกษา กับประเทศจีนและคนจีนเป็นประเทศที่ล้าหลัง ยากจนข้นแค้น หาเช้ากินค่ำ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ณ วันนี้ ประเทศอเมริกามีปัญหาทั้งภาวะการเงิน การคลัง หนี้สาธารณะที่ท่วมทันจนต้องกู้จากประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน โดยออกพันธบัตรให้ประเทศเหล่านี้มาซื้อ มาอุดภาระหนี้ที่ภาครัฐสร้างขึ้น ภาวะเงินเฟ้อสูง ข้าวแพงหูฉี่ ส่งผลให้เกิดคนไร้บ้าน โดยเฉพาะที่เขาเรียกว่าพวก Homeless เต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองซานฟรานซิสโก ที่เคยเป็นเมืองสวรรค์ เคยเป็นเมืองที่ผมชอบที่สุดเมืองหนึ่งในอเมริกา วันนี้เต็มไปด้วยคนไร้บ้าน คนติดยา


ในทางกลับกัน ในเวทีเดียวกัน พอสี จิ้นผิง มาถึงซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ระหว่างการหารือระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับจีน ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่คฤหาสน์ฟิโลลี ในซานฟรานซิสโก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า จีนและอเมริกามีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น ทางเลือกแรก คือ เสริมสร้างความสามัคคีและความร่วมมือ ทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทายระดับโลก สร้างความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน หรือ ใช้แนวคิดฟาดฟันให้มอดม้วยมรณากันไปข้างหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Zero-sum game ซึ่งจะนำโลกไปสู่ความวุ่นวายและการแบ่งแยก ผู้นำจีนพูดชัดเจนว่า ทางเลือกทั้งสองนี้จะกำหนดอนาคตของมนุษยชาติและอนาคตของโลก


สี จิ้นผิง กล่าวกับ โจ ไบเดน ด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอเมริกานั้นมีความสำคัญต่อทั่วทั้งโลก จีน-อเมริกาไม่ควรหันหลังให้กัน การพยายามเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายหนึ่งนั้นย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าจะส่งผลร้ายแรงต่อทั้งสองฝ่าย การแข่งขันของมหาอำนาจนั้นไม่สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน และไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่จีนและอเมริกา และโลก กำลังเผชิญอยู่ได้ โลกวันนี้กว้างใหญ่เพียงพอที่สองประเทศสามารถประสบความสำเร็จร่วมกันได้ และความสำเร็จของจีนและอเมริกาจะเป็นโอกาสของกันและกัน

ผมติดตามข่าวต่างประเทศมานานกว่า 50 ปี นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นคำพูดของผู้นำในประเทศสังคมนิยมอย่างจีนแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ต้องคิดว่าเป็นคำพูดของโลกทุนนิยมอย่างอเมริกาเป็นแน่แท้

ทั้งนี้ ถ้าเราถอดความจากคำกล่าวของผู้นำจีน จะพบนัยสำคัญที่ซ่อนอยู่ประมาณ 5 หรือ 6 ประการ ประการที่หนึ่งที่ซ่อนไว้ คือ ปัจจุบันจีนมองว่าตัวเองมีสถานภาพเป็นประเทศที่ใหญ่ สามารถนั่งลงเจรจากับอเมริกาได้อย่างเท่าเทียมกัน สอง อเมริกานั้นยังคงติดหล่มอยู่กับแนวคิดสมัยสงครามเย็นว่าจีนเป็นคอมมิวนิสต์ แตกต่างจากเรา อยู่ร่วมกันไม่ได้


ข้อที่สาม สหรัฐฯ ต้องการเปลี่ยนแปลงจีน เหมือนกับอดีตผู้นำสหรัฐฯ หลายคนเคยบอกว่า สหรัฐฯ สนับสนุนให้จีนเข้าร่วมในองค์การการค้าโลก หรือ WTO ด้วยความหวังว่าจีนจะเปลี่ยนเป็นทุนนิยมเสรี แต่ สี จิ้นผิง พูดแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ สี่ แนวทางการพัฒนาของจีนไม่ใช่แบบเดียวกับสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ ก็สามารถได้ประโยชน์จากการพัฒนาของจีน ห้า จีนไม่กลัวการแข่งขัน แต่ก็ไม่เห็นด้วยว่าความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ควรถูกกำหนดแต่เพียงการแข่งขันเพียงอย่างเดียว หก จีนและอเมริกาสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้หลักการ 3 ประการ คือ ต้องเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การสร้างความร่วมมือที่ให้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือวิน-วิน


ท่านผู้ชมครับ นับตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาจนถึงยุคนายโจ ไบเดน อเมริกาได้เปิดสงครามการค้ากับจีน ใช้มาตรการกีดกัน คว่ำบาตรจีนสารพัด ทั้งด้านการค้า เทคโนโลยี เพราะหวาดผวาว่าจีนจะแซงหน้าขึ้นมาท้าทายเจ้าโลกอย่างอเมริกา แต่ สี จิ้นผิง ย้ำอีกครั้งในการพบกันครั้งล่าสุดว่า จีนไม่มีแผนที่จะก้าวข้ามหรือแทนที่สหรัฐฯ ดังนั้นสหรัฐฯ ไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีคว่ำบาตรและกีดกันจีน

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า มันมีเรื่องที่คนไม่ค่อยพูดกัน คือจีนและสหรัฐฯ ได้ตกลงกันแล้วเมื่อครั้งประชุม G20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย เมื่อปีที่แล้ว อเมริกายอมรับในหลักการ 5 ข้อ ว่า หนึ่ง อเมริกาจะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงระบบของจีน สอง อเมริกาจะไม่แสวงหาสงครามเย็นครั้งใหม่ สาม อเมริกาจะไม่สร้างกลุ่มพันธมิตรเพื่อต่อต้านจีน สี่ อเมริกาจะไม่สนับสนุนการประกาศตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน และห้า อเมริกาไม่มีเจตนาที่จะขัดแย้งกับจีน

แต่ท่านผู้ชมลองไล่เรียง 4-5 ข้อนี้ ท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวต่างประเทศมาตลอด ดูได้ว่าอเมริกาได้ทำตามคำมั่นสัญญาหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกลุ่ม QUAD กลุ่ม AUKUS อนุมัติขายอาวุธให้ไต้หวันล็อตแล้วล็อตเล่า เวลาผ่านไป 1 ปี หลังจากการประชุม G20 ที่บาหลี อินโดนีเซีย เมื่อคุณคุยกันแล้ว ตกลงกันแล้ว แต่ในที่สุดอเมริกาก็ไมได้ทำสักข้อเลย จนในที่สุดผู้นำจีน ในการประชุมเอเปคครั้งนี้ ต้องมาทวงถามสัญญาเก่าที่เคยสัญญากันไว้

ความลึกซึ้งของจีนในการประชุมครั้งนี้ สี จิ้นผิง และสื่อจีนทั้งหมดที่สี จิ้นผิง คุมอยู่ ใช้ Soft Power เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ลดดีกรีความขัดแย้ง ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่ก่อนการประชุมเอเปคที่ซานฟรานซิสโกจะเปิดฉากขึ้น สื่อของจีนได้รายงานข่าวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโกลบอลไทมส์ สำนักข่าวซินหัว CCTV ได้รายงานถึงความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ในเชิงบวกทั้งหมด เช่น เรื่องเมืองซานฟรานซิสโกที่เคยเป็นจุดหมายแรกของการเยือนสหรัฐฯ ครั้งแรกของสี จิ้นผิง เมื่อ 38 ปีก่อน ในปี 2528 (ผมเอารูปของสี จิ้นผิง ที่ยืนถ่ายรูปกับสะพานโกลเดนเกตให้ดู)


ในปี 2528 สี จิ้นผิง ซึ่งในเวลานั้นเป็นนายอำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ย ได้เดินทางเยือนซานฟรานซิสโก และมีสัมพันธภาพที่ดีกับชาวอเมริกัน

นางหวา ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้โพสต์ภาพนายโจ ไบเดน แสดงรูปในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นรูปของนายสี จิ้นผิง ถ่ายคู่กับสะพานโกลเดนเกต สัญลักษณ์ซานฟรานซิสโก เมื่อ 38 ปีที่แล้ว


สื่อมวลชนจีนพยายามสร้างบรรยากาศที่ดี เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ตรงกันข้ามเลยกับสื่อสหรัฐฯ ที่ทำตัวเป็นสื่อเสี้ยม ถามนายโจ ไบเดน ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ว่า ยังคงคิดว่าผู้นำจีนเป็นเผด็จการหรือเปล่า ซึ่งนายโจ ไบเดน อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า ใช่ ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์

ทั้งหมดนี้ก็ย้อนแย้งกับข้อตกลงที่อเมริกายอมรับว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจีนตามที่อเมริกาต้องการ คำพูดของนายโจ ไบเดน ว่าผู้นำจีนเป็นเผด็จการ มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทั้งสองคนได้พบกัน ยังไม่ทันขึ้นเวทีประชุมใหญ่ของเอเปคเสียด้วยซ้ำ ท่านผู้ชมลองคิดดู แล้วจะให้จีนคิดอย่างไรกับความจริงใจและมารยาทของเจ้าภาพ


นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา มีสีหน้ากระอักกระอ่วนที่ได้ฟังคำตอบและความเลอะเทอะของนายโจ ไบเดน กรณีตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ไบเดนยืนยันว่า สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการ นายบลิงเคนคงจะเซ็งเป็ดมากกับผู้นำตัวเอง

กรณีต่อมาคือเรื่องที่ผู้นำสหรัฐฯ พูดถึงบทบาทจีนว่าทำไมถึงไปสนับสนุนรัสเซีย และเกาหลีเหนือ ทำให้โลกแบ่งเป็นสองขั้ว ผู้นำจีนก็ตอบแบบนิ่มๆ ชั้นเชิงของสี จิ้นผิง กับ โจ ไบเดน นั้นเหมือนฟ้ากับเหวเลย สี จิ้นผิง ตอบว่า ถ้าการแสดงมิตรภาพคือการแบ่งขั้ว สี เลยถามอเมริกากลับไปว่า แล้วทำไมคุณไม่เลิกขายอาวุธเสียที ในขณะที่คุณบอกว่าอยากเห็นสันติภาพ อยากเห็นความปรองดอง แต่คุณขายอาวุธให้เขาไปประหัตถ์ประหารกัน แล้วที่คุณบอกว่าเราสนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องถามว่า การแสดงมิตรภาพต่อกัน เป็นการสนับสนุนให้ก่อสงครามหรืออย่างไร


ต่อมาเรื่องของไต้หวัน ประธานาธิบดีไบเดน ชี้ว่ากิจกรรมทางทหารของจีนรอบไต้หวันกำลังเพิ่มความตึงเครียดและความกังวล และสอนจีน แนะนำจีนให้ทบทวนยุทธศาสตร์ตัวเอง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็เลยตอบและย้ำว่า อเมริกาควรหยุดติดอาวุธให้ไต้หวันและสนับสนุนการรวมเป็นหนึ่งเดียวระหว่างจีนกับไต้หวัน ตามนโยบายหนึ่งจีนที่อเมริกายอมรับ

ท่านผู้ชมครับ การประชุมเอเปคที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ ยังได้ทำข้อตกลงความร่วมมือด้านนิวเคลียร์กับฟิลิปปินส์ ภายใต้ข้อตกลงนี้ ฟิลิปปินส์จะซื้อวัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีด้านนิวเคลียร์ จากบริษัทของอเมริกาเพื่อไปสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทดแทนโรงไฟฟ้าถ่านหินในปี 2575


ท่านผู้ชมครับ ถึงแม้ข้อตกลงจะมีฉากหน้าเป็นเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ระหว่างอเมริกากับฟิลิปปินส์ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า อเมริกาได้วางหมากตัวแรกในฟิลิปปินส์ให้เป็นชาติที่มีศักยภาพทางด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเชื่อมโยงกัน ที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน บอกว่าจะช่วยปกป้องฟิลิปปินส์จากการคุกคามของจีนในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ ในเรื่องนี้ นางเหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้แถลงก่อนที่ผู้นำจีนจะเดินทางไปประชุมเอเปคที่เมืองซานฟรานซิสโก พูดเตือนว่า จีนจะไม่ยึดครองดินแดนใดๆ ที่ไม่ใช่ของเรา แต่ก็จะไม่สละดินแดนใดๆ ที่เป็นของเราเช่นกัน

ในความเป็นจริงแล้ว เอเปค หรือชื่อเต็มว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเอเชียแปซิฟิก ภาษาอังกฤษเรียกว่า Asia-Pacific Economic Cooperation ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร ? ต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดทางการเมือง จึงรับสมาชิกที่ใช้สถานะเขตเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประเทศ ทำให้ฮ่องกง และไต้หวัน สามารถเป็นสมาชิกเอเปคได้ ปัจจุบันเอเปคมีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ


ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เอเปคมีเป้าหมายหลักคือการส่งเสริมการเปิดเสรีด้านการค้า การลงทุน รวมถึงความร่วมมือในด้านสังคม และการพัฒนา ทำให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการเติบโตในระยะยาวและต่อเนื่อง ยอดการค้าคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ระดับภาษีอัตราเฉลี่ยลดลงจาก 17 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ สร้างคุณูปการของการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกได้สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ทว่าในช่วงหลังๆ สหรัฐอเมริกากลับใช้เวทีเอเปคเพื่อเล่นการเมือง สร้างยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ขึ้นมาเพื่อปิดล้อมจีน ส่วนในทางเศรษฐกิจนั้น สหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตเทคโนโลยี ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน สวนทางกับเจตนารมณ์ของเอเปคอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่จีนที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม กลับเสนอความร่วมมือที่เปิดกว้าง และแสวงหาการพัฒนาร่วมกัน ในการประชุมครั้งล่าสุด ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เสนอแผน "สร้าง 30 ปีทองคำของการพัฒนาเอเชียแปซิฟิกในอนาคต" โดยมีข้อเสนอแนะ 4 ประการ คือ หนึ่ง ยึดมั่นในการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม สอง ยึดมั่นในแนวทางที่เปิดกว้าง สาม ยึดมั่นในการพัฒนาสีเขียว และสี่ ยึดมั่นในการแบ่งปันและมีผลประโยชน์ร่วมกัน คือวิน-วิน


ผู้นำจีนยังระบุว่า การพัฒนาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่ได้เกิดขึ้นจากการใช้นโยบายผลักเพื่อนบ้านให้เป็นยาจก หรือสร้างรั้วสูงล้อมรอบสนามหญ้าเล็ก หมายถึงการรวมกลุ่มของประเทศไม่กี่ประเทศ และตั้งเงื่อนไขไม่ให้ประเทศอื่นๆ เข้าร่วมกลุ่ม เช่น กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ร่มธงของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่อเมริกาเป็นหัวหอก สหรัฐฯ เป็นเจ้าแห่งทุนนิยมเสรี แต่วันนี้กลับใช้นโยบายแยกตัว แบ่งขั้ว และปิดล้อม และชอบประดิษฐ์คำเท่ๆ อ้างว่า เป็นการลดความเสี่ยง แต่ผู้นำประเทศสังคมนิยมอย่างจีน อย่างสี จิ้นผิง กลับประกาศบนเวทีเอเปค ว่า การขาดความร่วมมือนั่นล่ะคือตัวการที่สร้างความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เท่าที่ผมทราบมา หลังจากที่สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ในเวทีเอเปค ปรากฏว่าคนในเอเปค ผู้นำทั้งหลาย ปรบมือกันอย่างกึกก้อง ทุกคนยอมรับวิสัยทัศน์สี จิ้นผิง ทุกคนยอมรับว่าประเทศจีนเป็นผู้นำของโลกนี้อย่างไม่เป็นทางการ ทิ้งให้โจ ไบเดน และประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่กำลังจะค่อยๆ ล่มสลายไปทีละนิด เนื่องจากว่ามองทุกอย่างให้เป็นเรื่องของภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ เพราะว่าทุกคนจะต้องเดินตามรอยเท้าสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ต้องการยืนยันความเป็นผู้นำของโลกอยู่อย่างเหมือนเดิม

10 ประเด็นสำคัญ คดีชุมนุมสนามบิน

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคดีที่พันธมิตรฯ ถูกฟ้องเรื่องบุกสนามบิน แล้วฝ่ายอัยการซึ่งนำโดยตำรวจเป็นคนกล่าวหา ว่าพวกผมเป็นผู้ก่อการร้าย เราก็สู้คดีมาตลอด จนกระทั่งเหลือคำให้การ คดีนี้ 98 คน จำเลย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 แต่โดนข้อหาเดียวกันหมด


อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ท่านเป็นจำเลยที่ 18 ในคดีที่ 2 ท่านได้ไปเบิกความ ที่ผมต้องพูดเพราะจะมีการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ สำหรับกลุ่มที่ 1 คือกลุ่มผม หลังจากนั้นอีกไม่นาน วันที่ 20 กลุ่มที่ 2 อาจารย์ปานเทพ เป็นจำเลยอยู่ ก็จะได้รับฟังคำพิพากษา

เผอิญอาจารย์ปานเทพ ท่านได้ไปเบิกความเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก มีท่านผู้ชมที่เป็นพันธมิตรฯ ผู้หลักผู้ใหญ่มาให้กำลังใจกันหลายคน รวมทั้งคุณรสนา โตสิตระกูล อาจารย์สันติสุข โสภณศิริ แม้กระทั่งอาจารย์คมสันต์ โพธิ์คง แนวร่วมพันธมิตรฯ บางท่าน นั่งเครื่องบินจากขอนแก่นมาเพื่อมาฟังจนเต็มห้องประชุม น่าสนใจมากท่านผู้ชม อาจารย์ปานเทพ จำเลยที่ 18 เบิกความยาวที่สุดในบรรดาจำเลยทั้งหมด เป็นบันทึกคำให้การยาวมากถึง 118 หน้า ในแบบฟอร์มของศาล ซึ่งข้อความที่อาจารย์ปานเทพเบิกความนั้นมีทั้งประเด็นข้อกฎหมาย หลักฐานมากกว่า 150 ชิ้น แล้วก็มีการเรียบเรียงเป็นระบบ ซึ่งเราไม่สามารถจะนำมาเสนอในรายการนี้ได้ทั้งหมด


ประเด็นที่อาจารย์ปานเทพเบิกความไป และอัยการซักค้านเรื่องส่วนตัวนั้น ผมไม่ขอกล่าวถึง แต่เห็นว่าเนื้อหาการต่อสู้ทางวิขาการของอาจารย์ปานเทพนั้นมีความน่าสนใจต่อประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อสื่อมวลชนที่จะติดตามคดีประวัติศาสตร์นี้ เพื่อจะได้ฟังคำพิพากษาคดีนี้พร้อมกัน

ผมสรุปในความเห็นส่วนตัว ในฐานะสื่อมวลชน ในข้อเท็จจริงของเหตุการณ์การชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จริงๆ แล้วมีสาระสำคัญ 10 ประเด็น

ประเด็นแรก การต่อต้านของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ต่อต้านเพราะมีการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาให้ลงโทษตามกฎหมาย เป็นที่ยุติ เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วถึง 12 คดี เช่น คดีซื้อขายที่ดินรัชดา คดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป คดีแก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป คดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชกิจจานุเบกษาพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้นชัดเจนว่า นักโทษชายทักษิณ ได้นำความกราบบังคมทูลว่าได้เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยอมรับว่าได้กระทำผิดแล้ว และมีความสำนึกในความผิดแล้ว


การที่คดีทุจริตคอร์รัปชัน 12 คดี ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และพวก ได้ดำเนินการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีคำพิพากษา นำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้สำเร็จ องค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ทำได้สำเร็จก็เพราะว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีส่วนสำคัญที่สุด ดังนั้นการชุมนุมต่อต้านพรรคพลังประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 309 เพื่อมิให้มีการล้มล้างผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า คตส. นอกจากจะเป็นการดำเนินการเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 69 ยังเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ อันเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามที่บัญญัติเอาไว้ในมาตรา 71 ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย

มาตรา 71 "บุคคลมีหน้าที่ปกป้องประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย" นั่นคือประเด็นแรก


ประเด็นที่สอง การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านรัฐบาล ซึ่งได้อำนาจในการปกครองประเทศด้วยวิธีการอันมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาลงโทษพรรคการเมือง เป็นที่ยุติแล้ว 2 คดี คดีที่ 1 พรรคไทยรักไทย จ้างพรรคการเมืองอื่นมาเชิดเป็นคู่แข่งเทียมในเขตเลือกตั้ง ปรากฏตามคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 35/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 คดีที่ 2 พรรคพลังประชาชน ได้มีกรรมการบริหารพรรคกระทำการซื้อเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง จึงเท่ากับพรรคพลังประชาชนได้อำนาจมาด้วยการโกงการเลือกตั้ง ปรากฏตามคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2551 ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2551


เพราะฉะนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุไว้ในมาตรา 68 ข้อความตอนท้ายว่า "บุคคลใดจะใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้" ดังนั้น เมื่อพรรคพลังประชาชนได้อำนาจมาโดยมิชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพราะโกงการเลือกตั้งมา พันธมิตรฯ จึงมีสิทธิต่อต้านการได้อำนาจโดยมิชอบ ตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 69 ที่ว่า

มาตรา 69 "บุคคลมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งกระทำการใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"

ดังนั้นการคัดค้านและต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชน นอกจากเป็นการต่อต้านการได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนุญตามมาตรา 69 แล้ว ยังคัดค้านไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เพื่อยกเลิกความผิดคดียุบพรรคหลังโกงการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนสำเร็จไปแล้วอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว พันธมิตรฯ จึงทำหน้าที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ ตามมาตรา 70 อีกด้วย ที่ว่า "มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้"


ประเด็นที่สาม พันธมิตรฯ ต่อต้านรัฐบาลเป็นไปด้วยสุจริตและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปรากฏแก่คำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นประมาท ยกฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ 2 คดี คำพิพากษาฎีกาแรก 13699/2557 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15927/2557 เป็นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด พันธมิตรฯ ชนะฟ้องคดีตำรวจสลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 หนึ่งคดี ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1442/2560 และชนะยกฟ้องในศาลอุทธรณ์ คดีที่อัยการฟ้องการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลาคม 2551 อีกหนึ่งคดี คือ คดีหมายเลขดำที่ อ. 4924/2555

ท่านผู้ชมครับ นี่แสดงให้เห็นว่าเนื้อหาและเหตุผลของการชุมนุมนั้น เป็นความจริง พรรคพลังประชาชนพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เป็นเรื่องจริง การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นเรื่องจริง การชุมนุมขับไล่รัฐบาลของพันธมิตรฯ เป็นสิทธิและหน้าที่ และเสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ประเด็นที่สี่ พันธมิตรฯ เป็นผู้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นอกจากจะยืนยันด้วยเจตนารมณ์ในการทำแถลงการณ์ทุกฉบับแล้ว ท่านผู้ชมจำได้ไหมเรามีแถลงการณ์ออกมาต่อเนื่อง ยังมีผลลัพธ์ต่อมา รวมถึงการคัดค้านการแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติในพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหาร เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 67/2551 การลงนามแถลงการณ์ร่วมของไทยต่อรัฐบาลกัมพูชาทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอาณาเขต จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

จากหลักฐานข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นลักษณะการทำหน้าที่เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและความปลอดภัยของรัฐธรรมนูญปี 2550


ประการที่ห้า เมื่อพันธมิตรฯ ได้ทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 การใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 69 เพื่อต่อต้านให้การได้มาซึ่งอำนาจการปกครองของประเทศโดยมิได้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเลือกวิธีการชุมนุมสาธารณะ ตามมาตรา 63 เวลานั้นพันธมิตรฯ เลือกวิธีการหลายวิธี ออกแถลงการณ์ไปแล้ว 9 ฉบับ จัดสัมมนาหลายครั้ง ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด เข้าชื่อถอดถอน สส. แต่รัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ยังคงเดินหน้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 และ 237 เพื่อฟอกความผิดคดีทุจริตเลือกตั้ง และทุจริตเลือกตั้ง จึงต้องอาศัยวิธีการชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็นเสรีภาพที่ถูกรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ความว่า "มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ"

มาตรา 63 วรรคสอง เขียนต่อด้วยว่า "การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ"

หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าเสรีภาพในการชุมนุมของเราจะถูกจำกัดไม่ได้ ตราบที่มีการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ จนกว่าจะมีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ หรือมีกฎหมายอื่นใดว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะโดยเฉพาะ ดังนั้น จะอาศัยกฎหมายอาญาฉบับอื่นมาลงโทษผู้ชุมนุมสาธารณะ ย่อมกระทำมิได้

ท่านผู้ชมครับ ตั้งใจฟังให้ดีๆ ในปี 2551 ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายชุมนุมสาธารณะ เป็นการเฉพาะตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ยิ่งไปกว่านั้น การไม่มีกฎหมายเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับข้อห้ามในเสรีภาพ การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ การใช้สิทธิและทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติเอาไว้ การจำกัดเสรีภาพการชุมนุม ก็เลยจะทำไม่ได้ พันธมิตรฯ จึงเป็นผู้ที่ควรได้รับการคุ้มครองในการใช้สิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการใช้สิทธิและการกระทำหน้าที่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นไปโดยเจตนาสุจริต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตและอันตรายร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ ก็เลยเป็นเรื่องจริง และได้มีการพิสูจน์ต่อมาด้วยคำพิพากษาเป็นจำนวนมาก


ประการที่หก พฤติการณ์ของพรรคพลังประชาชนที่ได้อำนาจโดยมิชอบโดยรัฐธรรมนูญ เป็นรากฐานทำให้เกิดการบิดเบือนและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมจำนวนมาก ทำให้เป็นเหตุอันสำคัญที่ทำให้ต้องมีการชุมนุมสาธารณะ เพื่อเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะ กดดันต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของพรรคพลังประชาชนนั้นได้รวมถึงการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โยกย้ายข้าราชการตำรวจ เข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดให้ตัวเองและพวกพ้อง ทั้งคดีการทุจริตคอร์รัปชัน และคดีการยุบพรรคจากคดีการทุจริตการเลือกตั้ง การละเมิดอำนาจศาลโดยนำเงิน 2 ล้านบาท ใส่ถุงขนมให้กับสำนักงานศาลยุติธรรม ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 4599/2551 คดีการปลอมแปลงเอกสารในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อช่วยเหลือการทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน

นอกจากนี้แล้ว ยังมีขบวนการบ่อนทำลายภาคประชาชนด้วยการดำเนินคดีต่อแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ จำนวนมาก เพื่อให้เกิดความเดือดร้อน ให้เกิดอุปสรรคในการชุมนุม รวมทั้งคดีหมิ่นประมาท และคดีการชุมนุมในคดีนี้ด้วย โดยภายหลังการที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยุติบทบาทไป เนื่องจากมีข้อจำกัดในเงื่อนไขการประกันตัวของศาลในคดีการชุมนุมปี 2556 ยิ่งทำให้เห็นว่าขบวนการนิรโทษกรรมล้างความผิดด้วยการลุแก่อำนาจมากขึ้น เพราะต่อมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้พยายามเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งวุฒิสภา ทำลายลักษณะสาระสำคัญในระบบสองสภา ปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 รวมถึงต่อว่า สส. พรรคเพื่อไทย ผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อช่วยคดีที่มีการทุจริตทั้งหมดให้กับนายทักษิณ ชินวัตร จนเกิดขบวนการ กปปส. และการรัฐประหารต่อมา

แม้ในเหตุการณ์ปัจจุบัน นักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร ก็ได้อภิสิทธิ์เหนือนักโทษทั่วไปด้วย เพราะไม่ได้อยู่ในเรือนจำเลยแม้แต่วันเดียว แล้วทำให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยในความเหลื่อมล้ำ ในความไม่เป็นธรรมต่อประชาชน จนถูกเรียกว่าเป็นนักโทษเทวดา


การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องที่สมควรแก่เหตุในปัญหาที่สลับซับซ้อนและมีเครือข่ายมาก เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่ร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อต่อสู้กับปัญหาภัยต่อความมั่นคงของรัฐ เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่เกิดจากขบวนการทำลายหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นการตรวจสอบและการต่อต้านของภาคประชาชนด้วยการชุมนุมสาธารณะจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อระบอบการปกครองในทุกยุคทุกสมัย เพื่อไม่ให้รัฐบาลที่ได้อำนาจในแต่ละยุคสมัยใช้อำนาจไปในทางมิชอบ เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง อันเป็นการกระทำที่ขัดแห่งผลประโยชน์ในเวลานั้น

ประการที่เจ็ด พันธมิตรฯ ยึดถือแนวทางการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธมาโดยตลอด มีการเปิดเผยการเคลื่อนไหวต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนด้วยแถลงการณ์ทั้ง 29 โดยเฉพาะไม่ว่าจะถูกยั่วยุเพียงใด แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะใช้วิธีแถลงการณ์เพื่อยืนยันการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเช่นเดิม และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัดในทุกกรณี ปรากฏตัวอย่างแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 14/2551


ประการที่แปด นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทำต่อผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งพันธมิตรฯ ชนะคดีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1442/2560 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้เกิดเหตุที่มีผู้ยิงอาวุธสงครามที่เป็นระเบิดและปืนใส่ผู้ชุมนุมและสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV อย่างต่อเนื่อง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐมารักษาความปลอดภัยหรือจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นการใช้อาวุธสงครามยิงเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ใจกลางพระนครอย่างต่อเนื่อง อันจะถือได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้นจงใจปล่อยปละละเลย รู้เห็นเป็นใจ สมรู้ร่วมคิด หรืออาจจะเจตนาร่วมมือ หรือกระทำเองด้วย จึงสามารถทำความรุนแรงเช่นนี้ได้

โดยที่ผู้ชุมนุมถูกกระทำด้วยความรุนแรงด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง จากเดือนตุลาคม 2551 เฉลี่ยทุกๆ 6.2 วัน จะเกิดขึ้น 1 ครั้ง แต่ในช่วง 23 วันแรกของเดือนพฤศจิกายน เกิดเหตุความรุนแรง ยิงระเบิดใส่ผู้ชุมนุมถึง 7 ครั้ง คิดเป็นความถี่เพิ่มขึ้นทุกๆ 3.3 วัน จะเกิดเหตุ 1 ครั้ง รวมเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม มีความถี่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า และตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน รวมกันมากถึง 11 ครั้ง รวมผู้เสียชีวิต 4 คน บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน


และทั้งหมดนี่คือเหตุผลที่พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 24/2551 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 ให้ระดมประชาชนมาให้มากที่สุด ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 โดยเรายืนยันว่าไม่สามารถที่จะให้ประชาชนอยู่ในที่ตั้งได้อย่างปลอดภัยจากการถูกทำร้ายเพื่อขับไล่รัฐบาลให้เร็วที่สุด เพราะรัฐบาลไม่รับผิดชอบต่อการล้มหายตายจากของประชาชนจำนวนมาก แต่เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีมวลชนมากที่สุดแล้ว แกนนำพันธมิตรฯ ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้มีมติใดๆ เลย

แต่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ได้มีผู้ชุมนุมบางกลุ่ม เป็นเอกเทศ ตัดสินใจเดินทางไปท่าอากาศยานดอนเมือง โดยปราศจากมติแกนนำพันธมิตรฯ เราไม่ได้มี ไปกันเอง เพราะดอนเมืองเป็นที่ตั้งทำการชั่วคราวของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งพื้นที่จราจรหน้าอาคารชั่วคราวทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถเป็นเหตุให้การปิดสนามบินได้เลย ซึ่งผมไม่ได้เดินทางไปด้วย จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน ผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง เดินทางไปเส้นทางจราจรหน้าอาคารผู้โดยสารขาออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งผมก็ไม่ได้เดินทางไปด้วยเช่นกัน

โดยการชุมนุมบริเวณท่าอากาศยานทั้งสองแห่งไม่ได้มีการแถลงการณ์ว่าเป็นมติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นการกระทำโดยประชาชนเป็นเอกเทศ เป็นปัจกเจกบุคคล ตัดสินใจกันเอง


ในช่วงเวลาตั้งแต่ 24 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม รวมเวลา 9 วัน มีเหตุการณ์รุนแรงด้วยอาวุธสงคราม ทั้งระเบิด ปืนอาก้า ยิงใส่ผู้ชุมนุมและสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV รวมมากถึง 9 ครั้ง หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นการทำร้ายผู้ชุมนุมทุกวันเลย สำหรับประเด็นนี้พิสูจน์ได้ว่า ผู้ชุมนุมบางกลุ่มไม่สามารถอยู่ในที่ตั้งได้ เพราะรัฐบาลไม่คุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่เก้า ประเด็นการชุมนุมทำให้เป็นเหตุผลการปิดท่าอากาศยานได้จริงหรือไม่ ปรากฏว่าในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือไปถึงนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย เพื่อยืนยันว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ชุมนุมในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการขึ้น-ลงของเครื่องบิน ทั้งในส่วนลานบิน หลุมจอด หอบังคับการบิน ไม่เคยขวางการบิน จึงขอให้เปิดทำการท่าอากาศยานทั้งสองแห่ง

นอกจากนั้น ยังพบหลักฐานซึ่งเป็นข้อเท็จจริงว่าการชุมนุมของกลุ่มคนอื่นที่บริเวณพื้นที่จราจรหน้าอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิถึง 5 ครั้ง ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่มีข่าวการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ไม่เคยมีคำสั่งให้ปิดการบริการท่าอากาศยาน หรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแต่อย่างใด


คือก่อนที่พันธมิตรฯ ไป มีการชุมนุมหน้าอาคารท่าอากาศยานตั้ง 5 ครั้ง แท็กซี่ชุมนุมกันเต็มไปหมด แต่ไม่เคยมีคำสั่งให้ปิดการบริการที่ท่าอากาศยาน แต่พอพันธมิตรฯ ไป ก็สั่งให้ปิดเลย ทั้งๆ ที่ พล.ต.จำลอง ยื่นจดหมายไปแล้วว่าเราไม่ได้ไปขัดขวางการให้บริการของการท่าอากาศยาน นอกจากนั้น ตามเอกสารตารางสรุปเที่ยวบินของสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีรายละเอียดบ่งชี้ชัดว่าระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ยังมีรายการเที่ยวบินทั้งขาเข้า-ขาออกให้บริการ จึงทำให้เชื่อได้ว่า การที่เจ้าหน้าที่รัฐสั่งปิดท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง รวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เป็นการกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ เพื่อให้เสียหาย ให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะในเวลานั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นคู่กรณีโดยตรงกับรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากคดีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551

ประการที่สิบ การดำเนินคดีความต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนไม่เคยรวบรวมหลักฐานอย่างรอบด้าน แต่รวบรวมหลักฐานเฉพาะที่จะกล่าวหาให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความผิดแต่เพียงอย่างเดียว ปราศจากการหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาในเวลาเดียวกันด้วย จึงไม่ปรากฏหลักฐานอันสำคัญอันเป็นข้อเท็จจริงในคดีในสำนวนการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ ไม่ปรากฏแม้กระทั่งแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 29 ฉบับ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ สำคัญตรงไหน ? สำคัญตรงที่เป็นการแสดงเจตนาและการกระทำด้วยความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญอันเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งตามกฎหมายอาญา ในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา


ประเด็นที่สำคัญที่สุด คณะพนักงานสอบสวนไม่เคยพิจารณาประเด็นปัญหาการสิ้นผลบังคับใช้กฎหมายตามข้อกำหนดการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าข้อกำหนดห้ามชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองไม่ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาตามที่กฎหมายกำหนดไว้

นอกจากนั้นแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในขณะนั้นที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ออกข้อกำหนดในเรื่องเดียวกันภายใน 48 ชั่วโมง ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามมาตราที่ 10 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เรื่องการห้ามชุมนุม ทั้งที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเช่นกัน แต่กลับนำประเด็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้มาดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก

นอกจากนี้แล้วยังปรากฏมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสอบสวน คือ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ที่ดำเนินคดีต่อพันธมิตรฯ เพราะ พล.ต.ท.วุฒิ เห็นว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้กระทำผิดและเป็นผู้ก่อการดี ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย


การดำเนินคดีต่อแกนนำและผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อทำให้ขบวนการภาคประชาชนอ่อนแอลง ข้อสำคัญคือไม่ต้องการให้พันธมิตรฯ มาเป็นอุปสรรคในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยต่อมา และเมื่อขบวนการพันธมิตรฯ อ่อนแอลง จึงทำให้ทักษิณ ชินวัตร ลุแก่อำนาจ ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ในห้อง Royal Suite 1401 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องถูกจำคุกในเรือนจำจริงเลยแม้แต่วันเดียว จนถึงปัจจุบัน ซึ่งผมจะรวบรวมประเด็นเหล่านี้เข้าประกอบกันเพื่อเป็นคำแถลงปิดคดีก่อนวันพิพากษาวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ต่อไป อย่างน้อยเพื่อเป็นการให้ความเป็นธรรมต่อการบันทึกประวัติศาสตร์ อุทิศให้กับผู้ที่เสียชีวิต แขนขาขาด ทุพพลภาพจากการชุมนุมในปี 2551 รวมทั้งแกนนำและจำเลยหลายคนที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว

คำแถลงการณ์นี้ในการปิดคดี เมื่อศาลได้รับเข้าสู่สำนวนแล้ว จะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จะแก้ไขไม่ได้ ผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม คำชี้แจงนี้พร้อมหลักฐานประกอบ เพื่อยืนยันคำชี้แจงที่ผมชี้แจงมานี้ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ถูกต้องตามข้อกฎหมาย เราทำตามข้อกฎหมาย ถ้าคำพิพากษาเป็นอันอื่นใด หลักฐานนี้ก็ยังคงอยู่ในสำนวน และสามารถจะรื้อฟื้นขึ้นมา ถึงแม้คำพิพากษาจะสิ้นสุดแล้วถึงขั้นศาลฎีกา คำพิพากษานี้ ด้วยหลักฐานนี้ ก็ยังคงอยู่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเราทำทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ทำตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญกำหนดมอบให้เราทำ เราโดนกลั่นแกล้งมาตลอด การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเรื่องของความร้ายแรงของเหตุการณ์ ก็ไม่ได้ทำตามกฎหมาย ออกมาแต่ไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก็ย่อมถือว่าไม่มีผล ก็เอาผลนี้มาดำเนินคดีกับเรา

ผมก็หวังว่าท่านผู้พิพากษาที่มีจิตใจเป็นธรรมและเคารพในกฎหมาย อย่าไปดูเหตุการณ์ว่าการเข้าชุมนุมที่หน้าสนามบินนั้นเป็นเหตุการณ์ของการบุกรุก ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 1-2-3-4-5 ทุกอย่างมันมีเหตุ ผลของการชุมนุมมันมีเหตุที่เกิดขึ้น มันต้องทำให้เขาไป พันธมิตรฯ ถูกทำร้ายตลอดเวลา ถูกยิงด้วยปืน ยิงด้วยระเบิด เขามีการขับเคลื่อนตลอดเวลา ไม่อยู่กับที่ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ปกป้องประชาชน มิหนำซ้ำยังแสดงอาการที่มีส่วนร่วมในการทำร้ายประชาชนอีกด้วย และการที่ไปที่สนามบินนั้น การเรียกพันธมิตรฯ เข้ามาชุมนุมมากที่สุดในวันที่ 23 นั้น เราก็ไม่ได้ไปไหน เราอยู่ที่ตั้ง แต่พอวันที่ 24 ก็มีกลุ่มเอกชน กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เป็นเอกเทศ เขาตัดสินใจของเขาเองที่เขาจะไป ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงครับ


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรื่องสุดท้ายนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก พวกผมสู้มาตลอดชีวิต ภายใต้กรอบกฎหมาย อย่างที่ผมอ้างมา ทั้งตำรวจ ทั้งอัยการ ไม่เคยพิจารณาเรื่องรัฐธรรมนูญที่พวกเราทำสู้เพื่ออะไรล่ะ มิหนำซ้ำยังละเว้น ไม่ดึงเอาหลักฐานที่จะเป็นส่วนช่วยพวกเราได้เข้ามาประกอบ เอาแต่หลักฐานที่จะทำลายพวกเรา ทั้งตำรวจ และทั้งอัยการ และผมก็หวังว่าท่านองค์คณะผู้พิพากษาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชั้นต้น อุทธรณ์ หรือถ้าจะต้องฎีกา จะพิจารณาเรื่องนี้โดยดูภาพรวม ผมขอเพียงแค่นี้ล่ะครับ ให้ความเป็นธรรมกับพวกผม ผมต่อสู้เพื่อการทุจริตคอร์รัปชัน คำถามคือ มีหรือเปล่า ? คำตอบคือ มีอยู่แล้ว อะไรคือหลักฐาน ? คำพิพากษาของศาลฎีกาคดีของคุณทักษิณ ชินวัตร ผมต่อสู้เพื่อไม่ให้คุณแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อยกเว้นความผิดให้พวกคุณ และเพื่อลบล้างความผิด หลักฐานก็มีอยู่แล้ว ผมต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลักฐานก็มีอยู่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดเจนว่าพรรคพลังประชาชนปกครองประเทศด้วยการมาเป็นรัฐบาลโดยไม่ชอบ ทุกอย่างมีหลักฐานหมด ยืนยันในสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ ทุกข้อ ทุกกรณี ทุกประการ

ท่านผู้ชมครับ พูดแล้วเจ็บช้ำน้ำใจ พวกผมได้ประโยชน์อะไรบ้าง ตอบให้ผมทราบหน่อย พวกผมไม่ได้เป็นนักการเมือง พวกผมไม่ได้ชุมนุมเสร็จเรียบร้อยแล้วพอมีการรัฐประหาร บางคนในกลุ่มชุมนุมไปเป็นรัฐมนตรี พวกผมไม่มี เดินขึ้นโรงขึ้นศาล ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ถ้าอย่างนั้นแล้วอีกหน่อยพวกผมจะมีใครที่จะกล้าออกมาเพื่อใช้สิทธิในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะทำไปแล้วก็ฉิบหายกันทุกคน ไม่มีประโยชน์ พวกผมล้มละลายกันอีกต่างหาก ท่านผู้ชมครับ มันน่าเจ็บช้ำน้ำใจไหม วันนี้ขอระบายให้ฟังนิดหนึ่ง แต่ผมไม่ได้กลัวนะ สุดแล้วแต่ศาลท่าน เพราะสำนวนนี้ คำแถลงการณ์อันนี้ของผมและของอาจารย์ปานเทพจะอยู่ในสำนวนอย่างแน่นอน จะหนีไปไหนไม่ได้ ความจริงมีหนึ่งเดียวจะต้องปรากฏขึ้นมา ถึงจะปรากฏช้าหน่อยก็ตาม

ท่านผู้ชมครับ คลิปสุดท้ายนี้เหนื่อย พูดด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ เลือดไหลออกมาในร่างกายผม วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น