xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละโผ“ครม.เศรษฐา2” ดึง “นายกฯ นิด” เข้าเซฟโซน “ดีลลับ-ทุนพรรค” มาตามนัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กระเพื่อมเกินเบอร์ไปเยอะทีเดียว สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี “ครม.เศรษฐา 2” ที่ทำเอา “นักวิ่ง” สับกันไม่ลืมหูลืมตาว่า ผ่านการทำงานมาแค่ 7 เดือนเศษ และงบประมาณ 2567 ยังไม่ได้ใช้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยหวังจะให้ “ปรับใหญ่” แต่สุดท้ายแค่ “ปรับเล็ก” ไม่กี่ตำแหน่งตามโผล่าสุดที่ออก ซึ่งก็เป็นไปตามความตั้งใจของ “มาสเตอร์มายด์” ระดับตัดสินใจที่อยากปิดเกมเร็ว ตั้งแต่เปิดทำการหลังหยุดยาวสงกรานต์ แต่เกิดข่าวรั่ว กลายเป็นแรงกระเพื่อมอย่างที่เห็น

ทั้งจากเจ้าของตำแหน่งรัฐมนตรีที่ตะเกียกตะกายเกาะขาเก้าอี้แน่น กับบรรดาแคนดิเดตที่กระเสือกกระสนหมายนั่งเก้าอี้เสนาบดี โดยมีกระแสข่าวว่าหัวกระไดบ้านคนแวดล้อม “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนักโทษเด็ดขาดที่อยู่ระหว่างได้รับการพักโทษ ถึงกับไม่แห้งกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ อดีตภริยา, “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว, “ลูกอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาว และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

กระทั่ง “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ที่หลบหนีโทษจำคุกอยู่ใสต่างประเทศอย่างโดดเดี่ยว ก็มี “ลิ่วล้อ” ต่อสายขอพึ่งบารมีจนสายแทบไหม้

ก่อนจะมีข่าวว่า ผู้มีอำนาจตามกฎหมายอย่าง ”นายกฯนิด“ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้นัดรับประทานอาหารกลางวันกับ “นายใหญ่ทักษิณ” ที่โรงแรมโรสวูด ย่านเพลินจิต กิจการของตระกูลชินวัตร เพื่อหารือรายชื่อปรับ ครม.ครั้งสุดท้ายก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ

โดยในส่วนโควตาพรรคเพื่อไทยสะเด็ดน้ำที่ “ขาเข้า” มีชื่อของ พิชัย ชุณหวชิร ที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในตำแหน่งรองนายกฯ ควบ รมว.คลัง, พิชิต ชื่นบาน กับตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านกฎหมาย, เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขาฯ รมว.คลัง ขยับเข้าเสริมทีมเศรษฐกิจในตำแหน่ง รมช.คลัง และ จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด รับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์

ขณะที่ “ขาออก” มี 3 ราย ได้แก่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หลุดตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข, ไชยา พรหมา หลุดจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ พวงเพ็ชร ชุนละเอียด หลุดจาก รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยั งมีการสลับปรับเปลี่ยนบางตำแหน่งให้ “ถูกฝาถูกตัว” อย่าง “นายกฯ นิด” เกริ่นไว้เมื่อช่วงสงกรานต์ อาทิ ตัว “เศรษฐา” ที่ผละจาก รมว.คลัง เหลือเพียงตำแหน่งนายกฯ โดยไม่ได้ขยับไปควบ รมว.กลาโหม ตามกระแสข่าว, ปานปรีย์ พหิทธานุกร ผละจากรองนายกฯ เหลือแค่ รมว.ต่างประเทศ, สมศักดิ์ เทพสุทิน จากรองนายกฯ ไปเป็น รมว.สาธารณสุข, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ได้ควบรองนายกฯอีกตำแหน่ง และ จักรพงษ์ แสงมณี โยกจาก รมช.ต่างประเทศ ไปเป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ช่วยงานนายกฯ เต็มตัว

รวมถึงการสลับในส่วน 2 กระทรวง โดย สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จะสลับตำแหน่งกับ เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม

โดยมีพวกที่ยังหนังเหนียวอยู่ คือ สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และ เกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ที่ยังได้ไปต่อในตำแหน่งเดิม

ทั้งนี้การขยับปรับเปลี่ยนของแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย ก็ดูจะเป็นตามเนื้อผ้า มีแรงกระเพื่อมตามประสาพรรคใหญ่

แต่ที่กระเพื่อมหนักกว่า เห็นจะเป็น “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีโควตาเพียง 4 เก้าอี้รัฐมนตรี แต่กลับเคลื่อนไหวกันหนักอย่างไม่น่าเชื่อ ผ่านการปล่อยข่าว ที่ถึงขั้นไปเลื่อยขาเก้าอี้ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ที่เป็น รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน รวมทั้งขย่มเก้าอี้ที่มีอยู่ ทั้ง พิมพ์ภัทรา วิชัย รมว.อุตสาหกรรม, อนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ กฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง จนดูจะวุ่นวายเสียยิ่งกว่าพรรคหลักอย่างพรรคเพื่อไทยเสียอีก

เรื่องของเรื่องก็เพราะในพรรครวมไทยสร้างชาติ มี “เบอร์ใหญ่” มากกว่าโควตาเก้าอี้ที่มีอยู่ โดยเฉพาะพวกที่แอบลุ้นอย่าง สุชาติ ชมกลิ่น อดีต รมว.แรงงาน, ธนกร วังบุญคงชนะ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นอาทิ


ไม่เท่านั้นยังขย่มเก้าอี้ของ “กฤษฎา” รมช.คลัง ที่ดูเหมือนจะไม่ยึดโยงกับ “ฝ่ายการเมือง” เท่าที่ควรอย่างหนัก ด้วยหวังว่าจะฮุบโควตามาแบ่งสรรกันในบรรดา สส. อีกทั้งมีข่าวหนาหูว่า มีความพยายามจาก “ผู้ใหญ่” ในการผลักดัน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขานุการ รมว.กลาโหม ที่เป็นคนสนิทของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตสมาชิกพรรค มาดำรงตำแหน่ง รมช.กลาโหม

ก็ยิ่งทำให้ “ฝ่ายการเมือง” ในพรรครวมไทยสร้างชาติ เคลื่อนไหวหนักขึ้น เพราะไม่ต้องการให้เก้าอี้ รมช.กลาโหม มากินโควตาพรรค เนื่องจากเท่ากับจะเบียดบังโควตา “ฝ่ายการเมือง” ไปกันใหญ่ และพยายามจะผลักไปเป็นโควตากลางของพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ไม่พร้อมรับโควตา “ทอปบูต” เช่นกัน

ขณะที่ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ก็มีความบันเทิงเล็กๆเช่นกัน จากที่มีโควตาว่างเพียง 1 ตำแหน่ง แต่กลับมีการส่งประวัติให้ตรวจสอบถึง 3 คน คือ ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร, อรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา, และ อนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร

โดยที่รู้กันอยู่แล้วว่า รายของ “ไผ่” นั้น “ดิสคลอริฟาย” ไม่ผ่านคุณสมบัติ หลังศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้องให้วินิจฉัย ทำให้ไม่มีความชัดเจน ซึ่งทาง “นายกฯ นิด” แท้ย้ำหนักหนาให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็ไม่สบายใจที่จะเสนอชื่อ “ไผ่” เป็นนัฐมนตรี

โอกาสตกมาที่ “อรรถกร” ซึ่งมีแรงหนุนจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และตัวของ “ไผ่” เจ้าของโควตา แต่ก็มีการชงชื่อ “อนันต์” ที่มีความอาวุโสมากกว่าขึ้นมาเทียบ จากแรงหนุนของ วราเทพ รัตนากร แกนนำพรรค ที่ระยัหลังใกล้ชิด “ลุงป้อม“ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พอสมควร

ที่ว่าไปก็เลยทำให้การปรับ ครม.เศรษฐา 2 ครั้งนี้ มีแรงกระเพื่อมเกินเบอร์ ทั้งที่ความเป็นจริงควรเป็นการปรับเติมเต็มเฉพาะ 2 เก้าอี้ที่ว่างของพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ เท่านั้น

แถมบางจังหวะยังไปเดือดร้อน “ประธานวันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ด้วย เมื่อมีการปล่อยข่าวว่า พรรคเพื่อไทยขอเก้าอี้ “ประมุขนิติบัญญัติ” คืน เพื่อมาเขย่าให้การปรับ ครม.ลงตัว จนต้องปฏิเสธข่าวกันให้วุ่น

จากโผที่ออกมาพอถอดรหัสความเคลื่อนไหวของการปรับ ครม.เศรษฐา 2 ได้ว่า ประการแรก หมุดหมายที่แท้จริงแล้ว เพียงแค่ต้องการดึง “นายกฯ เศรษฐา” พ้นจากแนวรบด้านโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่เป็นเป้าถล่มของฝ่ายค้าน เพื่อให้ตัวผู้นำรัฐบาลโฟกัสในการทำงานด้านอื่น รวมทั้งผละความรับผิดชอบโดยตรงหากโครงการเกิดปัญหา แม้ว่าในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจะไม่สามารถปฏิเสธได้ก็ตาม

ประการที่ 2 การที่มีแนวคิดให้ “นายกฯ เศรษฐา” ขยับไปควบ รมว.กลาโหม นั้นก็เพียงเพื่อ “ค้ำ” ไม่ให้ “ทอปบูตสายอื่น” ที่ไม่ได้อิงกับพรรคเพื่อไทยเข้ามาคุมงานด้านความมั่นคงเต็มตัว ตาม “ดีลลับ” ที่ตกกันไว้ เพราะมีบทเรียนกับฝ่ายกองทัพมาแล้วในอดีต แต่เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเคลียร์โควตาไม่ลงตัวก็ไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อ “เศรษฐา” เป็น รมว.กลาโหม เพราะก็เป็นเป้าที่พรรคก้าวไกลจ้องถล่มเช่นกัน และให้โอกาส “สุทิน” ในการใช้สกิลตอบโต้ทางการเมือง รวมถึงการประสานระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือนต่อไปอีกอย่างน้อย 1 รอบการปรับ ครม.

เพราะอีกไม่นาน ก็จำเป็นต้องเดินตามข้อตกลงใน “ดีลลับ” เพื่อต้อนรับการกลับบ้านแบบเท่ๆ ของ “นายกฯน้องปู” ที่กำลังถูกโรคโฮมซิกเล่นงานอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็น “พี่ชาย” กลับมาเสวยสุข เดินเกมการเมืองเต็มสูบ

ประการที่ 3 หน้าตาของ ครม.เศรษฐา 2 แท้จริงแล้วก็คือ ครม.เศรษฐา 1 เพียงแต่ในช่วงตั้งรัฐบาล ”พิชัย“ ว่าที่ขุนคลัง ยังติดขัดทางเทคนิคบางประการ จึงยังไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลตั้งแต่ต้น ทำให้มีโควต้าว่าง และเป็น “เศรษฐา” ที่นั่งเป็นขุนคลังไปพลางก่อน เมื่อ “พิชัย” พร้อมแล้วจึงหมุนเวียนเก้าอี้ตามที่เคยวางไว้เดิม

ทำนองเดียวกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ที่ถูกมองว่าขาลอย เพราะไม่มีหน่วยงานกำกับแบบเต็มไม้เต็มมือ เพิ่งมาได้ดูกองทุนหมู่บ้าน ผลักดันโครงการโคแสนล้านไม่นานมานี้เท่านั้น ซึ่งก็มองว่าดีกรีระดับ ”สมศักดิ์” ควรมีกระทรวงลงตั้งแต่ต้น และก็มาเฉลยว่า จับจองกระทรวงสาธารณสุขอยู่

เศรษฐา ทวีสิน
สะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้วไม่เคยมีที่ว่างใน ครม.ให้กับทั้ง “ชลน่าน” ที่เป็นอดีตหัวหน้าพรรค ผู้ปฏิบัติการตระบัดสัตย์ฉีกสัตยาบันตั้งรัฐบาบกับพรรคก้าวไกล และอาจรวมถึง “สุทิน” ที่เชื่อว่าจะหลุดจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม ในที่สุดด้วย
ตอกย้ำความอหังการ์-อำมหิตของ “นายใหญ่“ ที่ดูจะไม่ได้สลักสำคัญกับ “คนทำงาน” และให้ตำแหน่งรัฐมนตรีขัดตาทัพเพื่อปลอบใจเท่านั้น อีกทั้งยัง “กินรวบ” แบบที่บรรดาลิ่วล้อได้แต่มองตาปริบๆ

ไม่ต่างจากการที่มีชื่อ “ไชยา-พวงเพ็ชร” รวมถึงกระแสข่าว่า “เกรียง” จะหลุดจากรัฐมนตรี ทั้งที่อย่างน้อย 2 ใน 3 คนนี้คือ “ไชยา-เกรียง” มีความยึดโยงกับการทำพื้นที่เลือกตั้ง เติบโตมาจาก สส.เขต กลับมีแนวโน้มจะได้โอกาสเป็นรัฐมนตรีแค่สั้นๆ

นำมาซึ่งประการที่ 4 ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับ “คนใกล้ชิด-กลุ่มทุน” มากกว่า “คนทำงาน” เพราะในจำนวนรัฐมนตรีที่มีข่าวว่าจะหลุดตำแหน่ง ไม่มีรายไหนเลยที่เป็นรัฐมนตรีโควตา “กลุ่มทุน”

อีกทั้งในขณะที่มีการแย่งชิงเก้าอี้กันอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สส.เขตไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของพรรคและรัฐบาล แต่กลับมีการเติมโควตา ”คนใกล้ชิด“ เข้ามาเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะรายของ “เผ่าภูมิ” ที่เป็นคนใกล้ชิดของ ภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ส่งให้บารมี “ภูมิธรรม” รองนายกฯ เบอร์ 1 ยิ่งเด่นชัดขึ้นเป็นเท่าตัว
และกลับกลายเป็นว่า โควตาเก้าอี้ “รมต.แท้งกิ้ว” ที่ตามธรรมเนียมควรจะมี 4-5 เก้าอี้ เพื่อหมุนเวียนให้ สส.เหนือ-อีสาน รวมถึงคนทำงาน ผลัดกันเข้ามาอัปดีกรีเป็นเสนาบดี ดูแล้วจะเหลือแค่ในส่วนของ “เกรียง“ รมช.มหาดไทย และคนมาใหม่อย่าง “จิราพร” เท่านั้น ทั้งที่มีคนต่อคิวรอยาวเหยียด จนทำท่าว่าหมดเทอมรัฐบาลแล้วก็ยังตอบแทนกันไม่ครบ ด้วยรู้ว่า ไม่มีใครกล้าก่อหวอดกดดัน

ที่ว่าไปเป็นบทสรุป 4 ประการของการปรับ ครม.เศรษฐา 2 ภายใต้เงา “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่แม้หลักใหญ่จะเป็นการดึง “นายกฯนิด” เข้าพื้นที่ปลอดภัย หลบทุ่งสังหาร “หมื่นดิจิทัล” แล้ว ก็ยังเป็นการตอกย้ำว่า “นายใหญ่” ให้ความสำคัญกับ “ดีลลับ” รักษาประโยชน์ “กลุ่มทุน” มากกว่าการปรับเปลี่ยนตอบแทนคนทำงาน หรือตอบโจทย์ทางการเมือง.




กำลังโหลดความคิดเห็น