กลับมาอีกครั้งแจกแท็บเล็ตนักเรียนหลังหายไป 10 ปี ครม.อนุมัติโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอน นักเรียน ม.4-ม.6 กว่า 6 แสนคน หนุนเรียนทุกที่แบบ Anywhere Anytime ตามนโยบาย "เพิ่มพูน ชิดชอบ"
วันนี้ (28 ม.ค.) นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ (The Digital Skill/Credit Portfolio : Empowering Educations) โดยอนุมัติงบประมาณ 4,214,738,090 บาท และโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) งบประมาณระยะที่ 2 ปี งบผูกพันตั้งแต่ปี 2569-2574 จำนวน 29,765,253,600 บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
การเห็นชอบครั้งนี้เป็นการอนุมัติงบประมาณต่อเนื่อง และงบประมาณผูกพันสำหรับการแจกอุปกรณ์เสริมการสอนของนักเรียนและครู ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต แล็บท็อป โน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ในรูปแบบเช่าใช้งาน พร้อมสัญญานอินเตอร์เน็ตคุณภาพสูง โดยในปี 2568 ได้ขอจัดสรรเครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่นักเรียน จำนวนกว่า 6 แสนคน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในกลุ่มโรงเรียนคุณภาพชุมชนและโรงเรียนขยายโอกาส ส่วนในปี 2569 ได้ขอจัดสรรงบประมาณไปจำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เหลือทั้งหมด ประมาณ 1.2 ล้านคน ซึ่งในงบประมาณของปี 2569 จะขยายผลไปยังนักเรียนชั้นมัธยมต้นในโรงเรียนคุณภาพอีกด้วย
สำหรับการดำเนินโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอนั้น ถือเป็นโครงการใหม่ที่กระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้นในปีงบประมาณ 2569 โดยมอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงาน ซึ่งเครดิตพอร์ตโฟลิโอจะนำมาใช้กับผู้เรียนของกระทรวงศึกษาธิการทุกสังกัด โดยจะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลบันทึกประวัติการเรียนของเด็กตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับ ไปจนถึงจบการศึกษาว่าเด็กแต่ละคนได้เรียนรู้อะไรบ้าง ทั้งวิชาการและวิชาชีพ หรือขาดทักษะในด้านไหน หรือมีจุดเด่น จุดด้อยทางสมรรถนะการเรียนรู้อย่างไร
ที่สำคัญ ระบบดังกล่าวจะมีการจัดทำแผนที่สถานศึกษา หรือ School mapping ทำหน้าที่คล้ายครูแนะแนวชี้นำเป็นเข็มทิศด้านการเรียนรู้ให้แก่เด็ก โดยชี้นำจากสิ่งที่เด็กต้องการจะเป็นและวิเคราะห์ว่าเด็กยังขาดความรู้ด้านไหนอยู่บ้าง ซึ่งความรู้ที่ขาดก็จะเชื่อมโยงไปเรียนได้ในแพลตฟอร์มของโครงการ Anywhere Anytime อีกด้วย ทั้งนี้โครงการนี้จะเกิดประโยชน์กับสถานประกอบการในการค้นหาผู้เรียน เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานด้วย เพราะอนาคตผู้เรียนไม่จำเป็นต้องจบตามวุฒิการศึกษาแต่หากมีทักษะที่ตรงกับสถานประกอบการก็สามารถมีการจ้างงานได้ และสามารถนำมาเชื่อมโยงกับระบบธนาคารหน่วยกิตด้วยเช่นกัน
การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นพลิกโฉมการศึกษาไทยอย่างชัดเจน และสอดคล้องนโยบายเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเรื่องการสร้างทุนมนุษย์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการศึกษา และที่สำคัญโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจ้างทำแฟ้มสะสมผลงาน รวมถึงการเรียนกวดวิชาอีกด้วย
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า โครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ จากพรรคภูมิใจไทยเป็นเจ้ากระทรวง นับเป็นการฟื้นนโยบายแจกอุปกรณ์เสริมการสอนอีกครั้ง นับจากนโยบายแจกแท็บเล็ตของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการดำเนินโครงการ One Tablet PC Per Child จัดซื้อแท็บเล็ตพีซีให้กับนักเรียนและครูผู้สอนชั้น ป.1 งบประมาณ 2,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2555 ก่อนที่จะมอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ขณะนั้น) จัดซื้ออีก 9 แสนเครื่อง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากสังคม ทั้งคุณภาพอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน และการที่้เด็กนำไปใช้ดูสื่อลามกอนาจาร
แต่หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ทำให้วันที่ 16 มิ.ย. 2557 พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. ขณะนั้น สั่งยกเลิกการจัดซื้อแท็บเล็ตทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า นักเรียนทุกคนไม่จำเป็นที่ต้องได้รับแจกแท็บเล็ตเป็นของตัวเอง เพราะใช้แท็บเล็ตเรียน 1-2 ชั่วโมงต่อวัน เท่านั้น ซึ่งอาจใช้งานหมุนเวียนกับนักเรียนทุกๆ คน-ทุกๆ ชั้นในโรงเรียน จึงไม่คุ้มค่าไม่เหมาะสมที่จัดซื้อให้แก่นักเรียนทุกคน ขณะเดียวกัน แท็บเล็ต ไม่เหมาะ-ไม่ควรที่นำมาสอนตลอดเวลา ควรใช้เป็นเครื่องในการเรียนบางชั่วโมง และเด็กๆ ควรเรียนรู้จากครูผู้สอน
อีกด้านหนึ่ง แท็บเล็ต มีขนาดหน้าจอเล็กทำให้นักเรียนมีปัญหาด้านสายตา ราคาเครื่องแท็บเล็ตถูก-ต่ำ อายุใช้งานสั้น แค่ 3 ปี การซ่อมบำรุงไม่คุ้มค่าเมื่อต้องซ่อมแซม และแท็บเล็ตเป็นครุภัณฑ์ของโรงเรียน ไม่เหมาะสมที่ไปมอบให้นักเรียนเป็นของส่วนตัวได้ และคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุ กรมบัญชีกลาง แจ้งว่ามอบให้เด็กนักเรียนไม่ได้ จึงได้นำงบประมาณที่เหลือโซนที่ 4 ปีงบประมาณ 2556 จำนวน 1,170 ล้านบาท กับ งบปี 2557 อีก 5,800 ล้านบาท ไปทำด้านอื่นที่เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา