++ ลุ้นบ่ายโมงวันนี้ สทร.ได้เฮ หรือ กลับเข้าคุก!?
ได้ลุ้นกันอีกหนึ่งขยัก บ่ายโมงวันนี้ (30 เม.ย.)ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะต้องกลับเข้าคุก หรือจะได้ลั้ลลา ทำตัวเป็น สทร.ต่อ
ตามที่ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากระบวนการส่งตัว “ทักษิณ” ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปรักษาตัวที่ห้องวีไอพี ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แบบลักหลับ ตอนกลางดึก ของคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
“อดีต สส.ชาญชัย” ได้อ้างถึงกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89, 89/2(1) (2) และ มาตรา 246 ที่ว่าด้วยการส่งตัวนักโทษออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ หรือที่ภาษากฎหมายเรียกว่า “การทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน” นั้น ต้องเป็นไปตามที่ศาลเห็นสมควร หรือให้ศาลมีคำสั่งนั่นแหละ
แต่ปฏิบัติการ “ลักหลับ” เมื่อกลางดึก ของคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งจากศาลใดๆ ทิ้งสิ้น
จะอ้างว่า ได้ทำตามกฎกระทรวงเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ลงวันที่ 25 ก.ย. 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม มาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มันก็ไม่ได้
“กฎกระทรวง” มันจะไปเหนือกว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ได้ยังไง
จึงขอให้ศาลฯ ไต่สวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ระดับเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และมีคำสั่งบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ ชินวัตร” ให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด
คำร้องโดยสรุปของ “อดีต สส.ชาญชัย” ก็มีเนื้อหาประมาณนี้
ก็ต้องมาลุ้นต่อว่า บ่ายวันนี้ ศาลท่านจะมีคำสั่งอย่างไร จะรับ หรือไม่รับไว้ไต่สวน
จะว่าไป ศาลฯ ก็เคยตีตก คือไม่รับคำร้องของ “อดีต สส.ชาญชัย” ไว้แล้ว 2 ครั้ง ตอนไปยื่นเมื่อ 19 ธันวาคม 2566 และเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ด้วยเหตุผลว่า เมื่อศาลออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่ต้องไต่สวน
แต่ “อดีต สส.ชาญชัย” ไม่ละความพยายาม ยื่นคำร้องอีกเป็นครั้งที่ 3 เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งเดิม และขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวน และมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด ศาลจึงได้นัดฟังคำสั่งในวันนี้
ในเรื่องนี้ผู้รู้กฎหมายมีความเห็นออกไปเป็น 2 ทาง ทั้งที่เป็นโทษ และเป็นคุณต่อ “ทักษิณ”
กูรูกฎหมายฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ศาลน่าจะมีคำสั่งไม่รับคำร้องเป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากคดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินคดีถึงที่สิ้นสุดแล้ว ให้จำคุก“ทักษิณ” ในข้อหาทุจริต 4 คดี รวมโทษ 8 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษลโทษเหลือ 1 ปี
ก็หมดหน้าที่ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว
หลังจากนั้น การบริหารโทษ ก็เป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ การกำกับดูแลของกระทรวงยุติธรรม ขั้นตอนจะไปผิด หรือทำไม่ชอบในการบริหารโทษ ก็ต้องไปว่ากันอีกเรื่อง อาจจะไปฟ้องดำเนินคดีในศาลอื่น เช่น ศาลอาญาคดีทุจริต หรือยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ก็ว่ากันไป
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะไม่เกี่ยวข้องอีก
เหมือนกับจากหลายคดี ที่ศาลพิพากษาประหารชีวิตจำเลย แล้วสุดท้ายก็อาจไม่ได้ประหาร เพราะเรื่องการบริหารโทษเป็นของกระทรวงยุติธรรมแล้ว
ขณะที่ กูรูกฎหมายอีกคน อย่าง “ทนายเชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า แม้จะมีความเป็นไปได้สูงที่ ศาลฯจะสั่งว่า “อดีต สส.ชาญชัย” ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาล
แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า ปัญหาการรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของ “ทักษิณ” เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคม กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง สามารถใช้อำนาจของศาลรับคำร้องไว้ไต่สวนได้
ว่าแต่ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองจะใช้อำนาจที่ตนเองมีอยู่หรือไม่ ?
++ พักปรับ ครม. ชั่วคราว จับตาการต่อรองรอบใหม่ จะยิ่งดุเดือด!
เรื่อง “ปมร้าว” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ตอนนี้ต้องทำเป็นลืมๆ กันไปก่อน รัฐบาลอิ๊งค์ ในตอนนี้จึงต้องประคองกัน กอดคอกันไป ยังไม่มีการเตะพรรคใดออก และก็ไม่มีดึงพรรคใหม่มาเสียบ
เพราะเจ้าของรัฐบาลตัวจริงเสียงจริง อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ให้สัมภาษณ์ ที่เชียงใหม่ เมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า...ไม่เคยคิดว่าจะให้ใครออกไปเป็นฝ่ายค้าน
และยังบอกว่า หากเมื่อถึงเวลาปรับครม.ก็จะปรับใหญ่ ทั้งส่วนของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วม ...ไหนๆ จะปรับ ก็ต้องปรับทีเดียว
ส่วนในพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนหลัก ซึ่งก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาว่า ใครจะไป ใครจะมา ก็ถูก “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร พยายามตัดจบ ว่าเป็นแค่ข่าวลือ ขอให้ทุกคนทำงานด้วยความขยันขันแข็งกันต่อไป ข้าราชการอย่างได้เกียร์ว่าง เพื่อรอนายใหม่
“...เรื่องปรับครม. ยังไม่ได้เกิดขึ้นในกระบวนการความคิดเลย ก็เอ๊ะว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ไม่ทราบว่าตรงไหน อย่างไร ที่ต้องการทำข่าวเรื่องนี้ออกมา ก็น่าสงสารรัฐมนตรี ยังไม่ยังไม่ทันพูดว่าจะปรับเลย กลับกลายเป็นการโดนโฮล (hold) ก็ อย่างที่เคยบอก ตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยังไม่มีการย้ายกระทรวงใคร อะไร ทั้งสิ้น ก็ขอทำงานกันเต็มที่..”.
เมื่อ “นายกฯอิ๊งค์” พูดอย่างนี้ระหว่างการแถลงข่าว “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ที่มีข่าวว่าจะถูกย้ายไปนั่ง รมว.พาณิชย์ ถึงกับ “ยกมือไหว้” นายกฯอิ๊งค์ ทันที
ส่วน “มท.4” ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย เป็นตัวเต็งคนหนึ่ง ที่อยู่ในรายชื่อที่จะต้องพ้นจากทำเนียบรัฐบาล ซึ่งก่อนหน้านั้น ปฏิเสธไม่ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว โดยบอกว่า เจ็บคอ ทำได้แค่ให้รอยยิ้ม และทำมือเป็นรูปมินิฮาร์ท ตอนนี้ก็น่าจะโล่งอกไปได้ อีกสักระยะหนึ่ง
เช่นเดียวกับ “จิราพร สินธุไพร” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ถูกถามเรื่องนี้ทีไรก็ได้แต่บอกว่าเป็นอำนาจการตัดสินใจของนายกฯ ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณ แต่ถ้าจะมีการปรับเปลี่ยน ก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ผู้ติดตามการเมือง นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า ที่พักปรับครม.ช่วงนี้ ก็เพื่อรอเกมการต่อรองครั้งใหม่ จากภายในพรรคร่วมรัฐบาล
โดยเฉพาะการที่พรรคกล้าธรรม ของ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค ชนะเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช ทำให้ “สจ.บิ๊กโอ” ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ได้ขึ้นชั้นมาเป็นสส. มีเสียงเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เสียง ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ลดลง 1 เสียง
และต้องไม่ลืมว่า “เอกราช ช่างเหลา” ที่ ภูมิใจไทยขับออกจากพรรค ก็จะมาอยู่กับ กล้าธรรม
ยังมี “กาญจนา จังหวะ” สส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ และ “ปูอัด” ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์” สส.กทม.พรรคไทยก้าวหน้า ซึ่งทั้งคู่ประกาศชัดว่าจะมาอยู่กับผู้กองธรรมนัส
เห็นๆ ก็ 4 เสียงแล้วที่เพิ่มมา และมีที่ยังไม่เห็นอีกล่ะ ...รวมแล้วอาจจะแซงพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นเป็นพรรคอันดับ 3 ในฝ่ายรัฐบาล ก็เป็นได้
ดังนั้น การปรับครม.รอบใหม่ คิดตามคณิตศาสตร์การเมือง “พรรคกล้าธรรม” ก็ควรจะได้โควตารัฐมนตรีเพิ่ม
ยิ่งสถานการณ์ของสนามเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ใช่พื้นที่ผูกขาดของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป ดูได้จากการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา เห็นคะแนนของผู้สมัครของประชาธิปัตย์ แล้วนึกว่าเขาเลือกนายก อบต.กัน แพ้แม้กระทั่ง“พรรคส้ม”
การเลือกตั้งครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็น พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม พรรคประชาชน พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทย ที่ยังไม่เคยมีสส.ในภาคใต้ ก็จะต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่ด้ามขวานนี้
การปรับครม. ที่แต่ละพรรคต้องการ จึงต้องตอบโจทย์ สำหรับการเลือกตั้งทั่วไป และการเข้ายึดพื้นที่ภาคใต้ด้วย
จึงต้องจับตา สารพัด “เกมต่อรอง” ในซีกรัฐบาลหลังจากนี้ ก็จะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นแน่นอน