บทความ
มรสุมการเมืองรายล้อม แยกวัดใจ 'แพทองธาร' ไปต่อหรือพอแค่นี้
สถานการณ์ทางการเมืองเดินมาถึงจุดที่รัฐบาลภายใต้การนำของ 'แพทองธาร ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ได้เดินมาถึงจุดที่มีมรสุมรายล้อมมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทางการเมืองก็เป็นไปได้
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลเองเริ่มเกิดอาการสั่นคลอน คือ 'ทักษิณ ชินวัตร' ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่มีความแข็งแรงมากพอที่จะช่วยประคับประคองรัฐบาลชุดนี้ให้เดินไปด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็น โดยเวลานี้ทักษิณกำลังมีความเสียงว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตในเรือนจำหรือไม่จากกรณีที่ศาลเข้ามาตรวจสอบกระบวนการของการบังคับโทษว่าการที่ทักษิณได้รับอิสรภาพมานั้นเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
โดยนับตั้งแต่ศาลฎีการับเรื่องนี้ไว้พิจารณา ทำให้เกิดมีข้อสังเกตหนึ่งน่าสนใจ คือ การหายหน้าหายตาไปของทักษิณ ถึงขนาดที่เริ่มมีการตั้งคำถามกันว่าทักษิณยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ จนนายกฯและคนในพรรคเพื่อไทยต้องต่างออกมากลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้ด้วยการยืนยันว่าทักษิณยังอยู่ในประเทศไทย
ในภาวะที่แม้แต่ทักษิณยังเอาตัวแทบจะไม่รอดในเวลานี้ ทำให้บ่าของแพทองธารต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการพยายามเคลียร์ใจกับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเวลานี้ดูเหมือนว่าบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มจะไม่เกรงบารมีทักษิณกันแล้ว ดังนั้น 'แพทองธาร' ในฐานะคุณแม่ลูกสองที่เดิมก็ไม่ได้มีความพร้อมที่จะขึ้นมาเป็นนายกฯเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจเบื่อหน่ายกับปัญหาทางการเมืองที่ยิ่งแก้ยิ่งพันตัวเอง และตัดสินใจหันหลังให้กับเก้าอี้ผู้นำประเทศก็เป็นไปได้
โดยพรรคภูมิใจไทยเองในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงเป็นอันดับสองของรัฐบาลก็พร้อมจะจัดตั้งรัฐบาลแบบพลิกขั้วเช่นกัน อยู่ที่ว่าผลประโยชน์จะลงตัวหรือไม่เท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าพรรคภูมิใจไทยเคยร่วมรัฐบาลแบบข้ามขั้วมาแล้วเมื่อปี 2551 หากจะตัดสินใจทำเช่นนั้นอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน การพยายามสร้างผลงานให้กับรัฐบาลก็ดูจะไม่ค่อยราบรื่น นโยบายใดที่จำเป็นต้องอาศัยการประสานงานข้ามกระทรวงไปยังกระทรวงที่เป็นของพรรคร่วมรัฐบาล ก็มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือมากนัก ทำให้นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม จึงยังหาความเป็นรูปธรรมไม่เจอเท่าที่ควร
นอกจากนี้ คดีจำนำข้าวของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ในแง่มุมของการบังคับในทางปกครองเพื่อให้มีการชดเชยความเสียหายมากกว่าหมื่นล้านบาทนั้น ก็เป็นเผือกร้อนที่อยู่ดีๆ ตกลงมาใส่มือนายกฯแพทองธารแบบที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง
กล่าวคือ ถ้าพิจารณาจากคำชี้แจงของศาลปกครองถึงเหตุผลที่ว่าคำพิพากษาของศาลปกครองไม่ได้สั่งให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้เงินจำนวนดังกล่าว จึงเท่ากับว่าการบังคับทางปกครองในเรื่องนี้จะต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นกระทรวงที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคเพื่อไทย และนายกฯเองก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เช่นกัน โดยเท่ากับว่างานนี้แพทองธารต้องเป็นผู้สั่งการให้กระทรวงการคลังเข้าไปดำเนินการเร่งยึดทรัพย์ 'ยิ่งลักษณ์' ผู้มีศักดิ์เป็นน้องพ่อ เพื่อมาชดใช้ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว
งานนี้ต่อให้เลือดข้นกว่าน้ำก็ไม่มีผล เพราะหากนายกฯรวมไปถึงบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าเกียร์ว่าง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเจอกับเหล่านักร้องที่พร้อมยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.เอาผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ซึ่งนั่นจะเป็นการเพิ่มงานให้กับแพทองธารโดยไม่จำเป็น
มองไปรอบๆตัวนายกรัฐมนตรีในเวลานี้แล้ว ต้องยอมรับว่าล้วนแต่เรื่องบั่นทอนกำลังใจในการทำงานพอสมควร ถ้าภายใต้สถานการณ์แบบนี้โดยที่ยังมีทักษิณอยู่ ก็อาจช่วยพาลูกสาวคนนี้ไปตลอดรอดฝั่ง แต่ด้วยภาวะที่ทักษิณก็ยังปากกัดตีนถีบในทางการเมืองเช่นนี้ ประกอบกับเริ่มมีความเป็นไปได้ที่อาจมีเรื่องเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางพุ่งมาถึง 'แพทองธาร'
บางทีการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หรือการตัดช่องน้อยแต่พอตัว อาจเป็นทางเลือกที่แพทองธาร กำลังพิจารณาอยู่ก็เป็นได้