“วีระ” ชี้ถก JBC พรุ่งนี้ ไทยเสียเปรียบกัมพูชาแน่ เพราะ “ประศาสน์” ยังได้ประธานฝ่ายไทย แม้เคยบังคับตนเองให้ยอมรับว่าบุกรุกดินแดนเขมรทั้งที่ถูกจับในเขตไทย แถมปล่อยให้คนไทยถูกยัดข้อหา แฉไลน์หลุดเผยจุดยืนชัดยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยอาจเสียดินแดนถึง 2 ล้านไร่ โกหกว่าศาลโลกพิพากษาแล้ว เผย ขรก.กรมสนธิสัญญาทนไม่ได้ที่เอาคนเกษียณแล้วมาเป็นหัวหน้า่สั่งการคนที่ยังเป็นข้าราชการ ถ้าให้คนนี้ไปชิบหายแน่ประเทศไทย
ในรายการ News Hour ทางช่อง News1 วันที่ 13 มิ.ย.ดำเนินรายการโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ น.ส.อุษณีย์ เอกอุษณีย์ ได้สนทนากับนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ อดีตนักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในประเด็นการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(JBC)ไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งมีกรณีที่น่าเป็นห่วงว่าไทยจะเสียเปรียบกัมพูชาในการเจรจาครั้งนี้ เนื่องจากประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายไทย ยังคงเป็นนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ
นายวีระกล่าวว่า เมื่อวานนี้ตนได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอย่างน้อย 2 คน จากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ว่านายประศาสน์ได้ส่งข้อความในไลน์กลุ่มของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งน่าสงสัยว่าคนที่มีจุดยืนแบบนี้ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ได้อย่างไร
ข้อความที่นายประศาสน์ส่งเข้าไปในไลน์กลุ่ม ระบุว่า “เมื่อวานมีการประชุมคณะกรรมาธิการฝ่ายไทย ผมก็วางแผนว่า หลังจากหารือเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว ผมจะขอเล่าให้ฟังว่า ทําไมฝ่ายไทยจึงจําเป็นต้องยอมรับแผนที่คณะกรรมการปักปันฯ ตามมาตราส่วนหนึ่งต่อ 200,000 ไม่ใช่เพียงแค่เพราะศาลโลกเคยมีคําพิพากษาว่ามีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เพราะมีประโยชน์ต่อท่าทีของฝ่ายไทยในพื้นที่หลายแห่ง คิดเป็นเนื้อที่กว่า 100 ตารางกิโลเมตร ผมกะจะขอที่ประชุมว่า ถือว่าจบการประชุมแล้ว แต่ผมขอเล่า “นิทานชายแดน” ให้ฟังจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หากท่านใดไม่สะดวกจะไม่รบกวนเวลา จะเล่าให้ฟังเฉพาะท่านที่สนใจจะฟัง
“ประชุมเสร็จก็เกือบบ่าย 4 กําลังจะเริ่มพูดตามที่คิดไว้ ก็ได้รับแจ้งว่า รมว.มีนัดแถลงข่าว ต้องการให้ผมสรุปผลการประชุมให้ท่านทราบ ผมก็เลยแค่บอกที่ประชุมว่าอยากจะขอเล่านิทาน แต่ไม่มีเวลาแล้วในการประชุมครั้งต่อไปจะขอเวลาที่ท่านที่สนใจฟัง น่าเสียดาย แต่ก็มีบางท่านบอกว่าช่วงที่ท่านไปพนมเปญหากมีเวลาช่วยเล่า “นิทาน”ให้ฟังด้วย เฮ้อ”
นายวีระกล่าวว่า ข้อความดังกล่าว แปลว่านายประศาสน์โกหก เพราะศาลโลกไม่เคยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่เคยยอมรับ ล่าสุดในคําพิพากษาในปี 2556 ศาลโลกก็ไม่ได้พิพากษาแผนที่ กัมพูชาขอแต่ศาลโลกบอกว่าไปคุยกันเอง ศาลโลกไม่ได้ระบุว่าต่อไปนี้ความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมรให้ใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ศาลโลกบอกไม่เกี่ยวเพราะเกินคําขอ ศาลโลกไม่ให้
“นายประศาสน์เนี่ยนะ คุณจะไปทําหน้าที่พรุ่งนี้ คุณยังโกหกเลย คุณยังโกหกพวกข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกันเลยเห็นมั้ย แล้วคุณก็คงไม่คิดนะว่าไอ้ไอ้แชตไลน์ของคุณมันจะหลุดมาถึงวีระ เพราะว่าข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ บางคนเค้าทนไม่ได้เค้าก็เลยส่งมาให้ผมดูนะแล้วเค้าก็บอกว่าอย่างนี้นะครับ ถ้าให้ไปเนี่ยชิบหายแน่ประเทศไทย นี่เค้าพูดครั้งนี้กับผมเลยนะ”
นายวีระกล่าวอีกว่า ตนเคยพูดไว้แล้วเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.วันที่ไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล ว่าตนเคยมีประสบการณ์กับนายประศาสน์โดยตรง นายประศาสน์ยังจะไปยอมรับการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของเขมร ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าเขมรมันใช้แผนที่นี้แล้วส่งกําลังเข้ามายึดหมู่บ้านหนองจานที่ตนถูกจับ เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 มาบังคับให้ตนยอมรับว่าเข้าไปอยู่ในเขตประเทศเขมร เป็นการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนเข้ามาในเขตแดนไทย โดยไทยไม่เคยไปอ้างทับเขมรเลย แต่เขมรอ้างทับเข้ามาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แต่นายประศาสน์บังคับให้ 7 คนไทยที่โดนจับในวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ยอมรับผิดว่าเราพลาดแล้วเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา
“ผมก็ยืนกรานเด็ดขาดเลยว่าไม่ยอมรับ ยังไงก็ไม่ยอมรับ จนในที่สุดเนี่ยเขมรมันก็เลยต้องเพิ่มข้อหาผมอีกข้อหานึงว่า เป็นจารชนเนี่ยนะ คุณราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ตอนแรกก็จะไปคล้อยตามเค้าเพราะถูกหลอก พอคุณราตรีเห็นผมเด็ดเดี่ยวยืนยันนะครับ ไม่ยอมรับ คุณราตรีก็เลยกลับนะ มาอยู่กับผม ก็ปฏิเสธ ไม่เซ็นชื่อที่จะยอมรับผิด มันก็เลยยัดข้อหาคุณราตรีเป็นสายลับอีกคนนึง ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างคุณราตรีเนี่ย ตลอดชีวิตเนี่ยเธอทําธุรกิจเธอไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง เธอก็ยังถูกยัดข้อหา เป็นสายลับ
“และนายประศาสน์เนี่ย ตอนนั้นเป็นเอกอัครราชทูตมีหน้าที่ดูแลพวกเราที่ถูกจับไว้ที่พนมเปญโดยตรง แต่กลับปล่อยให้เขายัดข้อหาพวกเรา ผมกับคุณราตรีเป็นสายลับ ดูสิครับเนี่ย ไอ้คนอย่างนี้เหรอจะให้ไปทําหน้าที่รักษาอธิปไตย ไปเจรจากับเขมรพรุ่งนี้
“แล้วแนวคิดเขาเห็นมั้ยครับ เขาเพิ่งโพสต์ไม่กี่วันมานี้ กับบรรดาข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศว่าเขาเนี่ยเห็นด้วยเค้ายอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้วก็ยังพูดโอ้อวดอีกว่าไทยจะได้เปรียบ 100 ตารางกิโลเมตร ไอ้บ้า จะได้เปรียบยังไง 7 จังหวัดตลอดแนวชายแดนเนี่ย คิดคร่าวๆ เลยนะ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 เอาแค่ล้ำเข้ามาตลอดแนวชายแดนแค่ 200 เมตรคิดเป็นพื้นที่มันเกือบ 2 ล้านไร่แล้ว เรามีแต่เสีย มันมีจุดไหนที่เราได้เปรียบ” นายวีระกล่าว
ด้าน ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า การรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่แค่มาจากนายประศาสน์ แต่มาจากกระทรวงการต่างประเทศเลย ตาม MOU 2543 มันเป็นนโยบายเลยว่าให้ไปด้วยหลักการของเอ็มโอยู 43 ซึ่งมีแผนที่ 1 ต่อ 200,000 รองรับ ซึ่งตรงนั้นมันมีผลกระทบในทางเสียมากต่อประเทศไทย
“อีกอันนึงที่ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องของการพอพูดถึง MOU43 หรือพูดถึง JBC พูดถึงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 มันแปลกใจมากว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเขาเชื่อตามนั้น แล้วก็เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้วย เพราะฉะนั้นเวลานี้มันก็เหมือนกับว่าเรามาทะเลาะกับข้อมูลความรู้ชุดหนึ่งของกระทรวงต่างประเทศ ที่ให้ต่อหน่วยงานต่างๆ แบบนี้ แม้แต่หน่วยงานความมั่นคงเอง จะสงสัยด้วยซ้ำว่าทหารเอง รัฐบาลที่รับกันต่อๆ มาทําไมปล่อยให้เป็นอย่างนี้ เดินไปเป็นอย่างนี้
“อีกประการที่ตั้งข้อสังเกต คือมันมันน่ากลัว เราไม่อยากให้ JBC มีการประชุมกันจริงๆ แล้วความคิดจะย้อนไปเหมือนตอนที่ประชุมมรดกโลก เพราะว่าก็มีการเตือนกันเหมือนกันบอกว่าเนี่ยถ้าไปถึงปั๊บนะเราไปลงทะเบียนปั๊บ หมายถึงการยอมรับ หมายถึงการยอมรับเลย แต่ว่าหลายคนบอกว่าประชุมทวิภาคี ทําไมเราพวกเราเนี่ย กลุ่มเราเนี่ยถึงไปห้าม มันเป็นกลไกที่ดีมากเลยในการเจรจากัน 2 ประเทศเป็นเรื่องที่ดี แต่เค้ารู้มั้ยว่าการเจรจาทวิภาคีอันนี้ มันมีวงเล็บด้วยว่าให้ใช้หลักการของ MOU43 แล้วมีวงเล็บซ้อนมาอีกว่า MOU43 นั้นมีแผนที่ 1 ต่อ 200,000” ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
กรณีการแต่งตั้งนายประศาสน์เป็นประธาน JBC ฝ่ายไทยนั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เคยชี้แจงว่า นายประศาสน์เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการปักปันเขตแดนมากที่สุดคนหนึ่งในกระทรวงการต่างประเทศ จากการทํางานที่เคยอยู่กรมสนธิสัญญาและกฎหมายมาโดยตลอด เคยเป็นผู้อํานวยการกองเขตแดนด้วยตัวเอง เรียกว่าโตมาในกรมสนธิสัญญาฯ จนมาเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ แล้วก็ออกไปเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ดังนั้นจึงมีความรู้ทั้งพื้นที่ในฐานะเคยไปเป็นทูตและมีความรู้เชิงเทคนิคในฐานะที่เป็นนักกฎหมายและมีความคุ้นเคยได้รับการยอมรับจากข้าราชการกรมสนธิสัญญาฯ
นายวีระ กล่าวว่า แต่คนที่ร้องเรียนมาที่ตนคือเจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เขารับไม่ได้ เขาบอกว่าเอาคนที่เกษียณไปแล้วมาออกคําสั่งเขาซึ่งยังรับราชการอยู่ได้อย่างไร ประธานเจบีซีที่ผ่านมาอย่างน้อยก็คือปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็หมายถึงว่าถ้าเป็นนักการเมืองก็ยังมีอํานาจเต็ม ก็คือเป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าเป็นข้าราชการประจําก็คือปลัดกระทรวง ไม่ใช่ให้อดีตข้าราชการมาสั่งข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่
“แล้วที่บอกว่านายประศาสน์มีความรู้เชี่ยวชาญนี่ ถ้าเชี่ยวชาญจริงเนี่ยที่บ้านหนองจานเนี่ยไม่ได้รู้เหรอมันเป็นของไทย แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าไม่ได้มีความรู้จริง ถ้ามีความรู้จริงก็ต้องรู้ซิว่าบ้านหนองจานเนี่ยเป็นของไทย ตราบใดที่ยังสํารวจไม่เสร็จไง ก็มันยังมาสํารวจไม่เสร็จยกให้เค้าเลยเหรอ ชัดเจนมั้ยเนี่ย แค่นี้เองเนี่ย พิสูจน์ง่ายๆ เลยทุกวันนี้มันยังเจรจาอยู่ไง แล้วนายประศาสน์เนี่ยกลับไปยกให้เขาก่อนเลยได้อย่างไรนะ ปล่อยให้เขาจับ 7 คนไทยในบ้านหนองจานได้อย่างไร แล้วยังบังคับ ให้เรายอมรับผิดอีก
“ไอ้คนอย่างนี้อะเหรอมันรู้จริง มันรู้จริงตรงไหน มันไม่ได้รู้จริงหรอกครับ ถ้าอย่างเงี้ยนะครับ รับรองเลยนะไปเจรจาเนี่ยนะครับ เราเสียเปรียบ เสียหาย
“วันนี้นะครับ อาจารย์ปานเทพ ที่ผมต้องมาวันเนี่ยนะ อย่างน้อยมันจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในอนาคตเนี่ยนะครับ ไอ้คณะกรรมการเจบีซีชุดเนี้ย มันจะไปทําให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติอย่างไร วันนี้ล่ะจะเป็นหลักฐานจะไปขึ้นศาลที่ไหนจะบอกได้ว่าภาคประชาชนในวันนี้ สื่อมวลชนได้ประกาศแล้ว ยืนยันแล้วว่าไม่ยอมรับเอ็มโอยู 2543 ไม่ต้องการให้คณะกรรมการ เจบีซี นะครับ ไปตกลงอะไรที่จะทําให้เสียหาย โดยเฉพาะไม่ยอมรับการทําหน้าที่ของนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย” นายวีระกล่าว
นายปานเทพกล่าวสรุปว่า ถ้าคําว่ากรมสนธิสัญญาฯ กระทรวงการต่างประเทศ แพ้ปราสาทพระวิหารปี 2505 แพ้คดีการเอาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เอ็มโอยู 2543 รับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทีโออาร์วางตอนดงรักให้ปักปันด้วย แล้วก็ให้มีแผนที่ด้วยแทนที่ให้มันเป็นเขตหน้าผา และตามมาด้วยแพ้คดีการตีความเพิ่มเติมในศาลโลกปี 2556 และในวันนี้ยังบอกว่านายวีระ สมความคิดถูกจับในกัมพูชา ไปให้นายวีระช่วยสารภาพว่าอยู่ในเขตกัมพูชา และล่าสุดก็คือไลน์กรุ๊ปนายประศาสน์กําลังจะบอกว่าให้ยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้วจะให้ประชาชนไว้ใจกรมสนธิสัญญาได้หรือไม่.