ย้อนรอยขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยาสะเทือนจริยธรรมแพทย์อย่างหนัก ทั้งจากกรณี “เครือข่ายแพทย์ทหาร" ว่าจ้างครอบครัวทหาร “เบิกยาหลวง” นำไปขายออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 80 ล้านบาท ไปจนถึงเคส “แพทย์ตำรวจ”พฤติการณ์ฉ้อโกงยา สั่งซื้อยาควบคุม “อัลปราโซแลม (Alprazolam)” หรือ “ยาเสียสาว” นำไปขายนอกระบบ พบเงินหมุนเวียนว่า 400 ล้านบาท
ประเด็นร้อนในแวดวงสาธารณสุขกับสถานการณ์ทุจริตเบิกจ่ายยา ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น โดยพบผู้กระทำผิดเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีการจับกุมเหตุการณ์ใหญ่ในลำดับเวลาไล่เรี่ยกัน สะท้อนปัญหาการใช้ทรัพยากรของรัฐที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์มีช่องว่าง-ช่องโหว่จนน่าตกใจ และกำลังเขย่าความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขไทยอย่างหนัก
ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้รับการประสานแจ้งข้อมูลจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย) นำสู่การจับกุม“พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี เพ็ชรรัตน์” หรือ “หมอแอร์”แพทย์ตำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายแพทย์ (สบ 5) กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ
ด้วยพบพฤติการณ์ลักลอบนำยาควบคุมแผนปัจจุบัน “ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam)”หรือเรียกกันว่า“ยาเสียสาว”ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และประเภท 4 ออกนอกระบบเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ โดยมีการอ้างชื่อคลินิก 11 แห่งสั่งซื้อยา อีกทั้งสวมชื่อคนตายมากกว่า 300 รายชื่อ ตลอดจนพบเส้นเงินหมุนเวียนกว่า 400 ล้านบาท
ต่อมา กองบัญชาการตำรวจปราบปราบปรามยาเสพติด ได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานขอออนุมัติหมายจับกลุ่มขบวนการที่เกี่ยวข้อง 7 ราย ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (ฟลูไนตราซีแทม หรือ Flunitrazepamา) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และสมคบโดยการตกลงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้สมคบกันแล้ว
นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุลรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยกรณีที่เกิดขึ้นพบความผิดปกติตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 โดยตั้งแต่ปี 2565 พบ 5 คลินิกที่ได้มีการสั่งซื้อยายอดการสั่งซื้อยาจำนวน 1 ล้านบาท ต่อมา ปี 2566 เพิ่มเป็น 7 คลินิก ได้เริ่มเพิ่มจำนวนยาเป็นเงินมูลค่า 4 ล้านบาท ปี 2567 เพิ่มเป็น 11 คลินิก มูลค่า 11 ล้านบาท และปี 2568 ได้เพิ่มจำนวนคลินิกเป็น 12 แห่ง มีการสั่งซื้อยาเพิ่มมากขึ้นประมาณมูลค่า 7-8 ล้านบาท ปริมาณเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ จนผิดสังเกตุ
ทั้งนี้ คำสั่งซื้อยาวัตถุประเภท 2 ผู้สามารถสั่งซื้อได้จะต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ และจะต้องได้รับอนุญาตจากทาง อย. เพราะยาประเภทนี้ อย. เป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการจ่ายยา โดยจำนวนการสั่งซื้อจะต้องทำเรื่องขอซื้อหรือเบิกจ่ายยามาก่อน จากนั้นทาง อย.จะพิจารณาจำหน่ายยาออกไปตามความเหมาะสม ซึ่ง อย. จะจำกัดจำนวนตัวยาแต่ละประเภทเป็นต่อปี และหากกรณีพบผู้ป่วยที่มีความจำเป็นจะต้องใช้ยาเหล่านี้ แพทย์จะพิจารณาในการจำหน่ายยา
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า “อัลปราโซแลม (Alprazolam)” จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ ประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 แต่กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศใหม่ ปี 2555 ยกระดับการควบคุม "อัลปราโซแลม" จากวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 4 ควบคุมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทที่ 2 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดในปัจจุบัน โดยการสั่งซื้อยาประเภทนี้ สถานพยาบาลต้องมีใบคำสั่งซื้อยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทโดยแพทย์ ต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เท่านั้น
สำหรับข้อกังวล “ยาอัลปราโซแลม” หรือ “ยานอนหลับ” มักเรียกกันในกลุ่มที่นำไปใช้ในทางที่ผิดว่า “ยาเสียสาว” เพราะมีฤทธิ์ทำให้เคลิ้มหรือหลับไป อาจนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ ใช้เป็นยานอนหลับอย่างแรงเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ หรือนำไปผสมในสารเสพติด
ดังนั้น จึงได้มีการประสานไปยังกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เพื่อตรวจสอบก่อนพบการกระทำผิดทุจริตเบิกจ่ายยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) หรือยาเสียสาว
นายกองตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยพบความผิดปกติ เนื่องจาก พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี หรือ หมอแอร์ ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ใช้ชื่อตัวเองสั่งซื้อวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทจำนวนหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2565 – 2568 โดยสั่งซื้อผ่านคลินิกเวชกรรมอย่างน้อย 11 แห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุคคลที่มาสวมเบิกยาวัตถุออกฤทธิ์กับคลินิก พบว่า มีรายชื่อผู้เสียชีวิต 370 คน ซึ่งในส่วนนี้อยู่ระหว่างสืบสวนต้องรอความชัดเจนต่อไป
ทั้งนี้ “พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี เพ็ชรรัตน์” หรือ "หมอแอร์" อดีตเป็นคนดังในวงการบันเทิงก่อนผันตัวเข้ารับราชการแพทย์ตำรวจ โดยเคยดำรงตำแหน่งรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และโฆษกศูนย์รักษาความสงบในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม ขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยาสะเทือนจริยธรรมแพทย์มีการกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ย้อนกลับไปเดือนมีนาคม 2568 กับปฏิบัติการจับกุมขบวนการทุจริตการเบิกจ่ายยาของ “โรงพยาบาลองค์การทหารผ่านศึก”โรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวงกลาโหม สืบเนื่องจากพล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึก ได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินการคดีกับขบวนการทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก หลังพบว่ามีการทุจริตมาตั้งแต่ปี 2561 - 2568
โดยพบข้าราชการทหารพ.อ.หญิง กัญญารัตน์ จิตต์ประสงค์เป็นหัวหน้าขบวนการ จัดหาบุคคลในครอบครัวทหาร โดยจ่ายค่าจ้างรายหัว 1,500 บาท เพื่อมาพบแพทย์ระบุชื่อเจาะจงพญ.บรินดา อุจวาทีผู้ชำนาญการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งรับหน้าที่สั่งจ่ายยานอกบัญชี โดยเฉพาะยาสำหรับโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ให้กับผู้ป่วยทิพย์ที่ถูกจ้างมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาจริง จากนั้นมีการวบรวมยาทั้งหมดส่งต่อไปยังเอเย่นต์รอการจำหน่ายออนไลน์ต่อไป พบมูลค่าความเสียหายกว่า 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DIS) พบรูปแบบการกระทำความผิดทุจริตเบิกจ่ายยา 3 ประเภท คือ1. การสวมสิทธิผู้ป่วยหรือไม่มีอาการป่วย ซึ่งไม่มีสิทธิตามสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว เข้าสวมสิทธิรักษาพยาบาลของบุคคลที่มีสิทธิ โดยอ้างใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ
2. การยิงยาพบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายยา มีการสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็นและเหมาะสม สัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยรายนั้น หรือจ่ายยาในลักษณะสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เน้นการจ่ายยานอกบัญชียาหลัก ซึ่งมีราคาแพง โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทผู้ผลิตยา หรือตัวแทนจำหน่ายยา ในลักษณะของผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินตอบแทน ของกำนัล การเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณไปเป็นจำนวนมาก
และ 3. การชอปปิงยากรณีนี้ผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล ข้าราชการและครอบครัว จะเบิกค่ารักษาพยาบาลในลักษณะเดินสายขอตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ในช่วงวันเดียวกัน หรือระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมักเดินทางไปพบแพทย์เกินกำหนดนัด เป็นเหตุให้ได้รับยาจำนวนมากยิ่งขึ้น มีการดำเนินการลักษณะเป็นขบวนการ
ปัญหาการทุจริตเบิกจ่ายยาเป็นปัญหาเรื้อรังในระบบสาธารณสุขไทย โดยทางการมีความพยายามแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่นานมานี้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าการร่วมมือกับกรมบัญชีกลางในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลบริการสุขภาพของผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ รวมถึงการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data Hub : FDH ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางด้านข้อมูลการเงินที่จะช่วยให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลมีความรวดเร็ว แม่นยำและตรวจสอบได้
ขณะเดียวกัน แนวโน้มการใช้ยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์เพิ่มขึ้นทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและปริมาณการใช้ยา โดยเฉพาะในคลินิกและโรงพยาบาล ล้วนส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยา อ้างอิงข้อมูลศูนย์วิจัยกรุงศรีเปิดเผยรายงานแนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2568-2570: อุตสาหกรรมยา ระบุว่าตลาดยาในประเทศ มีช่องทางกระจายยา 2 รูปแบบ
1. การจำหน่ายผ่านโรงพยาบาลมีสัดส่วน 80% ของมูลค่าจำหน่ายยาทั้งหมด แบ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐ (สัดส่วน 60% ของมูลค่าจำหน่ายยารวม) และโรงพยาบาลเอกชน (สัดส่วน 20%)
ยาที่จำหน่ายผ่านโรงพยาบาลเป็นยาที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ เรียกว่า“Prescription drug”จำแนกเป็น (1) ยาชื่อสามัญ (Generic drug) สัดส่วน 60% ของมูลค่ายาที่จำหน่ายผ่านโรงพยาบาลทั้งหมด และ (2) ยาจดสิทธิบัตร (Patented drug) มีสัดส่วน 40% แต่มีการเติบโตเร็วกว่ายาชื่อสามัญ จากความต้องการใช้ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases: NCDs) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ ยาลดความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
ทั้งนี้ ยาที่จำหน่ายผ่านโรงพยาบาลและสั่งจ่ายโดยแพทย์ (Prescription drug) ได้แก่ ยาชื่อสามัญ (Generic drug) มูลค่า 11.2 หมื่นล้าน บาท ขยายตัว 5.9% จากปี 2566 และยาจดสิทธิบัตร (Patented drug) มูลค่า 7.4 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 6.1% จาก ปี 2566
2. การจำหน่ายผ่านร้านขายยา (Over-The-Counter: OTC)มีสัดส่วน 20% ของมูลค่าจำหน่ายยาทั้งหมด โดยร้านขายยาเป็นช่องทางที่ประชาชนเลือกใช้บริการเมื่อมีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น หรือการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ โดยยาที่จำหน่ายผ่านร้านขายยา (OTC drug) เพิ่มขึ้น 5.7% มูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากร้านขายยามีบทบาทที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการเป็นหน่วยบริการร่วมที่สำคัญในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ
โดยคาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมยาปี 2568 - 2570 คาดว่ามูลค่าจำหน่ายยาในประเทศจะขยายตัวเฉลี่ย 6.0-7.0% ต่อปี โดยการจำหน่ายยาผ่านโรงพยาบาลจะเติบโตเฉลี่ย 6.4% ต่อปี ขณะที่การจำหน่ายผ่านร้านขายยา (OTC) จะเติบโตเฉลี่ย 6.3% ต่อปี
ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ จำนวนผู้ป่วยโรคติดต่อสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable disease: NCDs) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการขยายตัวของชุมชนเมือง ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตเร่งรีบขึ้นและมีการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย มลพิษทางอากาศ รวมถึง ปัญหาด้านสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในแต่ละปี เป็นส่วนสะท้อนความต้องการบริโภคยาในประเทศที่จะมีมากขึ้น
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยาของประเทศไทยมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6-7 % ต่อปี เนื่องจากพฤติกรรมคนไทยป่วยพุ่ง ต้องบริโภคยาเพิ่มขึ้น มีผู้ป่วยจำนวนมากต้องจ่ายเงินซื้อยาในการรักษาชีวิต
ดังนั้น ประเด็นการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยาโดยแพทย์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศ และเป็นความอัปยศไร้จริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ ซึ่งต้องได้รับบทลงโทษทั้งจากแพทยสภาและถูกดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเลี่ยงมิได้