xs
xsm
sm
md
lg

นักกฎหมายย้ำไม่มีใครบังคับไทยขึ้นศาลโลกได้ ตัดสินไปก็ไม่ผูกพัน พร้อมแนะวิธีทำให้ MOU43-44 สิ้นผล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



นักกฎหมายอาวุโส เขียนบทความในโอกาสครบรอบ 25 ปี MOU2543 ย้ำไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก ไม่มีใครมาบังคับได้ ผลตัดสินไม่มีข้อผูกพัน ส่วน MOU2543,2544 ไม่จำเป็นต้องยกเลิก แค่นำเข้าสภาลงมติไม่ให้สัตยาบันก็สิ้นผลทันที ย้ำหลักการกฎบัตรสหประชาชาระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี แต่หากเกิดการรุกรานก็มีสิทธิใช้กำลังปกป้องอธิปไตย

วันนี้ (14 มิ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในนามประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ว่า บทความวิชาการสำคัญที่ต้องช่วยกันเผยแพร่ในข้อพิพาทดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชา

เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของบันทึกความเข้าใจเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตด้านทางบก พ.ศ. 2543 หรือที่เรียกว่า MOU 2543 นั้น

บทความหนึ่งที่มาจากอาจารย์ขวัญชัย รัตนไชย นักกฎหมายอาวุโสผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศได้เขียนบทความเรื่อง ไทยจำเป็นต้องขึ้นศาลโลกหรือไม่? เอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง

สมควรที่ประชาชนและสื่อมวลชน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จะได้ศึกษาและเผยแพร่ความรู้นี้ เพื่อพิจารณาตัดสินใจเรื่อง ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ MOU 2543 และ MOU 2544 ต่อไป

ด้วยความปรารถนาดี
อ. ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ในนามประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
14 มิถุนายน 2568

โดยรายละเอียดบทความของอาจารย์ขวัญชัย รัตนไชย มีดังนี้

“ไทยจำเป็นต้องขึ้นศาลโลกหรือไม่ ?

กรณีพิพาทชายแดนไทยกัมพูชาขณะนี้ ฝ่ายกัมพูชาเรียกร้องจะให้ศาลโลกตัดสิน

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจน่าจะเป็นเรื่องว่า “ ศาลโลก ” คืออะไร ? องค์กรนี้มีชื่อเรียกว่า “ International Court of Justice ” เรียกย่อว่า “ ICJ ” แปลตรงตัวก็คือ “ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ” หมายความว่า เป็นองค์กรสำหรับระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐต่อรัฐไม่ใช่องค์กรที่มีอำนาจปกครองโลกหรือตัดสินข้อพิพาททั่วโลกตามที่มีคนพยายามเรียกชื่อให้เข้าใจเช่นนั้น

องค์กรนี้มีที่มาจากสหประชาติ ( United Nations หรือ UN ดู Chapter 14 Article 92 ถึง Article 96 ) มีลักษณะเดียวกับองค์การอนามัยโลก ( WHO ) องค์กรอาหารและยาโลก ( FAO ) และองค์กรอื่นๆของ UN

กฎบัตรที่กำหนดหลักเกณฑ์ความมีอยู่เป็นอยู่ของ ICJ เรียกว่า “ Statute of The International Court of Justice ” และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ UN ซึ่งถือว่า รัฐทุกรัฐ ( ไม่ว่าใหญ่ว่าเล็ก ) มีฐานะเท่าเทียมกัน ดังนั้น ICJ จึงเป็นองค์กรที่ต้องอาศัยความยินยอม หรือ Consent ของรัฐแต่ละรัฐโดยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกจึงจะสามารถมีอำนาจระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกได้ นั่นคือ ICJ จะไม่มีสิทธิระงับข้อพิพาทของรัฐที่ไม่ได้เป็นสมาชิก และระหว่างรัฐสมาชิกกับรัฐที่ไม่ได้เป็นสมาชิกได้


ขอบเขตอำนาจของ ICJ ก็เช่นเดียวกับศาลทั่วไป คือต้องมีเขตอำนาจ ( Jurisdiction ) คำว่าเขตอำนาจนี้ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงเขตแดนแต่มีข้อจำกัดถึงคู่ความและประเภทคดี เช่น ของไทยศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่ง คดีอาญา , ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะไม่รับพิจารณาคดีของผู้ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลทหารจะไม่รับพิจารณาคดีของพลเรือน ฯลฯ ดังนั้น อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของ ICJ ก็มีขอบเขตจำกัดเช่นเดียวกัน ( ดู Chapter II competence of The Court )

คำตอบที่ว่า ราชอาณาจักรไทยจะโดนบังคับให้ต้องสู้คดีกรณีพิพาทชายแดนกับกัมพูชาใน ICJ หรือไม่ ? คือ ไม่

คำตอบที่ว่า ถ้ากัมพูชาเสนอคดีไป ICJ ฝ่ายเดียวแล้วมีคำตัดสินออกมา ( จะด้วยวิธีใดก็ตาม ) คำตัดสินนั้นจะมีผลผูกพันประเทศไทยหรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะไทยไม่ได้เป็นสมาชิก ICJ ไทยไม่ได้ยอมรับ Compulsory Jurisdictionของ ICJ สิ่งที่ ICJ ตัดสินออกมาอย่างมากก็เป็นเพียงแค่คำแนะนำ ( Advisory Opinion ) ซึ่งไทยจะฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้

ปัญหามีว่า ถ้ารัฐบาลไทยจะขึ้น ICJ กับกัมพูชาให้ได้ การกระทำของรัฐบาลไทยจะผูกพันราชอาณาจักรไทยหรือไม่ น่าจะต้องดูกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องสนธิสัญญา ( Vienna Convention On The Law of Treaties ) ซึ่งมีหลักว่า การเข้าผูกพันระหว่างรัฐต่อรัฐหรือรัฐกับองค์กรระหว่างประเทศ ( เช่น ICJ ) ต้องทำเป็นสนธิสัญญา และสนธิสัญญานั้นฝ่ายบริหารไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ได้แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องได้รับ “สัตยาบัน” จากฝ่ายนิติบัญญัติด้วย ( ดู Article 14 Consent to be bound by a treaty Expressed By ratification ,acceptance or Approval )

ดังนั้น ถ้ารัฐสภาไทยไม่ให้สัตยาบัน การเข้าร่วมกระบวนการ ICJ กับกัมพูชาของรัฐบาลไทย ย่อมโมฆะ ไม่มีผลผูกพันราชอาณาจักรไทยและคนไทย

เมื่อมาถึงตรงนี้ ผู้เขียนขอออกนอกเรื่องไปที่ MOU 2543 , MOU 2544 สักเล็กน้อย เอกสาร 2 ฉบับดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่ฝ่ายบริหารของไทยไปทำขึ้นกับรัฐบาลประเทศอื่น โดยฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้ให้สัตยาบัน ตามความเห็นของผู้เขียนไม่มีความจำเป็นต้องไปยกเลิกกับประเทศที่ไม่ใช้การทูตนำการทหาร เพียงแต่นำ MOU 2543 , MOU 2544 เข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย ชุดไหนก็ได้ถ้ารัฐสภาไทยไม่ให้สัตยาบัน MOU 2 ฉบับนั้นก็โมฆะสิ้นผลทันที

ผู้เขียนขอออกนอกเรื่อง ICJ ไปสู่การกระทำผิดอาญาข้ามชาติสักเล็กน้อย หลักของการกระทำผิดอาญานั้น นอกจากเรื่องของเจตนาประสงค์ต่อผล เจตนาย่อมเล็งเห็นผลและเจตนาไม่ไยดีต่อผลที่เกิดขึ้นแล้ว ยังต้องมีเรื่องของมูลเหตุชักจูงใจ (Incentive ) ประกอบด้วย เช่น นักการเมืองประเทศ ก. เหตุใดจึงมีเจตนายอมยกแผ่นดินประเทศ ก. ให้ประเทศ ข. ต้องดูที่มูลเหตุชักจูงใจประกอบ กล่าวคือ ถ้าการทุจริตในประเทศ ข. ทำได้ง่ายกว่าในประเทศ ก. เมื่อแผ่นดินประเทศ ก. ตกเป็นของประเทศ ข. นักการเมืองประเทศ ข. ทุจริตทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประเทศ ก. แล้วแบ่งผลประโยชน์ให้นักการเมืองประเทศ ก. ดังนี้ เรียกว่านักการเมืองประเทศ ก. มีมูลเหตุชักจูงใจในการประกอบอาชญากรรมข้ามชาติ ขายชาติ ขายแผ่นดินเพื่อประโยชน์ตนเองและครอบครัว

ขอกลับมาที่เรื่อง ICJ ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่ต้องการให้มีประเทศใดหรือองค์กรใดมาปกครองตน อธิปไตยของชาติเป็นสิ่งที่ต้องรักและหวงแหน

ปัญหาว่า ถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างประเทศจะทำอย่างไร UN Charter หรือ กฎบัตรสหประชาชาติมีหลักการว่าให้ระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ( Peaceful Settlement ) แต่หากเกิดการรุกรานทางทหาร ( Use of Force ) ขึ้น ชาติที่ถูกรุกรานมีสิทธิใช้กำลังปกป้องอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนได้โดยถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เรียกว่า Individual Self Defence

ขวัญชัย รัตนไชย
14 มิถุนายน 2568
กำลังโหลดความคิดเห็น