ราคาน้ำมันขยับลง 6% ในวันอังคาร(24มิ.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ จากความคาดหมายข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านจะลดความเสี่ยงทางอุปทาน ปัจจัยนี้ฉุดทองคำปรับลดและดันวอลล์สตรีทปิดบวก
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 4.14 ดอลลาร์ ปิดที่ 64.37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมลดลง 4.34 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทรัมป์ แถลงในวันจันทร์(23มิ.ย.) ว่าอิสราเอลและอิหร่านเห็นพ้องกันโดยสมบูรณ์ต่อข้อตกลงหยุดยิง พร้อมระบุอิหร่านจะเริ่มหยุดยิงในทันที ตามหลังอิสราเอล ในอีก 12 ชั่วโมงหลังจากนั้น และหากทั้ง 2 ฝ่ายธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ สงครามที่ลากยาวมานานกว่า 12 วัน จะยุติลงอย่างเป็นทางการในอีก 24 ชั่วโมงนับแต่นี้
อิหร่าน เป็นชาติผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโอเปก และความตึงเครียดที่เบาบางลงจะเปิดทางให้พวกเขาส่งออกน้ำมันเพิ่มเติมและป้องกันความปั่นป่วนทางอุปทาน ซึ่้งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ข่าวคราวเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ช่วยคลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และกระตุ้นให้นักลงทุนหนีออกจากสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ มุ่งหน้าสู่การแสวงหาโอกาสในสินทรัพย์เสี่ยงสูง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับลดในวันอังคาร(24มิ.ย.) โดยราคาทองคำโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 61.10 ดอลลาร์ หรือ 1.80% ปิดที่ 3,333.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกในวั้นอังคาร(24มิ.ย.) นักลงทุนขานรับด้วยความยินดีต่อข้อตกลงหยุดยิงที่เปราะบางระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ในขณะเดียวกันก็จับตาการเข้าให้ปากคำกับสภาคองเกรสของ เจอโรม พาวเวล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่ให้เงื่อนงำเกี่ยวกับหนทางในภายภาคหน้าของธนาคารกลางแห่งนี้
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 507.24 จุด (1.19 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 43,089.02 เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 67.01 จุด (1.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 6,092.18 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 281.56 จุด (1.43 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 19,912.53 จุด
เมื่อวันจันทร์(23มิ.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข้อตกลงหยุดยิง และแม้ดูเหมือนอิสราเอลจะละเมิดข้อตกลงดังกล่าว แต่นักลงทุนยังมอบวาทกรรมของการหยุดยิงว่าเป็นสัญญาณของความตึงเครียดที่เบาบางลง
ในขณะเดียวกัน พาวเวลล์ กล่าวระหว่างให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการด้านการเงินของสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ เน้นย้ำมุมมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสามารถจนกว่าจะทราบถึงผลกระทบจากมาตรการรีดภาษีมากขึ้นกว่านี้ พร้อมระบุ "เราอยู่ในสถานะที่ดีที่จะรอดูแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ก่อนพิจารณาปรับเปลี่ยนจุดยืนใดๆในนโยบายของเรา"
(ที่มา:รอยเตอร์/เอเจนซี)