จีดีพีไทยโต 2.8% แต่ชะลอตัวลง หวังท่องเที่ยวช่วยดันเศรษฐกิจ แม้ลงทุนพุ่ง ภาคบริการยังไม่ฟื้น สภาพัฒน์ฯปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้เป็น 1.8-2.3% ไทยโตช้าสุดในอาเซียน
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 แสดงสัญญาณชะลอตัว แม้ตัวเลขจีดีพีจะขยายตัวได้ 2.8% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.5-2.7% แต่ก็ถือว่าชะลอลงจากอัตราการเติบโต 3.2% ในไตรมาสแรกของปี ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงมาจากการชะลอตัวของภาคนอกเกษตร โดยเฉพาะภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น สาขาที่พักแรม การขนส่ง และการก่อสร้าง ขณะที่หากขจัดผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 0.6% ลดลงจาก 0.7% ในไตรมาสก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวได้ถึง 6.0% สืบเนื่องจากผลผลิตผลไม้ ข้าวเปลือก และประมงที่เพิ่มขึ้น แม้ผลผลิตพืชบางชนิด เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา และผักจะลดลงก็ตาม ส่วนภาคนอกเกษตรขยายตัว 2.5% ซึ่งลดลงจาก 2.9% ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงแรงส่งจากกิจกรรมเศรษฐกิจภาคบริการที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ในด้านการลงทุน ถือเป็นจุดที่น่าสนใจ โดยการลงทุนรวมขยายตัวได้ถึง 5.8% เพิ่มขึ้นจาก 4.7% ในไตรมาสก่อน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสที่ 4.1% ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของการลงทุนในเครื่องจักร เครื่องมือ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังคงขยายตัวได้ 5.2% แม้ลดลงเล็กน้อยจาก 5.5% จากข้อจำกัดด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ
ในส่วนของการบริโภค ทั้งการใช้จ่ายภาคเอกชนและภาครัฐยังคงชะลอตัว สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้การส่งออกสินค้าและบริการยังเติบโตต่อเนื่อง และมีการเร่งตัวของการนำเข้าและการสะสมทุนถาวรเบื้องต้น โดยภาพรวมในครึ่งแรกของปีนี้ จีดีพีไทยขยายตัวเฉลี่ยที่ 3.0%
สำหรับแนวโน้มทั้งปี 2568 สำนักงานสภาพัฒน์ฯ ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในช่วง 1.3–2.3% (ค่ากลาง 1.8%) มาอยู่ที่ 1.8–2.3% (ค่ากลาง 2.0%) จากปัจจัยสนับสนุนคือการค้าที่โลกขยายตัวได้ดีขึ้นที่ 3% จากเดิมที่ประเมินไว้ 1.8% ส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ถึง 5.5% นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 0.3% และค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.5–33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ภาคการท่องเที่ยวยังถือเป็นความหวังหลักของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 33 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.57 ล้านล้านบาท แม้ว่าภาคบริการที่เกี่ยวข้องจะยังเติบโตอย่างจำกัดในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายดนุชายังระบุว่า หน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการคลัง ก็ได้ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีของไทยในปี 2568 จาก 2.1% เป็น 2.2% โดยคำนึงถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความตึงเครียดในภูมิภาค โดยเฉพาะความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ซึ่งแม้จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคจะพบว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโต “สวนทาง” กับหลายประเทศในอาเซียนที่ต่างรายงานการเติบโตของจีดีพีที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาส 2 ของปีนี้ เช่น อินโดนีเซียขยายตัว 5.1% จาก 4.9%, เวียดนามเร่งตัวขึ้นแรงถึง 8.0% จาก 7.0%, ฟิลิปปินส์โต 5.5% จาก 5.4%, ขณะที่สิงคโปร์และมาเลเซียยังคงรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้ที่ 4.4% แสดงให้เห็นว่าแรงส่งทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเริ่มกลับมาอย่างชัดเจน ขณะที่ไทยยังต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
โดยสรุป เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายภายในประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของการบริโภคและภาคบริการ แม้ว่าภาคส่งออกและการลงทุนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ พร้อมกับสร้างความมั่นคงให้กับปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจในระยะยาว