กระทรวงพาณิชย์ เตรียมต้อนรับรัฐมนตรีป้ายแดงคนใหม่ “นางศุภจี สุธรรมพันธุ์” ที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือ อันเป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้ว แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด เพียงแค่ 4 เดือน บวกลบกับช่วงรักษาการอีกนิดหน่อย กับสารพัดปัญหา ที่เริ่มก่อตัว และกำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การส่งออกชะลอตัว และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐมนตรีหญิง จะแก้ไขปัญหาได้แค่ไหน อย่างไร เป็นเรื่องที่เกษตรกร ประชาชน และภาคธุรกิจต่างจับตา
ทั้งนี้ นางศุภจี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไว้ว่า มี 2 เหตุผล โดยเหตุผลแรก คิดว่าประเทศกำลังเจอความท้าทายหลากหลาย ต้องมีคนมาช่วยเรื่องปากท้อง และดูแลเศรษฐกิจภาพรวม ก็คิดว่ามีโอกาสทำงานหลากหลาย ตอนอยู่ IBM 7 ปีสุดท้าย ทำงานที่นิวยอร์ก เห็นการตัดสินใจมหภาค ติดต่อต่างชาติ พออยู่ไทยคม ทำธุรกิจอินเตอร์เนชันแนล คิดว่า ประสบการณ์นี้ น่าจะมีโอกาสผลักดันด้านต่างประเทศให้เศรษฐกิจเดินไปได้ เพราะสนใจแค่ลดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวไม่พอ ทำแค่นั้นไม่พอ ต้องสร้างรายได้ด้วย ก็คิดว่า มาช่วยดูแลเรื่องการเปิดตลาดต่างประเทศจะดีไหม และหาศักยภาพตรงไหน ตอนที่ทำ ไม่ว่าตรงไหน ก็ต้องดูศักยภาพบริษัทที่มีว่าจะแข่งขันกับคนอื่นได้อย่างไร
ส่วนบางคนบอกว่าไม่เคยมีหน้าที่ระดับประเทศเลย อยู่แต่เอกชน จะเข้าใจไหม ยอมรับมองจากภาพเอกชนไป เราเคยเป็นกรรมการธนาคารที่ดูแลเศรษฐกิจมหภาค และเป็นกรรมการบริษัทดูแลการผลิต ลงทุนต่างประเทศ เลยคิดว่าน่าจะเอา 2 ส่วนมาผสมกัน ทั้งความสามารถติดต่อต่างประเทศและดูแลแบรนด์ในประเทศ น่าจะดี เป็นการตัดสินใจข้อแรก
สำหรับการตัดสินใจเหตุผลที่สอง ทราบอยู่แล้วว่าภารกิจอายุไม่นาน มีเวลาแค่ 4 เดือน ทำหน้าที่ตรงนี้ หยิบจับอะไรที่เป็นสิ่งสำคัญ ต้องหยิบจับมาทำก่อน ให้เห็นผลโดยเร็ว และมีรากฐานให้คนต่อ ๆ ไป จากนั้นจะเลือกตั้ง ก็ดูแลรัฐบาลใหม่ ประมาณ 7-8 เดือน ตัดสินใจง่ายมาก
“เดิมการทำงานทางการเมือง ไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย ไม่สนใจ แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โทรศัพท์มาชักชวนและให้เวลาตัดสินใจแค่ครึ่งชั่วโมง จึงเอาเรื่องนี้ไปหารือกับครอบครัวและทางดุสิตธานี เมื่อครอบครัวและดุสิตธานีโอเค ก็ตัดสินใจตอบตกลง ส่วนแนวทางการทำงาน จะมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการและทีมเศรษฐกิจหลักของรัฐบาล มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน เพราะเราไม่ต้องรู้ทุกอย่าง 100% ก่อนลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่รู้”นางศุภจีกล่าว
ย้อนดูประวัติ “ศุภจี”
สำหรับนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ชื่อเล่น แต๋ม อายุ 61 ปี จบปริญญาตรี สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจ สาขาการเงินและการบัญชีต่างประเทศ จากมหาวิทยาลัย Northrop สหรัฐฯ ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง เช่น Director Certification Program, Advanced Audit Committee Program, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน และหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง
เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ IBM ประเทศไทยในวัย 38 ปี ซึ่งเป็นผู้หญิงและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์องค์กร และเป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้ตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่สำนักงานใหญ่ IBM ในสหรัฐฯ จากนั้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และสามารถพลิกฟื้นบริษัทให้กลับมามีกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก หลังจากขาดทุนติดต่อกัน 5 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และเป็นผู้บริหารคนนอกตระกูลคนแรกขององค์กรที่มีอายุมากกว่า 70 ปี
สารผัดเผือกร้อนรอต้อนรับ
จากประวัติการศึกษา และการทำงานของว่ารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์หญิงคนใหม่ ความรู้ความสามารถ ไม่ต้องพูดถึง เป็นที่ประจักษ์และยอมรับกันอยู่แล้ว แต่งานกระทรวงพาณิชย์ เป็นงานนโยบาย ที่ไม่ว่าตัดสินใจไปทางหนึ่งทางใด ยอมมีคนได้ คนเสีย แตกต่างจากการบริหารธุรกิจ ที่มองเรื่องการเติบโตของธุรกิจ มองเรื่องผลกำไร-ขาดทุนเป็นหลัก
ปัจจุบันงานในภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ มีหลายเรื่องที่กำลังจะก่อร่าง สร้างตัว เป็นปัญหาใหญ่ ทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ที่หลาย ๆ ตัวเริ่มส่งสัญญาณไม่ดี การส่งออกที่เริ่มชะลอตัว จากปัญหาการเริ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นเผือกร้อน ที่จะตกไปอยู่ในมือของรัฐมนตรีหญิงทันที ที่เข้ามารับงาน
ข้าวนาปีมีมาตรการแล้ว แต่ยังเสี่ยง
สำหรับเผือกร้อนแรก ที่กำลังรอวันปะทุ คือ สินค้าข้าว ซึ่งรัฐบาลชุดเดิม ได้มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ออกมาแล้ว จำนวน 3 มาตรการ ใช้งบประมาณกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ได้แก่
1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตนเอง 1–5 เดือน ได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน โดยราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ 13,000 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 11,500 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 8,000 บาท/ตัน ข้าวปทุมธานี 9,000 บาท/ตัน ข้าวเหนียว 10,000 บาท/ตัน วงเงินจ่ายขาดประมาณ 9,164.23 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 1 ต.ค.2568–31 ธ.ค.2569
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน วงเงินจ่ายขาดประมาณ 656.25 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 1 ต.ค.2568–31 ธ.ค.2569
3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 โรงสีเก็บสต็อก 2–6 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงินจ่ายขาดประมาณ 642.00 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ (19 ส.ค.68)–31 ต.ค.2570
โดยมาตรการทั้ง 3 โครงการนี้ กระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. จะเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ข้าวนาปีที่กำลังทยอยเก็บเกี่ยวออกสู่ตลาด โดยเฉพาะช่วง พ.ย.-ธ.ค.2568 ซึ่งจะมีผลผลิตออกมากถึง 19.70 ล้านตัน หรือประมาณ 72% ของผลผลิตทั้งหมด ที่คาดว่าจะมี 27.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.21 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 1%
ข้าวเปลือกดิ่งต่ำสุดรอบ 20 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาตรการเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ราคาข้าวเปลือกเจ้าในปัจจุบันมีราคาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำอย่างหนัก และน่าจะต่ำสุดในรอบ 20 ปี เหลือเพียงตันละประมาณ 3,500 บาทสำหรับข้าวเกี่ยวสด เพราะชาวนาต้องเร่งเกี่ยวข้าวหนีน้ำท่วม และไม่มีสถานที่ตากข้าวให้แห้งเนื่องจากช่วงนี้ฝนตกหนัก และเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ถ้าไม่เร่งเก็บเกี่ยว ข้าวจะเสียหายจากการจมน้ำได้ ส่วนข้าวแห้งไม่เกิน 25% ราคาอยู่ที่ตันละ 5,500-6,000 บาทเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ตันละกว่า 6,000 บาท ทำให้ชาวนาปลูกข้าว ขายข้าวแล้วขาดทุน
“ชาวนาหวังจะขายข้าวแห้งได้ไม่ต่ำกว่าตันละ 8,000 บาท เพราะราคาแค่นี้ ก็พอใจแล้ว แต่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะแม้ช่วงที่ผ่านมา มีรัฐบาลก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาราคาตกต่ำให้ได้ ก็หวังว่ารัฐบาลใหม่ จะหันมาสนใจ และแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร เพราะไม่ใช่แค่ข้าวที่ราคาตก แต่สินค้าเกษตรสำคัญแทบจะทุกตัวราคาตกลงมาก เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง” นายปราโมทย์กล่าว
ทั้งนี้ สิ่งที่ชาวนาอยากได้จากรัฐบาล ต้องการพันธุ์ข้าวที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และให้ผลผลิตต่อไร่สูง เป็น 1,000 กิโลกรัม (กก.) ต่อไร่ ไม่ใช่ต่ำแค่ 400 กก.ต่อไร่เหมือนทุกวันนี้ และช่วยลดต้นทุนการผลิต ทั้งปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และช่วยหาตลาดส่งออกข้าว เพื่อช่วยผลักดันราคาข้าวเปลือกในประเทศ
ส่งออกข้าวส่อพลาดเป้า 7.5 ล้านตัน
ทางด้านการส่งออก ก็มีปัญหาไม่แพ้กัน ปัจจุบันนอกจากได้รับผลกระทบจากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวตามปกติ และคาดว่าจะมีผลผลิตกว่า 150 ล้านตัน ประเทศผู้นำเข้าสำคัญอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ชะลอการนำเข้า และปัญหาเก่า แต่มาใหม่ในช่วงนี้อีก ก็คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และสูงสุดในรอบ 4 ปี ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ค้าข้าวอย่างรุนแรง โดยในส่วนของการส่งออกข้าว ทุกการแข็งค่าของค่าเงิน 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้ราคาข้าวสารของไทยมีราคาแพงขึ้นกว่าปกติถึง 10-12 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวหอมมะลิ มีราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 25-30 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และเมื่อราคาส่งออกลดลง ทอนกลับไปเป็นข้าวเปลือก ก็กระทบเช่นเดียวกัน โดนทุก 1 บาทต่อดอลลาร์ จะทำให้ราคาข้าวเปลือกลดลงประมาณ 500 บาทต่อตัน
“ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกอยู่เฉลี่ยตันละ 5000 กว่าบาท ก็มีความเป็นไปได้ว่าหากเงินบาทยังแข็งค่าอีก จะกดให้ราคาลดลงไปเหลือ 4,000 กว่าบาทต่อตันได้ โดยเฉพาะในช่วงนาปีที่จะมีผลผลิตข้าวออกมาเป็นจำนวนมาก”
ส่วนเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน มีโอกาสที่จะทำได้ไม่ถึงเป้าหมาย โดยในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) ส่งออกได้ปริมาณ 4.30 ล้านตัน ลดลง 25.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณส่งออกอยู่ที่ 5.74 ล้านตัน มีมูลค่า 86,412.72 ล้านบาท (2,592 ล้านเหรียญสหรัฐ) ลดลง 35.35% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 133,663 ล้านบาท (3,739 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพราะตลาดและผู้ซื้อรอดูสถานการณ์ โดยอินเดียส่งสัญญาณเปิดประมูลข้าว 20 ล้านตัน ฟิลิปปินส์ชะลอการนำเข้าข้าว อินโดนีเซีย ก็ยังนิ่ง มาเจอเงินบาทแข็งค่าอีก เมื่อเทียบกับอินเดียและเวียดนามที่ค่าเงินมีเสถียรภาพ ทำให้แทบไม่มีคำสั่งซื้อเลย
อีกหลายตัวส่อมีปัญหา
นอกจากสินค้าข้าว ยังมีสินค้าเกษตรอีกหลายตัว ที่เริ่มออกสู่ตลาด โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถือว่า โชคดี เพราะกระทรวงพาณิชย์ได้แก้ปัญหา ด้วยการกำหนดให้โรงงานอาหารสัตว์ รับซื้อข้าวโพดที่กิโลกรัม (กก.) ละ 9.80 บาท และลานข้าวโพด กก.ละ 7.05 บาท ก็ต้องรอดูว่า เมื่อมีรัฐมนตรีใหม่ มาตรการจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ขณะที่ถั่วเหลือ ก็เริ่มออกสู่ตลาด แต่ราคายังดี มันสำปะหลัง เป็นช่วงปลายฤดู แต่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็จะเข้าสู่ฤดูกาล ซึ่งราคาฐานตอนนี้ ยังอยู่แถว 2 บาท/กก.
สำหรับพืช 3 หัว กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ อีกไม่นานก็จะออกสู่ตลาด เป็นอีกสินค้าเกษตรที่ต้องจับตา เพราะเคยมีปัญหาด้านราคามาต่อเนื่อง และจากนั้น จะเป็นช่วงฤดูกาลผลไม้ ปี 2569 ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการก็ประมาณเดือน เม.ย.2569 แต่ด้วยฐานปี 2568 ไม่ดีนัก ราคายังไม่รู้ว่าทิศทางจะไปทางไหน แต่หากไม่เร่งหาตลาดรองรับไว้ล่วงหน้า ก็อาจจะมีปัญหาได้
จับตาส่งออกเริ่มชะลอตัว
ทางด้านการส่งออกของไทย เดือน ก.ค.2568 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย ก่อนที่ภาษีสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ยังส่งออกได้ดี มีมูลค่า 28,580.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 เพราะผู้นำเข้าทั่วโลกยังคงเร่งนำเข้าเพื่อปิดความเสี่ยงจากภาษี รัฐบาลไทยได้สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่าจะสามารถบรรลุผลการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ได้อย่างลุล่วง และมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จึงเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อธุรกิจส่งออกของไทย ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 28,258.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.1% ได้ดุลการค้า 322.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมการส่งออก 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่า 195,432.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.4% การนำเข้ามูลค่า 195,172.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.6% เกินดุลการค้า 259.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับแนวโน้มการส่งออกเดือน ส.ค.2568 ซึ่งเป็นเดือนที่อัตราภาษีสหรัฐฯ 19% ได้มีผลบังคับใช้ น่าจะชะลอตัวลง โดยเบื้องต้น กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า จะยังเป็นบวกอยู่ ส่วนอีก 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.) จะชะลอตัวแน่นอน แต่หากมูลค่าการส่งออกต่อเดือนทำได้เฉลี่ย 22,000-23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกทั้งปีก็จะเป็นบวกตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2-3% แต่ถ้าส่งออกได้มากกว่านี้ อัตราการขยายตัวก็จะมากกว่าเป้า ส่วนโอกาสที่จะถึง 2 หลัก ไม่น่าจะถึง
โดยภาพรวมการส่งออกทั้งปี แม้กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า จะยังเป็นบวก ซึ่งจริง ๆ แล้ว ได้อานิสงค์จากการเร่งนำเข้าช่วงครึ่ง 7 เดือนแรก ที่บวกไว้แล้ว 14.4% เพื่อหนีอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐฯ แต่ช่วง 5 เดือนที่เหลือ ก็ชัดเจนว่า จะชะลอตัวลง เพราะอัตราภาษีใหม่เริ่มแล้ว ไม่มีการเร่งนำเข้า และจะได้เห็นตัวเลขการส่งออกที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร บางเดือนอาจจะติดลบก็ได้ จึงเป็นเรื่องที่จะวัดฝีมือของรัฐมนตรีใหม่ จะผลักดันการส่งออกได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ และวิธีการไหน ที่จะเพิ่มการส่งออกได้อย่างรวดเร็ว
ค้ากัมพูชาวูบ เมียนมาเริ่มมีปัญหา
ส่วนการค้าชายแดน ตัวเลขเดือน ก.ค.2568 มีมูลค่า 166,025 ล้านบาท เพิ่ม 5.0% เป็นการส่งออก 92,216 ล้านบาท เพิ่ม 5.9% และการนำเข้า 73,810 ล้านบาท เพิ่ม 3.9% ได้ดุลการค้า 18,406 ล้านบาท และยอดรวม 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน มีมูลค่า 1,188,270 ล้านบาท เพิ่ม 11.0% เป็นการส่งออก 688,477 ล้านบาท เพิ่ม 10.7% และการนำเข้า 499,793 ล้านบาท เพิ่ม 11.3% ได้ดุลการค้า 188,683 ล้านบาท
ทั้งนี้ เฉพาะการค้าไทย-กัมพูชา ลดลงเกือบ 100% หลังจากมีการปิดจุดผ่านแดนทั้ง 18 แห่ง โดยมูลค่าการค้าลดเหลือ 376 ล้านบาท ลด 97.5% การส่งออกเหลือ 370 ล้านบาท ลด 97.0% และการนำเข้าลดลงเหลือ 6 ล้านบาท ลด 99.8% ส่วนเมียนมา การค้ายังเป็นบวก แต่การส่งออกเริ่มมีปัญหา หลังจากเข้มงวดมาตรการใบอนุญาตนำเข้า และการปิดด่านเมืองเมียวดีตรงข้ามสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อ.แม่สอด จ.ตาก โดยให้หันไปใช้ด่านส่งออกอื่นแทน
ปัญหาด้านกัมพูชา บริเวณด่านชายแดน คงยังแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องรอให้ระดับนโยบายเคาะลงมาก่อน แต่การส่งออกผ่านทางอื่น ทั้งทางเรือ อากาศ และทางบกผ่าน สปป.ลาว ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ก็ต้องจับตาดูว่า จะมีอะไรเข้มข้นขึ้นหรือไม่ ส่วนทางเมียนมา ไทยได้เตรียมนัดหารือกับรัฐมนตรีพาณิชย์ของเมียนมาไว้แล้ว แต่มีการเปลี่ยนรัฐบาลก่อน ทำให้เรื่องยังค้างอยู่ ซึ่งถือเป็นอีกเรื่อง ที่รัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ของไทย จะต้องเข้ามาสานต่อ และจับตาดูว่าปัญหาจะยุติหรือไม่ เร่งแก้ไขปัญหา
ค่าครองชีพขยับขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับปัญหาเรื่องค่าครองชีพ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาหารจานด่วน อาหารตามสั่ง ที่เดิมเคยมีราคาจาน/ชามละ 40 บาท ปัจจุบันเริ่มต้นที่ 50 บาท บางแห่ง 60 บาท หา 40 บาทแทบไม่เจอ โดยปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในบางช่วง อาทิ หมูเนื้อแดง ราคาแพง น้ำมันปาล์ม ราคาแพง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าใช้วิธีปรับราคาขึ้น เพื่อลดต้นทุน แต่พอต้นทุนพวกนี้ลดลง ราคาขายกลับไม่ลดลงตาม ขึ้นแล้วขึ้นเลย และสร้างภาระให้กับผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่สินค้าอุปโภค แม้กระทรวงพาณิชย์จะออกมาระบุว่า สินค้าไม่มีการปรับขึ้นราคา แต่ในความเป็นจริง สินค้ามีการปรับขึ้นราคาต่อเนื่อง สินค้าเดิมที่มีอยู่ กระทรวงพาณิชย์ ไม่ให้ปรับขึ้นราคา ผู้ผลิต ก็ใช้วิธีการออกสินค้าใหม่ ส่วนผสมใหม่ ปรับสูตรใหม่ แล้วขอตั้งราคาใหม่ หรือไม่ก็ใช้วิธีการ ลดขนาด แล้วขายราคาเดิม เพื่อให้ดูว่าสินค้าไม่มีการปรับขึ้นราคา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือ การปรับขึ้นราคาทางอ้อมแบบที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว ซึ่งต้องจับตาดูว่า จะมีมาตรการใหม่ ๆ อะไรออกมา เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน
ปัญหาความต่อเนื่องของนโยบาย
ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นไป และมีรัฐบาลใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง เริ่มจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และล่าสุดรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาแล้วหลายคน เริ่มจากนายภูมิธรรม เวชยชัย ต่อด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ จนล่าสุดที่กำลังจะมา คือ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์
สรุปรวมแค่ 2 ปีกว่า กระทรวงพาณิชย์มีรัฐมนตรีว่าการไปแล้ว 4 คน แต่ละท่าน ก็มีนโยบายการบริหารงานที่แตกต่างกัน เริ่มจากนายภูมิธรรม เน้น “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” นายพิชัย เน้น “ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส” และนายจตุพร เน้น “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” ส่วนนางศุภจี ยังไม่รู้ว่าจะมีนโยบายอะไร ซึ่งก็ต้องรอจับตาว่าจะมีความเหมือน ความต่างจากนโยบายก่อนหน้านี้หรือไม่
ทั้งนี้ ในแง่ของเกษตรกร ประชาชน และภาคธุรกิจ ไม่ได้มองว่า นโยบายจะต้องมีความแปลกใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐมนตรี เพราะอะไรที่ดี ที่เป็นประโยชน์อยู่แล้ว ก็ควรจะสานต่อ อย่าไปมองแค่ว่า อันนี้ผมไม่ได้คิด ฉันไม่ได้คิด เป็นผลงานของรัฐบาลก่อน มาถึงก็ต้องรื้อทันที อยากให้ใช้วิธีคิดเหมือนกับนายอนุทิน ที่บอกว่า นโยบายไหนที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ก็ต้องสานต่อ ไม่ได้มองว่าไปก๊อปปี้ใครมา อย่างโครงการคนละครึ่ง ที่นายอนุทินบอกว่า เป็นนโยบายที่ดี ทำไมถึงจะทำไม่ได้ ทุกอย่างเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ที่กระทรวงพาณิชย์ก็เช่นเดียวกัน เกษตรกร ประชาชน ภาคธุรกิจ เขาจับตาดูอยู่ รัฐมนตรีป้ายแดงคนใหม่ จะมีนโยบายการทำงานเร่งด่วนในช่วง 4 เดือนอย่างไร ไม่มีใครมองว่า นโยบายจะเหมือน จะต่างกับคนก่อนหน้าหรือไม่ แต่ถ้าเป็นนโยบายที่ทำแล้วดี ทำแล้วได้ผล มีประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมสนับสนุน และอีกไม่กี่วันนับจากนี้ ก็จะได้รู้กันแล้ว นางศุภจี จะมีแนวทางในการรับมือกับเผือกร้อนที่มีอยู่อย่างไร และวิธีการไหน จะนำพาเศรษฐกิจการค้าไทยฝ่าวิกฤตที่กำลังจะก่อตัวไปได้หรือไม่