เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เล็งให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ทั้ง ไฟเซอร์(Pfizer) แกล็กโซสมิทไคลน์(GlaxoSmithKline) ซาโนฟี(Sanofi) ลดราคายาในสหรัฐฯให้อเมริกันชนฐานเสียงที่เป็นผู้เสียภาษี แต่เปิดทางให้ขึ้นราคายาในต่างประเทศทั้ง ยุโรป และที่อื่นๆทั่วโลก หลังวันอังคาร(9 ก.ย)ใช้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯสั่งให้ตรวจสอบโฆษณาขายยาเกลื่อนทางทีวีชี้ปกปิดผลร้ายข้างเคียงไม่ให้ผู้บริโภครู้
CNN ของสหรัฐฯรายงานวันเสาร์(13 ก.ย)ว่า รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค (Howard Lutnick) แถลงวันศุกร์(12 ก.ย)ว่า ผู้นำสหรัฐฯต้องการให้บริษัทยาทั้งหลายลดราคายาในสหรัฐฯลง เพื่อที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะผลักดันราคายาในประเทศอื่นๆแทน
“ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังจะกล่าวว่า บริษัทยาของพวกคุณไม่สามารถขายที่นี่ได้เว้นแต่พวกคุณจะขายที่อื่นในราคาที่สูงกว่า หยุดการยินยอมที่จะจำหน่ายให้พวกเขาในราคาที่แสนต่ำเช่นนั้น” ลัทนิคกล่าวในวันศุกร์(12)ในรายการ The Axios Show ของสื่อแอกซิออส (Axios)ของสหรัฐฯ
การออกมาแสดงความเห็นของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯเป็นคำประกาศล่าสุดจากรัฐบาลทรัมป์มีเป้าหมายไปที่กดดันบริษัทยายักษ์ใหญ่ให้ลดราคายาให้กับชาวอเมริกันในประเทศ
ชาวอเมริกันต้องจ่ายราคายาที่สั่งจากแพทย์สูงกว่าชาติอื่นๆ คิดเป็นสูงเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับชาติพัฒนาอื่นๆเป็นต้นว่า ยุโรปตะวันตก ในปี 2022 ผู้นำสหรัฐฯมักกล่าวเสมอว่า เขาต้องการลดช่องว่างเพื่อให้หยุดอเมริกันชนจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ
CNN ชี้ว่า เป้าหมายของทรัมป์เพื่อบีบให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ที่ทำกำไรมหาศาลทั้งหลายต้องขายยาในอเมริกาในราคาเดียวกับที่จำหน่ายในยุโรปและประเทศที่เท่าเทียมกันที่เรียกว่า “ราคาสำหรับประเทศที่ชอบมากที่สุด” (“Most Favored Nation” price)
แอกซิออสรายงานว่า รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯเปิดเผยในรายการว่า เขาเจอราคายาที่สูงลิ่วด้วยตัวเองระหว่างการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอน-ฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma) พร้อมเปิดเผยว่า การใช้ราคาเทียบราคายาระหว่างประเทศจะช่วยทั้ง Medicaid และ Medicare รวมสาธารณะได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
“ผมหมายความว่า เหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขากลับขายในราคา 1,000 ดอลลาร์ที่นี่ และขาย 200 ดอลลาร์ในต่างประเทศ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง ขอให้พวกเขาทั้งหมดขายในราคา 500 ดอลลาร์และพวกเราทั้งหมดจะดีขึ้น” รัฐมนตรี ฮาวเวิร์ด ลัทนิค แถลง
รอยเตอร์เคยรายงานเมื่อวันที่ 31 ก.ค ก่อนหน้าว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งหนังสือไปหาซีอีโอบริษัทยา 17 แห่ง Pfizer ,GlaxoSmithKline, Sanofi, Eli Lilly, Merck & Co, Johnson & Johnson และ AstraZeneca ออกเป็นแนวทางให้บริษัทยาเหล่านี้ต้องลดราคายาในสหรัฐฯอย่างไรเพื่อให้เท่าเทียมกับราคายาในต่างประเทศนอกสหรัฐฯ
CNN รายงานว่า อย่างไรก็ตามบรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างตั้งคำถามถึงอำนาจของทรัมป์ที่จะสามารถควบคุมราคายาในประเทศอื่นๆหรือบังคับให้บริษัทยาเหล่านี้ต้องขายในราคาจำเพาะในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าคำสั่งใดๆอาจต้องพบกับคดีความในชั้นศาล
และแรงกดดันของทรัมป์ยังไม่ได้แสดงให้เห็นผลออกมาในสหรัฐฯ แต่กระนั้นประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ประกาศจะขึ้นภาษีกับการนำเข้าของบริษัทยาโดยเฉพาะยาราคาแพงแบรนด์ชั้นนำ
ผู้เชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรมบางส่วนแสดงความเห็นว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่บริษัทยาทั้งหลายจะขึ้นราคายาในต่างแดนมากกว่าจะลดราคายาลงภายในสหรัฐฯ โดยในเดือนที่แล้ว Eli Lilly ประกาศจะขึ้นราคายาลดน้ำหนัก Mounjaro ที่คล้ายกับยาลดน้ำหนัก Ozempic ที่นอกจากจะช่วยเรื่องลดน้ำหนักยังลดความเสี่ยงในเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับคนที่เริ่มมีอาการในสหราชอาณาจักรอังกฤษเพื่อลดต้นทุนยาตัวนี้ในอเมริกา
“เป็นเวลานานหลายสิบปีที่ระบบนิเวศวิทยาการคิดค้นของสหรัฐฯเป็นที่อิขฉาของทั่วโลกในการส่งยาที่คิดค้นใหม่ไปให้ผู้ป่วยและสนับสนุนงานสหรัฐฯที่มีค่าตอบแทนสูง” อเล็กซ์ ชรีเวอร์ (Alex Schriver)โฆษก PhRMA กล่าวผ่านแถลงการณ์ และเสริมต่อว่า “การนำเข้าการควบคุมราคาต่างประเทศจะบั่นทอนความเป็นผู้นำของสหรัฐฯและทำร้ายผู้ป่วยและแรงงาน”
ทั้งนี้ก่อนหน้าประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวันอังคาร(9)สั่งให้กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯและหน่วยงานอื่นๆบังคับใช้ข้อกำกับโฆษณายาสำหรับผู้บริโภคที่มีอยู่เดิมอย่างเข้มงวดพร้อมกับชี้ว่า บริษัทยาต่างๆออกโฆษณาละเมิดกฎมานานหลายปีรวมไปถึงปกปิดผลร้ายข้างเคียงไม่ให้ผู้บริโภครู้และทำให้ผู้บริโภคที่ชมโฆษณาสำคัญผิด