นายกรัฐมนตรีประชุมร่วมกับสภาอุตฯ เสนอเตรียมพร้อมภาษีทรัมป์ เสริมสภาพคล่องเอสเอ็มอี ปรับโครงสร้างค่าไฟ รับมือการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และผลกระทบบาทแข็ง อนุทินย้ำไม่เปิดด่านไทย-กัมพูชา สั่งสอบขนทองขายเขมร สานต่อแลนด์บริดจ์หรือไม่ต้องฟังเสียงรอบด้าน มองแค่ความคุ้มค่าอย่างเดียวไม่ได้ ส่วนมาตรการคนละครึ่งจะทำให้เร็วที่สุด
วันนี้ (15 ก.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมประชุมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยว่าที่รัฐมนตรีอีกหลายคน อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น นายธนกร วังบุญคงชนะ นายวรภัค ธันยาวงษ์ และนายกุลิศ สมบัติศิริ เป็นต้น โดยมีนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ส.อ.ท. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ
โดยที่ประชุม ส.อ.ท. ได้เสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย 1. การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า 2. การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs 3. การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ 4. การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และ 5. การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ปัจจุบันไทยถูกสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. แต่จะเรียกเก็บ 2 กรณี คือ เรียกเก็บ 19% สำหรับสินค้าที่อยู่ในมาตรการนี้ ยกเว้นรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป ส่วนอีกกรณีหนึ่ง คือ เรียกเก็บ 40% หากถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม หรือมีกรณีการถ่ายลำสินค้า (Transshipment)
จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (RVP) ส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว เพื่อปรับซัพพลายเชนของไทยให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ณ เดือน มิ.ย.2568 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่มเอสเอ็มอี (SME) คิดเป็น 243,026 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างรวม (สินเชื่อ SME) คิดเป็น 3,119,525 ล้านบาท จึงเสนอรัฐบาลส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุนของธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน และมาตรการแฮร์คัต สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เสีย
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. เสนอปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน เร่งให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 รวมทั้งเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ
สำหรับปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา เสนอให้ภาครัฐช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน เช่น การเพิ่มเรือชายฝั่งส่งสินค้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด การพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมทั้งขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้ พร้อมเสนอให้พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกับกลุ่ม SME ที่เข้าไปลงทุนหรือค้าขายกับกัมพูชา รวมทั้งขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบ ส่วนข้อเสนอระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร แสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
สำหรับกลไกความร่วมมือในอนาคต ส.อ.ท. เห็นควรให้ขับเคลื่อนการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มาตรการภาษีสหรัฐฯ การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังหารือกับ ส.อ.ท. ว่า สิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ รวมถึงปัญหาและข้อกังวลสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาล ได้เร่งแก้ไขปัญหา ถือว่าใช้เวลาหารือกันนานพอสมควร รวมถึงศักยภาพของประเทศ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบอุตสาหกรรมของประเทศไทย การค้าที่มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา และการทำให้เกิดความเข้มแข็งในกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
ส่วนปัญหาชายแดนเป็นอุปสรรคกับภาคอุตสาหกรรม ยอมรับว่ามีบ้างแต่ก็ได้ชี้แจงให้ทราบชัดเจนว่าช่วงนี้ยังคงไม่มีการดำเนินการเปิดด่านอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องใช้วิธีการทางการทหารและการทูต ควบคู่กันไปในเวลาเดียวกัน แต่ต้องทำหลังจากที่รัฐบาลเริ่มทำงานแล้ว ส่วนเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่า ต้องเร่งแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส จะประชุมหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขณะเดียวกัน ได้มอบหมายให้นายเอกนิติไปตรวจสอบข้อเท็จจริงการส่งออกทองคำไปยังประเทศกัมพูชา หากพบว่ามีอะไรผิดปกติก็จะดำเนินการ
ส่วนมาตรการ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นายอนุทินกล่าวว่าตอนนี้ยังไม่ได้เข้าไปทำงาน แต่เป็นสิ่งที่เราเตรียมพร้อม เมื่อเราสามารถเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินได้ตามเวลาที่กำหนด จะดำเนินการทันที ส่วนที่ประชาชนค่อนข้างคาดหวังกับโครงการคนละครึ่ง ทั้งนโยบาย 60-40 และ 50-50 ที่จะสามารถเปิดกระเป๋ารอได้เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่ารอได้ รายละเอียดก็จะให้ รมว.คลัง ชี้แจงกับประชาชน ในเรื่องของแผนดำเนินการที่ได้วางไว้ ในวันที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มตัว แต่ย้ำว่าจะดำเนินการตามนโยบายให้เร็วที่สุด
ส่วนที่คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา เรียกร้องให้ชะลอการทำโครงการแลนด์บริดจ์ และผลักดันร่างราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ผ่านการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน นายอนุทิน ว่า ตนฟังทุกฝ่ายอยู่แล้ว จะพิจารณาแค่มิติเรื่องการลงทุน และความคุ้มค่าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองถึงอนาคตด้วย รวมถึงสิ่งที่จะทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย ดังนั้น ต้องมองหลายมิติร่วมกัน เราอยู่ในสภาพภูมิรัฐศาสตร์ที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ต้องใช้ความได้เปรียบตรงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ เราอยู่ตรงกลางเป็นไข่แดงของอาเซียน จึงมีโอกาสมากมายที่จะใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้ เพื่อสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และมิติอื่นๆ อีกมาก
ส่วนที่ภาคเอกชนมีการขอแผนการรองรับไว้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยหารือ แต่ในรายละเอียด ขอให้รอทางประธานสภาอุตสาหกรรมฯ เป็นผู้ชี้แจง