xs
xsm
sm
md
lg

ศาลสั่งเพิกถอนแล้ว 2 แปลงที่ดินเขากระโดง ออกเอกสารทับที่รถไฟ พร้อมสั่งจ่ายค่าเสียหายจนกว่าจะมอบที่ดินคืนแล้วเสร็จ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน 2 แปลง ออกทับที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง พร้อมสั่งจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และจ่ายค่าเสียหายเดือนละ 3,224 บาท จนกว่าจะส่งมอบพื้นที่คืน รฟท.แล้วเสร็จ

ตามรายงานของสำนักข่าวอิศรา ระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ พE-357/2567 คดีหมายเลขแดงที่ พE544/2568 ซึ่งเป็นคดีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องขับไล่ นางประภาวัลย์ เรืองวงษ์งาม (จำเลย) ออกจากที่ดินของ รฟท.ในพื้นที่บริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ พร้อมทั้งขอให้ศาลฯ พิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่ออกทับที่ดินของ รฟท.ด้วย

โดยคดีนี้ ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งนางประภาวัลย์เป็นเจ้าของและเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และให้นางประภาวัลย์ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินพิพาทให้ รฟท. (โจทก์) ในสภาพเรียบร้อย

พร้อมทั้งให้นางประภาวัลย์ชำระค่าเสียหายเดือนละ 3,224 บาท นับถัดจากวันที่มีคำพิพากษา (วันที่ 6 ส.ค.2568) เป็นต้นไป จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินให้แก่ รฟท. ในสภาพเรียบร้อย เนื่องจากศาลฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท. ซึ่งได้มาตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พ.ย.2462

โดยมีคำพิพากษาโดยสรุปดังนี้

“…พยานหลักฐานที่โจทก์ (รฟท.) นำสืบมา จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ เอกสารหมาย จ.6 เป็นที่ดิน ซึ่งข้าหลวงพิเศษได้สำรวจ และวางแนวการก่อสร้างทางรถไฟไว้ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เพื่อเข้าไปลำเลียงหินบริเวณเขากระโดง ซึ่งเป็นแหล่งหินที่ใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟ

โดยจัดซื้อที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรแรก จากเจ้าของที่ดิน 18 ราย และเข้ายึดถือครอบครองที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเจ้าของ โดยพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ในช่วงระยะเวลา 2 ปี ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้ผู้ใดไปจับจองที่ดิน ซึ่งเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ แสดงให้เห็นว่า ข้าหลวงพิเศษที่ได้รับแต่งตั้งตามพระราชกฤษฎีกาและกรมรถไฟแผ่นดิน มีอำนาจกำหนดพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของให้เป็นที่หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการก่อสร้างทางรถไฟได้

เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินบริเวณเขากะโดงและบ้านตะโก ทั้งยังใช้วัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ย่อมถือว่าที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟเอกสารหมาย จ.6 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 เอกสารหมาย จ.2

อันเป็นที่ดินที่จัดหามา เพื่อใช้ในการสร้างทางรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ” ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 มาตรา 3 (2) ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กล่าวคือ ห้ามไม่ให้ยกกำหนดอายุความขึ้นต่อสู้สิทธิของแผ่นดินเหนือที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นของรถไฟ และห้ามไม่ให้เอกชนหรือบริษัทใดๆ หวงห้ามหรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อื่น

เมื่อโจทก์ (รฟท.) จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้โอนทรัพย์สินและหนี้สินของกรมรถไฟแผ่นดินให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าว

เมื่อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ระหว่างกิโลเมตรที่ 6 ถึงที่ 7 ตามสำเนาแผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งพื้นที่พิพาทเอกสารหมาย จ.16 โดยที่ดินตามโฉนดเลขที่ 120612 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายทางแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 90 เมตร

และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายทางแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 80 เมตร ตามสำเนาแผนผังแสดงระยะห่างจากศูนย์กลางทางแยกเขากระโดง เอกสารหมาย จ.17 ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงตั้งอยู่ในที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรหลัง ตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ เอกสารหมาย จ.6

แม้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามที่กล่าวอ้าง ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 มาตรา 6 (1) และ (2) พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ จึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ตามแผนที่พิพาทเอกสาร จล.1 การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 จึงเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อน โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องดำเนินการดังกล่าวด้วยตัวเอง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน

จำเลยไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมในอันที่จะต้องปฏิบัติต่อโจทก์ จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว หากจำเลยเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้” ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์ (ศาลชั้นต้น) คดีหมายเลขดำที่ พE-357/2567 คดีหมายเลขแดงที่ พE544/2568 ลงวันที่ 6 ส.ค.2568 ระบุ

สำหรับคดีนี้ นางประภาวัลย์ เรืองวงษ์งาม (จำเลย) มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ฯ ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น