เกิดกระแส “ทวงคืน เกาะพะงัน จ. สุราษฎร์ธานี” หลังพบปัญหา นักท่องเที่ยวต่างชาติ “ชาวอิสราเอล" เข้ามาปักหลักตั้งรกราก กว้านซื้อที่ดิน สร้างบ้าน เปิดกิจการ มิหน้ำซ้ำ ยังทำลายสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ตลอดจนกระทำผิดกฎหมายอย่างไม่เกรงกลัว ถึงขั้นที่ว่าเปลี่ยน “เกาะพะงัน” เป็น “เทลอาวีฟ สาขา 2” ที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มั่งคั่งที่สุดในประเทศอิสราเอล
เสียงเรียกร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากชาวเกาะพะงันตั้งคำถามและปลุกกระแสให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาปกป้องเกาะพะงันจากการถูกกลืนชาติ โดยสื่อเถื่อนเผยข้อความจาก “Kaii Kpg” ตัวแทนชาวเกาะพะงัน สาระสำคัญเปิดเผยว่าเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอิสราเอลที่ได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่บนเกาะหลายร้อยครอบครัวหลายพันคน แบบที่เรียกได้ว่าแทบจะยึดครอง ใช้นอมินีซื้อที่ติดทะเล ซื้อภูเขาเป็นลูกๆ ตัดต้นไม้ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ ก่อสร้างผิดกฎหมาย ขายคนชนชาติเดียวกันเอง ทำลายป่าหลายสิบไร่ติดกับอุทยานแห่งชาติ เพื่อสร้างลานปาร์ตี้การยึดครองพื้นที่เกาะพะงัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารก่อนออกศึก และทหารผ่านศึก ได้ใช้เกาะพะงันเป็นที่เข้ามาปลดปล่อย ก่อนออกไปสงครามได้เงินมาก้อนหนึ่งก็มาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงที่นี่ ทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามมาก็มีศูนย์เยียวยาจิตใจที่นี่ นี่ยังไม่รวมไปถึง พฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทย และนานาชาติ เช่น ขี้โวยวาย หาเรื่องตุกติกไม่จ่ายเงินในหลายๆ ครั้ง, ตลอดไปจนกระทั่งไม่มีการเคารพกฎของการอยู่ร่วมกัน เราเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่เพียงเท่านั้น บริแวณพื้นที่“บ้านศรีธนู”บนเกาะพงัน ได้กลายเป็น “เทลอาวีฟ (Tel Aviv)” หรือเมืองเศรษฐกิจที่สุดในประเทศอิสราเอล ขนาดย่อมๆ มี Chabad ศูนย์การชุมชนวัดยิว ที่ทำเป็นกระบวนการมาแจกอาหาร และทำพิธีสำหรับยิวโดยเฉพาะ ซึ่งแหล่งนี้ได้เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวยิวที่ย้ายมาใหม่ รวมไปถึงบริษัททัวร์ ที่ตั้งมาเพื่อพาคนอิสราเอลใหม่ๆ เข้ามาที่เกาะโดยเฉพาะ รวมไปถึงการช่วยเหลือในการโยกย้ายเข้ามาในเกาะพะงัน โรงเรียนนานาชาติที่เป็นของคนอิสราเอลกันเอง มีนักเรียนกว่า 90% เป็นชาวอิสราเอล อีกทั้ง ปัจจุบันปัญหานี้ได้เกิดขึ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ ศรีธนู หินกอง และโฉลกหลำ และไม่มีทีท่าที่จะชะลอลงแต่อย่างใด
นายสุริยา บุญพันธ์ นายอำเภอเกาะพะงัน เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยวให้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย ระบุว่าตั้งแต่ปี 2566 - 2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับชาวอิสราเอลในพื้นที่ สภ.เกาะพะงัน รวมทั้งสิ้น 20 คดีในฐานความผิดต่างๆ ประกอบด้วย ทำงานไม่ได้รับอนุญาต, อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด, ประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต, ลักทรัพย์, ยาเสพติด, ทำร้ายร่างกาย, เงินตราปลอม และดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
โดยในปี 2568 มีคดีบ่งชี้ให้เห็นว่าชาวอิสราเอลเข้ามาประกอบธุรกิจ เช่น คดีอาญาที่ 141/2568 ลงวันที่ 25 มี.ค. 2568 ความผิดฐาน “ลักลอบเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” ผู้ต้องหา สัญชาติอิสราเอล, คดีอาญาที่ 159/2568 ลงวันที่ 8 เม.ย. 2568 เป็นบุคคลต่างด้าวประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ต้องหา สัญชาติอิสราเอล, คดีอาญาที่ 212/2568 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2568 ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวประกอบธุรกิจ (บริการรถเช่า) โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ต้องหา สัญชาติอิสราเอล เป็นต้น
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบ ชาบัด หรือ วัดยิว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านศรีธนู พบว่าที่ดินที่ใช้ก่อสร้างมีการถือครองโดยมูลนิธิการชาบัดแห่งประเทศไทย (เกาะพะงัน) มีการเปิดเผยข้อมูลทางลับพบว่าเป็นสถานที่สำหรับรวมตัวกันของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่ใช้สถานที่ทางศาสนาทำกิจกรรม
อีกทั้ง พบว่าชุมชนบริเวณบ้านศรีธนู ในพื้นที่ หมู่ 8 ต.เกาะพะงัน กลายเป็นชุมชนชาวอิสราเอล ทั้งบ้านพักอาศัย ร้านอาหาร บริษัทนำเที่ยว บริการแบบครบวงจร คล้ายทัวร์ศูนย์เหรียญ ตลอดจนพบว่าอาคารสิ่งก่อสร้างมีการติดป้ายภาษาอิสราเอลระบุว่า เป็นศูนย์ประสานงานช่วยเหลือพลเมืองอิสราเอล
รวมทั้ง พบร่องรอยการปรับไถเตรียมที่ดินและประกาศขายโดยใช้ภาษาอิสราเอล ในพื้นที่หมู่ 4 ต.เกาะพะงัน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นที่ดินประเภทใด อยู่ในเขตป่าหรือไม่
กล่าวสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเสทือนความมั่นคงระดับชาติ โดยในเวลาต่อมานายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผลผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีหน่วยงานร่วม อาทิ กรมที่ดิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตำรวจภูธรภาค 8 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อร่วมปฏิบัติภายใต้นโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครอบคลุม 4 ด้านหลัก คือ
1. ตรวจสอบสิทธิการถือครองที่ดินของนิติบุคคลต่างด้าว และธุรกิจที่อาจหลีกเลี่ยงกฎหมาย 2. ติดตามเส้นทางการเงิน และเอกสารประกอบธุรกิจ เพื่อพิสูจน์ผู้ถือหุ้นที่แท้จริงของบริษัทต่างชาติ 3. เข้มงวดการอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ร่วมกับกระทรวงแรงงาน เพื่อป้องกันการประกอบอาชีพผิดกฎหมาย และ 4. ดำเนินคดีเด็ดขาด กับผู้กระทำผิด ผู้สนับสนุน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบ 5 เป้าหมายเพิ่มเติม ได้แก่ การติดตามกลุ่มทุนใหม่ การรวบรวมข้อมูลเส้นทางเงิน การตรวจสอบธุรกิจบริการที่เข้าข่ายแฝงตัว การสำรวจเครือข่ายผู้ถือหุ้น และการประสานข้อมูลกับหน่วยข่าวความมั่นคงระดับภูมิภาค
ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าบนเกาะพะงัน มีชาวอิสราเอล อยู่ประมาณ 2,000 กว่าคน และ เป็นกลุ่มที่อยู่ยาวประมาณ 500 คน ซึ่งกลุ่มนี้มีทั้งที่เข้ามาประกอบอาชีพ ทำธุรกิจ มีการซื้อที่ดิน ตั้งบริษัท ปล่อยรถเช่า ทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบความผิดทางกฎหมาย
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ ธีรุตม์ ได้เปิดเผยกรณีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวอิสราเอลบนเกาะพงันเกี่ยวข้องกับเรื่องนอมินี มีประเด็นอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. หากเป็นที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย เป็น น.ส.3 โฉนด ซื้อถูกต้องหรือไม่ ซื้อในนามนิติบุคคลจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนอมินี ถ้าถูกต้องมีการขออนุญาตก่อสร้างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งท้องถิ่นและจังหวัดกำลังดำเนินการตรวจสอบ และ 2. ที่ดินที่ไม่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกที่สาธารณะ ที่อุทยาน หรือที่อื่นๆ มีการบุกรุกหรือไม่ ที่จะต้องดำเนินการ โดยจะมีการตรวจสอบทั้งจังหวัดและครอบคลุมทุกสัญชาติ
และล่าสุดพล.ต.ท.สิทธิชัย โลกันภัยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้เข้ามากำกับดูแลและตรวจสอบนอมินีชาวต่างชาติรวมทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยระยะยาวในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน พร้อมสั่งการชุดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้เร่งรัดตรวจสอบชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำผิดกฎหมายในพื้นที่ต่างๆ อย่างเข้มงวด ไม่มีการละเว้นโดยเด็ดขาด
หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดของชาวต่างชาติหรือคนที่จะเข้ามากระทำความผิดจะต้องมีการจับกุมดำเนินคดีทุกราย ซึ่งในการดำเนินการตรวจสอบจะเน้นดำเนินการไปในทุกกลุ่ม ไม่เจาะจงว่าเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“ประกาศตรงนี้เลย ใครที่จะเข้ามากระทำความผิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างอย่างเด็ดขาด คนดีอยู่ง่ายอยู่สะดวกอยู่ปลอดภัย แต่คนร้ายจะต้องอยู่ยากทุกพื้นที่” พล.ต.ท.สิทธิชัย โลกันภัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าว
ขณะเดียวกันพ.ต.ต.ศรัญญู ชำนาญราชรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เปิดเผยว่าได้มีการสืบสวนและล็อคเป้าหมายกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามากระทำความผิด กวาดล้างกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามากระทำผิดกฎหมาย ในพื้นที่เกาะสุมยและเกาะพะงัน โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว ที่ผ่านมามีการหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยการตั้งนอมินีคนไทย ถือหุ้นเกิน 50% แต่ที่จริงแล้วบริษัทดังกล่าวเป็นของคนต่างชาติ 100%
อย่างไรก็ดี การรุกคืบปักหมุดตั้งรกรากในเมืองไทยของชาวอิสราเอลไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ เคยเกิดปัญหามาแล้วอย่างกรณี อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติมาแล้ว และทั้งหมดนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลกระทบจากนโยบายฟรีวีซ่า