xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ชาติเปิดเวทีถกทางออกพัฒนาเศรษฐกิจอีสาน เผยเกษตรวิถีใหม่ทางรอดภาคการเกษตรอีสาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ศูนย์ข่าวภาคอีสาน-ธปท.ภาคอีสานจัดสัมมนาใหญ่ปี 2568 ระดมทุกภาคส่วนถกทางออกพัฒนาเศรษฐกิจอีสาน ผ่านการยกระดับรายได้เกษตรกร แก้ปัญหาหนี้พุ่ง เสริมทักษะการเงิน พร้อมผลักดันเทคโนโลยีการเกษตร
และแนวคิดเกษตรยุคใหม่ที่ทำได้จริง นำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ให้ภาคเกษตรเติบโตอย่างมั่นคง



สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ห้อง Convention 2–3 โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) จัดสัมมนาประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “เกษตรวิถีใหม่เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์จากกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ หน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ สถาบันการเงิน และประชาชนทั่วไป ในการร่วมกันหาแนวทางเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรอีสานให้ยั่งยืน โดยการสัมมนาแบ่งเป็น 4 ช่วงหลัก

งานเริ่มด้วยการปาฐกถาของนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เน้นย้ำบทบาทสำคัญของ ธปท. ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทั้งด้านเงินเฟ้อ ระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน พร้อมย้ำว่าในระยะต่อไป ธปท. จะลงพื้นที่ทำงานใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ปัญหาทุนสีเทา และสแกมเมอร์


โดยนายวิทัย กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568–2569 คาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำมาก เพียง 2.1% และ 1.6% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ขีดความสามารถการแข่งขันลดลง และไทยอยู่ในภาวะสังคมผู้สูงอายุ ขณะที่ภาคอีสานซึ่งพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลักนั้นกำลังเผชิญปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ รายได้ไม่สอดคล้องรายจ่าย นำไปสู่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยหนี้ครัวเรือนภาคอีสานเพิ่มขึ้นถึง 55% ในช่วงปี 2560–2566 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศมาก ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นภารกิจเร่งด่วน

ธปท. จึงต้องเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ผ่าน โครงการแก้หนี้เสีย (NPL) สำหรับรายย่อยไม่เกิน 1 แสนบาท ผ่าน Social AMC ช่วยให้ประชาชนปิดหนี้ได้จริง พร้อมเตรียมพัฒนารูปแบบการค้ำประกันใหม่เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ตั้งเป้า 1 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกษตรกรจำนวนมากในภาคอีสาน นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เดินหน้าสร้างความรู้ทางการเงินในพื้นที่ 3 จังหวัดนำร่อง

ได้แก่ หนองบัวลำภู ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ รวมกว่า 5,000 กองทุน รวมถึงโครงการ “ครูสตางค์” เพื่อสร้างทักษะทางการเงินให้ครูและเยาวชน


ถัดมาในช่วงที่สองเป็นการเสวนาในประเด็น “เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ด้วยเทคโนโลยีเกษตร” โดย รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ชี้ให้เห็นเหตุผลสำคัญว่าเหตุใดเกษตรกรจำนวนมากยังไม่ใช้เทคโนโลยี โดยพบว่าเกษตรกรยังไม่เชื่อมั่นว่าการลงทุนคุ้มค่า แม้คุณภาพผลผลิตดีขึ้น แต่ราคาที่ได้รับไม่สะท้อนคุณภาพ ทำให้ขาดแรงจูงใจ อีกทั้งยังขาดบุคลากรด้านเทคโนโลยี เพราะแรงงานสูงวัยไม่กล้าลงทุน และคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพเกษตรน้อยลง

อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นตัวอย่างเกษตรกรยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เช่น กลุ่มทำนาประณีตที่ชัยภูมิ และทายาทอ้อยร้อยล้านที่บุรีรัมย์ ที่หันมาใช้เทคโนโลยีและสร้างอาชีพใหม่ เช่น บริการโดรนพ่นยา และให้เช่าเครื่องจักรสมัยใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้มั่นคง


ต่อมาในช่วงที่สาม มีการนำเสนอหัวข้อ “พลิกมุมคิดเพื่อยกระดับผลผลิตข้าวอีสาน” โดยนายสินสมุทร ศรีแสนปาง ผู้ก่อตั้งโครงการศรีแสงดาวหมู่บ้านนาหยอด กล่าวย้ำถึงปัญหาสำคัญของชาวนาคือ “กำแพงทางใจ” ที่ทำให้ไม่กล้าปรับตัว ทั้งที่เพียงเปลี่ยนมุมคิดก็เพิ่มรายได้ได้จริง พร้อมเผยเคล็ดลับ 3 อย่าง ได้แก่ ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร–ถูกเวลา ปรับปรุงดินเพื่อลดปุ๋ยเคมี และการทำนาหยอด ซึ่งใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 1.6 กิโลกรัม/ไร่ แต่ให้ผลผลิตสูงถึง 600 กิโลกรัม/ไร่ ลดต้นทุนลงหลายเท่า พร้อมเน้นทัศนคติที่ดีและกล้าลงมือทำ

ขณะที่ช่วงสุดท้าย เป็นการเสวนาเรื่อง “เกษตรวิถีใหม่เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” โดยผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และผู้บริหารจาก ธ.ก.ส. ที่ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลว่า...ทำไมเกษตรกรจำนวนมากยังไม่กล้าปรับตัว แม้จะเห็นโอกาสจากการทำเกษตรสมัยใหม่ เนื่องจากกลัวความเสี่ยงและไม่รู้จะเริ่มอย่างไร อย่างไรก็ดี ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มจากการรู้จักตลาด เรียนรู้จริงจากการลงมือทำ และมองเกษตรเป็นธุรกิจที่สร้างคุณค่าได้ พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐที่ช่วยสร้างความมั่นใจ


โดยสรุปประเด็นสำคัญจากการจัดสัมมนาในครั้งนี้ สะท้อนภาพชัดเจนว่า “การปรับตัวไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของเกษตรอีสาน” เพราะรายได้จากการขายผลผลิตไม่ได้โตแต่กลับมีหนี้เพิ่ม หากไม่ปรับตัว ภูมิภาคจะก้าวต่อไม่ได้ แต่วันนี้มีตัวอย่างสำเร็จเกิดขึ้นจริงมากมาย ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนวิธีคิดสามารถเพิ่มรายได้ได้ และเมื่อพร้อมจึงค่อยยกระดับสู่ผู้ประกอบการเต็มตัว ทั้งนี้ภาครัฐยังคงมุ่งสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกษตรกรอีสานสามารถ “ก้าวทัน–ก้าวไกล” ด้วยวิธีคิดใหม่ และสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.
กำลังโหลดความคิดเห็น