xs
xsm
sm
md
lg

อีริคสัน ชี้ไทยเสียโอกาส ผู้นำ 5G ถ้ายังไม่จัดสรรคลื่น 3500 MHz

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



แม้ว่าไทยจะมีผู้ให้บริการเครือข่ายที่ ติดตั้งเครือข่าย 5G ซึ่งผ่านเกณฑ์มาตรฐาน Level 4 Autonomy for 5G Service Assurance จาก TM Forum องค์กรระดับโลกด้านมาตรฐานโทรคมนาคม แต่กลายเป็นว่า ด้วยข้อจำกัดด้านคลื่นความถี่ ทำให้ไทยยังพลาดโอกาสสำคัญที่จะขึ้นเป็นผู้นำดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนนี้

แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีจุดแข็งด้านความครอบคลุมของสัญญาณ 5G ที่เข้าถึงประชากรถึง 95% และถือเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ความท้าทายถัดไปคือการขยับจากโครงสร้างเครือข่ายแบบ Non-Standalone (NSA) ไปสู่ 5G Standalone (SA) อย่างเต็มรูปแบบ

“การจะปลดล็อกศักยภาพของ 5G สำหรับภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการมีคลื่นความถี่ Mid-band หรือคลื่น 3.5 GHz ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญแต่ไทยยังรอการจัดสรร รวมถึงการเปิดใช้งานสถานีฐานแบบ 5G Standalone (SA) ทำให้สามารถแบ่งช่องสัญญาณสำหรับงานที่ต้องการความเสถียรสูง”

ปัจจุบันผู้ให้บริการเครือข่ายในไทย มีการเปิดใช้งานสถานีฐาน 5G ที่รองรับ SA เพียง 16% เท่านั้น ซึ่งถือว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการ 5G ทั้งหมด และน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอยู่ สิงคโปร์ เวียดนาม และสิงคโปร์

“5G SA ไม่เพียงแต่สร้างมูลค่าให้กับผู้ให้บริการเครือข่าย แต่ยังสร้างมูลค่าให้กับประเทศในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สร้างความมั่นใจให้กับองค์กร และรองรับบริการที่มีความสำคัญต่อภารกิจ (Mission-Critical Services)”

ในประเทศไทย การใช้งาน 5G SA จะเปิดโอกาสใหม่สำหรับนวัตกรรมในภาคธุรกิจและบริการสาธารณะดิจิทัล รวมถึงสนับสนุนการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ให้บริการสามารถปรับแต่งประสิทธิภาพเครือข่ายให้เหมาะกับกรณีใช้งานเฉพาะ เช่น โรงพยาบาลที่ต้องการการสื่อสารที่มีความน่าเชื่อถือสูงและความหน่วงต่ำ หรือบริษัทโลจิสติกส์ที่ต้องการติดตามแบบเรียลไทม์

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากปัจจัยการเข้าถึงคลื่นความถี่ โดยเฉพาะคลื่นความถี่ Mid-band 3.5 GHz ซึ่งการจัดสรรคลื่นความถี่ที่เหมาะสมและทันเวลา จะช่วยให้ผู้ให้บริการขยายคุณภาพเครือข่าย สร้างรูปแบบการใช้งานใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างบริการ Fixed Wireless Access (FWA) และ Private 5G

สำหรับการให้บริการ Level 4 Autonomy ของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่เริ่มใช้งานจริงตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา จะช่วยให้เครือข่ายที่นอกจากมีความเร็ว และเสถียรแล้ว ยังอัจฉริยะในแบบที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยตนเอง ช่วยเพิ่มความแตกต่างของบริการให้แก่ผู้บริโภค และภาคธุรกิจใจไทย

***ใช้งานเครือข่ายในภาวะวิกฤต

โรเจอร์ วัดลิงก์ Head of Managed Services อีริคสัน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดีย ให้ข้อมูลเพิ่มถึง การประยุกต์ใช้ AI และ 5G ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ เทคโนโลยี Automation ระดับ 4 นี้ จะช่วยให้เครือข่ายสามารถบริหารจัดการพลังงานได้เองในภาวะฉุกเฉิน (เช่น การปรับ Sleep Mode ของเสาสัญญาณเพื่อประหยัดแบตเตอรี่สำรอง)

นอกจากนี้ ถ้ามีการเปิดใช้งาน 5G SA ทั่วประเทศ จะสามารถทำ Network Slicing เพื่อจัดลำดับความสำคัญของสัญญาณให้แก่หน่วยงานกู้ภัยและการแพทย์ เพื่อให้การสื่อสารไม่สะดุดแม้ในยามวิกฤต ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ามาทำงานร่วมกันในภาวะนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น