xs
xsm
sm
md
lg

อยู่แล้วดี! “CU Living Arc 5.0” ตึกไฮเทคชวนปิดไฟ-โชว์ค่าฝุ่น (Cyber Weekend)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



อาคารตึกใหญ่ที่มีทุนสร้างเป็น 100 ล้านบาท อาจมีบางช่วงเวลาที่ผู้คนในตึกมีจำนวนไม่มากนัก แทนที่จะเปิดแอร์เย็นฉ่ำทั้งตึก 24 องศาตลอดเวลา จนทำให้สูญค่าไฟโดยเปล่าประโยชน์ แต่ “ตึกอัจฉริยะ” จะชวนให้เจ้าหน้าที่ปรับแอร์ลดไฟ รวมถึงมีแจ้งเตือนเรื่องข้อมูลสุขภาพอย่างค่าฝุ่น P.M. 2.5 ได้ด้วย

เรากำลังพูดถึง Digital Twin เทคโนโลยีคู่แฝดดิจิทัลที่จะจำลองอาคารในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถติดตามและแจ้งข้อมูลการใช้งานอาคารได้รวดเร็ว เช่น จำนวนผู้ใช้งานโดยเจ้าหน้าที่ไม่ต้องยืนนับที่ประตู หรือข้อมูลอุณหภูมิในพื้นที่ซึ่งไม่ต้องมีการเดินไปประเมินสถานการณ์หน้างาน ช่วยให้เจ้าของอาคารสามารถปรับแต่งทุกอย่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจริง ทำให้สามารถลดต้นทุนการเป็นเจ้าของอาคารได้มากกว่าการไม่ลงทุนเทคโนโลยีอะไรเลยกับอาคารนั้น

ศ.ดร.อรรจน์ เศรษฐบุตร รองคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันนี้ ไทยมี “อาคารอัจฉริยะ Digital Twin ที่ตอบสนองและขับเคลื่อนด้วย AI” แห่งแรกแล้ว นั่นคือโครงการ CU Living Arc 5.0 ซึ่งถูกมองว่าเป็นโครงการที่กำลังจะพลิกโฉมวงการสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ ในยุคที่คนไทยต้องกังวลเรื่องฝุ่น PM 2.5 หรือประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะอาคารจะสามารถบอกให้หยิบหน้ากากขึ้นมาใส่ หรืออาจแจ้งให้เจ้าหน้าที่เปิดระบบเติมอากาศ เพื่อป้องกันใครง่วงและไม่มีสมาธิเนื่องจากระบบพบว่าตอนนี้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องกำลังมากเกินไป

***3 พลังเนรมิตยูสเคส


โครงการ CU Living Arc 5.0 นั้นเป็นผลงานความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซิสโก้ และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 3 การันตีว่า Digital Twin แบบเรียลไทม์ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ และระบบอาคารต่างๆ เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้การใช้พลังงาน และพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมในวงกว้าง

ศ.ดร.อรรจน์ เศรษฐบุตร รองคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า CU Living ARCH 5.0 มีความหมายมากกว่าการวิจัย เพราะโครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้ สร้างสรรค์นวัตกรรม และแบ่งปันความรู้ ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมอาคารที่ตอบสนองได้

“โครงการนี้ขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าสอดคล้องกับวิสัยทัศน์สังคม 5.0 โดยใช้เทคโนโลยีของซิสโก้เป็นรากฐาน โครงการนี้สอดรับกับเป้าหมายของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เพิ่มคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ใช้ทุกระดับ นี่คือจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมอาคารที่ตอบสนองได้ ที่เราจะยกระดับประสบการณ์และคุณภาพชีวิตของนิสิต บุคลากร และทุกคนที่ใช้พื้นที่นี้"


บทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือเจ้าของสถานที่และผู้กำหนดโจทย์ที่ชัดเจน ขณะที่ซิสโก้เข้ามาสนับสนุนภายใต้โครงการ CDA (Country Digital Acceleration) ซึ่งเป็นกองทุนที่สนับสนุนอนาคตดิจิทัลของกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และเอ็ม เอฟ อี ซี รับหน้าที่ผสมความเชี่ยวชาญด้านการจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้อาคารเก่าที่มีอายุ 50 ปี กลายเป็นตึกต้นแบบที่บอกเล่าข้อมูลกับมนุษย์ได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

***เก็บข้อมูลทุก 15 นาที

ความเก่งของตึกอัจฉริยะเกิดขึ้นได้เพราะระบบ “MIIoT” (MFEC Intelligent IoT) ที่เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ระดับอุตสาหกรรมของซิสโก้ทั้งหมด 30 ตัว ในพื้นที่ 2,000 ตร.ม. เพื่อเก็บข้อมูลหลากหลายทั้งอุณหภูมิ, การเคลื่อนไหว, ปริมาณ CO2 และ PM 2.5 ถูกเก็บทุก 15 นาที

ข้อมูลจำนวนมากจะถูกส่งไปที่แพลตฟอร์ม Cisco Space และระบบของ MFEC ทำให้อาคาร "พูดออกมาได้" ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหน อย่างไร เป้าหมายสำคัญที่โปรเจ็กต์นี้จะไปให้ถึงในเดือนพฤษภาคม 2569 คือการทำให้อาคารสามารถคิด และทำงานร่วมกับมนุษย์ได้จริง

“นั่นคือ เมื่อมันรู้ว่ามีปัญหา มันสามารถสั่งการให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ระบบปรับอากาศ หรือระบบไฟ ตอบสนองและแก้ไขตัวเองได้”

การมีข้อมูลจริงแบบเรียลไทม์ทำให้การตัดสินใจของผู้บริหารอาคารแม่นยำขึ้นกว่าการคาดเดา โดยหากเซ็นเซอร์จับได้ว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูงเกินไป ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าอากาศไม่พอ ระบบสามารถสั่งการให้เติมอากาศ หรือแจ้งเตือนผู้ใช้งาน


หากห้องประชุมมีคนน้อย ระบบปรับอากาศจะถูกปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น เช่น จาก 22 เป็น 25 องศา เพื่อให้ทุกคนสบายตัวเท่าเดิม แต่ประหยัดค่าไฟได้ จุดนี้ MFEC คาดการณ์ว่าโซลูชันนี้สามารถลดค่าไฟได้ 10-15%

อาคารอัจฉริยะจะฉลาดพอที่จะรู้ตัวเองว่า ถึงเวลาต้องดูแลซ่อมแซมแล้ว เพราะระบบสามารถตรวจจับความผิดปกติของเครื่องปรับอากาศก่อนที่จะเสียจริง เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถส่งช่างมาซ่อมบำรุงได้ทันท่วงที โดยไม่กระทบต่อการใช้งาน ทั้งหมดนี้แสดงผ่านแดชบอร์ดที่จะโชว์ข้อมูลแบบดูง่ายเข้าใจสะดวก

โครงการนี้ถูกชูเป็นต้นแบบระดับโลกที่สามารถนำไปขยายผลได้ โดยจุฬาฯ มีแผนจะขยายไปยังพื้นที่อื่นในคณะอีกหลายหมื่น ตร.ม. และพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคธุรกิจที่ต้องการสร้าง Smart City หรือ Smart Building

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คณะทำงานเน้นย้ำคือ เทคโนโลยีไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้ หากไม่มีการสร้างคน จุฬาฯ จึงตั้งใจให้โครงการนี้เป็น แพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ และพัฒนาบุคลากร ตั้งแต่นิสิต นักศึกษา ไปจนถึงเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร ให้มีความรู้ความสามารถในสาขาใหม่นี้

สรุปแล้วไม่ใช่อยู่แล้วรวย แต่ “CU Living Arc 5.0” คือโปรเจ็กต์ที่จะทำให้เกิดอาคารที่อยู่แล้วดีทั้งสังคมทีเดียว.
กำลังโหลดความคิดเห็น