xs
xsm
sm
md
lg

สมุทรสงครามสะเทือน! ราคามะพร้าวดิ่งเหวเหลือ 2 บาท ชาวสวนโอด “หนักสุดในชีวิต” เร่งรัฐแก้เกมด่วน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



สมุทรสงคราม - วิกฤตราคามะพร้าวน้ำหอมถล่มฐานเศรษฐกิจชุมชนเมืองแม่กลอง ชาวสวนหลายรายแบกรับต้นทุนไม่ไหว หลังราคาตกฮวบจากกว่า 40 บาทเหลือเพียง 2–3 บาทต่อผล ล้ง–โรงงานโดนจี้เลิกฮั้วราคา ด้านภาครัฐเริ่มขยับ หาล้งนอกพื้นที่ดันราคาขึ้น หวังประคองอาชีพเศรษฐกิจหลักของจังหวัดก่อนล้มทั้งระบบ

มะพร้าวถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสมุทรสงครามมายาวนาน ด้วยพื้นที่เพาะปลูก กว่า 60,000 ไร่ ทำให้จังหวัดเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตมะพร้าวทั้งมะพร้าวแกง (มะพร้าวใหญ่) มะพร้าวอ่อน (มะพร้าวน้ำหอม) และน้ำตาลมะพร้าว ที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ “สามน้ำ” น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ทำให้ดินมีแร่ธาตุเฉพาะตัว ส่งผลให้รสชาติและคุณภาพของมะพร้าวโดดเด่นไม่เหมือนใคร จนสร้างชื่อเสียงระดับประเทศ


แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ แต่ภาพของชาวสวนมะพร้าวที่กลายเป็นเศรษฐีจากอาชีพนี้แทบไม่เคยปรากฏให้เห็น ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชาวสวนส่วนใหญ่ได้เพียงประคองตัว “พออยู่พอกิน” เนื่องจากปัญหาโครงสร้างราคาที่ผันผวนหนัก โดยเฉพาะเมื่อผลผลิตในประเทศเริ่มลดลงตามฤดูกาล รัฐบาลก็มักอนุญาตให้นำเข้ามะพร้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน อ้างผลผลิตขาดแคลน ส่งผลให้ราคามะพร้าวภายในประเทศปรับลดลงทันที ทำให้รายได้ของชาวสวนได้รับผลกระทบ

แต่สถานการณ์ก็พลิกผันอย่างรวดเร็ว เมื่อช่วงกลางปี 2568 ราคามะพร้าวกลับดิ่งลงราวตกเหว ชาวสวนบางรายถึงขั้นทิ้งผลผลิตไว้ใต้ต้น เพราะค่าจ้างเก็บแพงกว่าราคาขาย พร้อมตั้งคำถามถึงพฤติกรรม “ล้ง–โรงงาน–รถส่งออก” ที่ถูกมองว่ากดราคาอย่างหนัก ประกอบกับชาวสวนไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตของตนเองได้ ทำให้วิกฤตรอบนี้หนักที่สุดในรอบหลายสิบปี


ขณะเดียวกัน ปัญหาศัตรูพืชระบาดยังซ้ำเติมสถานการณ์ โดยชาวสวนหลายแห่งระบุว่า หน่วยงานรัฐตอบสนองล่าช้า อ้าง “ไม่มีงบประมาณ” ทำให้ความเสียหายลุกลามจนต้องแบกรับภาระการดูแลสวนเองแทบทุกขั้นตอน

ย้อนกลับไปปี 2559–2560 ถือเป็น “ยุคทอง” ของชาวสวนมะพร้าวอย่างแท้จริง เพราะราคามะพร้าวน้ำหอมทะยานขึ้นไปถึงลูกละกว่า 30 บาท และไม่ต่ำกว่า 10 บาทตลอดทั้งปี ต่อเนื่องจนปลายปี 2567 ราคายังพุ่งสูงถึงลูกละกว่า 40 บาท เป็นสถิติสูงสุดในรอบชีวิตของหลายๆ ครัวเรือน ส่งผลให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูกครั้งใหญ่ สวนลิ้นจี่ที่ประสบปัญหาอากาศไม่แน่นอนลิ้นจี่ไม่ให้ผลผลิตก็ถูกโค่นต้นทิ้งอย่างไม่เสียดายเพื่อหันมาปลูกมะพร้าวน้ำหอมแทน


แต่แล้วช่วงกลางปี 2568 เป็นต้นมา ชาวสวนก็ยิ้มไม่ออก เพราะราคามะพร้าวน้ำหอมได้ดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนเหลือลูกละ 2–3 บาท ส่งผลให้ชาวสวนจำนวนมากขาดสภาพคล่อง บางรายถึงขั้นไม่สามารถแบกรับต้นทุน เช่น ค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและค่าแรงดูแลสวนได้ มีเสียงวิพากษ์ว่าเป็นเพราะแหล่งรวบรวมมะพร้าวจากสวนที่เรียกกันว่า ล้ง โรงงาน และรถตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกกดราคา

ล่าสุด สภาเกษตรกรจังหวัดสมุทรสงครามร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด และเครือข่ายภาคเกษตร ได้ประสานล้งนอกพื้นที่เข้ามารับซื้อแบบเร่งด่วนในราคา ลูกละ 5 บาท แม้ยังต่ำกว่าต้นทุนจริง แต่สร้างแรงกระเพื่อมให้แหล่งรับซื้อในจังหวัดเริ่มปรับราคาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันคาดว่าจากนี้ผลผลิตจะเริ่มขาดช่วง หรือที่ชาวสวนเรียกว่า “มะพร้าวขาดคอ” ซึ่งอาจช่วยให้ราคาขยับสูงขึ้นได้อีก


อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยในอำเภอบางคนทีสะท้อนว่า มาตรการนี้ยังช่วยเฉพาะแปลงใหญ่ รายย่อยต่ำกว่า 10–20 ไร่แทบไม่เห็นผล พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเปิดตลาดส่งออกใหม่ นอกเหนือจากจีน และเสนอให้ ประกันราคา มะพร้าวน้ำหอมอย่างน้อยลูกละ 10 บาท และมะพร้าวแกง 15 บาท เพื่อให้ชาวสวนสามารถอยู่ได้จริง

หลายฝ่ายมองว่า หากรัฐบาลสามารถจัดการปัญหาการฮั้วราคาและระบบแหล่งรับซื้อให้เป็นธรรมได้ จะเป็นโมเดลสำคัญสำหรับแก้ปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปี พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวสวนว่า จะไม่ถูกทอดทิ้งกับวิกฤตราคามะพร้าวน้ำหอมอีกต่อไป และทำให้มะพร้าวกลับมาเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของสมุทรสงครามอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น