แม้ความท้าทายด้านเทคนิคและกฎระเบียบเป็นอุปสรรคขัดขวางการทะยานขึ้นของรถบินได้ที่เป็นที่สนใจอย่างมากทั่วโลก กระนั้น บริษัทจีนกำลังพยายามทลายอุปสรรคต่างๆ โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากการพัฒนาโดรนและอีวี และใช้ประโยชน์จากที่ภาครัฐทุ่มเทสนับสนุนนวัตกรรมแห่งอนาคตนี้ที่ถูกวางตำแหน่งเป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์สำหรับ 5 ปีข้างหน้า และบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังคาดว่า ตลาดรถบินได้ของจีนจะเติบโตมีมูลค่าถึง 41,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2040
จาง หยางจุน ศาสตราจารย์ภาควิชายานยนต์จากมหาวิทยาลัยซิงหวา ชี้ว่า จีนมีศักยภาพในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถบินได้ ซึ่งการแข่งขันในอนาคตจะอิงกับการควบคุมต้นทุนและประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานที่เป็นจุดแข็งของจีน
ยานรูปไข่ไร้คนขับจากอีฮังบินเหนือเขตนวัตกรรมริมแม่น้ำชานเมืองกวางโจว ฮับธุรกิจทางใต้ของจีน อันเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบแท็กซี่บินได้ขนาดเล็กที่เคยมีอยู่แต่ในหนังไซ-ไฟเท่านั้น
ที่เซินเจิ้น โดรนส่งอาหารกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันและเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากแดนไกล แม้มีราคาแพงกว่าปกติก็ตาม
ที่โรงงานในกวางโจวของแอริดจ์ บริษัทในเครือของเอ็กซ์เผิง ผู้ผลิตอีวีชั้นนำของจีน อากาศยานน้ำหนักเบาที่มีใบพัดหกตัวสามารถขึ้นบินในแนวดิ่งและพับเก็บเข้ากับรถยนต์ขนาดใหญ่กลายเป็น “Land Aircraft Carrier” หรือยานยนต์บินได้แบบแยกส่วน
เมื่อเดินเครื่องเต็มกำลัง โรงงานแห่งนี้สามารถผลิตได้หนึ่งลำทุกๆ 30 นาที โดยเริ่มทดลองการผลิตเมื่อต้นเดือนที่แล้ว และมีแผนจัดส่งในปีหน้ารองรับคำสั่งซื้อกว่า 7,000 ลำจากทั่วโลก
อุตสาหกรรมนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน แม้การทะยานขึ้นของเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ (low-altitude economy) ยังเผชิญอุปสรรคหลายอย่าง เช่น การควบคุมน่านฟ้าอย่างเคร่งครัด และข้อกำจัดด้านแบตเตอรี่ก็ตาม
จาง เสี่ยวหลาน นักวิจัยของสเตท อินฟอร์เมชัน เซ็นเตอร์ กลุ่มคลังสมองที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานวางแผนหลักของจีน ระบุว่า กิจกรรมบนน่านฟ้าที่ต่ำกว่า 1,000 เมตรมีมูลค่าธุรกิจ 506,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) ในปี 2023 หรือราว 0.4% ของเศรษฐกิจจีน และคาดว่า จะเพิ่มเป็น 3.5 ล้านล้านหยวน (ราว 490,000 ล้านดอลลาร์) ในปี 2035
ทางด้านบอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป ชี้ว่า ตลาดรถบินได้ของจีนกำลังมุ่งหน้าสู่ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” และคาดว่า จะมีมูลค่าถึง 41,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2040
ปักกิ่งระบุว่า เศรษฐกิจระดับต่ำ ซึ่งหมายถึงโดรน รถบินได้ และแท็กซี่บินได้ เป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์สำหรับ 5 ปีข้างหน้า และพยายามเร่งรัดการพัฒนาภาคส่วนนี้ ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นตั้งแต่มณฑลกวางตุ้งจนถึงเสฉวนต่างประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบ
รายงานจากหน่วยวิจัยของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และสถาบันอื่นๆ ระบุว่า มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของดีเจไอ ผู้ผลิตโดรนยักษ์ใหญ่ที่คาดว่า ครองส่วนแบ่งตลาดโดรนเชิงพาณิชย์ทั่วโลกอยู่ถึง 70% นั้น เป็นผู้นำการพัฒนาเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ ตามด้วยมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงที่อยู่ใกล้เซี่ยงไฮ้
ผู้เล่นรายใหญ่อื่นๆ ในกวางตุ้งยังรวมถึงอีฮัง, ฟีนิกซ์ วิงส์ ผู้ผลิตโดรนในเครือบริษัทลอจิสติกส์ เอสเอฟ เอ็กซ์เพรสส์ และเอริดจ์
เดือนตุลาคมมณฑลกวางตุ้งประกาศแผนเร่งรัดการสร้างแพลตฟอร์มและสถานีบริการการบินเพื่ออำนวยความสะดวกการดำเนินการบนน่านฟ้า และการสนับสนุนการออกบัตรส่วนลดสำหรับการบินระดับต่ำเพื่อการท่องเที่ยว
เซินเจิ้น ซึ่งเป็นฮับเทคโนโลยีและการเงินของกวางตุ้งมอบรางวัลมูลค่า 15 ล้านหยวน (2.1 ล้านดอลลาร์) และมาตรการจูงใจอื่นๆ ให้บริษัทที่ได้ใบรับรองที่จำเป็นสำหรับ eVTOL (อากาศยานไฟฟ้าขึ้น-ลงแนวดิ่ง)
ปีนี้อีฮังกลายเป็นบริษัทรถบินได้แห่งแรกของโลกที่ได้รับอนุมัติสำหรับการดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ และบริษัทแห่งนี้มีแผนเปิดตัวบริการแท็กซี่บินได้ภายใน 3 ปี โดยคิดค่าบริการพอๆ กับแท็กซี่พรีเมียมบนถนน
กัว ลี่หมิง ผู้ร่วมก่อตั้งสกายอีวีโทลในเซี่ยงไฮ้ ที่ให้บริการ eVTOL ที่นั่งเดียวแบบมีคนขับในราคา 100,000 ดอลลาร์สำหรับการเดินทาง 20-30 นาที ชี้ว่า ความท้าทายสำคัญที่สุดในการพัฒนา eVTOL คือ การให้บริการเส้นทางบินที่ไกลขึ้นและการเอาชนะข้อจำกัดด้านแบตเตอรี่
ไมเคิล ตู๋ รองประธานเอริดจ์ บอกว่า ต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบ การยอมรับของผู้บริโภค การจัดการน่านฟ้าและห่วงโซ่อุปทานให้ทันยุคสมัยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนั้นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกหลายแห่งยังแข่งขันกันในสนามอากาศยานแห่งอนาคต ตัวอย่างเช่น อีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลา แย้มว่า จะเปิดตัวต้นแบบรถบินได้ภายในไม่กี่สัปดาห์
ผู้เล่นสำคัญหลายรายเริ่มทดสอบเที่ยวบินไร้คนขับ ซึ่งรวมถึงโจบี้ และอาร์เชอร์ในแคลิฟอร์เนีย ตลอดจนถึงเอริดจ์ อีฮัง และโวแลนต์ในจีน
กระนั้น จาง ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยซิงหวาที่แก้ไขทบทวนอกสารปกขาวว่าด้วยอุตสาหกรรมรถบินได้ของจีน ระบุว่า รถบินได้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเบื้องต้นและควรค่าสำหรับความพยายามระยะยาว
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ในประเทศอื่นๆ กำลังเจอโจทย์ใหญ่ในการค้นหาโมเดลธุรกิจที่จะทำให้อยู่รอดได้ เช่น บริษัทชั้นนำหลายแห่งในอเมริกาใช้เงินทุนก้อนใหญ่โดยที่ยังไม่สามารถเริ่มการผลิตแบบแมสส์ ขณะที่ลิเลียม และโวโลคอปเตอร์ สองผู้ผลิตแท็กซี่บินได้ในเยอรมนี ยื่นล้มละลาย โดยรายหลังถูกไดมอนด์ แอร์คราฟต์ กรุ๊ปซึ่งเป็นของบริษัทแห่งหนึ่งของจีน ซื้อกิจการในเวลาต่อมา
การเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างอุตสาหกรรมนี้ในจีนกับประเทศอื่น ๆ เป็นเรื่องซับซ้อน กระนั้น แบรนดอน หวัง นักลงทุนในปักกิ่งที่ลงทุนใน AI หุ่นยนต์ และรถบินได้ ชี้ว่า จีนมีความได้เปรียบในแง่ห่วงโซ่อุปทานอีวี เนื่องจากรถบินได้สามารถใช้ชิ้นส่วนอีวีหลังจากได้รับใบรับรองในการใช้งานด้านการบิน ซึ่งอาจช่วยให้บริษัทจีนขยายการผลิต นอกจากนั้นจีนยังมีความได้เปรียบจากการมีวิศวกรทักษะสูงจำนวนมาก ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาทางเทคนิคในกระบวนการผลิตได้อย่างรวดเร็ว
แกรี่ อึ้ง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิส คอร์เปอเรชัน แอนด์ อินเวสต์เมนต์ แบงกิ้ง คาดว่า การให้บริการเชิงพาณิชย์จะเริ่มต้นราวปี 2030 โดยเริ่มจาก eVTOL สำหรับการท่องเที่ยวและการใช้งานภาคอุตสาหกรรม ก่อนที่จะต่อยอดไปยังบริการแท็กซี่บินได้ และผลิตภัณฑ์บางประเภทอาจกลายเป็นสินค้าออกสำคัญของจีน

