อียูยกเลิกแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 หลังถูกกดดันหนักจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เผชิญการแข่งขันรุนแรงกับเทสลาและรถยนต์ไฟฟ้าของจีน รวมทั้งการที่กระแสเปลี่ยนผ่านสู่อีวีล่าช้ากว่าคาด นับเป็นการกลับลำนโยบายสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ภายใต้ข้อเสนอใหม่ที่คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) และยังต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) และรัฐสภายุโรปนั้น รถใหม่ต้องลดการปล่อยไอเสียลง 90% จากระดับปี 2010 ภายในปี 2035 จากเดิมที่ต้องลดเต็ม 100% เท่ากับว่า ผู้ผลิตรถยังสามารถขายรถปลั๊ก-อินไฮบริดและรถใช้น้ำมันภายหลังปี 2035
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถต้องชดเชยการปล่อยไอเสียที่เหลืออยู่ด้วยการใช้เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำในอียู และเชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือเชื้อเพลิงชีวภาพที่ไม่ใช่อาหาร เช่น วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและน้ำมันทำอาหารที่ใช้แล้ว
นอกจากนั้นผู้ผลิตรถยังมีเวลา 3 ปีนับจากปี 2030-2032 ในการผลิตรถที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 55% จากระดับปี 2021 และ 40% สำหรับรถตู้ภายในปี 2030 จากเดิมที่กำหนดให้ลดถึง 50%
สเตฟาน เซเฌอเน กรรมาธิการอุตสาหกรรมของอียู ยืนยันว่า อียูยังคงยึดมั่นเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และสำทับว่า ข้อเสนอใหม่จะเป็น “มาตรการช่วยชีวิต” อุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป
การประกาศแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปเมื่อปี 2023 ถือเป็นชัยชนะสำคัญในการต่อสู้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า
ทว่า ปีที่ผ่านมา บริษัทรถและผู้สนับสนุนพยายามล็อบบี้ให้บรัสเซลส์ผ่อนคลายแผนการดังกล่าว เนื่องจากต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากผู้ผลิตอีวีจีน อีกทั้งกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้ายังช้ากว่าที่คาด
ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถใหม่ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในยุโรปอยู่ที่เพียง 16% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมด
โฟล์คสวาเกน ผู้ผลิตรถใหญ่ที่สุดในยุโรป ยกย่องว่า การผ่อนคลายสำหรับรถเครื่องยนต์สันดาปควบคู่กับการชดเชยการปล่อยไอเสียเป็นสิ่งที่ทำได้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ในตลาด ขณะที่นายกรัฐมนตรีฟรีดริช เมร์ซ ของเยอรมนี ขานรับว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะส่งเสริมการตอบรับเทคโนโลยีอีวีและเพิ่มความยืดหยุ่น
ความเคลื่อนไหวของอียูยังเกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ (15) ฟอร์ด มอเตอร์ของอเมริกา แทงบัญชีหนี้สูญมูลค่า 19,500 ล้านดอลลาร์ พร้อมยกเลิกการผลิตอีวีหลายรุ่น เพื่อรับมือนโยบายของคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และความต้องการอีวีที่ชะลอตัวในอเมริกา
โฟล์คสวาเกนและสเตลแลนทิส เจ้าของเฟียต เผชิญปัญหาดีมานด์อีวีลดลงเช่นเดียวกัน และเรียกร้องให้อียูผ่อนคลายข้อกำหนดและลดค่าปรับหากไม่สามารถตอบสนองนโยบายของทางการได้
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอีวีเตือนว่า การผ่อนคลายเป้าหมายการปล่อยไอเสียอาจบ่อนทำลายการลงทุน ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟ และทำให้ยุโรปยิ่งล้าหลังจีนในกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า
วิลเลียม ทอดส์ กรรมการบริหารทีแอนด์อี ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วิจารณ์ว่า อียูกำลังซื้อเวลา ขณะที่จีนทิ้งห่างในการแข่งขัน
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)

