บุรีรัมย์- ญาติของ“จ่าเริง”ชาว อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ทหารกล้าพลีชีพที่ เนิน 350 ปราสาทตาควาย ที่ยังไม่สามารถนำร่างออกจากสนามรบได้ ให้หมอทรงทำพิธีเข้าทรงเสี่ยงทาย ค้นหาร่างจ่าเริง ชี้ร่างอยู่ลึกไกลมากและนำออกมาได้ยาก ขณะญาติวอนเพื่อนทหารหาญช่วยพาร่างจ่าเริง กลับบ้าน ในสภาพไหนก็รับได้ เพื่อประกอบพิธีตามประเพณี
วันนี้ (18 ธ.ค.68) ครอบครัวและญาติพี่น้องของ จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน หรือจ่าเริง อายุ 38 ปี ทหารกล้าสังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบ 23 (ร.23 พัน 3) ที่รายงานกองทัพ ระบุว่า ได้เสียชีวิตพร้อมกับ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา ณ สมรภูมิเนิน 350 ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะปะทะกับทหารฝ่ายกัมพูชา เมื่อคืนวันที่ 16 ธ.ค.68 ที่ผ่านมานั้น
โดยตามรายงานยังไม่สามารถนำร่างทหารกล้าทั้ง 2 นาย ออกมาจากพื้นที่ได้ เนื่องจากยังมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลใจของคนในครอบครัว ที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างมีความหวัง เพื่อรับร่างของจ่าเริง มาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณี ณ วัดห้วยปอ ต.ปังกู อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์
ขณะเดียวกัน นางแสงเทียน ยามดี อายุ 55 ปี (เสื้อบอลบุรีรัมย์) ลูกพี่ลูกน้องจ่าเริง พร้อมญาติพี่น้องบางส่วน ได้เดินทางไปหา นางเกียบ เครือบคนโฑ อายุ 71 ปี หมอทรงประจำหมู่บ้าน เพื่อทำพิธีเข้าทรงเสี่ยงทายตามความเชื่อโบราณของคนในท้องถิ่น คือ การโบล (อ่านว่า-โบน-เป็นภาษากวยหรือส่วย และเป็นภาษาเขมรพื้นถิ่นไทย) ที่เป็นการทำนายทายทักหรือการเสี่ยงทาย เพื่อหาสาเหตุของเหตุการณ์ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดูว่าจะสามารถนำร่างของ จ่าเริง ออกมาประกอบพิธีทางศาสนายังบ้านเกิดได้ง่ายหรือไม่ และหาสาเหตุว่าเหตุใดถึงยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้
โดยในขั้นตอนการทำพิธี ผู้ที่มาทำพิธีจะต้องนำข้าวสาร 1 ถ้วย เงินสด 20 บาท มาเป็นค่าครู แล้วมอบให้กับหมอทรง จากนั้นหมอทรงได้นำด้ายสายสิญจน์ มาผูกที่หัวกับท้ายของมีดปะหนาก หรือกรรไกรตัดหมาก และนำข้าวสารประมาณ 5 เมล็ด มาวางบนมีดปะหนาก แล้วใช้มือขวาหยิบถือด้ายสายสิญจน์ และใช้มือซ้ายรองมีดปะหนาก วางเหนือถ้วยข้าวสาร ก่อนที่หมอทรงจะเริ่มบริกรรมคาถา และตั้งจิตอธิษฐาน พร้อมมีการทำนาย หรือเสี่ยงทาย ในลักษณะสอบถามว่าร่างของจ่าเริง หรือ จ.ส.อ.สำเริง อยู่ที่ไหนจะสามารถนำร่างกลับออกมาได้หรือไม่ ซึ่งญาติๆ อยากให้เจ้าที่เจ้าทาง เปิดทางให้นำกลับมา จะในสภาพไหนก็รับได้หมด โดยขณะทำพิธี หากเป็นไปตามคำทำนายเสี่ยง มีดปะหนาก ก็จะกวัดแกว่งไปมา หากไม่ตรงตามที่พูดเสี่ยงทายมีดปะหนากก็จะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
เมื่อมีการเสี่ยงทำนายสอบถามถึงร่างและวิญญาณของจ่าเริง ว่าอยู่ที่ไหน มีดปะหนากกลับไม่มีการเคลื่อนไหว พอสอบถามว่าร่างจ่าเริงอยู่ที่ไหนกันแน่ และอยู่ในเขตของกัมพูชาหรือไม่ มีดปะหนาก กลับเริ่มมีการสั่นไหวช้า ๆ เป็นระยะๆ แต่ไม่ไหวแรง ซึ่งหมอทรง บอกว่า ร่างของจ่าเริง หรือ จ.ส.อ.สำเริง มองไม่เห็นหาตัวไม่เจอ อยู่ในที่ลึกและไกลมาก เข้าไปหาตัวได้ยากลำบาก ซึ่งหมอทรงถึงกับออกปากว่า กรณีนี้ทำพิธียากกว่าทุกครั้ง เพราะโดยปกติจะทำเพียงไม่ถึง 5 นาที ก็จะรู้ผลแล้ว แต่กรณีของจ่าเริงกลับทำพิธีค่อนข้างที่ติดขัด ฝืดๆ และมองเห็นเลือนราง ไม่ชัดเจนเหมือนกับกรณีโดยทั่วไป
ก่อนที่หมอทรงจะได้ใช้อีกวิธีในการเสี่ยงทาย คือการนำไข่ไก่มาวางบนฝ่ามือ ซึ่งขณะที่มีการนำไข่มาให้หมอทรงใบแรก พอหมอทรงหยิบไข่ ไข่ฟองนั้นก็แตกคามือ ก่อนที่จะไปนำเอาไข่ใบที่ 2 มาทำพิธีใหม่ โดยวางไข่ในลักษณะนอนบนฝ่ามือก่อนจะทำนายเสี่ยงทาย เมื่อสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆไข่ใบนั้นก็อยู่นิ่ง แต่เมื่อสอบถามถึงร่างจ่าเริงว่าอยู่ไกล และอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชาหรือไม่ ไข่ใบนั้นกลับตั้งขึ้น สร้างความประหลาดใจและเศร้าเสียใจ แก่ญาติพี่น้องของจ่าเริงที่ไปทำพิธีเป็นอย่างมาก
ด้วยความเป็นห่วงว่า ฝ่ายกัมพูชาอาจจะนำร่างของจ่าเริง ไปเก็บซ่อนไว้อยู่ในฝั่งของกัมพูชา จึงทำให้ยังไม่สามารถนำร่างของจ่าเริง กลับมาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณีความเชื่อได้ ซึ่งหมอทรงยังบอกด้วยว่า มองเห็นตัวยากมาก และตัวอยู่ลึกและไกล ส่วนที่เอาไข่มาทำพิธีก็เพื่ออยากหาตัวให้เจอ และอยากให้ได้ร่างกลับมาโดยเร็วไว แต่กลับพบว่ามาได้อยู่แต่มาแบบฝืดๆ และเอาออกมาได้ยากมาก เพราะหาตัวกว่าจะเจอก็เลยทำให้ยาก
นางแสงเทียน ยามดี อายุ 55 ปี (เสื้อบอลบุรีรัมย์) ญาติลูกพี่ลูกน้องจ่าเริง ที่มาทำพิธี กล่าวภายหลังทำพิธีว่า ต้องการอยากจะรู้ว่าจ่าเริงน้องชายที่มีข่าวว่าเสียชีวิตอยู่ที่เนิน 350 ปราสาทตาควาย เป็นอย่างไรบ้าง เพราะตอนนี้ก็ยังหาร่างยังไม่เจอ ด้วยความกังวลจึงมาทำพิธีโบล หรือการทำนายเสี่ยงทายตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน ว่าหากร่างของจ่าเริงน้องชายยังอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย ก็ขอให้การค้นหาได้พอเจอร่าง เพื่อนำกลับมาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลได้อย่างเร็ววัน ซึ่งขณะทำพิธีก็ได้มีการเสี่ยงทำนายว่าหากอยู่ในฝั่งไทยก็ขอให้มีดปะหนากกวัดแกว่งไปมา แต่ก็ไม่มีการกวัดแกว่ง แต่พอสอบถามว่าตัวนั้นอยู่ไกลอยู่ในเขตพื้นที่ของกัมพูชาใช่หรือไม่ มีดปะหนากก็เริ่มกวัดแกว่งไปมา จึงทำให้เชื่อได้ว่าร่างของจ่าเริงน้องชาย อาจจะถูกนำตัวไปเก็บซ่อนอยู่ในฝั่งกัมพูชา
ส่วนที่ตอนแรกในการทำพิธีที่หมอทรงบอกว่า มันฝืดมันตึงก็เชื่อได้ว่าร่างของจ่าเริงน้องชาย ถูกจับตัวนำไปไว้ในฝั่งของกัมพูชา จึงทำให้การทำพิธีติดๆขัดๆ โดยการทำพิธีในครั้งนี้รู้สึกติดขัดกว่าการทำพิธีในทุกครั้ง ที่เคยมีคนมาทำพิธีเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ และหาสิ่งของที่หายก็จะไม่ยุ่งยากหรือติดๆขัดๆแบบครั้งนี้ ที่ต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมง ซึ่งต่างจากทั่วไปที่ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ก็จะรู้ถึงสาเหตุนั้นแล้ว
ขณะที่นางดุม พะนิรัมย์ อายุ 60 ปี ญาติพี่น้องของจ่าเริง ยังได้วิงวอนขอให้เพื่อทหารหาญ นำร่างของจ่าเริงน้องชายตนเองกลับมาบ้านเกิด เพื่อมาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณีโดยเร็ววัน เพราะทางนี้ต่างตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของน้องชาย แม้จะมาในสภาพไหนรับได้หมด

