สกิลภาษาอังกฤษของคนไทยรั้งท้ายลำดับโลก อันดับ 116 จาก 123 ประเทศ รายงาน EF EPI ของ EF Education First เผยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มระดับความสามารถทางภาษาต่ำมาก ตอกย้ำปัญหาทักษะด้านภาษาอังกฤษ สะท้อนความล้มเหลวในระบบการศึกษาของไทยอีกครั้ง
รายงานดัชนีความสามารถทางภาษาอังกฤษ หรือ EF EPI ประจำปี 2568 โดย EF Education First องค์กรสอนภาษา จัดอันดับทักษะภาษาอังกฤษของ 123 ประเทศและภูมิภาค เปิดเผยว่าทักษะภาษาอังกฤษที่อ่อนที่สุดในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก คือ “การพูด” ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยทั่วโลกต่ำที่สุด เนื่องจากเป็นทักษะที่โรงเรียนพัฒนาได้ยาก และมักถูกละเลยในแผนการทดสอบระดับชาติ ขณะที่ “การอ่าน” เป็นทักษะภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในเกือบ 80% ของกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมทำทดสอบ เนื่องจากเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ง่ายในระบบการศึกษา และฝึกฝนด้วยตนเองได้ง่ายโดยใช้เครื่องมือช่วย
ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มระดับความสามารถทางภาษาต่ำมาก โดยอยู่ในอันดับที่ 116 จาก 123 ประเทศ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มระดับความสามารถทางภาษาต่ำมาก ซึ่งลดลง 13 คะแนนเมื่อเทียบกับปี 2567 (415 คะแนน) รั้งอันดับรองสุดท้ายในเอเชียสูงกว่ากัมพูชาประเทศเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายละเอียดของทักษะเฉพาะด้าน คะแนนของประเทศไทยสะท้อนแนวโน้มที่สอดคล้องกับภาพรวมของโลก โดยทักษะที่คนไทยได้คะแนนสูงสุด คือ การอ่าน 416 คะแนน ตามมาด้วยการฟังมีคะแนน 385 คะแนน ส่วนการพูดได้คะแนน 377 คะแนน และการเขียนมีคะแนนต่ำที่สุดเพียง 363 คะแนน
โดยประเทศในภูมิภาคยุโรปยังคงครองตำแหน่งในกลุ่มประเทศที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษสูงสุดในโลก 10 อันดับที่มีคะแนนสูงสุด อยู่ในเกณฑ์ระดับความสามารถทางภาษาสูงมาก ในดัชนี EF EPI 2568 อาทิ เนเธอร์แลนด์ (624 คะแนน) โครเอเชีย (617 คะแนน) ออสเตรีย (616 คะแนน) เยอรมนี (615 คะแนน) นอร์เวย์ (613 คะแนน) โปรตุเกส (612 คะแนน) เดนมาร์ก (611 คะแนน) สวีเดน (609 คะแนน) เบลเยียม (608 คะแนน) และ สโลวาเกีย (606 คะแนน)
ขณะที่ในอาเซียนและเอเชีย อันบดับ 1 คือ มาเลเซีย (581 คะแนน) โดยรั้งอันดับ 24 ของโลก รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ (569 คะแนน) รั้งอันดับ 28 ของโลก, เวียดนาม (500 คะแนน) รั้งอันดับ 64 ของโลก, อินโดนีเซีย (471 คะแนน) รั้งอันดับ 80 ของโลก, ลาว (461 คะแนน) รั้งอันดับ 88 ของโลก, 6 พม่า (444 คะแนน) รั้งอันดับ 99 ของโลก, ไทย (402 คะแนน) รั้งอันดับ 116 ของโลก และ กัมพูชา (390 คะแนน) รั้งอันดับ 123 สุดท้ายของโลก
ทั้งนี้ กลุ่มอายุที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 26 - 30 ปี ด้วยคะแนนเฉลี่ย 481 ที่ภูมิภาคที่มีคะแนนสูงสุดของไทยคือ ภาคกลาง (438 คะแนน) และเมืองที่ทำคะแนนได้สูงสุดคือ พัทยา ด้วยคะแนน 474 ส่วนกรุงเทพฯ มีคะแนนรวมอยู่ที่ 400 คะแนนเท่านั้น
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคนไทยมีทักษะภาษาอังกฤษต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แม้จะเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนมหาวิทยาลัย โดยมีปัจจัยมากจากการจัดการเรียนการสอนเน้นการสอบมากกว่าการสื่อสาร อีกทั้ง การเน้นการท่องจำมากกว่าการฝึกใช้จริงในชีวิตประจำวัน
ในประเด็นนี้รศ.ดร.สุพงศ์ ตั้งเคียงศิริสินผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่าการเสริมทักษะและสร้างความเข้มแข็งด้านภาษาของคนไทย จำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเองในรูปแบบนอกห้องเรียนมากขึ้น ตลอดจนต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ โดยเน้นให้เห็นความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมากกว่าเป็นวิชาที่ต้องสอบให้ผ่าน
ขณะที่รัฐบาลไทยรับรู้ถึงสถานการณ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยเป็นอย่างดี โดยที่ผ่านมารัฐพยายามสร้างทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษโดยพุ่งเป้าไปที่ภาคการศึกษาเป็นลำดับแรก ย้อนกลับไปช่วงปี 2566 มีความเคลื่อนไหวจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการริเริ่มโครงการและมาตรการต่างๆ ด้านการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างเร่งด่วน หลังมีข้อมูลเชิงสถิติระดับโลกเผยทักษะภาษาของคนไทยอยู่ในลำดับต่ำ
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศนโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อเสริมสร้าง สมรรถนะและความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การใช้ระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษตามกรอบมาตรฐาน CEFR ในการกำหนดคุณภาพผู้เรียน โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียน และพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามแนวทางการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching: CLT) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงเห็นควรให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแจ้งทุกโรงเรียนในสังกัดดำเนินการ
1. นำระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษตามกรอบมาตรฐาน CEFR มากำหนดเป็นคุณภาพผู้เรียน สามารถนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล นำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเทียบผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบปลายภาค ทดแทนการสอบปลายภาค หรือปลายปีได้ตามที่โรงเรียนพิจารณา ตามความเหมาะสม
2. ส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในสถานศึกษา (English Environment เพื่อสร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อม จูงใจให้นักเรียนสนใจ และเห็นประโยชน์ของการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน โดยจัดทำป้ายอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นภาษาอังกฤษ จัดกิจกรรม เทศกาล วันสำคัญ สอดคล้องกับภาษาและวัฒนธรรม บูรณาการการใช้ภาษาอังกฤษในชุมชนและบริบทต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยว อาหาร ศิลปวัฒนธรรม อาชีพและสภาพสังคมของท้องถิ่น หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
โดยมีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ พ.ศ. 2557 ที่กำหนดให้ใช้กรอบมาตรฐาน CEFR เป็นกรอบความคิดหลักในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย ทั้งในการออกแบบหลักสูตร การพัฒนาการเรียนการสอน การทดสอบ การวัดผล การพัฒนาครู รวมถึง การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร เป็นเครื่องมือเข้าถึงองค์ความรู้และก้าวทันโลก เป็นพื้นฐานการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ รวมถึงพัฒนาตนเองเพื่อนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และแนวทางการนำผลการประเมินตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นสากล (Common European Framework of Reference for Languages : CEFR) ไปใช้ในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาโดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 สถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่จัดการศึกษาโดยใช้หลักสูตรสถานศึกษา ตามมาตรา 20 (4) และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 สถานศึกษาที่จัดการศึกษาโดยใช้หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3) พ.ศ. 2568 สามารถนำผลการประเมินตามกรอบ CEFR ไปใช้วัดและประเมินผลความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนตามหลักสูตรสถานศึกษาแต่ละแห่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำผลการประเมินไปใช้ในการเทียบโอนความรู้ในระบบธนาคารหน่วยกิต ซึ่งในการเทียบโอนความรู้ ผู้เรียนจะต้องได้รับผลการทดสอบจากชุดข้อสอบที่เป็น Proficiency test โดยผลการประเมินตามกรอบมาตรฐาน CEFR มีระยะเวลาของการรับรองผลไม่เกิน 2 ปี นับจากวัน เดือน ปีที่ระบุในใบรับรองผลการประเมิน
นอกจากนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ออกประกาศ เรื่อง นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2567 เพื่อยกระดับความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม กำหนดเป้าหมาย พัฒนาการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้ รวมถึงกำหนดให้นักศึกษาทุกคน สอบวัดความรู้และทักษะภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา ตามแบบทดสอบที่สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาขึ้นหรือแบบทดสอบตามมาตรฐานสากลอื่นๆ โดยเทียบเคียงผลกับมาตรฐานสากลของสหภาพยุโรปที่ใช้วัดระดับความสามารถทางภาษาในด้านการอ่าน การเขียน การฟัง และการพูด (Common European Framework of Reference for Languages: CEFR)
ปัจจุบันนโยบายการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมุ่งเน้นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาให้มีความรู้และสามารถใช้ในการสื่อสาร โดยหัวใจสำคัญ คือ ทำอย่างให้ผู้เรียนรู้สึกว่าใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร มากกว่าเป็นวิชาที่ต้องสอบให้ผ่าน

